‘ไทดำ’ ปักหลักทวงสิทธิ จี้ ‘อนุทิน’ สอบปมขับไล่พ้นที่ดิน เคาะแก้ข้อพิพาท 23 เม.ย.นี้

ตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์ไทดำ สุราษฎร์ธานี วอนรัฐบาล ยุติขับไล่ออกจากที่ทำกิน ขอ อนุฯ แก้ปัญหาที่ดิน เร่งคืนสิทธิที่ดินดั้งเดิม

วันนี้ (21 เม.ย. 68) ตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์ไทดำ จาก จ.สุราษฎร์ธานี เดินทางมาปักหลักด้านหน้าสำนักงานองค์การสหประชาชาติ ประเทศไทย พร้อมเคลื่อนขบวนไปยื่นหนังสือถึง อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ต่อที่ทำการพรรคภูมิใจไทย เรียกร้องให้ภาครัฐยุติการขับไล่กลุ่มไทดำออกจากพื้นที่ทำกิน และเร่งคืนสิทธิในที่ดินดั้งเดิม

ทั้งนี้ชาวไทดำได้มีแถลงการณ์ สาระสำคัญ ระบุว่า

ตามที่ได้มีกรณีพิพาทเรื่องที่ดินสาธารณะทุ่งปากขอ อ.บ้านนาเดิม จ.สุราษฎรธานี ซึ่งอยู่ระหว่างการแก้ไขปัญหาของอนุกรรมการแก้ปัญหาที่ดินสาธารณะประโยชน์ ที่ดินเอกชนปล่อยทิ้งร้าง และปัญหาที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน และจะมีการประชุมในวันที่ 23 เม.ย.68 นี้

ถึงแม้ว่าจะมีมติ ครม. เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 66  ต่อกรณีการแก้ปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) ในระหว่างการแก้ไขปัญหา ไม่ให้มีการดำเนินใด ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตปกติสุข ไม่ให้มีคดีใหม่ และชะลอการดำเนินการคดีเก่าไปก่อน จนกระบวนการแก้ปัญหาจะได้ข้อยุติ ซึ่งปัญหาดังกล่าวอยู่ในกระบวนการแก้ปัญหาของอนุกรรมการแก้ปัญหาที่ดินสาธารณะประโยชน์ฯ โดยมีแนวทางการแก้ปัญหาเป็นลำดับจนเกือบได้ข้อยุติแล้ว แต่กลับพบว่า ทางนายอำเภอบ้านนาเดิมได้ออกคำสั่งทางปกครองขับไล่ราษฎรที่ทำกินในพื้นที่ โดยให้ทำการรื้อถอนบ้านและผลอาสิน ออกภายใน 30 วัน มิฉะนั้นจะดำเนินคดีตามกฎหมาย

การดำเนินการเช่นนี้ ได้สร้างความหวาดวิตก ความหวาดกลัว ให้แก่ราษฎรกลุ่มชาติพันธุ์ไทดำ ที่ตั้งถิ่นฐานมามากกว่า 70 ปี เป็นอย่างมาก จนไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติสุขได้ และเมื่อราษฎรที่เดือดร้อนได้รวมกลุ่มกันไปยื่นหนังสือต่อนายอำเภอบ้านนาเดิม เพื่อขอให้ขยายเวลาในการบังคับใช้คำสั่งไล่รื้อ ไปจนกว่าการแก้ไขปัญหาโดยอนุกรรมการแก้ปัญหาที่ดินสาธารณะประโยชน์ฯจะแล้วเสร็จ แต่กลับถูกปฏิเสธและยืนยันว่าจะต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ต่อมาทางจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้เข้ามาไกล่เกลี่ย จนมีข้อสรุปเบื้องต้นว่า จะไม่ไห้มีการขับไล่จนกว่าการดำเนินการของอนุกรรมการแก้ปัญหาที่ดินสาธารณะประโยชน์ฯ จะเสร็จสิ้นอย่างเป็นทางการ

ดังนั้น ทางเครือข่ายชาติพันธุ์ไทดำ จังหวัดสุราษฎร์ธานี จึงมีข้อเสนอต่อ อนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะกำกับกระทรวงมหาดไทยดังนี้

