หวังใช้ประสบการณ์รอบนี้ เป็นบทเรียน สู่การเตรียมพร้อมรับมือที่ดีกว่า เชื่อ ยังไม่มีใครการันตีว่าเหตุปะทะจะไม่เกิดขึ้นอีก ห่วง ลัทธิชาตินิยม กำลังทำงาน วอนคนไทยอย่าสนับสนุนความรุนแรง ยกระดับสู่ประเทศที่เป็นอารยะ
ผศ.ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ให้ความเห็นกับ The Active ถึงมุมมองที่มีต่อสถานการณ์พิพาทในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเน้นไปที่ประเด็นการรับมือของรัฐบาลต่อการดูแลประชาชนในพื้นที่ได้รับผลกระทบจากการปะทะ ซึ่งตลอดช่วงที่ผ่านมาได้ให้บทเรียนสำคัญที่ภาครัฐอาจนำกลับไปทบทวนบทบาท เพื่อสามารถรับมือได้หากอนนาคตเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก

มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
โดยมองว่า ถ้าเป็นเรื่องเร่งด่วนตอนนี้ ทุกคนต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เหตุการณ์ที่ชายแดนรอบนี้ไม่ใช่สงคราม แต่ถือว่าเป็นการปะทะกันที่ชายแดน เพราะหากเป็นสงคราม จะต้องประกาศ และสิ่งที่รัฐบาลไทยควรทำตอนนี้ คือ ต้องรักษาชีวิตคนให้มากที่สุด พร้อมทั้งต้องดูแลให้ความสำคัญกับคนที่ชายแดน เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องการปะทะกันในรอบนี้ การดูแลคนชายแดนของรัฐบาลในปัจจุบันถือว่าสอบตก ตั้งแต่เรื่องของการให้ข้อมูลข่าวสารสำหรับประชาชนในพื้นที่ชายแดนควรจะรู้ เพื่อให้ประชาชนได้เตรียมตัว มีระบบการอพยพที่ดีกว่านี้ รวมถึงเมื่ออพยพมาที่ศูนย์แล้วต้องดูแลดีกว่านี้ โดยเฉพาะที่น่าเห็นใจสุด คือ กลุ่มคนเปราะบาง เด็กทารก ผู้หญิง รวมถึงผู้ป่วยติดเตียง
จากข้อมูลที่ได้รับจากภาคสนาม พบว่า บางอำเภอศูนย์อพยพไม่มีอาหาร ความช่วยเหลือจะมุ่งไปที่ อ.เมืองเป็นหลัก แม้แต่ ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ต้องกินอาหารสำรอง ถ้าสถานการณ์ยืดเยื้อไปมากกว่านี้ อาจถึงขั้นเจอภาวะอดอาหารได้
ความล้มเหลวในการจัดการอพยพ ยังสะท้อนออกมาจากการที่ชาวบ้านชายแดนจำนวนมาก ไม่ได้เข้าที่ศูนย์อพยพ ต้องหนีไปอยู่ที่บ้านญาติ หลังหนึ่งมีคนอยู่ 30 – 40 คน อาศัยอยู่รวมกันหลายครอบครัวมาก สะท้อนให้เห็นว่า การให้ความสำคัญกับการดูแลผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากการปะทะกัน ไม่มีประสิทธิภาพ
“เหตุการณ์ครั้งนี้ ถือเป็นภัยพิบัติอย่างหนึ่ง ต้องซ้อม ต้องเตรียม จัดวางระบบที่ดี เพื่อให้คนที่ได้รับผลกระทบสามารถมีชีวิตอยู่ได้ อย่าลืมว่าเรื่องฉุกเฉิน บางคนมาแบบไม่มีแม้แต่แปรงฟัน เรายังดีที่ในวันที่อพยพยังมีครูและเด็กอยู่ด้วยกัน ครูตกใจแค่ไหน ก็ต้องช่วยเด็กอพยพให้ปลอดภัยก่อน แสดงให้เห็นว่าระบบการอพยพของรัฐบาลเราไม่ดีพอ ที่จะปกป้องชีวิตคน”
ผศ.ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ
ไม่ใช่อ่อนประสบการณ์ แต่ขาดการเตรียมพร้อม
ผศ.ไชยณรงค์ เล่าย้อนกลับไปในช่วงปี 2554 ที่มีเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันนี้ จากการลงพื้นที่ไปค่ายผู้อพยพ มีการจัดระบบที่ดีมาก ซึ่งคงไม่อยากเห็นภาพผู้อพยพที่มีแต่ความทุกข์ ตอนนั้นจะเห็นวิธีการบริหารจัดการศูนย์อพยพที่ดี อาหารการกินเพียงพอ ต่างจากรอบนี้

“จากปี 2554 ผ่านมา 14 ปี ความรุนแรงรอบนี้ก็คนละเรื่องกันเลย รุนแรงมากกว่าเป็น 10 เท่า ตรงนี้รัฐบาลควรจะประเมิน และเตรียมการที่ดีพอ เพราะคนหลายแสนมันไม่ใช่ง่าย ๆ ที่จะอพยพจากบ้านเกิดเมืองนอน ศูนย์อพยพจำนวน 200 กว่าศูนย์เป็นวงกว้างมาก ถ้าพื้นที่ชายแดนยังมีความขัดแย้งอยู่แบบนี้ ก็มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต เพราะไม่มีใครเป็นหลักประกัน ฉะนั้นทางที่ดีที่สุดเราต้องมีการเตรียมความพร้อม”
ผศ.ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ
มองหาหนทางสร้างสันติสุข ?
ผศ.ไชยณรงค์ ยังมองว่า ไม่ว่าจะทะเลาะกับเพื่อนบ้านอย่างไรก็แล้วแต่ ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ โลกในปัจจุบันนี้ คือ โลกไร้พรมแดน ซึ่งต้องยอมรับว่า ลัทธิชาตินิยม ขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับกระแสโลกที่เปลี่ยนแปลงไป
“เราไปถามประชาคมโลก ไม่มีผู้นำชาติไหนในโลกใบนี้ที่สนับสนุนสงคราม เราจะเห็นภาพจากการประชุมเมื่อวันที่ 28 ก.ค. 68 มีทั้งประธานอาเซียน ประเทศผู้สังเกตการณ์ อย่างจีน สหรัฐอเมริกา เพราะฉะนั้นการสู้รบกันแสดงให้เห็นถึงความ ไร้อารยะ หรือพูดภาษาไทยคือ ป่าเถื่อน ซึ่งทำได้เพราะอาศัยลัทธิชาตินิยม ผู้นำถึงมีความชอบธรรมในการรบกัน”
ผศ.ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ
นักวิชาการ ยังฝากถึงประชาชนทั้ง 2 ประเทศ โดยอยากวิงวอนว่า รักชาติได้ แต่กระแสชาตินิยมไม่ควรจะปฏิบัติการบนสมองจนกระทั่งลืมความเป็นเพื่อนบ้าน ลืมความเป็นมนุษย์ คือสิ่งที่น่าตกใจมาก ยังไม่พูดถึงทั้ง 2 ประเทศเป็นเมืองพุทธ แต่ทำไมการฆ่ากันจึงเห็นด้วย จึงควรจะพัฒนาไปสู่ความเป็นประเทศที่มีอารยะ ในโลกที่เส้นเขตแดนมีความหมายน้อยลง ควรจะสร้างสันติสุขบริเวณชายแดน ค้าขายกัน พัฒนาพื้นที่ชายแดน ให้มีผลประโยชน์จากทั้ง 2 ฝ่าย
“ผมคิดว่าโลกมันเปลี่ยนแปลงไปทางนี้ แต่เรากลับสวนทาง เรายังสู้รบกันเหมือน 100 ปีที่แล้ว เพื่อแย่งชิงเส้นเขตแดน เพื่ออะไร การเมืองเท่านั้น ที่เราจะทำให้เกิดสันติสุขขึ้นมาได้ ผมไม่เชื่อว่าทหาร การสู้รบ จะทำให้เกิดสันติสุข”
ผศ.ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ
การสื่อสาร รัฐ สื่อ ประชาชน ในภาวะวิกฤตชายแดน
ผศ.ไชยณรงค์ ยังกล่าวถึง สื่อกระแสหลัก มีนักวิชาการด้านสื่อออกมาพูดแล้วว่า การสู้รบกันไม่ใช่การเชียร์กีฬา แต่สื่อกระแสหลัก จากที่ได้ไปดูหลายสำนัก รายงานข่าวการสู้รบกันเหมือนกับการเชียร์กีฬา ซึ่งจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้ ดังนั้นวงการสื่อต้องทบทวน ว่าคุณกำลังเป็นส่วนหนึ่งของความรุนแรงด้วยหรือไม่
ส่วนต่อมา คือ ทุกคน ทั้ง 2 ประเทศ อยู่ในโลกที่เป็นโลกาภิวัฒน์ มีคำว่า “โลกจินตกรรม” คือ รู้สึกว่าเราอยู่ในโลกใบเดียวกัน มีอาเซียนสปิริต ทำไมจึงไม่ยกระดับสิ่งเหล่านี้ ทำไมหวนกลับไปล้าหลัง ไปเอาลัทธิชาตินิยมมา แล้วให้ลัทธิชาตินิยมปฏิบัติการบนสมอง นำไปสู่การสร้างความชอบธรรมให้มีการสู้รบกัน คนในสังคมต้องทบทวนว่า ขณะที่โลกหมุนไปข้างหน้า ทำไมความคิดเราถึงหมุนย้อนกลับไปข้างหลัง ไม่มีผลดีอะไรเลยทั้งสิ้น สิ่งเดียวที่ต้องการ คือ โลกที่สันติสุข เพราะถ้าประชาชนทั้ง 2 ประเทศไม่เห็นด้วยกับความรุนแรง และไม่มีความคิดชาตินิยม ผู้นำทางการเมืองทั้ง 2 ประเทศนี้ ก็ไม่มีทางที่จะสู้รบกัน เพราะเขาไม่มีความชอบธรรม

ขณะที่ การสื่อสารของรัฐ จะเห็นแต่การฟังข่าวจากทหาร แล้วรัฐบาลจะสื่อสารอะไรกับผู้คน แม้ว่าจะมีบางคนที่ออกมาสื่อสาร ว่าการชนะกันไม่ต้องรบได้ไหม ซึ่งการสื่อสารในเชิงบวกแบบนี้ ไม่มีคนในรัฐบาลออกมาพูดเลย ซึ่งรู้สึกผิดหวัง
ผศ.ไชยณรงค์ ยังตั้งคำถามว่า ทำไมประเทศไทยไม่เป็นผู้นำ เราอยู่ในระดับ Top ของอาเซียน แต่ทำไมไม่สื่อสารในเชิงที่ว่า “ประเทศเราต้องเป็นประเทศที่มีอารยะ”
“อย่าไปหลงกลกับการคิดแบบชาตินิยมเกินไป จนเราไม่มีเพื่อน เพราะโลกในความเป็นจริง เรามีแรงงานจากเพื่อนบ้าน 800,000 คน ยังไม่นับแรงงานระดับสูง ที่ทำงานในบริษัท เราต้องพึ่งพากัน แต่รัฐบาลไม่เคยสื่อสารเลยว่า คนไทยควรทำอย่างไร ที่น่าผิดหวังกว่านั้น คือ คนที่มาสื่อสาร รัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย สื่อสารถึงขนาดว่า จะไม่ให้กัมพูชา มาร่วมแข่งซีเกมส์ ซึ่งเรื่องนี้ผมรับไม่ได้ คุณต้องแสดงความมีอารยะ ด้วยการบอกว่า คุณยินดีต้อนรับทุกคน ทุกชาติในอาเซียน มาแข่ง มาสร้างสัมพันธไมตรี และเราในฐานะที่เป็นรัฐบาลไทย เราจะให้ความคุ้มครองทุกคน และให้คนไทยเป็นเจ้าภาพที่ดี การสื่อสารนี้คือ สอบตก ยิ่งเป็นการตอกลิ่มของความขัดแย้ง”
ผศ.ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ
“ขอเรียกร้องให้คนในสังคมที่พอมีสติ มาช่วยกันพูดให้มากขึ้น องค์กรภาคประชาสังคมเราจะเห็นว่า ช่วงวันที่ 25–26 ก.ค. ก็มีการออกแถลงการณ์ เป็นแนวทางที่ดีมาก และอยากให้เกิดแบบนี้ ตัวเองก็ออกมาเช่นกันในนามส่วนตัว เพราะไม่ยอมให้แนวคิดชาตินิยม เอามาใช้ในทางผิด ๆ เพราะนี่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก และเราต้องวิจารณ์รัฐบาลเพื่อไทยด้วยว่า อย่าคิดแย่ ๆ เหมือนกับที่บอกว่าจะไม่ให้กัมพูชามาแข่งซีเกมส์ ให้เงียบ พูดไปไม่มีประโยชน์อะไร”
ผศ.ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ
ผศ.ไชยณรงค์ ยังเรียกร้องทิ้งท้าย โดยขอให้คนในสังคมที่พอมีสติช่วยกันพูดให้มากขึ้น องค์กรภาคประชาสังคมจะเห็นว่า ช่วงวันที่ 25 – 26 ก.ค.ที่ผ่านมา ก็ออกแถลงการณ์ เป็นแนวทางที่ดีมาก และอยากให้เกิดแบบนี้ เพราะไม่ยอมให้แนวคิดชาตินิยม เอามาใช้ในทางผิด ๆ นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก และต้องวิจารณ์รัฐบาลเพื่อไทยด้วยว่า อย่าคิดแย่ ๆ เหมือนกับที่บอกว่า จะไม่ให้กัมพูชามาแข่งซีเกมส์ ให้เงียบ พูดไปไม่มีประโยชน์อะไร