ส่องความคาดหวัง ‘ผอ.ไทยพีบีเอส’ คนใหม่ โจทย์ท้าทายอนาคตสื่อสาธารณะ

ไทยพีบีเอส เปิดเวทีรับฟังความเห็น สู่กระบวนการมีส่วนร่วมสรรหา ผอ.ไทยพีบีเอส คนใหม่ หลายฝ่ายสะท้อนมุมมอง ชี้ ข่าวจืดชืด ข้อมูลเชิงลึกหายไป ต้องเดินหน้าปรับเนื้อหาเพื่อคนรุ่นใหม่ ชวนตั้งคำถาม อนาคตไทยพีบีเอส หลังหมดสัญญาทีวีดิจิทัล จะเดินต่อทางไหน ผอ.คนใหม่ ต้องมีคำตอบ

สืบเนื่องจากการสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือ ไทยพีบีเอส ของ รศ.วิลาสินี พิพิธกุล ในเดือนกรกฎาคมนี้

วันนี้ (30 เม.ย. 68) ไทยพีบีเอส เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น ซึ่งที่เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการสรรหา ผอ. ส.ส.ท.คนใหม่ โดยมีตัวแทนจากภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคม 7 กลุ่ม ได้แก่ ภาควิชาการ, องค์กรสื่อ, หน่วยงานรัฐ, ภาคีเครือข่ายภายนอกที่ทำงานร่วมกับไทยพีบีเอส, ผู้ผลิตอิสระ, ภาคพลเมือง, สภาผู้ชมผู้ฟัง และประชาชนทั่วไป รวมถึงแบบออนไลน์ โดยร่วมรับฟังโดยคณะกรรมการสรรหา ผอ.ส.ส.ท. (คกก.สรรหาฯ) 

การแสดงความเห็นดังกล่าวผ่าน โจทย์ใหญ่ 2 ข้อ ได้แก่

  1. ปัจจุบัน อนาคต ของภูมิทัศน์สื่อ ความท้าทาย และทิศทาง ที่ควรจะเป็นของไทยพีบีเอส

  2. คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้อำนวยการ ส.ส.ท.

ไทยพีบีเอส เอาอย่างไร ? หลังหมดสัญญาใบอนุญาตทีวีดิจิทัล

อีกเพียง 4 ปีเท่านั้น ที่ใบอนุญาตทีวีดิจิทัลภาคเอกชนจะสิ้นสุดในปลายเดือนเมษายน ปี 2572 หลังจากที่ ทีวีดิจิทัล ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ออกอากาศในระบบดิจิทัลภาคพื้นดินมาแล้วถึง 10 ปี นี่จึงเป็นคำถามสำคัญที่หลายฝ่ายจี้ถามถึงทิศทางของไทยพีบีเอส กับ ผอ.คนใหม่ ว่าจะทำอย่างไร

สิขเรศ ศิรากานต์ นักวิชาการอิสระด้านสื่อดิจิทัลและสื่อใหม่ ที่มาในฐานะภาคประชาชน เสนอว่า เป็นที่ทราบดีว่า ในปี 2572 ใบอนุญาตทีวีดิจิทัล จะหมดอายุลงและมีแนวโน้มว่าไทยพีบีเอส จะสูญเสียรายได้ส่วนหนึ่งไป บนความไม่แน่นอนในก้าวต่อไปของกิจการโทรทัศน์นี้ ไทยพีบีเอสควรทำหน้าที่เป็นธงนำในการปรับตัวให้วงการอุตสาหกรรมสื่อ

“สำนักข่าว BBC ของอังกฤษเป็นหนึ่งในโมเดลสำคัญ ที่ผู้อำนวยการออกมาประกาศวิสัยทัศน์ชัดเจนว่าจะมีทิศทางดำเนินงานอยางไร หากในประเทศไม่มี broadcast นี้อีกต่อไปแล้ว ไทยพีบีเอสเอง ควรเป็นผู้กล้าในการเป็นผู้นำอุตสาหกรรมสื่อ คอยประสานสัมพันธ์ ประคับประคองเพื่อให้สื่อทุกภาคส่วนปรับตัว อภิวัฒน์อุตสาหกรรมนี้ไปได้ในยุคใหม่ ไม่ว่าจะอยู่ในแพลตฟอร์มไหน”