  1. ขอให้มีการตรวจสอบการดำเนินการด้านการคุกคามชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ไทดำ โดยการสั่งขับไล่รื้อถอนที่อยู่และผลอาสิน ทั้งที่ปัญหานี้อยู่ระหว่างการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลโดยกระทรวงมหาดไทยซึ่งเป็นการขัดกับ มติคณะรัฐมนตรีและมติของคณะกรรมการ อนุกรรมการและคณะทำงาน ซึ่งกำลังดำเนินการแก้ปัญหาอยู่ ตามแนวนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย และระหว่างการตรวจสอบขอให้ นายอำเภอบ้านนาเดิม กลับมาทำงานในกรมการปกครอง จนกว่าปัญหาจะแก้แล้วเสร็จ

  2. ขอให้อนุกรรมการแก้ปัญหาที่ดินสาธารณะประโยชน์ ที่ดินเอกชนปล่อยทิ้งร้าง และปัญหาที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย เร่งแก้ไขกรณีปัญหาที่ดินสาธารณะประโยชน์ทุ่งปากขอ อ.บ้านนาเดิม จ.สุราษฎร์ฯ ซึ่งมีผลการตรวจสอบแล้วสรุปว่า ออกผิดพลาดคลาดเคลื่อน ทับที่ดินของราษฎร และขั้นตอนของการแก้ปัญหาได้ข้อสรุป ให้สั่งการดำเนินการตามแนวทางการแก้ปัญหา ให้แล้วเสร็จ

ขณะที่ จันทรัตน์ รู้พันธ์ ผู้ประสานงานกลุ่มสัจจะออมทรัพย์ ชุมชนไทดำ จ.สุราษฎร์ธานี ตัวแทนชาวไทดำที่ไปยื่นหนังสือ เปิดเผยกับ The Active ว่า ต้องการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รับเรื่องของชาวบ้านไปแก้ไข สั่งการ ซึ่งการไปยื่นหนังสือทางพรรคภูมิใจไทยก็มีท่าทีที่ดี ทางเจ้าหน้าที่ของพรรคอ้างว่าเป็นช่วงปิดสมัยประชุมสภาฯ จึงมีเจ้าหน้าที่ของพรรคออกมารับหนังสือแทน 

จันทรัตน์ รู้พันธ์ ผู้ประสานงานกลุ่มสัจจะออมทรัพย์ ชุมชนไทดำ จ.สุราษฎร์ธานี

“ยังไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แต่หวังให้ อนุทิน ชาญวีรกูล ที่มีอำนาจเต็มในกระทรวงมหาดไทย น่าจะช่วยเร่งแก้ปัญหาของชาวไทยดำได้” 

จันทรัตน์ รู้พันธ์

ในส่วนของกิจกรรมวันพรุ่งนี้ (22 เม.ย. 68) ตัวแทนชาวไทดำ จะไปยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล เรียกร้องให้

  1. การเร่งรัดการแก้ไขปัญหา ซึ่งจะประชุมในวันที่ 23 เม.ย. นี้

  2. ให้มีการสอบสวนการทำงานของจังหวัดสุราษฎรธานีที่มีการขับไล่ชุมชนดั้งเดิม และมีการแก้ไขตามนโยบายรัฐบาล ที่เราร่วมกับขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม เรียกร้องกับนายกรัฐมนตรีมา 3 คนแล้ว 

  3. เรื่องคดีความของชาวไทดำ 8 คน ที่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐอ้างว่าอยู่ในที่สาธารณะประโยชน์ จนถูกขับไล่ออกจากชุมชน ซึ่งการฟ้องของชาวบ้านเป็นการบันทึกข้อตกลงกับผู้ว่าราชการจังหวัด ว่าสามารถอยู่ในพื้นที่ได้ แต่ทางศาลตัดสินว่าลายเซ็นของผู้ว่าฯ ไม่มีอำนาจออกโฉนดชุมชนได้ แต่ให้ชุมชนไปยื่นขอออกโฉนดชุมชน เพื่อที่จะสามารถอยู่ในชุมชนต่อได้ ซึ่งไม่มีคำไหนว่าให้ขับไล่ชุมชน

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active