สัปดาห์แห่งสิ่งแวดล้อมโลก 2025 Greenpeace ประเทศไทย ชวนดูนิทรรศการภาคพลเมือง ทำความเข้าใจ ทะเล มหาสมุทร รวมทั้งมลพิษพลาสติก พลังงานหมุนเวียน 3-8 มิ.ย.นี้ นักรณรงค์ด้านทะเลผลักดันนโยบายปกป้องสิทธิชุมชน หยุดนโยบายเศรษฐกิจที่ทำลายทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
เนื่องในวันที่ 5 มิถุนายน ของทุกปี คือ วันสิ่งแวดล้อมโลก Greenpeace ประเทศไทย ได้จัดกิจกรรมเกี่ยวกับประเด็นรณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อมให้ได้เลือกตามความสนใจ ไม่ว่าจะเป็นทะเลและมหาสมุทร มลพิษพลาสติก และพลังงานหมุนเวียน
โดยในวันที่ 3-8 มิถุนายน 2568 ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) มีการจัดแสดงนิทรรศการ Life on Sand : From seabed to protected area และยังมีวงเสวนาประเด็นร้อน วันที่ 5 มิ.ย. – END THE AGE OF PLASTIC: ยุติมลพิษพลาสติก วันที่ 7 มิ.ย. – Just Energy for All: เปลี่ยนเมืองด้วยพลังงานหมุนเวียนที่สะอาดและเป็นธรรม และวันที่ 8 มิ.ย. – Life on Sand : From seabed to protected area
The Active ได้พูดคุยกับ เกตน์สิรี ทศพลไพศาล นักรณรงค์ด้านทะเลและมหาสมุทร ตัวแทนผู้จัดกิจกรรมจาก Greenpeace ประเทศไทย ถึงความสำคัญของนิทรรศการ Life on Sand โดยตัวแทนกรีนพีซกล่าวว่า นิทรรศการครั้งนี้เล่าเรื่องของวิทยาศาสตร์ภาคพลเมือง (citizen science) เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างชุมชน นักวิจัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมประมง ซึ่งเข้ามาร่วมกันทำงานวิจัย เก็บข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพต่าง ๆ ทางทะเล

โดยมีวัตถุประสงค์ คือ การนำข้อมูลเหล่านี้ไปทำพื้นที่คุ้มครองทางทะเลโดยมีชุมชนเป็นผู้นำหรือที่เรียกว่า “ทะเลชุมชน” อย่างครั้งที่แล้วเราได้เอาผลวิจัยไปคุยกับชุมชนแล้ว แต่ยังไม่เคยเปิดเผยผลนี้ให้คนนอกชุมชนได้เห็น เนื่องในวัน world ocean day ในวันที่ 8 มิ.ย.นี้ จึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะเปิดเผยข้อมูลให้คนที่กรุงเทพฯ คนทั่วไปเห็นว่าทะเลไทยมันมีทั้งแพลงก์ตอน สัตว์หน้าดินอยู่ เพื่อทำให้เห็นว่าสัตว์เหล่านี้มีความสำคัญอย่างไร
