จาก ‘วาฬบรูด้า’ เกยตื้น! กรีนพีซ จี้ไทย รับรองสนธิสัญญา BBNJ เดินหน้าสู่ ‘พื้นที่คุ้มครองทางทะเล’

หวังผลควบคุม การทำประมง การขนส่ง ท่องเที่ยว ในพื้นที่ทะเลหลวง ลดความเสี่ยงผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล เชื่อคุ้มครองพื้นที่ ครอบคลุม 30% ของทะเล ช่วยแก้ปัญหาโลกรวนในหลายมิติ วอนไทย เร่งลงนามให้สัตยาบันสนธิสัญญาภายใน ก.ย.นี้

จากกรณีพบซาก วาฬบรูด้า เกยตื้นบริเวณชายฝั่งทะเลบางปู เมื่อวันที่ 7 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งจากการชันสูตรล่าสุดของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝัง สรุปสาเหตุการตายเกิดจากการกระแทกโดยตรง เสียเลือดปริมาณมากอย่างรวดเร็ว และเกิดภาวะช็อกจากการสูญเสียเลือด รอยแผลทั้งหมดชี้ไปที่การถูกใบพัดเรือฟัน

ณิชนันท์ ตัญธนาวิทย์ หัวหน้าโครงการรณรงค์ Ocean Justice กรีนพีซ อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยกับ The Active ถึงกรณีที่เกิดขึ้น ว่า เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของสัตว์ทะเลหายาก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ในท้องทะเลของน่านน้ำไทย และกระตุ้นให้เกิดคำถามถึงมาตรการคุ้มครองที่มีอยู่ว่าเพียงพอหรือไม่

วาฬบรูด้า เกยตื้นชายฝั่งทะเลบางปู เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 68 (ภาพ : กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง)

โดยเหตุการณ์เรือชนวาฬที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงหลังมา มีสาเหตุสำคัญจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของวาฬ และสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ ที่มีปัจจัยเรื่องอาหารและเรื่องเสียงรบกวน

“เรือชนวาฬ เพราะปลาเข้าใกลชายฝั่งมากขึ้น อาหารในทะเลน้อยลงแต่ที่ชายฝั่งมีสัตว์น้ำวัยอ่อน พอมันเห็นว่ามีอาหารก็เข้าฝั่งมามากขึ้น อีกปัจจัยอาจจะมีเรื่องเสียงในทะเล เพราะเรือใช้ระบบเสียงโซนาร์ ถ้าไปดูในหลาย ๆ งานวิจัย คือตอนนี้ใต้ท้องทะเลเสียงดังมาก ไปรบกวนโซนาร์ของปลาและอาจจะทำให้ชน”

ณิชนันท์ ตัญธนาวิทย์

มาตรการปัจจุบันไม่เพียงพอ ต้องจัดตั้ง ‘พื้นที่คุ้มครองทางทะเล’

ปัจจุบัน กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ประกาศใช้มาตรการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำมีไข่ วางไข่ เลี้ยงตัวอ่อนในทะเลอ่าวไทย ประจำปี 2568 หรือที่รู้จักกันในนาม ปิดอ่าวไทย ใน 2 ช่วงเวลาต่อเนื่องกัน ได้แก่ ช่วงที่ 1 ระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์ – 15 พฤษภาคม 2568 และ ช่วงที่ 2 ระหว่างวันที่ 16 พฤษภาคม – 14 มิถุนายน 2568 บริเวณอ่าวไทยตอนกลางและเขตต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมี พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562, พ.ร.ก.การประมง พ.ศ. 2558 และ พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ แต่ผู้เชี่ยวชาญเห็นว่า มาตรการเหล่านี้ยังไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาสถานการณ์ด้านความหลากหลายทางชีวภาพของทะเลไทย ในวันที่กำลังเผชิญความท้าทาย

