ชาวบางกลอย ผิดหวัง! กรมอุทยานฯ อ้าง กม. – คดี ปิดทางกลับถิ่นเดิมใจแผ่นดิน

ประชุมคณะทำงาน 3 ฝ่าย แก้ปัญหา ‘บางกลอย’ นัดแรก ชาวบ้าน ชี้ ถูกปิดกั้นกลับถิ่นฐานเดิมทุกทาง ขณะที่ ตัวแทนกรรมการอิสระ เชื่อ แก้ปัญหาได้ นัดลงพื้นที่จริง ดูความเป็นไปได้ทำแปลงทดลอง ‘ไร่หมุนเวียน’

วันนี้ (10 มิ.ย. 68) ที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มีการ ประชุมคณะทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาชาวกะเหรี่ยงบางกลอย ครั้งที่ 1/2568 หรือที่เรียกว่า คณะทำงาน 3 ฝ่าย ซึ่งประกอบด้วย ตัวแทนชาวกะเหรี่ยงบางกลอย หมู่ที่ 1 ต.ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ที่ประสงค์จะกลับขึ้นไปทำกินในรูปแบบไร่หมุนเวียนที่บางกลอยบน, กรรมการอิสระ ซึ่งเป็นตัวแทนจากคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหาชุมชนกะเหรี่ยงบางกลอย และตัวแทนกรมอุทยานฯ

โดยตัวแทนชาวบ้านบางกลอยที่เข้าร่วมประชุมได้สะท้อนความผิดหวังต่อมติที่ประชุม และท่าทีของกรมอุทยานฯ ต่อกรณีการแก้ไขปัญหาชาวกะเหรี่ยงบางกลอยดังกล่าว

พงษ์ศักดิ์ ต้นน้ำเพชร ตัวแทนชาวบางกลอย บอกว่า รู้สึกผิดหวัง เนื่องจากกรมอุทยานฯ พยายามกดดัน ด้วยเรื่องคดีความ และอ้างเรื่องการไม่มีกฎหมายรองรับพื้นที่บางกลอยบน บอกว่า กฎหมายอุทยานฯ ไม่ได้ให้สิทธิชาวบ้านในการไปทดลองทำไร่หมุนเวียนได้เลย รวมถึงยังอ้างเรื่องคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดกรณีปู่คออี้ (โคอิ มีมิ) มาปิดปากชาวบ้าน บอกว่า ชาวบ้านไม่สามารถกลับไปได้เนื่องจากพื้นที่นั้นประกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานแล้ว ซึ่งมองว่าเป็นการบังคับใช้กฎหมายเพื่อปิดปากชาวบ้าน

“ผมคิดว่าเป็นการใช้กฎหมายปิดปากและจำกัดสิทธิของ พอเกิดคดีความขึ้นมาซึ่งรัฐก็ทำได้ทุกอย่างเลยเพื่อกดดันไม่ให้ชาวบ้านมีปากมีเสียง คนจนอย่างเราโดนทุกอย่าง ส่วนเรื่องคำพิพากษาของศาลปกครองนั้น ก็เพราะขณะนั้นพยานคนสำคัญอย่างบิลลี่ พอละจี รักจงเจริญ ก็ถูกอุ้มหายไปแล้ว เลยไม่ได้ไปให้การที่เป็นประโยชน์ ซึ่งนี่ก็เป็นวิธีหนึ่งของรัฐไทยเหมือนกันที่บังคับสูญหายประชาชนที่ออกมาเรียกร้องสิทธิ จนถึงขณะนี้ก็ยังพยายามปิดปากเราทุกทางไม่ให้กลับไปใช้ชีวิตดั้งเดิมที่บางกลอยบน”

พงษ์ศักดิ์ ต้นน้ำเพชร

พงษ์ศักดิ์ ยังกล่าวด้วยว่า มติที่ประชุมคณะทำงาน 3 ฝ่ายนี้ ไม่ได้เป็นไปตามมติการประชุมคณะกรรมการอิสระฯ ที่นายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) ลงนามไว้ ซึ่งอุปสรรคสำคัญ คือ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

