ยื้อเวลา สลายรากเหง้า…หรือนี่คือวิธีการที่รัฐ ใช้กับ ‘ชาวบ้านบางกลอย’ ?

“รัฐก็ฉลาดนะ ยื้อเวลาแก้ปัญาเรื่องที่ดินของชาวบางกลอยไปเรื่อย ๆ จนคนรุ่นเก่า ๆ หมดไป และป้อนความเป็นทุนนิยมเข้าไปผ่านการเข้าสู่ระบบการศึกษา การเข้าถึงความทันสมัยของเทคโนโลยี จนสุดท้าย คนที่อยากกลับไปที่ใจแผ่นดินก็จะล้มหายไปตามกาลเวลา”

เสียงของมิตรสหายท่านหนึ่ง ดังขึ้นในวงคุยขณะ The Active ลงพื้นที่ ชุมชนกะเหรี่ยงบางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ในขณะที่ฝนก็เริ่มลงเม็ดหนาขึ้น กระทบหลังคา คล้ายกับเสียงปรบมือรัว ๆ

หากพูดอย่างตรงไปตรงมา คงไม่ต่างจากการตั้งแง่ด้วยอคติ แล้วผลักความผิดให้กับรัฐหรือไม่ ? แต่สิ่งที่ชัดเจน คือ ความล่าช้าของการแก้ไขปัญหาให้กับชาวบ้าน ที่เผชิญกับความเดือดร้อนส่งผลต่อวิถีชีวิต และวิถีความเป็นอยู่อย่างกรณีบางกลอย อาจกำลังทำให้คุณค่าตามวิถีดั่งเดิมของพวกเขาค่อย ๆ หายไป

แม้มีความพยายามแก้ไขปัญหา ผ่านกลไกการตั้งคณะกรรมการ แต่ที่ผ่านมาแทบไม่เห็นเป็นรูปธรรม หากลองย้อนไปในกรณีที่เกิดยุทธการพิทักษ์ป่าต้นน้ำเพชร ในช่วงต้นปี 2564 เมื่อเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จับกุมตัวชาวบ้าน และนำชาวบ้านบางส่วนที่กลับขึ้นไปในพื้นที่ทำกินดั้งเดิมใจบางกลอยบน – ใจแผ่นดิน กลางป่าแก่งกระจาน จากเหตุการณ์นั้น จนนำไปสู่การเคลื่อนไหวของชาวบ้านบางกลอย และเครือข่ายภาคประชาชนในนามพีมูฟ ในที่สุด รัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในขณะนั้น ได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน รวมทั้งการพัฒนาและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่บ้านบางกลอยขึ้น

แต่จากวันนั้น จนถึงตอนนี้ เมื่อรัฐบาลเปลี่ยน กลไกคณะกรรมการก็ถูกตั้งขึ้นใหม่หลายชุด ส่งผลให้การแก้ไขปัญหาขาดความต่อเนื่อง ชาวบ้านบางกลอย จึงยังไม่สามารถก้าวข้ามปัญหาด้านสิทธิชุมชน ที่ดินทำกิน และวิถีชีวิต ตามที่พวกเขาเรียกร้องได้

คำถามใหญ่ ๆ จากสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ คือ รัฐจริงใจแค่ไหนกับการแก้ไขปัญหาชาติพันธุ์ ?

วิถีที่ถูกปรับเปลี่ยน กับคำสัญญาที่ไม่เคยเป็นจริง ?

ใจแผ่นดิน คือ พื้นที่เดิมของชาวบ้าน อยู่ใจกลางป่าใหญ่แก่งกระจาน ติดชายแดนไทย-เมียนมา มากไปกว่านั้นใจแผ่นดินคือพื้นที่ของบรรพบุรุษชาวกะเหรี่ยงปกาเกอญอ ที่อยู่มาตั้งแต่บรรพบุรุษ เป็นบ้าน ตู้กับข้าว โรงเรียน ที่เกิด และที่ตาย เป็นพื้นที่จิตวิญญานของชาวกะเหรี่ยงมาหลายชั่วคน ก่อนที่ชาวบ้านจะถูกอพยพลงมาอยู่ในพื้นที่โป่งลึก-บางกลอย จนถึงปัจจุบันนี้  

