20 ปี เหลียวหลัง แลหน้า ‘ภาคใต้แห่งความสุข’

ขับเคลื่อนบนความมั่นคงในชีวิต 4 มิติ พร้อมเดินหน้ากำหนดตัวชี้วัดนโยบายภาคใต้แห่งความสุข 

เมื่อเร็ว ๆ นี้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตตรัง, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ ภาคีภาครัฐ, สมัชชาสุขภาพจังหวัดตรัง และภาคีเครือข่ายภาคใต้ ร่วมจัดงาน “สร้างสุขภาคใต้ ครั้งที่ 14” ภายใต้แนวคิด 20 ปี ปลุกพลังวิถีถิ่นใต้ สู่สุขภาวะแห่งอนาคต

ไมตรี จงไกรจักร์ กรรมการสุขภาพแห่งชาติ สรุปผลการขับเคลื่อนงานสร้างสุขภาคใต้ 20 ปี สู่ภาคใต้แห่งความสุข ว่า งานสร้างสุขภาคใต้ คือ พื้นที่กลางที่สร้างให้เกิดกระบวนการเชื่อมร้อยเครือข่าย สานพลัง ในการผลักดัน และขับเคลื่อนกระบวนการนโยบายสาธารณะให้เกิดความมั่นคง 4 ประเด็น และรูปธรรมความสำเร็จ ประกอบด้วย

  1. การขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืน วนเกษตร และสวนยางยั่งยืนในพื้นที่ภาคใต้ โดยเครือข่ายเกษตรกรรมและอาหารเพื่อสุขภาพภาคใต้ และการยกระดับพื้นที่เป็นชุมชนสีเขียวเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านความมั่นคงทางอาหารจำนวน 5 รูปแบบ คือ ชุมชนเกษตรกรรมยั่งยืน, ชุมชนลุ่มน้ำสีเขียว, ชุมชนเกษตรอัตลักษณ์, ชุมชนประมงยั่งยืน และชุมชนท่องเที่ยวสีเขียว โดยมีพื้นที่นำร่องในภาคใต้ 21 พื้นที่

  2. ความมั่นคงทางสุขภาพ มีข้อเสนอเชิงนโยบาย เรื่อง กองทุนส่งเสริมสุขภาวะระดับจังหวัด และคณะกรรมการสุขภาวะระดับจังหวัด นำร่องขับเคลื่อนในจังหวัดสุราษฎร์ธานี และภูเก็ต เพื่อบูรณาการกลไกและแหล่งทุนต่าง ๆ ในระดับจังหวัดให้เกิดการทำงานแก้ไขปัญหาปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ

  3. ความมั่นคงทางมนุษย์ ขับเคลื่อนเรื่องการเตรียมรองรับสังคมสูงวัย โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มวัย ตั้งแต่วัยเด็ก 0-5 ปี วัยเรียน-วัยรุ่น 6 – 20 ปี วัยทำงาน 21 – 59 ปี และวัยผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป เกิดแผนการเตรียมรองรับสังคมสูงวัยจึงประกอบไปด้วย 5 ด้าน คือ สุขภาพดี เศรษฐกิจมีเงินออม สภาพแวดล้อมปลอดภัย สังคมเข้าถึงสิทธิสวัสดิการ และสื่อสารเทคโนโลยีทันโลก

  4. ความมั่นคงทางทรัพยากรธรรมชาติ ได้ขับเคลื่อนข้อเสนอเชิงนโยบายในประเด็น พื้นที่พิเศษการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชนเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน นำร่องในพื้นที่  ตำบลศาลาด่านโมเดล อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ และมะรุ่ยแห่งความสุข ตำบลมะรุ่ย อำเภอทับปุด จังหวัดพังงา เกิดเป็นแผนการจัดการทรัพยากรและบูรณาการกลไกของภาคีหน่วยงานต่าง ๆ ในระดับตำบลและอำเภอ และในข้อเสนอการจัดการภัยพิบัติโดยชุมชนท้องถิ่นภาคใต้ ได้นำเสนอต่อคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) และผลักดันเข้าสู่คณะรัฐมนตรี เพื่อให้ข้อเสนอถูกนำไปขับเคลื่อนโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ไมตรี จงไกรจักร์ กรรมการสุขภาพแห่งชาติ