“ชาวบ้านเขาอยู่ในอุทยานฯ รัฐบาลก็มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่กำกับดูแลกรมอุทยานฯ แก้ปัญหา แต่ว่าอุทยานฯ เป็นปัญหามาก เขาไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอมรับวิถีชาวบ้าน ไม่เชื่อว่าการทำไร่หมุนเวียนทำได้ พยายามเอาหลักคิดของตัวเองมายัดเยียด เอากฎหมายของหน่วยงานตัวเองมายัดเยียดชาวบ้าน ไม่เชื่อว่าชาวบ้านจัดการตัวเอง หน่วยงานจะต้องเป็นตัวเอกในการช่วยชาวบ้าน แล้วการช่วยชาวบ้านของเขาก็คือการโครงการ เปลืองงบประมาณภาษี คุณภาพชีวิตก็ไม่ได้ดีขึ้น”

พงษ์ศักดิ์ ต้นน้ำเพชร

ตัวแทนชาวบางกลอย ยังชี้แจงเพิ่มเติมว่า มติที่ประชุมบอกว่าให้ชาวบ้านไปทดลองทำไร่หมุนเวียนในพื้นที่ใกล้เคียงกับพื้นที่ปัจจุบัน รวมถึงจะให้มีการสำรวจพื้นที่การใช้ประโยชน์จากป่าและเก็บหาของป่าตามมาตรา 65 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 เพื่อให้ชาวบ้านยังใช้ประโยชน์ไปพลางก่อน โดยตนยังมีหวังว่าจะสามารถกลับไปอยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่ดั้งเดิมได้แล้วด้วยวิธีการอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเรื่องการเดินหน้าแก้กฎหมายอุทยาน เพราะเขาพูดเองว่ากฎหมายอนุญาตได้ เขาก็ไม่ได้มีปัญหา

“ในระหว่างนี้เราคงต้องเดินหน้าเรื่องการแก้ไขกฎหมายอุทยาน ซึ่งมีกลไกที่ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) สมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า (สชป.) และสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) ไปผลักดันตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 1 เม.ย. 2568 อยู่แล้ว เราก็จะไปผลักดันให้การแก้กฎหมายเป็นการเปิดทางให้เรากลับบ้านบางกลอยบนได้ รวมถึงยังมีความหวังกับพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ในเรื่องพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ว่าหากมีผลบังคับใช้แล้วจะสามารถยืนยันสิทธิให้ชาวบ้านได้ เช่น ต้องเอื้อให้เกิดกระบวนการสำรวจร่องรอยการทำกินในพื้นที่ดั้งเดิมของเราให้ได้ และเป็นแนวทางหนึ่งที่อาจคืนสิทธิ์ให้ได้ หากกฎหมายอุทยานยังเป็นอุปสรรค”

พงษ์ศักดิ์ ต้นน้ำเพชร

เล็งลงพื้นที่ พิสูจน์ความเป็นไปได้ลองทำไร่หมุนเวียน

ขณะที่ จตุพร เทียรมา อาจารย์คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ในฐานะตัวแทนกรรมการอิสระ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า จะต้องมีการสรุปประเด็นตัวเลขครัวเรือนผู้ประสงค์จะกลับไปทำกินที่บ้านบางกลอยบนกันใหม่อีกรอบ เนื่องจากตัวเลขของชาวบ้านและกรมอุทยานฯ ไม่ตรงกัน รวมถึงต้องลงพื้นที่เพื่อไปดูแปลงทดลองที่กรมอุทยานฯ เสนอให้ชาวบ้านลองทำกินดู นอกจากนั้นยังพบว่า ฝ่ายกฎหมายทั้งกรรมการอิสระและกรมอุทยานฯ ก็อ้างเรื่องคำพิพากษาศาลปกครอง กรณีปู่คออี้ ที่บอกว่าตรงนั้นเป็นป่าธรรมชาติมายืนยันว่ากลับขึ้นไปไม่ได้ สรุปคือทุกคนมองเหมือนกันหมดว่าติดที่ตัวบทกฎหมาย ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งศาล แต่คิดว่าอาจหาทางออกได้หากได้ลงพื้นที่ดูข้อเท็จจริงร่วมกัน