แผนที่พื้นที่คุ้มครองทางทะเล จาก mpatlas.org/mpaguide/

ณิชนันท์ ย้ำว่า ทะเลทุกน่านน้ำบนโลกเชื่อมต่อกัน หลาย ๆ ประเทศรอบโลก รวมถึงกรีนพีซ นักวิทยาศาสตร์ และองค์กรต่าง ๆ กำลังเรียกร้องในประเด็น สนธิสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ในพื้นที่นอกเขตอำนาจแห่งชาติ หรือ BBNJ (Biodiversity Beyond National Jurisdiction) คือ การพูดถึงช่องโหว่ในพื้นที่ทางทะเลที่ไม่ได้อยู่ในน่านน้ำไทย

“ปัจจุบัน มันมีช่องว่างในการบังคับใช้กฎหมายในการทำงานเชิงอนุรักษ์ เรามีกฎหมายดูแลเรื่องประมง กฎหมายเรื่องแร่ธาตุใต้ท้องทะเล แต่ไม่ได้มีกฎหมายที่พูดเรื่องกิจกรรมเชิงใช้ประโยชน์หรือการอนุรักษ์”

ณิชนันท์ ตัญธนาวิทย์

จริง ๆ แล้ว การปกป้องพื้นที่คุ้มครองทางทะเลนี้ มีเป้าหมายหลักคือการดักเก็บคาร์บอนและต่อกรกับการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ แต่ก็แถมมาซึ่งการปกป้องและอนุรักษ์สภาพแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตทางทะเลไปพร้อม ๆ กัน

“ถ้าพูดเรื่องสัตว์ขนาดใหญ่อย่างวาฬหรือเต่า ก่อนจะโต บางสายพันธุ์ก็อยู่ในพื้นที่ชายฝั่ง ก่อนขยับไปอยู่พื้นที่กลางทะเล การปกป้องทั้งพื้นที่ชายฝั่งหรือตามหมู่เกาะกลางทะเล ช่วยให้สัตว์เหล่านี้สามารถไปเติบโตในมหาสมุทรที่กว้างใหญ่กว่านี้ได้”

ณิชนันท์ ตัญธนาวิทย์

ระบบนิเวศทางทะเลเชื่อมโยงกัน ต้องมีพื้นที่คุ้มครองเป็นเครือข่าย

การจัดตั้ง พื้นที่คุ้มครองทางทะเล จะช่วยให้เกิดการควบคุมกิจกรรมของมนุษย์ที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล เช่น การทำประมง การขนส่งทางน้ำ และการท่องเที่ยวในพื้นที่ทะเลหลวง นอกจากนี้ ยังช่วยให้เกิดการฟื้นฟูแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลที่สำคัญ เช่น แนวปะการัง ทุ่งหญ้าทะเล และป่าชายเลน

ณิชนันท์ อธิบายว่า สัตว์ทะเลขนาดใหญ่เช่นวาฬ หรือเต่าทะเล มีวงจรชีวิตที่เชื่อมโยงกันระหว่างพื้นที่ชายฝั่งและทะเลหลวง อาหารของสัตว์เหล่านี้อย่างทูน่า จะอพยพหลายน่านน้ำ คล้ายพื้นที่บนป่าที่สัตว์ป่าก็ไม่ได้อพยพตามเขตแดนแบ่งประเทศชัดเจน ทูน่าก็ว่ายตามน้ำตามพฤติกรรมของมันไป การคุ้มครองพื้นที่นี้จะทำให้เกิดการอนุรักษ์ในเชิงห่วงโซ่อาหาร

ณิชนันท์ ตัญธนาวิทย์ หัวหน้าโครงการรณรงค์ Ocean Justice กรีนพีซ อินเตอร์เนชั่นแนล

“ตอนไป ซายา เดอ มัลฮา หนึ่งในพื้นที่คุ้มครองทะเลหลวง มันมีเอกลักษณ์ต่างจากที่อื่น คือมีหญ้าขึ้นมากลางพื้นที่มหาสมุทรที่ห่างออกไป เป็นแหล่งอนุบาล แหล่งผสมพันธุ์ มีหญ้าขึ้นในพื้นที่ที่แสงส่องถึง ดังนั้น ถ้ามีกิจกรรมมนุษย์อย่างเรือขนาดใหญ่ผ่านเข้าไปก็ทำให้เกิดความเสียหายได้”