ปัจจุบันมีภาคีเครือข่ายสร้างสุขภาคใต้ที่เข้าร่วมกระบวนการสานพลังขับเคลื่อนเชิงนโยบายมาตั้งแต่ครั้งที่ 9 – 13 จำนวน 4,027 คน

20 ปี มองความสุขคนทำงาน-ชุมชนขับเคลื่อนสร้างสุขภาคใต้ แม้ยังไม่เห็นความสุขมวลรวม ยังขาดตัวชี้วัดความสุข

ในเวทีสาธารณะ 20 ปี ความสุขคนใต้ “เหลียวหลัง แลหน้า เพื่อภาคใต้แห่ง ความสุข” ในมุมของ ชาคริต โภชะเรือง ผู้แทนประเด็นความมั่นคงทางสุขภาพ มองว่า ในส่วนของคนทำงาน เครือข่ายที่ทำงาน เชื่อว่าทุกคนในภาคใต้มีความสุข แต่โดยภาพรวมคิดว่ายังไม่เจอ เพราะไม่มีตัวชี้วัดชัดเจนเพื่อมาบอกอะไรได้จริง ๆ ไม่อาจรู้ได้เลยว่ากระบวนการที่ทำกันอยู่เกิดปัญหา เกิดความสุข หรือเกิดผลกระทบมากน้อยแค่ไหน

ไพฑูรย์ ทองสม ผู้แทนประเด็นความมั่นคงของมนุษย์ มองเห็นความสุข แต่เป็นความสุขกะปริดกะปรอย คือความสุขเล็ก ๆ อยู่ในชุมชน อยู่ในคนทำงาน แต่ว่าความสุขมวลรวมที่จะบอกใครต่อใครได้ว่าภาคใต้มีความสุข ก็ต้องยอมรับว่ายังตอบไม่ได้อย่างชัดเจน ว่ามันคือความสุขหรือยัง แม้ว่าจะพยายามในการหาตัวบ่งชี้ หาคุณลักษณะต่าง ๆ ว่า ภาคใต้มีความสุขก็ตาม แต่อย่างน้อย ๆ 20 ปีที่ผ่านมา ความสุขเล็ก ๆ ที่กระจายไปในชุมชนในภาคใต้ทั้งหมด ก็เป็นตัวตอบได้อยู่ว่า ถ้าไม่มีงานงานสร้างสุขภาคใต้ ปัญหาต่าง ๆ อาจจะพุ่งมากไปกว่านี้ เช่น โรค NCDs, ปัญหาบุหรี่ ทั้งนี้กระบวนการสร้างสุขภาคใต้ ก็สร้างสุขเล็ก ๆ ให้คนทำงานและในชุมชนอยู่ แต่ความท้าทายต่อไปคือจะเป็นความสุขรวมหมู่ได้อย่างไร

เอกณัฐ บุญยัง ผู้แทนประเด็นความมั่นคงทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มองว่า ที่ผ่านมามีการปฎิบัติการเชิงโครงการเป็นหลัก เมื่อถามว่าความสุขของแต่ละหน่วย อันนี้แต่ละหน่วยตอบได้ชัดมาก แต่ความสุขของคนใต้จริง ๆ ยังไม่มีใครที่จะลุกขึ้นมาออกแบบรูปแบบกระบวนการที่จะมาทำเรื่องนี้แบบเป็นเรื่องเป็นราว เพื่อให้ทุกคนหรือคนใต้เห็นร่วมกันว่า สิ่งนี้คือปลายทางของความสุขที่อยากทำ 