เรื่องราวของการพูดคุยกันครั้งนี้มีมูลเหตุ มาราว ๆ ปี 2504 ประเทศไทยได้มีพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติเป็นครั้งแรก ซึ่งมีใจความส่วนหนึ่ง ของหมวดที่ 3 เรื่องการคุ้มครองและดูแลรักษาอุทยานแห่งชาติ ระบุว่า ห้ามมิให้ผู้ใดยึดถือหรือครอบครองที่ดิน รวมตลอดถึงการก่นสร้าง แผ้วถาง ถางป่า

ปี 2524 การประกาศเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ชาวบ้านที่อยู่ในป่าถูกเขตอุทยานซ้อนทับ กลายเป็น ผู้บุกรุกป่า ตามกฎหมายอุทยานฯ ตอนนั้นได้มีการเจรจาจากหัวหน้าอุทยานฯ ให้ชาวบ้านออกจากพื้นที่ใจแผ่นดิน และจัดสรรพื้นที่อาศัยใหม่ที่รู้จักกันในชื่อ บางกลอยล่าง (โป่งลึก) ซึ่งเจ้าหน้าที่ยืนยันว่า “ถ้าลงมาแล้วอยู่ไม่ได้ ก็ให้กลับขึ้นไปได้”

ปี 2539 มาจนถึงปี 2554 มียุทธการตะนาวศรี จับกุม ผลักดัน ชาวกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่า บางกลอยบน และ ใจแผ่นดิน ให้ออกจากพื้นที่ ด้วยการเผาบ้าน เผายุ้งฉางชาวบ้าน แล้วบังคับให้อพยพโยกย้ายออกจากถิ่นอาศัยเดิม 

หลังจากนั้นชาวบ้านก็พยายามต่อสู้เพื่อให้ได้กลับไปอยู่ในพื้นที่ดั้งเดิม  

กรกฎาคม 2554 ปู่คออี้ หรือ โคอิ มีมิ ผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวกะเหรี่ยงบางกลอย ร่วมกับชาวบ้านบ้านบางกลอยบนและบ้านใจแผ่นดิน จ.เพชรบุรี รวม 6 คน ยื่นฟ้องกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จากเหตุ ที่เจ้าหน้าที่นำกำลังเข้ารื้อทำลายเผาบ้านเรือนและทรัพย์สินของชาวกะเหรี่ยงกว่า 20 ครอบครัว 

เวลาผ่านไปราว 3 ปี ในปี 2557 ศาลปกครองกลางได้เรียก พยาน แต่ยังไม่ทันจะได้ถึงวันเข้าให้ข้อมูล บิลลี่ – พอละจี รักจงเจริญ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงและเป็นหลานชายของ ปู่คออี้ กลับถูกอุ้มหายไปเมื่อวันที่  17 เม.ย. 2557 

แล้วปู่คออี้ ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรง แกนนำในการต่อสู้เพื่อที่จะกลับไปอยู่แผ่นดินเกิด ก็เสียชีวิต เมื่อ 5 ตุลาคม 2561ในวัย 107 ปี 

กระทั่ง เมื่อปี 2564 มีความพยายามต่อสู้เพื่อให้ได้กลับขึ้นไปพื้นที่ใจแผ่นดินอีกครั้ง และทุกครั้งก็จบที่ การมีเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมและดำเนินคดีกับชาวบ้านฐานบุกรุกป่า 

กว่า 29 ปี ของการถูกบังคับให้อพยพลงมาพื้นที่ข้างล่างของชาวบ้านบางกลอยบนใจแผ่นดิน ส่งผลให้เกิดการแบ่งที่ดินทำกินกับชาวโป่งลึก ชาวบ้านได้รับการจัดสรรพื้นที่ 7 ไร่ 3 งาน  

แน่นอนว่าไม่มีที่ดินทำกินมากเพียงพอเขาชาวบ้านได้ใช้ชีวิตตามวิถีเดิมอย่างการทำไร่หมุนเวียน  มันกระทบไปถึงขั้นเรื่องความมั่นคงทางอาหาร ซ้ำร้ายไปกว่านั้น วัฒนธรรมของชาวปกาเกอะญอในพื้นที่บางกลอยก็ค่อย ๆ หายไป