ณิชนันท์ ตัญธนาวิทย์

สำหรับ พื้นที่การคุ้มครองทางทะเล หรือ MPA ที่กำหนดว่าพื้นที่ตรงนั้นควรใช้พฤติกรรมของมนุษย์น้อยที่สุด ผ่านตัวอย่าง ซายา เดอ มัลฮา ทะเลหลวงในมหาสมุทรอินเดีย

BBNJ : เป้าหมายระดับโลกกับการจัดการของไทย

นักรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อม ยังเสนอให้รัฐบาล เร่งดำเนินการเพิ่มพื้นที่คุ้มครองทางทะเลให้ครอบคลุมอย่างน้อย 30% ของพื้นที่ทะเลภายในปี 2573 (ค.ศ.2030) ตามเป้าหมายสากล โดย กรีนพีซ และองค์กรอนุรักษ์อื่น ๆ ได้ผลักดัน สนธิสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่นอกเขตอำนาจแห่งชาติ หรือ BBNJ (Biodiversity Beyond National Jurisdiction) ซึ่งได้รับการรับรองแล้วในที่ประชุมสหประชาชาติเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา

BBNJ พูดเรื่องการปกครองในพื้นที่ทะเลหลวง พื้นที่ทะเลหลวงถือเป็นทรัพยากรร่วมกันของมนุษยชาติ ที่ต้องการการปกป้อง กรีนพีซทำการศึกษาร่วมกับ มหาวิทยาลัยจากอังกฤษ และพบว่าการคุ้มครองพื้นที่ครอบคลุม 30% ของทะเล จะช่วยแก้ปัญหาโลกรวนได้ในหลายมิติ ถ้าเราสามารถปกป้องพื้นที่ทางทะเลได้ 30% มหาสมุทรจะมีศักยภาพในการฟื้นฟูตัวเอง ยืดหยุ่น และตอบสนองต่อ Climate Change และปลอดจากกิจกรรมมนุษย์ เช่น การทำประมง การทำอุตสาหกรรม เป็นพื้นที่อนุรักษ์กลางของทะเล”

ณิชนันท์ ตัญธนาวิทย์

ณิชนันท์ ระบุด้วยว่า ปัจจุบันมีประมาณ​ 15 ประเทศ ที่ให้สัตยาบันต่อ BBNJ แล้ว และต้องการให้ครบ 60 ประเทศเพื่อให้สนธิสัญญามีผลบังคับใช้ ทั้งนี้กำลังผลักดันให้ประเทศไทยลงนาม และให้สัตยาบันสนธิสัญญานี้ด้วย หากต้องการมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการคุ้มครองทะเลระดับโลกในการประชุมรอบแรก ประเทศไทยจะต้องลงนามก่อนเดือนกันยายนนี้

การตั้งเป้าหมาย BBNJ เรื่องพื้นที่คุ้มครองทะเลในเขตทะเลหลวง ยังไม่นับรวมพื้นที่ทางทะเลในรูปแบบชายฝั่ง ที่จะมีความยากลำบากในการจัดการ เนื่องจากความขัดแย้งเรื่องการรับผิดชอบพื้นที่ของรัฐหรือหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงการนิยามการคุ้มครองพื้นที่ทะเลชายฝั่งที่แตกต่างหลากหลายกันไป อย่างพื้นที่อุทยานทางทะเล หรือป่าสงวนฯ เป็นความท้าทายด้านกฎหมายและนโยบายต่อการคุ้มครองพื้นที่ทางทะเลริมชายฝั่งของประเทศไทย

