สะท้อนปัญหาชาวบ้านถูกดำเนินคดีจากนโยบายที่ผิดพลาดของรัฐ ตกเป็นจำเลยสังคม และจำเลยทางอาญา สูญเสียโอกาส ผลกระทบต่อชีวิต เรียกร้องเร่งคืนความเป็นธรรม หยุดใส่ร้ายเหมารวมชาวบ้านเป็นนายทุน ด้านมูลนิธิสืบนาคะเสถียรยื่น 3 ข้อกังวล ทบทวนร่างกฎหมายดังกล่าว
วันนี้ (4 ต.ค.68) พชร คำชำนาญ กองเลขานุการสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) เปิดเผยถึงการติดตามร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ราษฎรซึ่งได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานตามนโยบายด้านที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ พ.ศ. …. ที่ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร วาระที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา ว่าขณะนี้เกิดกระแสปั่นป่วนจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมในสายการเมือง ทั้ง ข้าราชการและอดีตข้าราชการในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สมาชิกวุฒิสภา หน่วยงานความมั่นคงอย่าง กอ.รมน. รวมไปถึงองค์กรเอกชนบางองค์กร
คือการพยายามกล่าวหาซ้ำ ๆ ว่ากฎหมายนี้จะเอื้อให้นายทุนบุกรุกทำลายป่าได้ การกล่าวหาเช่นนี้ ไม่เพียงเป็นเครื่องมือทำลายความชอบธรรมทางการเมืองของพรรคการเมืองบางพรรคที่สนับสนุนร่างกฎหมายนี้ แต่ยังเป็นการใส่ร้ายป้ายสีประชาชนคนยากคนจน ที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการถูกดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกป่าอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งมีจำนวนมหาศาล เพียงแต่เสียงของพวกเขาไม่เคยถูกรับฟังเท่านั้น
ข้อมูลรายงานจากคณะทำงานกลั่นกรองที่ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) ได้ร่วมกับกระทรวงยุติธรรมจัดทำขึ้น เมื่อครั้งที่ได้ร่วมยกร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวของภาคประชาชน ซึ่งแม้จะไม่สามารถเข้าชื่อได้ทันยื่นประกบไปกับร่างกฎหมายของพรรคการเมือง แต่ทำให้เห็นว่าคดีความในพื้นที่ป่ารูปแบบต่าง ๆ มีจำนวนมากเฉพาะคดีความในพื้นที่ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ตั้งแต่ปี 2554-2562 มีคดีความมากถึง 48,764 คดี เป็นที่น่าสังเกตว่า ส่วนใหญ่กว่า 32,000 คดี เป็นคดีความที่ไม่พบตัวผู้กระทำความผิด หมายความว่าเป็นการยึดที่ดินหรือยึดของกลาง มากกว่าความพยายามในการจับคนผิดให้ได้
“แน่นอนการแสดงตัวเลขเช่นนี้ หากไม่เข้าใจบริบทที่แท้จริงของพื้นที่ รวมถึงนโยบายจากรัฐส่วนกลาง อาจเข้าใจว่าประเทศของเรามีการบุกรุกทำลายป่าอย่างไม่เกรงกลัวใด ๆ ต่อกฎหมาย แต่ในความเป็นจริง ประชาชนคนอยู่กับป่าหลายชุมชนอยู่ก่อนการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติ เขตป่าสงวน อุทยานฯ หลายแห่งมีการประกาศแนวเขตโดยไม่ได้ให้ความสำคัญในการสำรวจ และการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อกันแแนวเขตออก ประกาศทับที่ทำกินที่อยู่อาศัยของชุมชนดั้งเดิม พวกเขาต้องกลายเป็นผู้กระทำผิดจากนโยบายขับไล่ของรัฐ จึงไม่เป็นธรรม และควรต้องคืนสิทธิ ไม่ใช่จับกุมบอกสังคมว่าเขารุกป่า” พชร กล่าว