สิขเรศ ศิรากานต์


สิขเรศ ศิรากานต์ นักวิชาการอิสระด้านสื่อดิจิทัลและสื่อใหม่

สอดคล้องกับ ผศ.ธนพร ศรียากูล ที่ตั้งถามว่า ผอ.ไทยพีบีเอสคนใหม่ ควรต้องตอบคำถามให้ได้อย่างน้อย 4 เรื่อง ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ จะทำอย่างไรหลังจากใบอนุญาตทีวีดิจิทัลสิ้นสุด และยังสัมพันธ์กับเรื่องการหารายได้ขององค์กรในอนาคตด้วย

“ปี 2570 คือ ปีแห่งการเลือกตั้ง กสทช. จะนำคลื่นนี้ไปประมูลเป็นมือถือแน่นอน ผอ.ไทยพีบีเอส คนใหม่ต้องตอบให้ได้ว่าจะเตรียมการรับมืออย่างไรที่จะคงให้ผู้ชมเข้าถึงได้ ท่านอยู่ในฐานะเสือนอนกินมานาน วันนี้ลูกค้าของท่านกำลังล้มหายตายจากไป ท่านจะหารายได้นี้มาจากไหน เพราะหากไม่มีเงิน เสียงของสื่อก็จะแผ่วลงด้วย”

ผศ.ธนพร ศรียากูล

ผศ.ธนพร ศรียากูล

เช่นเดียวกับ ตัวแทนจากกลุ่มผู้ผลิตอิสระ เน้นย้ำว่า อยากได้คำตอบจาก ผอ.ไทยพีบีเอส ว่าจะมี movement อย่างไรต่อหลังจากการที่ใบอนุญาตทีวีดิจิทัลสิ้นสุดแล้วเช่นกัน และยังมีคำถามสำคัญ คือ การพยายามได้มาของคลื่นวิทยุกระจายเสียงจาก กสทช.ที่ ไทยพีบีเอส พยายามมาตลอดนับแต่วันก่อตั้งสถานีนี้ยังคงจำเป็นอยู่หรือไม่ในเวลานี้ แล้วถ้ายังสำคัญอยู่ นั่นเป็นเพราะอะไร และเพื่ออะไร

ไทยพีบีเอส ต้องไปให้ไกลกว่าการทำ ‘ข่าว’ แต่คือ ‘สถาบันสื่อสาร’

รศ.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในฐานะของบุคลาภายนอกที่ทำงานร่วมกับไทยพีบีเอส ให้ความเห็นว่า ที่ผ่านมา ไทยพีบีเอส ทำข่าวที่ติดตามประเด็นสังคมมาอย่างต่อเนื่อง สามารถพลิกเกมด้วยข้อมูลบนฐานของความเป็นจริงได้อย่างดีซึ่งเป็นเรื่องน่าชื่นชม แต่ก้าวต่อไปนั้น ตนเองเสนอว่าควรพัฒนาสู่ความเป็น “สถาบันในการสื่อสาร” เพื่อยกระดับให้มากกว่าการเป็นองค์กรด้าน “ข่าว” เท่านั้น

“วันนี้ไทยพีบีเอส ควรคิดให้ไกลกว่าการแค่การ นำเสนอข่าว แต่ควรพัฒนาให้เป็น สถาบัน ที่รวบรวมข้อมูลวิชาการ ที่เมื่อมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น จะทำให้สามารถนำข้อมูลที่ถูกต้องเชื่อถือได้มาใช้ได้อย่างทันท่วงที”