ภาพ : Greenpeace

“เวลาพูดถึงพื้นที่คุ้มครองทางทะเล มันจะซับซ้อน พอมันใกล้พื้นที่ในประเทศ เรามีกฎหมายทำพื้นที่อนุรักษ์ พื้นที่คุ้มครอง สงวน มันจะแยกย่อยไปหลายหน่วยงานที่ดูแล คอนเซ็ปต์พื้นที่เหล่านี้มีความขัดแย้งอยู่ ถ้าทับซ้อนการอยู่อาศัยของกลุ่มชาติพันธุ์ พอเราใช้กฎหมายที่กันคนออกไป มุมมองเรื่องพื้นที่คุ้มครองของรัฐส่วนกลางเลยมาพร้อมกับความขัดแย้ง”

ณิชนันท์ ตัญธนาวิทย์

บทเรียนจากประเทศเพื่อนบ้าน

ณิชนันท์ ยกตัวอย่างประเทศในภูมิภาคที่มีความก้าวหน้าในการจัดการพื้นที่คุ้มครองทางทะเล ทั้งพื้นที่ทะเลชายฝั่ง และทะเลหลวง นั่นคือ ประเทศหมู่เกาะอย่าง ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย

“ประเทศที่มีพื้นที่คุ้มครองเยอะ กระจายอำนาจแบบ Decentralized อย่างฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย การทำประเด็นทางทะเลเขาแอดวานซ์กว่าเรา ฟิลิปปินส์เด่นมากเรื่องการทำพื้นที่คุ้มครองทางทะเล มีการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นจัดการ อินโดนิเซียก็มีเหมือนกัน”

ณิชนันท์ ตัญธนาวิทย์

เธอ ระบุว่า ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีพื้นที่สำคัญที่เรียกว่า Coral Triangle (สามเหลี่ยมปะการัง) ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ยาวไปถึงหมู่เกาะแปซิฟิก ที่เป็นแหล่งระบบนิเวศขนาดใหญ่ที่ต้องได้รับการคุ้มครองร่วมกัน

ตัวอย่างพื้นที่ปกป้องทางทะเลของมูลนิธิมาบูวายา (Mabuwaya Foundation) ที่ร่วมกับชุมชนในลูซอนเหนือ ฟิลิปปินส์ โดยมูลนิธิได้ประสานงานกับสภาบารังไก (สภาหมู่บ้าน) ซึ่งนำไปสู่การรับรู้กฎระเบียบที่สูงขึ้น โดยพบว่าปริมาณปลาเพิ่มขึ้น

รูปปั้นซากปลาวาฬทำจากขยะ โดยกรีนพีซ ฟิลิปปินส์ (ภาพ: euronews)

อีกตัวอย่างคือการใช้วิธีการจัดการทรัพยากรทางทะเลแบบดั้งเดิม จากชุมชนพื้นเมืองในท้องถิ่น ซึ่งเรียกว่า ซาซี (Sasi) ในเขตคุ้มครองทางทะเลราชาอัมพัต (Raja Ampat MPA) ประเทศอินโดนีเซีย นำไปสู่การเพิ่มขึ้นของมวลชีวภาพถึง 250% ในเวลาเพียง 6 ปี และมีฉลามในเขตคุ้มครองมากกว่าภายนอกถึง 25 เท่า

“ถ้าเราคุ้มครองพื้นที่ทะเล สร้างเครือข่ายของการคุ้มครองได้ มหาสมุทรจะสามารถทำหน้าที่เป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนให้พื้นที่ที่มีระบบนิเวศโดดเด่นได้รับการอนุรักษ์และคุ้มครอง ส่งผลดีทั้งต่อการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความหลากหลายทางชีวภาพ”

ณิชนันท์ ตัญธนาวิทย์

สำหรับการเข้าร่วม BBNJ จะช่วยให้ไทยได้รับประโยชน์จากความรู้และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ทะเล ทั้งเรื่องการแบ่งปันผลประโยชน์ และการถ่ายทอดองค์ความรู้และศักยภาพ โดยปัจจุบัน ร่าง BBNJ ฉบับแปลภาษาไทย อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาความคิดเห็นจากหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ ก่อนการรับร่างจะผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active