ที่สำคัญประชาชนในพื้นที่ป่าหลักล้านคน ต่างเข้าไม่ถึงสิทธิในที่ดิน ทั้งที่อยู่อาศัย และทำกินมาก่อน การดำเนินการแก้ไขปัญหาที่ดินของรัฐ โดยเฉพาะตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 30 มิถุนายน 2541 ล่าช้า และไม่นำไปสู่การให้สิทธิชาวบ้านจริง นั่นทำให้พวกเขากลายเป็นกลุ่มเปราะบางและกลุ่มเสี่ยงที่จะต้องถูกแย่งยึดที่ดินอย่างไม่เป็นธรรมจากนโยบายเบื้องต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการรัฐประหาร ของ คสช. ที่เกิดคำสั่ง คสช. ที่ 64/2557 และคำสั่ง คสช. ที่66/2557 หรือที่เรียกว่านโยบายทวงคืนผืนป่า ตลอดจนเป้าหมายการเพิ่มพื้นที่ป่าให้ได้ 40 % ที่ระบุชัดเจนในแผนแม่บทป่าไม้และแผนพัฒนาการป่าไม้แห่งชาติ นั่นคือจุดเริ่มต้นปัญหาและผลกระทบต่อพี่น้องคนยากจนหลายพันหลายหมื่นครอบครัว
ทั้งนี้ ตั้งข้อสังเกต ต่อสาเหตุสำคัญที่กลุ่มเห็นต่างออกมาคัดค้านมี 3 ประเด็นหลัก
- มองเป็นการหวงแหนอำนาจในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งข้าราชการประจำ นักการเมืองสายกระทรวงทรัพยากรฯ และ สว. บางคนที่เกี่ยวโยงกับสายทรัพยากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาต้องการพื้นที่มากถึง 40 % ให้ถูกปกครองภายใต้กฎหมายของหน่วยงานรัฐ การนิรโทษกรรมเหยื่อทวงคืนผืนป่าเท่ากับการยอมสูญเสียอำนาจและค่านิยมของพวกเขา จำนนต่อความเป็นจริงที่ว่าคนอยู่กับป่ามาก่อน ก่อนจะเกิดหน่วยงานของพวกเขาเสียอีก
- งบประมาณปลูกป่ามหาศาลถูกเบิกจ่ายในพื้นที่ตรวจยึดเหล่านั้น แน่นอนนั่นคือแหล่งทำเงินมหาศาลให้กับพวกเขาและหลายพื้นที่เป็นการ “ปลูกป่าทิพย์” ควรตรวจสอบแปลงตรวจยึดเหล่านั้น ว่ามีการปลูกป่าจริงหรือไม่ ต้นไม้โตไหมดังนั้นจะยอมให้นิรโทษกรรมไม่ได้ ยิ่งมีกระแสเรื่องทำคาร์บอนเครดิต ก็ยิ่งน่าคิดว่าพื้นที่ตรวจยึดทั้งหลายเหล่านั้นถูกเอาไปใช้ในการฟอกเขียวนี้ด้วยหรือไม่
- กรณีหน่วยงานความมั่นคงที่ออกมาคัดค้าน พวกเขามีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในช่วงคำสั่ง คสช. ที่ 64/2557 เป็นแนวหน้าในการบุกสนธิกำลังเข้าไปในพื้นที่ ตัดฟันทำลายพืชผลอาสิน จับกุมดำเนินคดีชาวบ้าน โดยไม่ตรวจสอบใด ๆ ซึ่งการยอมนิรโทษกรรมให้เหยื่อ ก็เท่ากับตัวเองยอมรับว่าปฏิบัติการที่ผ่านมานั้นทำผิด เขาจึงไม่ยอมและตบเท้าออกมาคัดค้าน
“ดังนั้น การนิรโทษกรรมคดีทวงคืนผืนป่านั้น เป็นสิ่งจำเป็นและเป็นเรื่องเร่งด่วนอย่างยิ่ง เราเพิกเฉยต่อความทุกข์ร้อนของชาวบ้านที่ถูกป่าของรัฐประกาศทับมายาวนานเกินพอแล้ว ถึงเวลาต้องช่วยกันส่งเสียงถึงผู้เกี่ยวข้องให้เร่งเดินหน้าร่างกฎหมายนี้ให้มีผลบังคับใช้ เพื่อเยียวยาบาดแผลทางกายภาพและทางใจให้เหยื่อและครอบครัว คืนความเป็นธรรมและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ให้เขาหลุดพ้นจากบ่วงกรรม ที่เขาไม่ได้เป็นคนก่อ คืนชีวิตปกติที่ไม่ต้องติดคดีอาญาแผ่นดินให้เขายืนหยัดอยู่บนสังคมได้อย่างภาคภูมิเสียที” พชร กล่าว