“เพราะฉะนั้นมันวัดยาก คำถาม ถ้าจะทำให้เกิดความสุขแต่ละหน่วยจะวัดเชิงประเด็น หรือว่าเชิงพื้นที่ นี่เป็นอีกโจทย์หนึ่งที่คุยกันเยอะพอสมควร แต่ถ้าข้อเท็จจริงที่เราดูตัวสถานการณ์ หากจะวัดความสุขมันไม่ใช่วัดเชิงประเด็น แต่มันต้องวัดเชิงพื้นที่มากกว่า เพราะว่ารูปแบบการจัดการเราไม่ใช่หน่วยงานรัฐที่ทำงานแยกเป็นแต่ละหน่วย แต่ว่าเราเป็นผู้รับประโยชน์จากหน่วยงานรัฐ เพราะฉะนั้นถ้าสร้างขี้น กางขึ้นมาแล้วมีหน่วยที่ลุกขึ้นมาทำเรื่องนี้แบบเป็นเรื่องเป็นราว คิดว่าจะเห็นภาพชัดเจนขึ้น ทีมกลางที่มีความคาดหวังก็คือน่าจะเป็นหน่วยของวิชาการส่วนหนึ่ง คือหน่วยวิชาการทางการศึกษารวบรวมประมวลเรื่องราวต่าง ๆ แล้วมาสร้างค่ากลางความสุขของคนใต้จริง ๆ”

เอกณัฐ บุญยัง

กำราบ พานทอง ผู้แทนประเด็นความมั่นคงทางอาหาร เห็นว่า หากมองในภาพรวมก็เป็นอีกคนที่ยอมรับว่าตัวชี้วัดเรายังไม่ชัดเจน แต่ถ้าในแง่ของบุคคลหรือตามหลักพุทธศาสนา ความสุขก็คือการมีทุกข์น้อย การมีทุกข์น้อยทางด้านกาย ทางด้านจิต ทางด้านสังคมทางด้านปัญญา ทางด้านวิญญาณ ตนเข้าใจว่าแต่ละคนสามารถบอกได้วัดไม่ยากภาคใต้เราสะท้อนจากหลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องศิลปะ วัฒนธรรม เรื่องของวิถีชีวิตถ้ามองภาพรวมมองแบบนี้ เข้าใจว่าขนาดนี้คนใต้มีความสุขลดลง สาเหตุเพราะว่า เจอแรงบีบคั้นหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ รายได้ตกต่ำจากยางพารา ทุเรียน จากปาล์ม หรือแม้กระทั่งภาวะโลกร้อนและวิกฤตต่าง ๆ ในภาคใต้ตั้งแต่น้ำท่วม ภัยแล้ง เข้าใจว่าสิ่งเป็นนี้ความทุกข์ที่มันเพิ่มขึ้นทำให้ความสุขลดลง  

“ที่อยากเห็นก็คือความสุขมวลรวม มันไม่มีในระดับชาติ นโยบายนี้ยังไม่เกิด เพราะฉะนั้นความสุขโดยรวมที่อยากเป็นเช่นประเทศภูฏาน ถ้ามันมีในภาคใต้แล้วเราสร้างขึ้นมา อันนี้อาจจะตอบได้”  

กำราบ พานทอง

สร้าง Sand box รูปธรรมความสุข 3-5 พื้นที่/จังหวัด 

ไพฑูรย์ ยังเสนอว่า ต้องทำเรื่องนี้ให้เป็นขบวนการสร้างสุขภาคใต้ และต้องไปอยู่ในพื้นที่ ทำอย่างไรให้เกิดพื้นที่ Sand box สักพื้นที่หนึ่ง ทั้ง 4 ความมั่นคง ลงไปทำให้เห็นผลในระดับพื้นที่ ไล่ไปแต่ละประเด็น สุดท้ายก็อาจจะตอบความสุขรวมหมู่ของภาคใต้ได้ อาจจะนำร่องจังหวัดละ 3-5 พื้นที่ จะต้องเน้นพื้นที่ในระดับตำบล เหตุผลที่ต้องใช้ระดับตำบลก็เพราะว่า มีทรัพยากร มีองค์กร มีอำนาจหน้าที่ มีกฎหมายรองรับที่จะเคลื่อน เช่น พัทลุงมหานครแห่งความสุข แล้วก็มีของกระบี่ที่เป็นโครงการนำร่อง และกำลังขยายไปที่ปัตตานี แล้วก็มีนครศรีธรรมราชเตรียมขยับในปีนี้

