ร้อง นายกฯ – กมธ.พัฒนาการเมืองฯ ค้านดึง ‘ปราจีนบุรี’ ร่วมวง EEC 

‘เครือข่ายปราจีนเข้มแข็ง’ เผย กระบวนการรับฟังความเห็นไม่รอบด้าน เมินเสียงประชาชน ชี้ ปัญหาสิ่งแวดล้อมค้างคา ยังไร้แผนฟื้นฟู ย้ำ “ไม่ต้องการเป็นถังขยะโลก”

วันนี้ (12 มิ.ย. 68) เครือข่ายปราจีนเข้มแข็ง ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี และ คณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร เพื่อคัดค้านการขยายพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มาที่ จ.ปราจีนบุรี

สุนทร คมคาย ผู้แทนเครือข่ายปราจีนเข้มแข็ง ระบุว่า กระบวนการศึกษาความเหมาะสมในการขยายพื้นที่ EEC ซึ่งดำเนินการโดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ คณะกรรมการ EEC และ สถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยังขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง ผู้เข้าร่วมเวทีรับฟังความคิดเห็นส่วนใหญ่เป็นตัวแทนจากหน่วยงานราชการ ขาดการนำเสนอข้อมูลด้านศักยภาพพื้นที่อย่างรอบด้าน และไม่สะท้อนมุมมองของกลุ่มเกษตรกร แรงงาน เยาวชน และผู้สูงอายุ

หวั่น มลพิษสะสม ปัญหาเก่ายังไร้แนวทางฟื้นฟู

สุนทร บอกอีกว่า เครือข่ายฯ ยังกังวลต่อ ปัญหามลพิษสะสม จากการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ผ่านมา ในพื้นที่ จ.ปราจีนบุรี โดยยังไม่มีแผนฟื้นฟูหรือการเอาผิดต่อผู้ก่อมลพิษอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับพฤติกรรมของกลุ่มทุนต่างชาติ โดยเฉพาะทุนจีน ที่อาจเกี่ยวข้องกับการลักลอบใช้ทรัพยากร การจ้างแรงงานผิดกฎหมาย และการหลีกเลี่ยงข้อกฎหมาย ซึ่งอาจกระทบต่อความมั่นคงในชุมชนอย่างรุนแรง

วอน กมธ. ช่วยระงับขยายพื้นที่ EEC ไป ปราจีนบุรี

โดยขอให้คณะกรรมาธิการฯ ดำเนินการ ขอสำเนาขอบเขตงาน (TOR) ของโครงการศึกษาการขยายพื้นที่ EEC เพื่อตรวจสอบว่ากระบวนการรับฟังความคิดเห็นในพื้นที่ เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ ขอรายงานสรุปเวทีรับฟังความคิดเห็นที่จัดขึ้น พร้อมรายชื่อผู้เข้าร่วมและข้อเสนอจากประชาชน ขอให้ผลักดันให้มีการระงับกระบวนการขยายพื้นที่ EEC ใน จ.ปราจีนบุรี ไว้ก่อน และเสนอให้ดำเนินการจัดทำ การประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) อย่างรอบด้านและเปิดเผย โดยมีประชาชนมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน พร้อมยืนยันว่า การเดินหน้าโครงการโดยยังไม่มีมาตรการรับประกันสิทธิของประชาชน หรือกลไกการมีส่วนร่วมที่ชัดเจน จะยิ่งซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้าง และอาจเปิดช่องให้กลุ่มทุนเข้าครอบงำพื้นที่โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบในระยะยาว 

ภาพ : หยุดอีอีซีปกป้องปราจีนบุรี 

กมธ.ย้ำ การพัฒนาต้องอยู่บนฐานการมีส่วนร่วมประชาชน

พงศธร ศรเพชรนรินทร์ รองประธาน กมธ.การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ในฐานะตัวแทนรับหนังสือ บอกว่า เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เริ่มต้นในยุครัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยประกาศพื้นที่นำร่องใน จ.ชลบุรี จ.ฉะเชิงเทรา และ จ.ระยอง แต่เมื่อมีแนวโน้มจะมีการขยายพื้นที่เพิ่มเติม จึงมีความจำเป็นต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง โดยเฉพาะ จ.ปราจีนบุรี ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการประเมินผลกระทบในระดับยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุม

เบื้องต้นจะส่งเรื่องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของคณะกรรมาธิการฯ และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นที่มีนัยยะสำคัญ โดยย้ำว่าจำเป็นต้องฟังเสียงของประชาชนปราจีนบุรีว่าต้องการเห็นการพัฒนาในจังหวัดของตนในทิศทางใด

อย่างไรก็ตาม จากบทเรียนในพื้นที่ EEC เดิม พบว่ามีปัญหาหลายด้าน อาทิ การเข้ามาของทุนสีเทา การเปิดช่องให้กลุ่มทุนต่างชาติเข้ามาดำเนินธุรกิจโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบ เช่น กรณีศูนย์เหรียญ และแรงงานผิดกฎหมายที่แฝงตัวผ่านระบบฟรีวีซ่า รวมถึงปัญหาการส่งเสริมการลงทุนที่ไม่ใช้วัตถุดิบในประเทศ การนำวัสดุก่อสร้างจากต่างประเทศโดยไม่สนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่น ปัญหาขยะ มลพิษ และการจัดตั้งโรงงานที่ไม่มีการรับฟังความเห็นของชุมชนในพื้นที่อย่างเพียงพอ 

“ถึงเวลาแล้วที่ต้องทบทวนบทเรียนเหล่านี้ และพิจารณาร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น คำสั่ง คสช. ที่ยกเว้นการใช้ผังเมืองในพื้นที่ EEC พร้อมย้ำว่า การพัฒนาในจังหวัดปราจีนบุรีจะต้องเกิดขึ้นบนพื้นฐานของกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งจะเป็นแนวทางที่คณะกรรมาธิการฯ จะนำไปพิจารณาอย่างรอบคอบในลำดับต่อไป”

พงศธร ศรเพชรนรินทร์

ภาพ : หยุดอีอีซีปกป้องปราจีนบุรี 

จากนั้น เครือข่ายปราจีนเข้มแข็ง ยังได้ยื่นหนังสือที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อขอให้นายกรัฐมนตรี ทบทวนการขยายพื้นที่ EEC ไปยัง จ.ปราจีนบุรี พร้อมยืนยันว่า “ไม่เอาEEC และจะไม่เป็นถังขยะโลก ในการพัฒนาไม่ควรจะทิ้งใครไว้ข้างหลัง”

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active