“ผมคิดว่าการทดลองทำการเกษตรแบบไร่หมุนเวียน จะต้องไม่เลือกพื้นที่ที่ไม่มีความอุดมสมบูรณ์หรือมีหินโผล่ออกมา เขาจะปล่อยให้พื้นที่แบบนั้นเป็นป่าธรรมชาติหรือป่าใช้สอยไป ซึ่งเรายังไม่ได้ตกลงกันว่าจะใช้พื้นที่นี้หรือไม่ โดยพื้นที่ดังกล่าวนั้นก็อยู่ใกล้กับชุมชนที่ถูกอพยพมาแล้ว ไม่ใช่พื้นที่เดิมที่ชาวบ้านยืนยันว่าเคยทำไร่หมุนเวียนมาก่อน คงจะต้องใช้วิธีการนัดลงพื้นที่ร่วมกัน ทั้งชาวบ้าน กรรมการอิสระ และกรมอุทยานฯ ต้องติดตามกันต่อไปในช่วงการลงพื้นที่”

จตุพร เทียรมา

ทั้งนี้ คณะทำงาน 3 ฝ่ายชุดนี้ ลงนามแต่งตั้งโดย เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 68 หลังพีมูฟ และกลุ่มบางกลอยคืนถิ่น เรียกร้องการแก้ไขปัญหาให้ชาวกะเหรี่ยงบางกลอยจำนวน 37 ครอบครัว ได้กลับขึ้นไปทำกินในพื้นที่ดั้งเดิมตั้งแต่ต้นปี 2564

คำสั่งคณะทำงานนี้ เป็นไปตามมติที่ประชุมคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหาชุมชนกะเหรี่ยงบางกลอย หมู่ที่ 1 ต.ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มี อนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นเป็นประธาน โดยมติคณะกรรมการฯ ดังกล่าวระบุว่า “มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่งตั้งคณะทำงาน 3 ฝ่าย ประกอบด้วย

  • ผู้แทนกลุ่มชาติพันธุ์ชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอยที่ประสงค์จะกลับไปดำรงวิถีชีวิตด้วยระบบเกษตรแบบไร่หมุนเวียน

  • กรรมการอิสระ

  • ผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

เพื่อดำเนินการสำรวจการใช้ประโยชน์พื้นที่ตามวิถีวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยงบางกลอย และจัดทำแผนที่ระบุขอบเขตการใช้ประโยชน์ที่ดิน ตามมาตรา 64 พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 จัดทำแผนบริหารจัดการพื้นที่พร้อมกำหนดมาตรการกำกับดูแลการใช้ประโยชน์จากพื้นที่อย่างสมดุลและยั่งยืน โดยขอสนับสนุนภาพถ่ายทางอากาศบริเวณพื้นที่บางกลอยบน จากกรมแผนที่ทหาร และขอความอนุเคราะห์กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) อ่านวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศ พิสูจน์ร่องรอยการตั้งถิ่นฐานและการทำเกษตรแบบไร่หมุนเวียน

ทั้งนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ลงนามเห็นชอบมตินี้เมื่อวันที่ 19 เม.ย. 66 แต่หลังจากนั้นกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไม่ได้ดำเนินการตามมติดังกล่าวแต่อย่างใด จนเกิดการประชุมคณะทำงาน 3 ฝ่ายครั้งแรกในวันนี้

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active