ข้าวไม่เคยได้ซื้อ ก็ต้องซื้อ เมื่อเงินกลายเป็นเงื่อนไขหลักการใช้ชีวิต

คำสัญญาของเจ้าหน้าที่ในการแก้ปัญหาที่ดินทำกินจากคำบอกเล่าของชาวบ้าน ก็ผ่านมานานพอจะทำให้ช่วงชีวิตหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งไม่มีโอกาสได้สานต่อวิถีชีวิตแบบดั่งเดิมของชาวกะเหรี่ยง อย่าง การบวชป่า การทำไร่หมุนเวียน การใช้สมุนไพรรักษาอาการป่วย หรือการพึ่งพาป่าเพื่อใช้ทำพิธีในพื้นที่จิตวิญญาน  

และสิ่งนั้นได้สะท้อนผ่านการเข้ามาแทนที่ของวิถีชีวิตแบบใหม่ การต้องพึ่งเงิน พึ่งสวัสดิการรัฐ การพึ่งพาเทคโนโลยีอย่างอินเตอร์เนต ยิ่งเมื่อเวลาผ่านไปนานวันเข้า คนรุ่นใหม่ๆ ก็แทบจะจำรากและเหง้าตัวเองไม่ได้ 

พงษ์ศักดิ์ ต้นน้ำเพชร หรือ แบงก์ นักต่อสู้เพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ของกลุ่มบางกลอยที่อยากกลับขึ้นไปใช้ชีวิตในพื้นที่บางกลอยบนใจแผ่นดิน เล่าว่า ตัวเขาเองร่วมเรียกร้องมาตลอด ตั้งแต่ปี 2564 ผ่านมา 4 ปีแล้วมันยังไม่คืบหน้าไปไหน ฉะนั้นเขาจึงเชื่อว่า นี่คือการยื้อเวลา เพื่อให้ชาวกะเหรี่ยงบางกลอยบนใจแผ่นดินลืมอะไรบางอย่างไป เพื่อทำให้ชาวบ้านสิ้นหวัง และไม่มีทางไป แต่พวกเขากลับยังหวังให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง

“ยื้อเวลาเพื่อรอวันสลายไป”

คำพูดนี้ไม่อาจพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้อย่างชัดเจนในตอนนี้ แต่หากมองความจริงใจเรื่องการแก้ปัญหาที่ดินและปากท้องของชาวบางกลอยที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2539 กลับพบว่า ชาวบ้านไม่ได้รับการแก้ปัญหาไปมากกว่าการลงนามของนายกรัฐมนตรีเลย 

พีมูฟ และ กลุ่มบางกลอยคืนถิ่น เรียกร้องการแก้ไขปัญหาให้ชาวกะเหรี่ยงบางกลอยจำนวน 37 ครอบครัว ได้กลับขึ้นไปทำกินในพื้นที่ดั้งเดิม ตั้งแต่ต้นปี 2564  กระทั่ง 19 เม.ย. 2566 พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ลงนามเห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาตามข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระฯ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่งตั้งคณะทำงานร่วม 3 ฝ่าย แต่หลังจากนั้นกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไม่ได้ดำเนินการตามมติดังกล่าวแต่อย่างใด

จนล่าสุด 11 ก.พ. 2568 เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ลงนามในคำสั่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่บ้านบางกลอยอีกครั้ง

ระยะเวลาเกือบ 5 ปี ที่ The Active มีโอกาสกลับไปที่ชุมชนกะเหรี่ยงบางกลอย…ทันที ที่เข้าสู่ด่านมะเร็ว ซึ่งเป็นด่านสุดท้ายของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานก่อนเข้าเขตป่า ก็ต้องอุทานออกมาว่า “ไม่เหมือนเดิมเลยแฮะ” 

เราพบกับรถยนต์ของกลุ่มคนที่เรียกว่า นักท่องเที่ยว กำลังทะยอยขับรถออกจากพื้นที่ เกือบ 10 คัน