รศ.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์


รศ. สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์

รศ.สุทธิศักดิ์ ย้ำว่า องค์กรควรยกระดับการทำข่าวให้เป็นมากกว่าการรายงานข่าวทั่วไป แต่ควรผนวกองค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการให้ต่อเนื่องและมากพอ ก็จะเกิดเป็นสถาบันและฐานข้อมูลได้ ซึ่งจะทำให้ไทยพีบีเอสสามารถสร้างคอนเทนต์ได้เป็นของตัวเอง เมื่อมีเหตุการณ์เร่งด่วนเกิดขึ้นก็จะสามารถนำข้อมูลมาใช้ได้เลย โดยอาจไม่จำเป็นต้องไปหาสัมภาษณ์นักวิชาการเพิ่มเติมทุกครั้งไป

จืดชืด ไร้รสชาติ ขาดอิมแพค ? แพลตฟอร์มมากมาย ความหมายไม่ต่างกัน

รศ.สุทธิศักดิ์ ยังให้ความเห็นอีกว่า ไทยพีบีเอส โดดเด่นเรื่องการนำเสนอข่าวบนข้อเท็จจริง และเน้นมิติด้านความเป็นธรรมในสังคมซึ่งเป็นเรื่องน่าชื่นชม แต่ยังขาดวิธีการนำเสนอที่น่าสนใจ และความหลากหลายของเนื้อหา โดยเฉพาะเนื้อหาด้านเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ที่ยังมีพื้นที่มีน้อยเกินไป ทั้งที่กำลังเป็นเทรนด์โลก จึงควรจัดน้ำหนักของแต่ละประเภทเนื้อหาให้สมดุลกัน

ในขณะที่ ตัวแทนจากกลุ่มผู้ผลิตอิสระ เห็นสอดคล้องกันว่า ไทยพีบีเอส นำเสนอข่าวได้อย่างดี แต่กลับจืดชืด ไร้รสชาติ มีแพทเทิร์นซ้ำ ๆ ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่อยากติดตาม รวมถึงการมีแพลทฟอร์มมากมายของไทยพีบีเอส ที่คนส่วนใหญ่แทบแยกไม่ออกว่าต่างกันอย่างไร

“ไทยพีบีเอส จะทำตัวเป็นสื่อ หรือ media อย่างเดียวไม่ได้แล้ว แต่ควรพัฒนาให้เป็น media lab ที่รู้จักใช้เทคโนโลยี รวมถึงมีองค์ความรู้เรื่อง creativity และ management ด้วย”

ตัวแทนจากกลุ่มผู้ผลิตอิสระ

ขณะที่ พงศ์พิพัฒน์ บัญชานนท์ ให้ข้อมูลเสริมว่าปัจจุบันไทยพีบีเอสมีสื่อโซเชียล มีเดีย กว่า 50 บัญชี แต่กลับไม่รู้ว่าแตกต่างกันอย่างไร และต้องการสื่อไปในทิศทางไหน เพื่ออะไร แม้จะมีเนื้อหาที่ดี โดยเฉพาข่าวที่เจาะลึก แต่กลับไม่โดดเด่นหรือสร้างอิมแพคนัก

พงศ์พิพัฒน์ บัญชานนท์

“ถ้าเปรียบเป็นห้องเรียน ผมคิดว่าไทยพีบีเอสไม่ได้สอบตก แต่ก็ไม่ได้เป็นที่หนึ่งของห้อง หากต้องการสร้างการอิมแพค ควรพัฒนาเนื้อหาข่าวให้ไปไกลกว่านี้ซึ่งสามารถทำได้ เพราะข้อได้เปรียบของไทยพีบีเอส คือ ไม่จำเป็นต้องหารายได้เพิ่ม แตกต่างจากสื่อเอกชนที่จำเป็นต้องรับงานโฆษณาด้วย”