ทับลาน 43 หนุน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมคดีป่าไม้ที่ดิน ชี้ ป่าทับคน ต้องตกเป็นจำเลยของสังคม และจำเลยอาญาเดือดร้อนกระทบทุกด้าน รวมทั้งสูญเสียชีวิต

ปรีชา ทิพยเวช กรรมการกลุ่มทับลาน 43 เห็นว่า ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ราษฎรซึ่งได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานตามนโยบายด้านที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ พ.ศ. …. เป็นประโยชน์กับพี่น้องชาวบ้านเป็นอย่างมาก เพราะอย่างชาวบ้านใน อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นชาวบ้านจริง ๆ ไม่ใช่นายทุนและอยู่กันมาตั้งแต่บรรพบุรุษก่อนการประกาศเขตอุทยาน ถูกดำเนินคดีป่าไม้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายมานาน ในเมื่อมีการออกกฏหมายนิรโทษกรรมคดีป่าไม้ที่ดิน เปรียบเสมือนว่าเป็นการได้คืนความเป็นธรรมให้กับพี่น้องชาวบ้าน ที่ถูกกระทำโดยมิชอบ
ทั้งนี้มองว่า การที่เจ้าหน้าที่ส่วนที่ไปร้องเรียนหรือดำเนินคดีชาวบ้าน เป็นคนทำผิดเสียเองและอยากปกปิดความผิดตนเอง จึงไปร้องว่าการกระทำนั้นไม่ชอบ ไม่ถูกกฎหมาย ซึ่งจริง ๆ แล้ว ตามบริบทต้องออกไปดูพื้นที่จริง ออกไปสำรวจจริง ว่าการที่เขาถูกจับกุม เขาทำผิดจริงหรือไม่ ไม่ใช่ว่ามีกฎหมายในมือ อยากทำอะไรก็ทำตามใจชอบ อันนี้ไม่ควรที่จะทำแบบนี้ กฎหมายนี้ เป็นกฎหมายที่สมควรคืนสิทธิให้กับพี่น้องที่ถูกกระทำ และอยากเร่งให้เดินหน้าเร็ว ๆ เพราะว่าพี่น้องประชาชนเดือดร้อนกันมานานแล้ว
“บางคนเครียดจนเส้นเลือดในสมองแตก ล่าสุดก็เพิ่งตรอมใจจนเสียชีวิต เพราะเครียดต้องเตรียมไปขึ้นศาลวันที่ 6 ต.ค.นี้ ลูกชาย ญาติบอก เขาเครียดมาตลอด พูดซ้ำ ๆ ว่าอยู่มาแต่บรรพบุรุษไม่ได้ทำผิด จึงเครียดกลัวไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ ค่าคดีต่าง ๆ อย่าลืมว่าหน่วยงานของรัฐเป็นผู้ฟ้อง หน่วยงานของรัฐเวลาไปขึ้นศาลก็เอารถหลวงงบประมาณหลวงไป เจ้าหน้าที่ไปมีเบี้ยเลี้ยง มีทนายของหน่วยงานรัฐเข้าไปช่วยดูแลอย่างดี ตรงกันข้ามพี่น้องประชาชนตาดำดำต้องจ้างทุกอย่าง ค่ารถต้องเสีย ค่าทนายก็ต้องจ้าง เงินประกันต่าง ๆ ก็ต้องไปหามา เป็นความเดือดร้อนที่ใหญ่โตมากอยากให้คืนความเป็นธรรมเร็ว ๆ” ปรีชา กล่าว
จดหมายเปิดผนึกภาคีเซฟบางกลอย ถึง มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ทบทวนการกระทำที่สวนทางเจตนารมณ์ “คนกับป่า”

ภาคีเซฟบางกลอย เขียนจดหมายเปิดผนึกถึง มูลนิธิสืบนาคะเสถียร โดยสาระสำคัญให้ทบทวนการกระทำที่สวนทางเจตนารมณ์ “คนกับป่า” โดยยกคำกล่าวของสืบนาคะเสถียร ที่ระบุว่า
“ผมคิดว่าป่าไม้จะอยู่ได้ คนจะต้องอยู่ได้ก่อน… คนที่ด้อยโอกาสในสังคม… เขาไม่มีอำนาจ คนเหล่านี้อยู่กับธรรมชาติผมคิดว่าป่าจะอยู่หรือจะไป อยู่กับคนกลุ่มนี้ด้วย”