ทันใดนั้นก็นึกย้อนกลับไปเมื่ออดีตที่เคยมีตัวแทนรัฐบาลในยุคของ พล.อ.ประยุทธ์ เคยพูดถึงวิธีการแก้ปัญหาเรื่องรายได้ ปากท้อง อาชีพ ว่าจะทำให้พื้นที่โป่งลึก-บางกลอย เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อสร้างอาชีพและรายได้ให้กับชาวบ้าน ซึ่ง ณ ปัจจุบันมันได้เกิดขึ้นแล้ว แต่นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเพื่อกางเตนท์ ล่องแพกลับไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับชุมชนขนาดที่จะรับรู้เรื่องราวมากไปกว่า ถ่ายคู่กับสถานที่ต่าง ๆ ในชุมชน มันเกิดสถานการณ์ที่ว่า “ผ่านมาและผ่านไป” 

นี่ไม่ใช่ความผิดของนักท่องเที่ยว แต่เหตุการณ์นี้กำลังตอกย้ำ ซ้ำเติมความรู้สึกของชาวบ้านหรือไม่นะ ?

“ชาวบ้านมีรายได้จากการท่องเที่ยวจริง แต่นักท่องเที่ยวส่วนมาก มาเสาร์ อาทิตย์ รายได้ก็จะได้แค่ช่วงนั้น รายได้ตกเสาร์ อาทิตย์ละ 2,000 – 3,000 บาท แต่มันก็ได้เพียงช่วงที่มีนักท่องเที่ยวมาเท่านั้น”

คำยืนยันจากปาก แบงก์ ที่อาจคาดกาณ์ได้ว่ารายได้จากการท่องเที่ยวผกผันกับคนภายนอกชุมชน ทำให้ชาวบ้านไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้จริง เพราะไม่มีที่ดินทำกิน หรือหากจะทำไร่ ทำสวน อย่างเคยเป็นก็ยิ่งแล้วใหญ่

“ข้างล่างแม้มันจะมีการจัดการ แต่มันไม่ได้ตอบโจทย์ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิต การส่งเสริมเรื่องการท่องเที่ยวมันไม่ได้ถึงกลับตอบโจทย์ชาวบ้านทุกคน”  

พงษ์ศักดิ์ ต้นน้ำเพชร

ตอนนี้มีชาวบ้านอยู่ 3 ส่วน คือ

  • กลุ่มชาวบ้าน 37 ครอบครัว ที่ยืนยันขอกลับไปทำกินในพื้นที่ดั้งเดิม

  • กลุ่มชาวบ้านที่ยังลังเลว่า จะกลับใจแผ่นดินหรือไม่ แล้วถ้ากลับไปแล้วจะโดนคดีแบบที่เคยผ่านมาหรือไม่

  • กลุ่มชาวบ้านที่ไม่ต้องการกลับไปยังใจแผ่นดิน อาจเพราะได้รับการจัดสรรพื้นที่ทำกินสามารถตั้งตัวได้  หรืออาจเพราะเขาจะต้องส่งลูกส่งหลานเข้าโรงเรียน  
แบงก์ – พงษ์ศักดิ์ ต้นน้ำเพชร ชาวบ้านบางกลอย

แบงก์ ยอมรับว่า กลุ่มสุดท้ายจะเริ่มมีมากขึ้น เพราะคนรุ่นใหม่เกิดขึ้นเรื่อย ๆ และคนเก่าแก่ที่มีก็จะค่อย ๆ หายไปตามกาลเวลา ซึ่งไม่ใช่แค่การหายไปของผู้คน แต่มันคือการหายไปของจิตวิญญาน ความเชื่อ ที่สืบทอดกันมาหลายร้อยปี

“เรากังวลว่าจะเกิดเหตุการซ้ำแบบบิลลี่ เพราะเราไม่รู้ได้เลยว่ารัฐจะมีท่าทีแบบไหน เรากังวลก็จริง แต่ถ้าเราไม่ออกพูดอะไรสักอย่าง เราก็จะต้องหวาดกลัวไปตลอด เรารู้สึกว่าเราอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ เราเลยตัดสินใจที่จะออกมาพูดเพื่อให้เรื่องราวของชาวบ้านไม่ถูกปิดไว้”

พงษ์ศักดิ์ ต้นน้ำเพชร

บางกลอยใจแผ่นดินไม่ใช่แค่การเผาบ้าน แต่คือการเผารากเหง้าของมนุษย์กลุ่มหนึ่ง ผ่านการบังคับอพยพ ไม่แก้ปัญหาอย่างจริงใจ ปล่อยให้เวลาผ่านไป จนสุดท้ายวิถีชีวิตและจิตวิญญานก็จะสลายไปตามกาลเวลา บทสนทนาของเราจบลงพร้อมกับสายฝน

