‘ปราจีนบุรี’ ต้องไม่เป็นจังหวัดที่ 4 ใน EEC จี้รัฐ ทบทวนผลกระทบ ก่อนตัดสินใจ

‘เครือข่ายปราจีนเข้มแข็ง’ ย้ำ เจตนารมณ์ ยก 6 เหตุผล คัดค้านการนำ จ.ปราจีนบุรี เข้าร่วม EEC ชี้ กฎหมายเกิดยุค คสช. ขาดการมีส่วนร่วม ประกาศยกระดับเป็นวาระประชาชน หยุดขบวนการ “ยกปราจีน ให้นายทุนจีน”

เมื่อวันที่ (16 มิ.ย. 68) ณ ที่ว่าการอำเภอกบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี เครือข่ายปราจีนเข้มแข็ง พร้อมด้วยองค์กรภาคีเครือข่าย รวมตัวเดินทางเพื่อติดตามทวงถามการแก้ไขปัญหามลพิษในพื้นที่ พร้อมประกาศยืนยันเจตนารมณ์ ขยายพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC มาที่ จ.ปราจีนบุรี

สุนทร คมคาย ผู้แทนเครือข่ายปราจีนเข้มแข็ง ย้ำผ่านแถลงการณ์ ว่า เครือข่ายฯ ขอคัดค้านการนำ จ.ปราจีนบุรี เข้าสู่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) มีการจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เพื่อขยายพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC มาที่ จ.ปราจีนบุรี ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เครือข่ายปราจีนเข้มแข็งและภาคีเครือข่ายไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับแนวคิดดังกล่าว โดยให้เหตุผลสำคัญดังนี้

ภาพ : นราธิป ทองถนอม มูลนิธิบูรณะนิเวศ (EARTH)
  1. พ.ร.บ. EEC เป็นกฎหมายที่สร้างความเหลื่อมล้ำ ระหว่างพลเมืองไทยกับนายทุนต่างชาติ แบบสุดขั้ว โดยการลดแลกแจกแถม นายทุนต่างชาติในหลายมิติ 

  2. เป็นกฎหมายที่เกิดขึ้นในยุครัฐบาลคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ที่อาศัยอำนาจพิเศษ ม.44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ.2557 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ปิดกั้นการมีส่วนร่วมของประชาชน มากที่สุดฉบับหนึ่ง 

  3. การบริหารงานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ภายใต้กฎหมาย EEC ตั้งแต่ พ.ศ 2561 ถึงปัจจุบัน ถือเป็นความล้มเหลว โดยเฉพาะประเด็นการควบคุม และจัดการมลพิษ ขยะพิษ และกากอุตสาหกรรมอันตราย ที่ไม่สามารถกำกับควบคุม ติดตาม และจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนเกิดเป็นปัญหาเพิ่มขึ้นเป็นข่าวแทบรายวัน

  4. กฎหมาย EEC กลาย เป็นเครื่องมือเพื่อประโยชน์ ให้กลุ่มธุรกิจสีเทา ไปสู่การกระทำผิดหรือละเลยความรับผิดชอบต่อประชาชน ผู้เป็นเจ้าของประเทศ ในด้านต่างๆ เช่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรม สิทธิชุมชน จนถึงทำให้คนท้องถิ่นดั้งเดิมกลายเป็นพลเมืองชั้นสอง

  5. การขยายพื้นที่ EEC มายังจังหวัดปราจีนบุรี โดยอ้างถึงเหตุผลทางเศรษฐกิจเป็นที่ตั้ง และมองมิติด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม พื้นที่เกษตร มิติด้านสังคมวัฒนธรรม เป็นเรื่องรอง โดยอ้างว่าการพัฒนาต้องยอมแลกกันบ้างเพื่อความเจริญ ทั้งที่ความเจริญเหล่านั้นไม่ได้เป็นของประชาชนในพื้นที่โดยตรง แต่เป็นของนายทุนต่างชาติมากกว่า

  6. สำนักงาน EEC ต้องประเมินผลสัมฤทธิ์ของการใช้กฎหมาย ตามเงื่อนไขที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ เพื่อให้เห็นข้อดีข้อเสีย ของกฎหมายที่ใช้มานานกว่าห้าปี ก่อนที่จะนำกฎหมายนี้มาใช้กับจังหวัดปราจีนบุรี 
ภาพ : นราธิป ทองถนอม มูลนิธิบูรณะนิเวศ (EARTH)

สุนทร ยังระบุว่า เหตุผลทั้ง 6 ข้อนี้ เป็นข้อสังเกตเบื้องต้น จากเครือข่ายปราจีนเข้มแข็งและองค์กรภาคีเครือข่ายอื่น ๆ ที่มารวมตัวกัน หากเป็นเหตุผลมากพอที่จะบอกกับรัฐบาลและ คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ซึ่งเครือข่ายฯ ขอประกาศคัดค้านนโยบายนี้จนถึงที่สุด จากนี้ไปจะทำการสื่อสารทุกรูปแบบเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจต่อประชาชนชาว จ.ปราจีนบุรี ให้เห็นถึงภัยคุกคามที่กำลังเข้ามาผ่านระบบกลไกและเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก 

“เราจะประสานกับองค์กรภาคีเครือข่ายภาคตะวันออก ให้ออกมาส่งเสียงเรียกร้อง และเคลื่อนไหวร่วมกันเพื่อให้เป็นวาระประชาชนเพื่อหยุดขบวนการยกปราจีน ให้นายทุนจีน จนกว่าจะบรรลุจุดหมาย จึงแถลงมา ณ โอกาสนี้ด้วยความเชื่อมั่น”

สุนทร คมคาย


Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active