พร้อมย้ำว่า คำกล่าวของ สืบ นาคะเสถียร คือหัวใจที่ย้ำเตือนว่า การอนุรักษ์ที่แท้จริงต้องโอบรับผู้คนที่พึ่งพิงและดูแลผืนป่า ทว่าสิ่งที่ชาวกะเหรี่ยงบางกลอยต้องเผชิญ คือการถูกพรากจากแผ่นดินเกิดและวิถีชีวิต ซึ่งสวนทางกับมรดกทางความคิดของสืบอย่างสิ้นเชิง
ภาคี #Saveบางกลอย จึงส่งจดหมายนี้ เพื่อแสดงความผิดหวังอย่างยิ่ง ต่อกรณีที่มูลนิธิสืบนาคะเสถียรได้เผยแพร่บทความเกี่ยวกับ ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้ซึ่งเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในโศกนาฏกรรมและการละเมิดสิทธิชุมชนบางกลอย การกระทำดังกล่าวไม่เพียงสร้างความเจ็บปวดซ้ำรอย แต่ยังก่อให้เกิดคำถามถึงจุดยืนของมูลนิธิฯ ที่แบกรับชื่อของ สืบ นาคะเสถียร
เพื่อธำรงไว้ซึ่งเจตนารมณ์อันแท้จริงของวีรบุรุษแห่งผืนป่า ภาคี #Saveบางกลอย จึงขอเรียกร้องให้มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ดำเนินการ 3 ข้อ
- ยุติการเผยแพร่เนื้อหา ที่ตอกย้ำบาดแผลของชาวบางกลอยและชุมชนชาติพันธุ์อื่น ๆ
- แสดงจุดยืนที่ชัดเจน ในการคุ้มครองสิทธิชุมชนดั้งเดิม เพื่อสานต่อภารกิจของสืบ นาคะเสถียร อย่างแท้จริง
- เปิดพื้นที่รับฟังเสียงจากชุมชน เพื่อร่วมกันหาทางออกที่ยุติธรรมและยั่งยืนให้คนอยู่กับป่าได้
- ภารกิจการพิทักษ์ป่าจะไม่มีวันสมบูรณ์ หากต้องแลกมาด้วยน้ำตาและชีวิตของผู้คน ดังที่สืบได้เคยกล่าวไว้… “ป่าจะอยู่ได้ ก็ต่อเมื่อคนอยู่ได้ก่อน”
โดยก่อนหน้านี้ทาง มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้มีการโพสข้อมูลและข้อความ ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ ที่ระบุข้อความ ชี้ กฎหมายนิรโทษกรรมคดีป่าไม้ขัดต่อรัฐธรรมนูญและให้ใช้กลไก คทช.แก้ปัญหาผู้ยากไร้ไม่มีที่ดินที่ทำกิน
พ.ร.บ. นิรโทษกรรมคดีป่าไม้ ถ้าทำขึ้นมาได้ มันเป็นการที่คนทำผิดกฏหมายแต่อยู่เหนือกฎหมายแล้วได้สิทธิ ตามที่ตนเองครอบครองแบบนี้ไม่ยุติธรรม กับผู้ที่ทำถูกต้อง แต่ล่าสุด ไม่มีข้อความนี้ปรากฎในเพจ Facebook มูลนิธิสืบนาคะเสถียร แล้ว
ยื่น 3 ข้อกังวล ทบทวน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่ดิน-ป่าไม้ ทั้งหลักการ -ช่วงเวลา และผู้เข้าข่ายนิรโทษกรรม หวั่นเอื้อรุกป่าเพิ่ม
มูลนิธิสืบนาคะเสถียร โพสต์ข้อห่วงกังวลต่อร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ราษฎร ซึ่งได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐ ด้านที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ พ.ศ. …. และร่างพระราชบัญญัติยกเว้นความผิดให้แก่บุคคลที่ได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐด้านป่าไม้และที่ดิน พ.ศ. …. ถึง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาฯ ร่างกฎหมายดังกล่าว
มูลนิธิสืบนาคะเสถียรในฐานะองค์กรที่ทำงานด้านอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปกป้องผืนป่าและสัตว์ป่า แต่ขณะเดียวกันมูลนิธิฯ มีการดำเนินงานร่วมกับชุมชนในพื้นที่ป่าอนุรักษ์อีกด้วย จึงขอแสดงความเป็นกังวลต่อร่างพระราชบัญญัติพระราชบัญญัติทั้งสองฉบับ