การปล่อยเวลาให้เนิ่นนาน สวนทางกับกระบวนการแก้ไขปัญหาโดยรัฐที่แทบไม่เห็นรูปธรรม กำลังทำให้เกิดข้อสังเกตตามมา ว่า การที่รัฐพยายามทำให้เชื่อว่าการแก้ปัญหาล่าช้า อาจหมายถึงการยื้อเวลาจนส่งผลต่อวิถี รากเหง้าชาติพันธุ์เปลี่ยนไปหรือไม่ ?

เมื่อกลไกรัฐ กลายเป็นข้อจำกัดยืดเวลาแก้ปัญหา

ข้อสันนิษฐานนี้ อภินันท์ ธรรมเสนา ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารสังคมและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ให้มุมมองว่า อาจพูดไม่ได้อย่างตรงไปตรงมามากนัก เพราะเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนกว่านั้น หากคนในพื้นที่สามารถจัดการตัวเอง และดูแลตัวเองภายในพื้นที่ได้ โดยในความหมายนี้ ไม่ใช่การเป็นพื้นที่ปกครองพิเศษ หรือแยกประเทศออกไปปกครองตัวเอง แต่หมายความว่า ให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการพื้นที่ของตัวเองได้ หรือการดูแลตัวเองได้ ผ่านการออกมาตรการให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมดูแลตัวเอง ตามวิถีวัฒนธรรม 

ถ้ารัฐทำแบบนั้นได้ จะไม่ทำให้ปัญหาในพื้นที่เข้ามาสู่การแก้ปัญหาของรัฐส่วนกลาง แต่พอทำไม่ได้ เลยกลายเป็นว่าเรื่องที่ควรอยู่ในพื้นที่ ถูกยกขึ้นมาเป็นเรื่องระดับที่เป็นการแก้ปัญหาเชิงกลไกนโยบาย ซึ่งพอเป็นกลไกลนโยบาย การแก้ไขปัญหาจึงมีความซับซ้อนเพราะในเชิงกลไกเหล่านี้ มีหลักการว่า จะต้องอาศัยความเห็นจากรอบทิศทาง ต้องหารือกันหลายฝ่าย กลไกที่ถูกหยิบเอามาใช้จึงเป็นกลไก คณะกรรมการ ซึ่งต้องสำรวจผลกระทบ ศึกษาบริบท สิ่งแวดล้อม จากแง่มุมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกเยอะ ส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการแก้ไขปัญหา

ในมุมมองรัฐเรียกสิ่งนี้ว่า ความรอบคอบในการแก้ไขปัญหา แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ถูก แต่ในทางกลับกัน มุมมองของชุนชนที่เขากำลังประสบกับปัญหาอยู่ เลยมองวิธีการแบบนี้คือ การทอดระยะเวลาในการแก้ไขปัญหาไปเรื่อย ๆ  โดยอ้างว่า อยู่ระหว่างการดำเนินการ แต่ประเด็นคือ ปัญหาของชุมชนรอไม่ได้ 

อภินันท์ ธรรมเสนา ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารสังคมและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)

ฉะนั้นสิ่งที่หลายชุมชนพยายามเรียกร้อง คือ ระหว่างที่รอแก้ปัญหาจะมีกระบวนการเยียวยาปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐต้องให้ความสำคัญ  

อย่างกรณีของบางกลอย ชัดไปกว่านั้น คือ ระหว่างที่เจรจาในชั้นของการแก้ไขปัญหา อัยการสั่งฟ้องชาวบ้านที่ทำผิดกฎอุทยานฯ

“อัยการสั่งฟ้องเด็ก ซึ่งยังไม่รู้เลยว่ามันผิดหรือไม่ผิด มันอาจจะผิดกฎหมายอุทยาน ณ ตอนนั้นที่เขาทำ แต่ในกระบวนการเจรจาที่มันสามารถยกเว้น ผ่อนปรนอะไรได้ กลับไม่รอกระบวนการให้แล้วเสร็จ ฉะนั้นยิ่งเราทอดเวลาไป คนที่เสียประโยชน์คือชาวบ้านเอง”

อภินันท์ ธรรมเสนา

ในส่วนของกลไกแก้ปัญหาเมื่ออยู่ที่ส่วนกลาง อภินันท์ มองว่า อาจทำให้ถูกเข้าใจได้ว่าภาครัฐทอดเวลา เพราะกว่าจะนัดประชุมได้ กว่าจะตั้งเรื่องประชุม หรือแม้กระทั่งทำไปสักระยะมีปัญหาก็ทำให้ช้าไปอีก สุดท้ายเรื่องก็ไปจบที่ว่า พอเปลี่ยนรัฐบาล คณะกรรมการต่าง ๆ ก็ต้องตั้งใหม่หมด มันจะวนลูปอยู่อย่างนี้

โดยได้ยกตัวอย่าง ข้อพิพาทที่ดินเกาะหลีเป๊ะ ที่มีคณะกรรมการแก้ไขปัญหามาหลายชุดแล้ว แต่ปัญหายังไม่มีความคืบหน้า เปลี่ยนประธาน เปลี่ยนชุดคณะทำงาน เป็นอยู่แบบนั้น ซึ่งต้องศึกษาใหม่เริ่มทำกระบวนการใหม่แทบทุกครั้ง  

อุปสรรคเหล่านี้ทำให้กระบวนการแก้ไขปัญหาด้วยกลไกคณะกรรมการ ไม่จบไม่สิ้นเสียที เหมือนติดกระดุมผิดตั้งแต่แรก เพราะไม่เคยถามปัญหาชุมชนก่อนจะออกกฎระเบียบต่าง ๆ 

กฎหมาย นโยบาย สร้างเงื่อนไขทางอ้อม
ถ่างวิถีชุมชนชาติพันธุ์ออกไปเรื่อย ๆ

อภินันท์ เล่าว่า ที่ผ่านมาการแก้ปัญหาทำเหมือนกับว่ารัฐกำลังแก้ปัญหาให้ชาวบ้าน ​แต่สุดท้ายอาจแค่ต้องการยืดเวลาออกไปเพื่อหลอมรวมให้ชาวบ้านจำนนต่อระบบสังคมทุนนิยม 

โดยได้ยกกรณีตัวอย่าง การผลักดัน พ.ร.ฎ.ป่าอนุรักษ์ แก้ปัญหาที่ดินคนกับป่า นั่นคือ พ.ร.ก.โครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ภายในอุทยานแห่งชาติ ตามมาตรา 64 แห่ง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562

และ พ.ร.ก.โครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ตามมาตรา 121 แห่ง พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 พ.ศ. …. ซึ่งกฎหมายทั้ง 2 ฉบับมีสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ คือ

  1. ให้ประชาชนอยู่อาศัยและมีพื้นที่ทำกินในพื้นที่ดังกล่าวในระยะเวลา 20 ปี นับตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลบังคับใช้ และประชาชนที่อยู่อาศัยและทำกินเป็นการชั่วคราวจะมีการกำหนดพื้นที่อยู่อาศัยและทำกินอย่างชัดเจนโดยไม่มีการขยายพื้นที่อีก

  2. ผู้ที่อยู่อาศัยหรือทำกินภายใต้โครงการ จะต้องเป็นผู้ที่มีรายชื่อตามผลสำรวจการถือครองที่ดินของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ไม่เกินครอบครัวละ 20 ไร่ ในกรณี 2 ครอบครัวขึ้นไปที่ทำกินร่วมกันในสถานที่หรือพื้นที่ทำกินเดียวกัน ให้อยู่อาศัยหรือทำกินได้ไม่เกิน 40 ไร่

  3. ผู้ที่อยู่อาศัยหรือทำกินภายใต้โครงการ แบ่งเป็น 1. ผู้ครอบครองที่ดิน และ 2. สมาชิกในครอบครัวหรือครัวเรือน โดยจะต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม เช่น มีสัญชาติไทย ไม่มีที่ดินทำกินหรือที่อยู่อาศัย และไม่เคยต้องคำพิพากษาจนถึงที่สุดในความผิดเรื่องการทำลายป่าหรือการล่าสัตว์ป่า