พงศ์พิพัฒน์ บัญชานนท์

ลดการรวมศูนย์ผลิตสื่อ ‘กระจายอำนาจ’ การผลิตสู่ท้องถิ่น

รศ.มัทนา เจริญวงศ์ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยศิลปากร ระบุว่า ตนร่วมงานกับไทยพีบีเอสมาตลอด 17 ปี ตั้งแต่การเป็นนักข่าวพลเมือง และเห็นว่า สถานการณ์ตอนนี้ ระบบนิเวศสื่อโดยเฉพาะสื่อท้องถิ่น ไม่ได้ถูก disrupt จากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีเท่านั้น แต่กำลังถูกแทรกแซงจากอำนาจทุน และการเมือง นำไปสู่การไหลของข้อมูลชุมชนที่ไม่เท่าเทียม

จึงเสนอให้ไทยพีบีเอสมีการสร้างสนับสนุนเครือข่ายสื่อระดับพื้นที่ผ่านการกระจายศูนย์กลางการผลิตสื่อ (decentralize content production) และมองหาผู้เล่นใหม่ ๆ ที่มาจากชุมชนเพื่อช่วยในการสื่อสาร


รศ.มัทนา เจริญวงศ์ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยศิลปากร

“การผลักดันให้เกิดนักข่าวพลเมือง ผู้ผลิตอิสระ หรือยกระดับเครือข่ายสื่อท้องถิ่น เป็นสิ่งทีดี แต่ที่ผ่านมาพบว่าไม่ได้อยู่ในความสัมพันธ์ที่เท่าเทียม และการเปิดพื้นที่ให้ชุมชนหรือกลุ่มเปราะบางเป็นผู้เล่าเรื่องของตัวเองนั้นทำได้ดีแล้ว แต่ควรมองหาผู้เล่นใหม่ ๆ เพื่อแก้ช่องว่างในการสื่อสารด้วย”

รศ.มัทนา เจริญวงศ์

คุณภาพชีวิตคนทำงานสื่อ ดีพอหรือยัง ?

สอดคล้องกับ ตัวแทนจากกลุ่มภาคีภายนอกที่ทำงานร่วมกับไทยพีบีเอส เสนอว่า ต้องการให้ ผอ.ไทยพีบีเอส คนใหม่ มีนโยบายช่วยเหลือด้านคุณภาพชีวิตของพนักงาน โดยเฉพาะเรื่องหนี้สิน จึงเสนอให้ปรับสวัสดิการพนักงานทั้งหมด

“เราเห็นพนักงานจำนวนมากมีปัญหาเรื่องหนี้แล้วจัดการไม่ได้ เงินเดือนแทบไม่เหลือไว้กินข้าว เพราะต้องใช้หนี้กับธนาคาร พนักงานต้องมีเงินกินข้าวก่อน แล้วค่อยไปใช้หนี้ ถ้ากินข้าวยังไม่พอก็นำไปสู่การทุจริต”

ตัวแทนจากกลุ่มภาคีภายนอกที่ทำงานร่วมกับไทยพีบีเอส

ขณะที่ ตัวแทนจากกลุ่มผู้ผลิตอิสระ ได้ตั้งคำถามถึงสวัสดิการของคนทำงานในไทยพีบีเอสเช่นกัน ว่าการจ้างงานในลักษณะปัจจุบันเหมาะสมหรือไม่ เพราะตอนนี้ไทยพีบีเอสมีมีการจ้างงานแบบฟรีแลนซ์ประจำจำนวนมาก แม้ว่าจะได้เงินเดือนแน่นอน แต่กลับไร้ซึ่งสวัสดิการใด ๆ 

“พนักงานฟรีแลนซ์ประจำที่นี่ ทำงานเหมือนพนักงานประจำทุกอย่าง แต่กลับไม่มีสิทธิใด ๆ เหตุใดจึงไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้ในการจ้างพนักงาน  ทั้งที่พวกเขาคือฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร”

ตัวแทนจากกลุ่มผู้ผลิตอิสระ

ผอ.ไทยพีบีเอส คนใหม่…ประชาชนคาดหวังอะไร ?