ด้านสถานการณ์ทะเลไทย นักวิจัยได้สำรวจ แพลงก์ตอน สัตว์หน้าดิน ไข่ปลา ที่ อ.ปะทิว จ.ชุมพร และ อ.จะนะ สงขลาซึ่งการมีอยู่ของสัตว์เหล่านี้บ่งบอกว่าทะเลไทยสมบูรณ์แค่ไหน ตัวที่รู้สึกทำให้ประหลาดใจมาก คือหนอนธนู เป็นแพลงก์ตอนที่ช่วยควบคุมปริมาณแพลงก์ตอนสัตว์ให้สมดุล เป็นห่วงโซ่อาหาร ถ้าไม่เจอพวกมันก็อาจจะแปลว่า ระบบนิเวศมันพัง ตอนนี้เรายังเจอมันอยู่ นอกจากมันกินแพลงก์ตอนสัตว์ ยังเป็นเหมือนแหล่งอาหารให้สัตว์ใหญ่ อีกตัวที่ช่วยวัดคุณภาพน้ำ ไคโนรินซ์ บ่งบอกว่าตรงนี้มีคุณภาพน้ำที่ดี จริง ๆ เราเจออีกหลาย ๆ ตัว ซึ่งทุกคนสามารถไปดูที่นิทรรศการได้

กรีนพีซทำงานที่ชุมชนชายฝั่งที่ อ.จะนะ จ.สงขลา อ.ปะทิว จ.ชุมพร และ จ.ระนอง ซึ่งมองว่าที่ที่เราทำงานด้วย ทั้งชุมชนชายฝั่ง ประมงพื้นบ้าน เขาก็มองว่ายังมีความอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากเขาไปหาสัตว์ทะเลกลับมาขายได้
ชุมชนเขามีการจัดการงานอนุรักษ์ด้วยตัวเองอยู่แล้ว รู้ว่าไม่ใช้อวนตาถี่ มีการวางซังตอ ไม่จับปลาฤดูวางไข่ เป็นองค์ความรู้ที่มีอยู่แล้ว รู้ว่าถ้าใช้เครื่องมือที่จับมากไปหรือผิดกฎหมายก็อาจจะส่งผลต่อความหลากหลายทางชีวภาพในอนาคต
ชุมชน มี know-how อยู่แล้ว ว่าจะทำอย่างไรไม่ให้เสียสมดุล ซึ่งที่เราทำงานด้วย ก็มีปรากฏการณ์เจอน้ำทะเลที่อุณหภูมิสูงขึ้น แต่ชาวประมงก็เรียนรู้ที่จะสร้างสมดุลและปรับตัวกับมัน ชาวประมงใช้วิธีสังเกตได้ ว่าช่วงนี้น้ำอุณหภูมิสูงขึ้น หมึกน้อยลง แต่คนที่จะมาช่วยยืนยันว่าสิ่งที่ชาวประมงสังเกตเป็นเรื่องจริงคือการทำงานร่วมกันของนักวิจัยกับชุมชน
อีกอย่างคือตอนนี้ทะเลไทยเจอปัญหาเรื่องประมงพาณิชย์มาค่อนข้างมาก แต่ก็มีระเบียบข้อบังคับอยู่แล้วอย่าง การทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing หรือ IUU)
“สิ่งที่ทำงานเราอยากทำงานร่วมกับชุมชนชายฝั่ง ก็คือช่วยกันไม่ให้ภัยคุกคามเหล่านี้มากขึ้นไปอีก เช่น หยุดกฎหมายประมงมาตรา 69 หยุดโครงการนิคมอุตสาหกรรมชายฝั่ง และแลนบริดจ์ ท่าเรือน้ำลึก เราคิดว่า สิ่งหนึ่งที่จะทำให้ทะเลไม่แย่ลงไปกว่านี้คือการหยุดภัยคุกคามต่าง ๆ”
ข้อสนอของกรีนพีซมีหลัก ๆ 2 ข้อ คือ 1.) ปกป้องสิทธิชุมชนชายฝั่ง และส่งเสริมการมีส่วนร่วม ในการจัดการบริหารทรัพยากร หรือที่เรียกว่า Marine Protected Areas คือ การสร้างพื้นที่คุ้มครองทางทะเลโดยชุมชนและผู้นำ 2.) หยุดนโยบายทางเศรษฐกิจที่จะทำลายทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เช่น การทำประมงผิดกฎหมาย หรือโครงการนิคมอุตสาหกรรมชายฝั่ง
นโยบายอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม คือนโยบายที่เราอยากเห็น เพราะเมื่อมีการจัดการทรัพยากรทางธรรมชาติต้องมีคนได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ เราต้องการให้รัฐมองในมุมว่า เอาคนที่เป็นชุมชนท้องถิ่นที่อยู่กับสิ่งแวดล้อมตรงนั้น อยู่กับทรัพยากรตรงนั้น ซึ่งมีส่วนช่วยบริหารจัดการทรัพยากร ให้เข้าไปอยู่ในใจกลางของนโยบาย เป็นการดูแลสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่มาจากฐานล่าง
ซึ่งนโยบายที่เราผลักดันการคุ้มครองพื้นที่ทางทะเลก็จะไปสอดคล้องกันกับกฎหมายประมงที่แก้อยู่ จริง ๆ อยู่ในขั้นกรรมาธิการร่วมระหว่าง สส.และ สว.กำลังพิจารณาอยู่ว่าจะเป็นอย่างไรต่อ ทางประมงพื้นบ้านจับตามองไม่ให้มันเกิดขึ้นได้จริง ถ้าเกิดก็อาจส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมในทะเล
อีกอย่างที่อยากเน้นย้ำคือ ช่วงนี้ประเทศไทยให้ความมุ่งมั่นว่าจะทำพื้นที่อนุรักษ์ 30×30 ทั้งบนบกและในน้ำภายในปี 2030 ซึ่งสิ่งที่เรากังวล เฝ้าจับตามองคือ ไม่อยากให้ประกาศพื้นที่อนุรักษ์โดยไม่ได้ทำงาน ทำความเข้าใจกับชุมชน อย่างกลุ่มชาติพันธุ์บางที่ก็ได้รับผลกระทบจากการประกาศเป็นพื้นที่อุทยาน ทำให้หากินไม่ได้ททั้งที่เขามีองค์ความรู้ เช่น ชาวอุรักลาโว้ย ได้รับผลกระทบจากพ.ร.บ.อุทยานที่เกาะลันตา
มีกลุ่มทำงานอนุรักษ์หลายกลุ่มที่พยายามมาสร้างพื้นที่คุ้มครองทางทะเลและบนบก สิ่งที่น่ากังวลคือนโยบายที่ขัดแย้งกันเองของรัฐ เช่น มีแผนจะสร้างแลนด์บริดจ์ ฝั่งระนอง ใกล้กับระนอง biosphere พื้นที่สงวนชีวมณฑลระนอง เป็นพื้นที่ป่าชายเลนที่ได้รับการจดทะเบียนโดยยูเนสโก้ พอสร้างอาจจะเสี่ยงจากการหลุดเป็นพื้นที่สงวน กลายเป็นว่าเราอาจจะไปไม่ถึง พื้นที่ 30 x 30 ขณะเดียวกันรัฐพยายามออกนโยบายอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม อนุรักษ์ทะเล เหมือนว่ารัฐจะเอาทั้งสองอย่าง แต่นโยบายพัฒนาเศรษฐกิจไม่ไปกับนโยบายสิ่งแวดล้อม
กรีนพีซคิดว่ามันไปด้วยกันได้ ในระดับชุมชน อย่างวิสาหกิจชุมชน หรือกลุ่มที่พยายามหาของดี ภูมิปัญญาท้องถิ่นมาผลิตเป็นสินค้าออกมา ทำไมรัฐไม่เลือกสนับสนุนตรงนั้น เพื่อให้ได้ไปถึง พื้นที่ 30 x 30 ที่มีประสิทธิภาพและแฟร์กับทุกฝ่ายมากขึ้น
สุดท้ายนี้ถ้าอยากรู้รายละเอียดการทำนโยบายอนุรักษ์แบบ bottom-up นั้นมีความสำคัญอย่างไร มีประโยชน์อย่างไร ในกิจกรรมวันที่ 8 มิ.ย. ก็จะมีวงวงเสวนาในประเด็นเหล่านี้ จึงอยากเชิญชวนทุกคนที่สนใจมาดูนิทรรศการ
โดยจะมีน้อง ๆ จากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาช่วยส่องกล้องจุลทรรศน์ เสมือนกับเราได้ไปดูสัตว์จิ๋วหน้าดินบนเรือใกล้ ๆ อีกทั้งมีของรางวัลสำหรับคนที่มาดูครบทั้งนิทรรศการ เป็นภาพพิมพ์ปลาจาก อ.จะนะ จ.สงขลา