อีกทั้งอยากเห็นการแก้ไขปัญหาราษฎรในพื้นที่ป่าอนุรักษ์จากภาครัฐอย่างจริงจัง จริงใจ เพื่อให้ปัญหานี้ได้รับการแก้ไขอย่างเหมาะสมทุกมิติ โดยขอให้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ราษฎร ซึ่งได้รับความเสียหาย หรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐด้านที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติพ.ศ. …. ทบทวนร่างพระราชบัญญัติทั้งสองฉบับดังกล่าว โดยมีประเด็นดังต่อไปนี้
- หลักการในประเด็นที่ร่างพ.ร.บ.ทั้งสองฉบับอ้างถึง “การประกาศเขตป่าหวงห้ามที่ครอบคลุมที่ดินที่มีเนื้อที่จำนวนมาก ไม่สอดคล้องกับสภาพสังคมที่มีจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น จึงสมควรทำการนิรโทษกรรมและล้างมลทินให้แก่ประชาชน…” ซึ่งหากวิเคราะห์ประเด็นดังกล่าวเป็นการมองภาพในมิติเดียว คือชุมชนในพื้นที่ แต่การกำหนดตัวเลขป่าที่ควรมีในประเทศไทย โดยเฉพาะพื้นที่ป่าอนุรักษ์มีพื้นฐานจากการคำนวนตามหลักวิทยาศาสตร์ในเรื่องนิเวศบริการให้แก่ประชาชนทั้งประเทศ ดังนั้นการมองภาพเพียงแค่มิติเดียวอาจไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันที่ตัวเลขพื้นที่ป่ามีแต่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
- ช่วงเวลานิรโทษกรรม การกำหนดระยะเวลาที่ย้อนหลังไปจนถึงพ.ศ.2497 ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหากับกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ แต่ประเด็นที่น่ากังวลที่สุดคือการระบุขอบเขตระยะเวลาให้การนิรโทษกรรมมีผลไปจนกว่าร่างพระราชบัญญัติทั้งสองฉบับนี้จะประกาศบังคับใช้ ซึ่งอาจเป็นช่องว่างให้เกิดการบุกรุกพื้นที่ป่าเพิ่มเติมจากผู้ไม่สุจริตได้
- ผู้เข้าข่ายที่ได้รับการนิรโทษกรรม ร่างพระราชบัญญัติทั้งสองฉบับ ไม่ได้ระบุถึงแนวทางในการตรวจสอบคุณสมบัติหรือพิสูจน์สิทธิบุคคลที่ควรได้รับการนิรโทษกรรมไว้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังรวมไปถึง ตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำความผิด หรือผู้ถูกใช้ ซึ่งอาจทำให้ตีความได้ว่าจะมีการเอื้อประโยชน์ให้กับนายทุน หรือผู้มีอิทธิพล ให้มีการบุกรุกพื้นที่ป่าเพิ่มมากขึ้น
“เนื่องจากการจับกุม ดำเนินคดี กรณีที่ดินป่าไม้ในพื้นที่รัฐทั่วประเทศ เกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะช่วงที่มีนโยบายทวงคืนผืนป่า ทำให้มีคดีความเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งจำนวนคดีเหล่านี้ มีตั้งแต่อยู่ในชั้นสอบสวน อัยการ ศาลและมีส่วนที่ผลการตัดสินสิ้นสุดลงแล้ว และผู้กระทำความผิด มีความหลากหลายกลุ่ม เช่น ประชาชนที่เป็นผู้ยากไร้ ผู้ที่เจตนาตั้งใจบุกรุกจริง นายทุนทั้งในชุมชนและภายนอก ผู้มีอิทธิพล นักการเมือง ฯลฯ”

ภาพจากมูลนิธิสืบนาคะเสถียร