ผศ.แพร ศิริศักดิ์ดำเกิง คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ตัวแทนจากภาควิชาการ ให้ความเห็นว่า สิ่งที่คิดว่าสังคมต้องการเห็นจากไทยพีบีเอส มีอย่างน้อย 6 ข้อ ได้แก่

  1. เป็นสื่อแบบ Investigative Journalism หรือ สื่อที่กัดไม่ปล่อย ซึ่งแผ่วลงไปมากในช่วงที่ผ่านมา

  2. สามารถจุดประเด็นนำสังคมอย่างต่อเนื่อง โดยไม่สั่งสอน

  3. นำเสนอประเด็นแหลมคม สร้างสรรค์ มีหลักการ และเป็นกลาง

  4. มีแพลตฟอร์มที่หลากหลาย ทันสมัย เพื่อให้เกาะติดกระแส

  5. มีการใช้เงินภาษีประชาชนอย่างคุ้มค่า 

  6. มีจุดยืนที่มั่นคงท่ามกลางความผันผวนทางการเมือง เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี

ผศ.แพร ศิริศักดิ์ดำเกิง คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร

สอดคล้องกับ รศ.มัทนา ที่เสนอว่า ไทยพีบีเอส ควรวางตัวให้เป็นผู้นำด้าน Investigative journalism ควบคู่ไปกับการรายงานข่าวเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหา ที่เป็นความคาดหวังที่อยากให้ในระดับวิสัยทัศน์ององค์กร

หากกล่าวถึงความคาดหวังของ ผอ.คนใหม่ อลงกรณ์ เหมือนดาว ผู้ผลิตรายการ Big Story เรื่องใหญ่ ThaiPBS แสดงความเห็นว่า ผอ.คนใหม่ จะเป็นต้องมีจุดยืนชัดเจน กล้าเลือก กล้าตัดสินใจว่าอะไรคือประโยชน์สูงสุดของสาธาณะจริง ๆ  รวมถึงชี้นำทิศทางการทำงานให้กับพนักงานให้ไปในทิศทางเดียวกันได้อย่างเป็นระบบภายใต้หน่วยย่อยมากมายตอนนี้

“ผอ.ไทยพีบีเอส ต้องกล้ายืนเป็นด่านหน้า เมื่อพนักงานเจอกับแรงปะทะ และเป็นหลังพิงให้พนักงานเมื่อเจอแรงกดดัน การกล้ายืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง พร้อมชนกับผู้มีอำนาจ เป็นสิ่งที่ทำให้ไทยพีบีเอสแตกต่าง”

อลงกรณ์ เหมือนดาว

ทั้งนี้ สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ตัวแทน คกก.สรรหาฯ มองว่า ปัจจุบันสื่อเป็นของทุกคน ไม่ว่าใครก็เป็นสื่อได้ จนทำให้ถูกตั้งคำถามอยู่บ่อยครั้งว่าสื่อสาธารณะยังจำเป็นอยู่หรือไม่ในสังคมไทย แต่ในความเป็นจริงแล้ว ท่ามกลางสื่อหลากหลายนี้ สื่อสาธารณะเองที่ต้องสื่อสารกับสังคมอย่างถูกต้อง รอบด้าน และสมดุลที่สุด


สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ กรรมการสรรหา ผอ.ส.ส.ท.

“ในฐานะตัวแทน คกก.สรรหาฯ พวกเราจะทำหน้าที่รับฟังความเห็นของผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ประชาชน องค์กร สภาผู้บริโภค เครือข่ายผู้ผลิต ฯลฯ อย่างรอบด้านสมดุลที่สุด”

สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์

สุดท้ายแล้ว ทุกความเห็นที่ถูกนำเสนอจากทุกช่องทางในครั้งนี้จะถูกรวบรวมส่งให้กับ คณะกรรมการสรรหาฯ เพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป และในลำดับถัดไป ผู้สมัครเข้าชิงเก้าอี้ ผอ.ไทยพีบีเอส ทั้ง 23 คน ต้องนำเสนอวิสัยทัศน์ในวันที่ 11 และ 12 พ.ค. นี้

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active