“รัฐออกกฎหมายว่าให้คุณอยู่ในป่า 20 ปี ถ้าพ้น 20 ปี เขาเชื่อว่าคนจะผสมกลมกลืนไปได้ หรือย้ายที่อยู่ แง่หนึ่งเห็นทิศทางของรัฐ ระหว่างการแก้ปัญหารัฐต้องทำมาตราการหรือ นโยบายใด ๆ ออกมาเพื่อสร้างเงื่อนไขทางอ้อม และอาจทำให้ชุมชนหลุดพ้นความเป็นชาติพันธุ์ออกไปเรื่อย ๆ”

อภินันท์ ธรรมเสนา

รวมถึงการสร้างเงื่อนไขอื่น ๆ เช่น การบีบรัดจากเศรษฐกิจที่ตกต่ำ นโยบายที่ไม่เข้าไปถึงในพื้นที่ เพื่อจะให้คนออกมาอยู่นอกพื้นที่มากขึ้น อภินันท์ จึงย้ำว่า กระบวนการแบบนี้ไม่ได้ตรงไปตรงมา แต่การที่รัฐ ผู้มีอำนาจ หรือนายทุน สร้างเงื่อนไขมากดดันในรูปแบบอื่น ๆ อย่างการต้องให้ชาวบ้านใช้อินเทอร์เน็ตทำงาน การส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกพืชเชิงเดี่ยว ให้ชุมชนเริ่มออกมาจากพื้นที่ สุดท้ายวิถีชีวิตเดิมก็สูญสลายไปในอนาคต 

“การทอดเวลาแก้ปัญหายิ่งช้าออกไปเท่าไร สถานการณ์ที่บีบรัดเข้ามา ทำให้ชุมชนผ่อนตัวเองออกไปเรื่อย ๆ”

อภินันท์ ธรรมเสนา

ขอแค่ระหว่างรอแก้ปัญหา รัฐจริงใจ ช่วยเยียวยาก่อนจะได้ไหม ?

ถึงตรงนี้ อภินันท์ เสริมว่า ชุมชนชาติพันธุ์ไม่ได้ปิดกั้นการพัฒนา แต่สังคมต้องทำความเข้าใจร่วมกันว่าชาติพันธุ์เป็นชุมชนที่มีความเปราะบาง เขาอาจไม่ได้เร่งรัดการเปลี่ยนแปลงขนาดนั้น หรือเขาไม่ได้มีทุนเดิมในการเปลี่ยนแปลงขนาดนั้น ฉะนั้นจึงอยากให้การพัฒนา ถูกออกแบบให้คนที่มีความเปราะบางสามารถค่อย ๆ ปรับตัวเองได้

“เมื่อพัฒนาแล้วการพัฒนาไม่สอดคล้องกับเขา ยิ่งไปซ้ำเติมชีวิตที่เขามีอำนาจต่อรองน้อยเงื่อไขในชีวิตต่ำจะไปสู้กับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วไม่ได้ จึงย้ำเสมอว่าหากจะพัฒนาต้องมีมาตราการมาเยียวยาเพื่อให้แต้มต่อคนเหล่านี้” 

อภินันท์ ธรรมเสนา

ความล่าช้าของการแก้ไขปัญหาที่อาจไม่เพียงแค่ชุมชนชาติพันธุ์ แต่กำลังหมายถึงปัญหาที่ประชาชนกำลังเผชิญอยู่นั้น รัฐควรมีมาตรการที่ชัดเจน หรืออย่างน้อยที่สุดในกระบวนการที่ล่าช้า ควรมีมาตราการเยียวยาระหว่างรอ ในที่นี้คงต้องมองย้อนกลับไปที่ความจริงใจของรัฐต่อการแก้ปัญหาด้วย บางขั้นตอนอาจสามารถใช้วิธีการแก้ไขปัญหาที่เร็วกว่าได้หรือไม่ สิ่งเหล่านี้วัดความจริงใจภาครัฐ


เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง :

รัฐ – ทุน…ภัยคุกคาม กับ การหายไปของ ‘วิถีชาติพันธุ์’

เมื่อ ‘วัฒนธรรม’ มิอาจแยกจากธรรมชาติ ”พื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์“ จึงสำคัญ

อ้างอิง :

https://www.amnesty.or.th/news/2022/04/%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99-%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%88/

https://themomentum.co/feature-tanaosri-bangkloi