ด้วยเหตุผลดังกล่าว มูลนิธิสืบนาคะเสถียร จึงขอเสนอให้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ราษฎร ซึ่งได้รับความเสียหาย หรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐด้านที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ พ.ศ. …. นำร่างพระราชบัญญัติทั้งสองฉบับดังกล่าวกลับมาพิจารณาทบทวนประเด็นปัญหาตามข้อเท็จจริงและระบุกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน สำหรับผู้ที่ควรได้รับประโยชน์หรือได้รับการผ่อนผันตามนโยบายของรัฐด้วยหลักวิชาการ สร้างกระบวนการมีส่วนร่วมจากสาธารณะทุกมิติ เช่น นิเวศวิทยา ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หลักเกณฑ์คุณสมบัติที่เหมาะสมของผู้ที่จะได้รับการแก้ไขปัญหาหรือการช่วยเหลือเยียวยาจากรัฐ อย่าง“เป็นจริง เป็นธรรม และเป็นไปได้ ” เพื่อให้พื้นที่ป่าควรได้รับความคุ้มครองให้เป็นบ้านของสัตว์ป่าและสามารถที่จะอำนวยประโยชน์ให้กับคนทั้งประเทศต่อไป
กมธ. ย้ำ นิรโทษกรรมให้กับประชาชนผู้ถือครองพื้นที่ก่อนปี 2557 หากถือครองพื้นที่หลังปี 2557 รวมทั้งการบุกรุกใหม่ เป็นความผิดตามกฎหมาย ดำเนินคดีได้ ย้ำ ร่างกม.นี้ ไม่เอื้อนายทุน
ด้าน เลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล รองประธานคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ราษฎร ซึ่งได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐด้านที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ พ.ศ. …. คนที่หนึ่ง พร้อมด้วย วีรนันท์ ฮวดศรี รองประธานคณะกมธ. คนที่สี่ และ ฐิติกันต์ ฐิติพฤฒิกุล โฆษกคณะ กมธ. แถลงข่าวผลการดำเนินการของคณะกรรมาธิการฯ
ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ มีการคัดกรองกลุ่มที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติต่าง ๆ ออกไป โดยที่ประชุมพิจารณาในประเด็นต่าง ๆ อย่างรอบคอบ เพื่อลดความกังวลของประชาชนเกี่ยวกับการเอื้อประโยชน์เอกชนประกอบด้วย
- ผลกระทบต่อความมั่นคงทางกฎหมาย
- การไม่เอื้อประโยชน์ให้แก่นายทุน
- การยกเลิกแนวเขตป่าตามกฎหมาย
- การบุกรุกป่าเพื่อรอกฎหมายนิรโทษกรรม
“ทั้งนี้ การทวงคืนผืนป่าเป็นการใช้คำสั่งคณะรัฐประหาร ไม่ใช่กฎหมายปกติ จึงไม่มีผลต่อกฎหมายปกติ ไม่ทำให้กฎหมายปกติเสียความเชื่อมั่น อย่างไรก็ตาม การนิรโทษกรรมจะนิรโทษให้กับประชาชนผู้ถือครองพื้นที่ก่อนปี 2557 หากถือครองพื้นที่หลังปี 2557 จนถึงปัจจุบันและอนาคต รวมทั้งการบุกรุกใหม่เป็นความผิดตามกฎหมาย สามารถจับกุมดำเนินคดีได้ และจะไม่ได้รับประโยชน์จากกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับนี้แต่ประการใด ที่สำคัญคือ กลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับการนิรโทษกรรมเกินกว่าร้อยละ 90 คือ กลุ่มประชาชนที่ถูกดำเนินคดีบุกรุกป่า และถือครองที่ดินก่อนปี 2557”

ภาพจาก : สำนักประชาสัมพันธ์ สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฏร