‘คนงานยานภัณฑ์’ ทวงถาม ‘พิพัฒน์’ ขอความชัดเจน ชงวาระเยียวยาถูกลอยแพ เข้า ครม.

กระทรวงแรงงาน ชี้ กม.คุ้มครองแรงงาน ต้องบังคับใช้ได้จริง ชู แรงงานไทยต้องไม่ถูกทอดทิ้ง ด้วย ‘กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง’ สร้างหลักประกันจ่ายค่าชดเชยรวดเร็ว เป็นธรรม

วันนี้ (9 เม.ย. 68) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดโครงการสัมมนาเพื่อรับฟังความคิดเห็น “แนวทางการจัดให้มีหลักประกันการจ่ายค่าชดเชยแก่ลูกจ้าง กรณีนายจ้างเลิกจ้าง”

โดย ตัวแทนคนงานยานภัณฑ์ ที่ได้รับเชิญจากกระทรวงแรงงานให้เข้าร่วมโครงการฯ ใช้โอกาสนี้เข้าพูดคุยปัญหาของกลุ่มคนงานที่ปักหลักอยู่ข้างทำเนียบรัฐบาล กับ รมว.กระทรวงแรงงาน พร้อมระบุว่า ปัจจุบันกลุ่มคนงานที่ถูกเลิกจ้างลอยแพยังคงรอคอยให้สำนักเลขาธิการ ครม. นำวาระข้อเรียกร้องให้รัฐบาลใช้งบฯ กลาง 466 ล้านบาท เพื่อเร่งเยียวยาปัญหาฉุกเฉินของแนวร่วมคนงานที่ถูกลอยแพ 4 กลุ่ม กว่า 3,000 ชีวิต เข้าประชุม ครม. ซึ่งเวลานี้มีคนงานที่ถูกลอยแพส่วนหนึ่ง นอนปักหลักข้างทำเนียบฯ เพื่อเรียกร้องให้มีการบรรจุวาระในวันที่ 22 เม.ย. 68

ตัวแทนคนงานยานภัณฑ์ สะท้อนข้อเรียกร้องการเยียวยาถูกเลิกจ้าง
ต่อ พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน

เร่งหาแนวทางสร้างหลักประกันจ่ายค่าชดเชยลูกจ้างเป็นธรรม

รมว.กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า การถูกเลิกจ้างแบบกะทันหัน โดยไม่มีค่าชดเชยตามสิทธิ์ เป็นความทุกข์ของลูกจ้างที่ไม่ควรถูกมองข้าม วันนี้กระทรวงแรงงานจึงเดินหน้าสร้าง “หลักประกันการจ่ายค่าชดเชยกรณีเลิกจ้าง” ให้เกิดขึ้นจริง โดยการจัดสัมมนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นทุกภาคส่วน ที่จะช่วยเยียวยาลูกจ้างในเบื้องต้น โดยไม่ต้องรอคดีความยืดเยื้อ

โครงการสัมมนาครั้งนี้จึงมีเป้าหมายสำคัญในการเปิดเวทีระดมความคิดเห็นจากทุกฝ่าย เพื่อให้ได้ข้อเสนอเชิงนโยบายที่สามารถ บังคับใช้ได้จริง ลดข้อร้องเรียน และสร้างความมั่นคงให้แก่ทั้งนายจ้างและลูกจ้าง โดยจะรวบรวมข้อมูล ข้อเสนอแนะ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป

กระทรวงแรงงานโดย กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้เสนอแนวทางต่อคณะรัฐมนตรี ซึ่งอนุมัติเรียบร้อยแล้ว ว่าจะเริ่มจัดเก็บเงินสมทบนายจ้างภายใต้ “กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง” ในวันที่ 1 ตุลาคม 2568 ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของระบบที่ทุกฝ่ายมั่นใจได้ว่า “แรงงานไทยไม่ถูกทอดทิ้ง”

สำหรับสาระสำคัญของกองทุนฯ นี้คือ นายจ้างสมทบเงินเข้ากองทุน ตามสัดส่วนที่เหมาะสม หากเกิดเหตุปิดกิจการ กองทุนฯ จะจ่ายค่าชดเชยเบื้องต้นให้ลูกจ้างทันที โดยรัฐจะดำเนินการเรียกคืนจากนายจ้างภายหลัง ผ่านช่องทางกฎหมาย โดยคิดว่าไม่มีใครตั้งใจปิดกิจการ แต่ต้องพร้อมรับมือ และดูแลคนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งสิ่งที่กำลังทำ ไม่ใช่แค่การเยียวยาแต่คือการปฏิรูประบบแรงงานให้เป็นธรรม ยั่งยืน และทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี

“กระทรวงแรงงานไม่ได้นิ่งนอนใจ และจะเดินหน้าอย่างเต็มที่เพื่อให้เสียงของพี่น้องแรงงานกลายเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด พร้อมขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งนายจ้าง และลูกจ้าง ช่วยกันออกแบบระบบนี้ให้ดีที่สุด เพื่อความมั่นคงของแรงงานไทยในวันนี้ และอนาคต”

“แม้จะมีกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างช่วยเยียวยาเบื้องต้น แต่ลูกจ้างจำนวนมากยังไม่ได้รับค่าชดเชยครบตามสิทธิ์ที่ควรได้รับตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เราจึงต้องหากลไกใหม่ที่สร้างหลักประกันให้ลูกจ้างได้จริง และไม่เป็นภาระแก่รัฐเกินจำเป็น”

พิพัฒน์ รัชกิจประการ

ขณะที่ เรือเอก สาโรจน์ คมคาย อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน บอกว่า เวทีวันนี้ถือเป็นก้าวแรกของการร่วมออกแบบกลไกที่สามารถ จ่ายจริง คุ้มครองจริง ด้วยการเปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนความเห็นอย่างกว้างขวาง และรอบด้าน เพื่อให้มาตรการที่ได้จากเวทีนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ข้อเสนอ แต่เป็นแนวทางที่นำไปใช้ได้จริงในเชิงกฎหมายและนโยบาย

พร้อมย้ำว่า ระบบแรงงานไทยต้องไม่ปล่อยให้ลูกจ้างเผชิญความเสี่ยงลำพังในวันที่ถูกเลิกจ้างโดยไม่สมัครใจ “การมีหลักประกันค่าชดเชยที่ชัดเจน คือหัวใจของแรงงานที่มั่นคง”

ทั้งนี้ แนวทางที่ได้รับจากการสัมมนาจะเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูประบบคุ้มครองแรงงานไทยให้ทันสมัย เท่าเทียม และตอบโจทย์ประชาชนทุกกลุ่มอย่างแท้จริง

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active