นักวิชาการ เตือนสังคมไทยหลุดพ้นกับดักความรุนแรง เน้นใช้หลักมนุษยธรรมแก้ขัดแย้ง ขณะมหาวิทยาลัยดังแสดงบทบาทดูแลนักศึกษากัมพูชา
วันที่ 18 ส.ค. 2568 ผศ.พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์ รักษาการแทนรองผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ให้สัมภาษณ์ The Active ถึงประสบการณ์และมุมมองเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนด้านสันติศึกษาและสิทธิมนุษยชน รวมถึงสัญญาณเชิงบวกและโอกาสในการสร้างสันติภาพในบริบทความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา
ผศ.พัทธ์ธีรา เริ่มต้นว่า งานวิจัยมุ่งเน้นการจัดการเรียนการสอนเรื่องสันติศึกษาและสิทธิมนุษยชน โดยทำงานในพื้นที่ความขัดแย้งหลายแห่งทั้งในประเทศ เช่น จังหวัดชายแดนใต้ ภาคเหนือ และยังทำงานนอกประเทศด้วย โดยสังเกตเห็นสัญญาณความขัดแย้งเริ่มสะสมในสังคมไทยมาระยะหนึ่ง จึงคิดว่าโอกาสครบรอบ 80 ปี ของ ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นบิดาแห่งสันติภาพและสันติวิธีในประเทศไทย เป็นโอกาสดีในการนำองค์ความรู้ของท่านมาชวนสังคมไทยขบคิดว่าประเทศไทยจะฝ่าวิกฤตไปได้อย่างไร
อาจารย์กล่าวต่อว่า เมื่อพูดถึงแนวคิดหรือทฤษฎีจากต่างประเทศ หรือเรื่องสิทธิมนุษยชน มักถูกตีความว่ามีอคติทางการเมือง ทำให้สังคมไทยยังมีมายาคติและเข้าใจเรื่องสากลของโลกไม่ลึกนัก การจัดงานครบรอบ 80 ปี จึงมุ่งหวังให้สังคมไทยได้ทบทวนแนวทางสันติวิธีของตนเอง และเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์การทูตสันติวิธีที่เคยใช้ในอดีต
สัญญาณเชิงบวกจากความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา
เมื่อถามถึงสัญญาณเชิงบวกในช่วงวิกฤตชายแดนไทย–กัมพูชา ผศ.พัทธ์ธีรา กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม เมื่อเกิดการจู่โจมครั้งแรก หากสังคมไทยและรัฐบาล รวมทั้งกระทรวงการต่างประเทศ สามารถรับมือได้อย่างทันการณ์ นั่นถือเป็นสัญญาณเชิงบวก เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในพื้นที่ที่เป็นเรื่องของมนุษยธรรม เราควรใช้โอกาสนี้ส่งเสียงไปยังโลกให้จับตาว่าฝ่ายตรงข้ามละเมิดหลักมนุษยธรรม ทำให้ประชาชนธรรมดาได้รับความเดือดร้อน ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง
“หลักการมนุษยธรรมท้าทายสังคมไทย เพราะเมื่อเกิดความโกรธ ความโกรธมักพาเราไปสู่ความรุนแรง แทนที่จะใช้หลักมนุษยธรรมสากลเตือนฝ่ายตรงข้ามว่า การโจมตีประชาชนเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้” ผศ.พัทธ์ธีรา กล่าว
บทบาทของหลักมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชนในไทย
อาจารย์เน้นถึงความสำคัญของสิทธิเด็กในสถานการณ์นี้ว่า นักเรียนที่ถูกส่งกลับบางส่วน ถูกเสนอให้ยกเลิกการรับเข้าเรียน นั่นถือเป็นการละเมิดหลักมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชน ซึ่งประเทศไทยได้ลงนามกับนานาชาติไว้ว่า จะเคารพสิทธิเด็กและไม่เลือกปฏิบัติต่อเด็กคนใด ประเทศไทยทำเรื่องนี้ได้ดี ซึ่งส่งผลดีต่อประเทศในระยะยาว เพราะเด็กที่ได้รับการศึกษาและการปฏิบัติอย่างเหมาะสม จะเป็นกระบอกเสียงแทนเราในอนาคต
อาจารย์ยังกล่าวว่า นักศึกษาที่เรียนเรื่องหลักการมนุษยธรรมและสันติภาพ เข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนและหลักการไม่เลือกปฏิบัติ เมื่อเกิดวิกฤต พวกเขาสามารถเป็นกระบอกเสียงแทนประเทศไทยต่อสายตานานาชาติ ทำให้ประเทศไทยได้รับการประเมินเชิงบวก
“สังคมไทยติดกับความรุนแรง เสพติดการโจมตีและทัวร์ลงสื่อ ทำให้แยกแยะความแตกต่างระหว่างความโกรธกับหลักมนุษยธรรมไม่ออก เสียงที่พูดเรื่องสันติภาพและท้าทายสังคมไทย จึงเป็นสิ่งจำเป็นต้องเผยแพร่” ผศ.พัทธ์ธีรา กล่าว
การศึกษา–การแพทย์ เครื่องมือสร้างสันติภาพ
ผศ.พัทธ์ธีรา ยังกล่าวอีกว่า องค์ความรู้ด้านการศึกษาโดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยที่ผลิตครูและแพทย์ มีบทบาทสำคัญ แพทย์มีหลักการมนุษยธรรมสากลและจรรยาบรรณวิชาชีพ ทำให้สามารถสร้างสันติภาพในช่วงวิกฤตได้โดยไม่เลือกปฏิบัติ และสามารถพูดเรื่องหลักการสากลในการรักษามนุษยชาติ
“แต่สิ่งที่น่ากังวลคือมีความพยายามแทรกการศึกษาที่ปลุกระดมคล้าย “นาซีเยอรมัน” ให้เด็กไทยรักชาติแบบสุดโต่ง แต่ไม่รักมนุษยชาติ รักชาติเป็นสิ่งดี แต่ต้องรักเพื่อนมนุษย์ด้วย หากสอนให้รักเฉพาะคนไทย แต่เกลียดชาติอื่น วันหนึ่งเมื่อเด็กออกไปอยู่ต่างประเทศ เขาจะอยู่ร่วมกับใครไม่ได้” ผศ.พัทธ์ธีรากล่าว
อาจารย์ยังเตือนผู้ปกครองและสังคมสอดส่องดูแลการเรียนการสอน ว่าโรงเรียนปลูกฝังเด็กอย่างไร เพราะทัศนคติที่ผิดพลาดจะบ่มเพาะความเกลียดชังในอนาคต
ความกังวลและสัญญาณเชิงลบที่ยังปรากฏ
อย่างไรก็ดี ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ The Active ว่าแม้ภาพรวมยังเต็มไปด้วยความกังวล แต่ยังมีสัญญาณเชิงบวกที่สามารถใช้เป็นพื้นฐานในการสร้างสันติภาพระยะยาว
ชญานิษฐ์ ระบุว่า แม้ในระดับทางการจะมีข้อตกลงหยุดยิงและการเจรจาเบื้องต้นเกิดขึ้น แต่สัญญาณเชิงลบยังปรากฏชัดในสื่อสาธารณะและโซเชียลมีเดีย
“ถ้าเปิดสื่อทุกวัน จะเห็นเรื่องเล่าเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจและความเกลียดชัง ทั้งในสื่อหลักและโซเชียลมีเดีย เรื่องราวเหล่านี้สะท้อนความวิตกและความขัดแย้งที่ยังฝังลึกในสังคม” ชญานิษฐ์ กล่าว
เธอย้ำว่าภาพรวมเช่นนี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้จะมีข้อตกลงทางการ แต่ความเชื่อใจระหว่างประชาชนและความเข้าใจต่อกันยังไม่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง
มิติสัญญาณเชิงบวกจากภาคการศึกษา
แม้ความตึงเครียดจะสูง แต่ภาคการศึกษาในไทยได้แสดงบทบาทเชิงบวกที่ชัดเจน ชญานิษฐ์ ยกตัวอย่างการตอบสนองของมหาวิทยาลัยหลายแห่ง หลังเกิดเหตุปะทะ ว่าได้ออกแถลงการณ์ทันทีเพื่อแสดงความห่วงใยนักศึกษาต่างชาติ รวมถึงนักศึกษากัมพูชา
“ต้องชื่นชมมหาวิทยาลัยหลายแห่ง เช่น จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย มหิดล เกษตรศาสตร์ ธรรมศาสตร์ และสงขลานครินทร์ ที่ออกแถลงการณ์ทันทีว่าเราพร้อมจะดูแลปกป้องนักศึกษาต่างชาติ รวมถึงนักศึกษากัมพูชา” ชญานิษฐ์
เธอชี้ว่าการตอบสนองเชิงสัญลักษณ์เช่นนี้ มีความสำคัญไม่เพียงต่อความปลอดภัยของนักศึกษา แต่ยังเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อสังคมว่ามีความพยายามที่จะสร้างความเข้าใจและรักษาความเป็นมนุษย์ต่อกัน
ภาคประชาสังคมและความพยายามสร้างความเข้าใจ
นอกจากภาคการศึกษาแล้ว ภาคประชาสังคมไทยก็มีบทบาทสำคัญในการสร้างความเข้าใจต่อความแตกต่างระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ของกัมพูชา
“กัมพูชาไม่ได้เป็นกลุ่มเดียวทั้งหมด รัฐบาลและกองทัพเป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่ยังมีประชาชน แรงงาน และผู้ที่เข้ามาทำงานในไทย เราจำเป็นต้องมองความแตกต่างเหล่านี้และรักษาความเป็นมนุษย์ต่อกัน”
เธอเน้นว่าการย้ำถึงความเป็นเพื่อนร่วมสังคมและความห่วงใยซึ่งกันและกัน เป็นสิ่งที่ควรทำต่อเนื่อง ไม่เพียงแค่ช่วงเกิดความขัดแย้ง
แม้ความขัดแย้งจะเกิดขึ้นในระดับทางการ แต่สายสัมพันธ์ระหว่างประชาชนยังควรคงอยู่ ไทยและกัมพูชายังต้องเป็นเพื่อนบ้านกันต่อไป การเจ็บแล้วจบจึงไม่ใช่เพียงการปะทะทางการทหาร แต่ต้องสร้างความเชื่อใจระยะยาว
ความสำคัญของการสื่อสารระหว่างประชาชน
ชญานิษฐ์ ยกตัวอย่างประสบการณ์ส่วนตัวที่ยังคงติดต่อกับเพื่อนชาวกัมพูชาที่อยู่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสอบถามความเป็นอยู่ และสื่อสารว่า แม้เกิดความขัดแย้ง ยังมีความห่วงใยและมิตรภาพ
“เราพูดคุยสอบถามสารทุกข์สุขดิบ และคุยกันว่ามีอะไรที่เราพอจะทำได้ มีอะไรที่สื่อสารถึงกันได้ระหว่างคนกัมพูชาและคนไทย เพื่อให้เข้าใจว่าท่ามกลางความขัดแย้ง เรายังห่วงใยและเป็นเพื่อนกัน”
เธอชี้ว่าการสื่อสารเช่นนี้เป็นรากฐานสำคัญในการสร้างสันติภาพและลดความรุนแรงในระยะยาว
เครื่องมือสร้างสันติภาพ การเจรจาและความร่วมมือระดับพหุภาคี
ในมิติทางการทูต ชญานิษฐ์ เห็นว่าการเจรจาระดับทวิภาคีเป็นสิ่งสำคัญ แต่บางครั้งอาจต้องใช้ shuttle diplomacy หรือการเจรจาผ่านคนกลาง เพื่อสร้างความไว้วางใจและเตรียมความพร้อมให้ทั้งสองฝ่าย
“บ่อยครั้งความขัดแย้งระหว่างสองฝ่ายจับมานั่งคุยตรง ๆ เลยเป็นไปได้ยาก จึงอาจมีคนกลางเริ่มคุยจากฝั่ง A กับ B ก่อน แล้วค่อยให้ทั้งสองฝ่ายมาคุยกันหรือมีสักขีพยานอำนวยความสะดวก” ชญานิษฐ์ กล่าว
การสร้างสันติภาพไม่ควรจำกัดอยู่เพียงรัฐบาลหรือกองทัพเท่านั้น ภาคประชาชนและภาคประชาสังคมมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเข้าใจและสายสัมพันธ์
ถ้าไม่ทำเรื่องนี้ ถึงแม้จะเกิดสันติภาพชั่วคราว ความไม่ไว้วางใจระหว่างประชาชนก็พร้อมปะทุและอาจสนับสนุนให้เกิดความรุนแรงซ้ำอีก
มิติทางเศรษฐกิจ การศึกษา และสื่อมวลชน
นอกจากมิติทางการทูต เธอยังเน้นบทบาทของ เศรษฐกิจ การศึกษา และสื่อมวลชน ในการลดความขัดแย้งและสร้างสันติภาพ
• เศรษฐกิจ: ผลกระทบจากความตึงเครียดชายแดนส่งผลต่อธุรกิจและประชาชนในพื้นที่ ชญานิษฐ์ ชี้ว่า การให้ข้อมูลเชิงตัวเลขและวิเคราะห์ผลกระทบช่วยให้สังคมเข้าใจและสร้างแรงจูงใจให้ฝ่ายต่าง ๆ มองหาทางออกที่สันติ
• การศึกษา: สถาบันการศึกษาสามารถเป็นพื้นที่สำหรับชวนคิด ชวนคุย และให้มุมมองที่หลากหลาย เพื่อทำความเข้าใจความขัดแย้งและการอยู่ร่วมกัน
• สื่อมวลชน: ทั้งสื่อกระแสหลักและโซเชียลมีเดีย มีบทบาทสำคัญในการชี้ชวนให้สังคมคิดและตระหนักถึงผลกระทบ ไม่ใช่เพียงมิติของชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ทางการทหาร
“แม้จะมีข้อตกลงหยุดยิงแล้ว แต่บทสนทนาในสื่อยังไม่เอื้อต่อการสร้างความไว้ใจหรือมิตรภาพ สิ่งนี้ส่งผลต่อความยั่งยืนของสันติภาพในระยะยาว” ชญานิษฐ์ ระบุ
คำว่า “เจ็บแล้วจบ” กับความยั่งยืนของสันติภาพ
คำว่า “เจ็บแล้วจบ” มักถูกใช้โดยนักธุรกิจและประชาชนทั่วไปเพื่อเรียกร้องความชัดเจน แต่ทั้ง ชญานิษฐ์ และ ผศ.พัทธ์ธีรา เตือนว่า การเลือกวิธีให้จบมีผลต่อ ความสัมพันธ์และสันติภาพระยะยาว
“คำว่าเจ็บแต่จบ หมายถึงต้องมีความชัดเจน ไม่ลากยาวไปเรื่อย ๆ แต่ใครเจ็บ? นักธุรกิจชายแดนเจ็บ ประชาชนเจ็บ ทหารเจ็บ และความเจ็บนั้นไม่จบถ้าความไม่ไว้วางใจยังอยู่” ชญานิษฐ์
เธอย้ำว่าความคิดแบบโลกสวยไม่ได้หมายถึงการมองข้ามความจริง แต่คือการพิจารณาผลกระทบต่อทุกฝ่ายและหาทางเลือกที่เป็นไปได้ในกรอบระเบียบสากล
“โลกสวยต้องสำหรับทุกคน ไม่ใช่เฉพาะคนที่อยู่หน้าคีย์บอร์ดหรือส่วนกลางที่ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ต้องคิดถึงผู้ที่อยู่บริเวณชายแดน ประชาชน นักธุรกิจ และทหารที่บาดเจ็บหรือล้มตาย”
ขณะที่ ผศ.พัทธ์ธีรา มองว่า การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งควร “เจ็บแล้วจบ” ว่า “แนวคิดนี้ส่วนมากมาจากการศึกษาเพื่อความมั่นคง หรือแนวทางของกองทัพหรือฝ่ายเผด็จการ แต่ในความจริง วิธีนี้ไม่ช่วยแก้ปัญหาที่รากเหง้า อาจสร้างกับดักในอนาคตเหมือนโรคที่ไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุ แนวคิดของสันติศึกษาและ Peace & True Health คือ การรักษาที่รากเหง้า แปลงความขัดแย้งให้เป็นสันติภาพโดยไม่ใช้ความรุนแรง”
“การใช้อำนาจหรือความรุนแรงเพื่อตอบโต้ไม่ใช่ทางออกของสันติภาพที่แท้จริง หลักสันติวิธีและมนุษยธรรมต้องนำมาใช้ และต้องให้เยาวชนเข้าใจเรื่องนี้ตั้งแต่การศึกษา เพื่อให้พวกเขาเติบโตเป็นพลเมืองที่สร้างสันติภาพในอนาคต“ ผศ.พัทธ์ธีรา กล่าว