ขณะที่ กำราบ ก็มองว่า ตอนนี้ เป้าหมายและความศรัทธาของคนใต้ยังไม่แน่นพอ ยังไม่สอดคล้องกับวิถีจริง ๆ ของคนใต้ อีกทั้งคนใต้ต้องออกแบบกลยุทธ์ที่เข้มข้นมากกว่านี้ เรียกง่าย ๆ ว่า รวมทุกร่วมสุขกันจริงจัง ให้เป็นเพื่อนเป็นไกลกันจริง ๆ เลย ต้องรู้จักทุกข์สุขและการแบ่งปัน แต่ว่าวิธีเดินไปสู่การแบ่งปันทำอย่างไร เป็นภาพที่เห็นสุดท้ายเลยเข้าใจว่าคนใต้ถ้าอยู่ด้วยกันมีศีลธรรมเข้าถึงศาสนาจริง ๆ ที่เรียกว่าใช้ปัญญาหลายเรื่องพอใช้ปัญญา มีปราชญ์ แต่เวลาเสนอ ก็เลยนึกออกไป หรือเสนอโครงการจะไม่เห็นภาพพวกนี้ เพราะฉะนั้นเห็นว่า สิ่งที่ต้องสร้าง คือ ศรัทธา ให้เกิดการมีทุกข์มีสุขร่วมกัน หมายถึงว่า แก้ไขปัญหาร่วมกันอย่างที่เห็นทุกข์เห็นสุขร่วมกันให้ได้ สุดท้ายก็คือใช้ปัญญาความรู้อย่างเดียวอาจไม่พอ ทำอย่างไรให้บูรณาการร่วมกันถึงจะไปได้

ส่วน เอกณัฐ ยังระบุ ถึงโอกาสก่อนความเป็นไปได้ในส่วนของกระบวนการนี้ ถ้าจะทำให้โรดแมปนี้เป็นจริง มีโอกาสอยู่ มีความพยายามในการพัฒนารูปแบบการจัดการเชิงพื้นที่ร่วมกันโดยจุดเริ่มต้นจริง ๆมาจากงานวิจัยประชาธิปไตยตามอัตลักษณ์ ที่นำร่องที่พัทลุง หลังจากนั้นก็มีการแตกยอดไปอีกหลายส่วนในกระบวนการของการขับเคลื่อนในส่วนของ วช. ที่เป็นองค์กรสนับสนุน พูดถึงแนวคิดเรื่องจังหวัดบูรณาการก็คือการทำงานร่วมข้ามประเด็น ไม่ได้มองเฉพาะประเด็นใดประเด็นหนึ่งในการขยับ ส่วนหนึ่งพยายามสร้างให้เกิดกลไกกลาง 

ในขณะเดียวกันภาคประชาสังคมของภาคใต้ ก็มีการรวมกลุ่มรวมตัวสร้างเป็นสภาประชาชนภาคใต้ เป็นชุดนำร่องเพราะฉะนั้นความเป็นไปได้ภายใต้ข้อเสนอนี้ ในการจัดการในการจัดการเชิงพื้นที่มีความเป็นไปได้สูงมาก ถ้าจะขยับจริง ๆ น่าจะเป็นพื้นที่นำร่องที่จะนำไปสู่การขยายผลไปอีกหลายหลาย ๆ ส่วน

“แต่ประเด็นหนึ่งที่เป็นข้อจำกัดจะไม่พูดถึงก็ไม่ได้ ในส่วนของการวัดผลภาพความสำเร็จอย่าลืมว่ามันมีการวัดผลที่เป็นวัดผลเชิงโครงการหน่วยงานอยู่ สช. จะมีรูปแบบอย่างนึง แต่ละหน่อยก็จะมีรูปแบบอย่างนึง เพราะฉะนั้นถ้าจะข้ามพ้นมันจริง ๆ เราใช้เรื่องเหล่านี้เป็นเครื่องมือเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติการร่วมของพื้นที่ร่วมกัน สร้างระบบการจัดการร่วมตั้งแต่การจัดการข้อมูลร่วมกันเลย วันนี้ทุกคนพูดถึงเรื่องข้อมูลเยอะมาก แต่ถ้าถามจริง ๆ มันมีร่วมกันจริง ๆ ไหม มีรูปแบบในการจัดการ จะทำยังไงให้เกิดกลไกที่ให้ทุกภาคส่วนได้มานั่งคุยกันเพื่อเอาเนื้อหาในการปฎิบัติการเข้าไปสู่การขับเคลื่อน”  

เอกณัฐ บุญยัง

เช่นกันกับ ชาคริต ที่ชวนต่อยอดเรื่องนี้ โดยเสนอเป็นประเด็นสาธารณะ หมายถึงว่า พัฒนาตัวชี้วัดตรงนี้ด้วยกัน เอามาลองทำ แต่การลองทำตรงนี้ก็คือในเครือข่าย กระบวนการเครือข่ายมาลองทำก่อน แล้วพอสักพักเข้าสู่ระบบ ต้องมีช่วงเปลี่ยนผ่าน ถ้าคาดหวังว่าปลายทางให้งานของเรื่องการสร้างความสุขมันไปถึงตัวในระบบสุขภาพ หรือระบบอะไรก็แล้วแต่ 

“สเตปแรกก็คือในงานสร้างสุขภาคใต้ ควรจะต้องมีตัวนี้ ถ้าไม่ทำเรื่องนี้เราจะตอบใครไม่ได้ ก็ต้องมาตอบแบบนี้ทุกปี และสุดท้ายถ้าเราแปลงไปสู่การปฏิบัติไม่ได้ มันก็จะกลายเป็นแค่วาทกรรม ดังนั้นต้องข้ามพ้นเรื่องการเป็นโปรเจคก่อน และอีกแนวคิดสำคัญ เรื่องนี้ควรจะเปิดพื้นที่ของการทำงานกับภาคีอื่นเข้ามา ไม่เช่นนั้นไม่ปลดล็อกวิธีคิดตรงนี้จะถูกผูกขาดว่าแค่เราเป็นเจ้าของงาน”  

ชาคริต โภชะเรือง 

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส.

ภาควิชาการ ตอบรับ พร้อมเดินหน้าหาตัวชี้วัดความสุขภาคใต้ ขับเคลื่อนนโยบายภาคใต้แห่งความสุข

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส. บอกว่า ท่ามกลางความท้าทายในสถานการณ์ปัจจุบัน จำเป็นต้องสร้างความเข้มแข็งทางสุขภาวะ พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ งานสร้างสุขภาคใต้ จึงเป็นเวทีกลางที่เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนร่วมกันกำหนดแนวทางการทำงาน และผลักดันข้อเสนอเชิงนโยบายที่จะพัฒนาภาคใต้ให้ก้าวข้ามข้อจำกัด และมุ่งสู่ความสุขอย่างยั่งยืน โดยได้ต่อยอด 4 ประเด็นสำคัญ พัฒนาเป็นข้อเสนอเชิงนโยบาย 

  1. ความมั่นคงทางอาหาร ขับเคลื่อนระบบเกษตรและอาหารที่ยั่งยืน 

  2. ความมั่นคงทางมนุษย์ สานพลัง 5 ดี สู่วิถีความสุข ให้ทุกกลุ่มวัยได้เข้าถึง การเรียนดี ดูแลดี เศรษฐกิจดี ที่อยู่อาศัยดี และสังคม

  3. ความมั่นคงทางสุขภาพ เน้นการสร้างเสริมสุขภาพทุกกลุ่มวัย และป้องกันปัญหาบุหรี่ โรคไม่ติดต่อ และสุขภาพจิต 

  4. ความมั่นคงทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผลักดันการจัดการทรัพยากร จากภูผาสู่มหานที รวมถึงการบริหารจัดการภัยพิบัติ และการท่องเที่ยวโดยชุมชน
นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.)

ส่วน นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ระบุว่า ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา งานสร้างสุขภาคใต้พิสูจน์แล้วว่า การใช้เครื่องมือสมัชชาสุขภาพเป็นกลไกหลักสามารถเชื่อมพลัง 3 ด้าน พลังทางสังคม, พลังทางปัญญา, พลังเชิงนโยบาย ข้อเสนอจากเวทีนี้ไม่ได้พัฒนาแค่ในระดับจังหวัดหรือภูมิภาค แต่ยังถูกนำไปเชื่อมโยงกับการตัดสินใจในระดับชาติ เช่น การจัดการทรัพยากรธรรมชาติในภาคใต้ การส่งเสริมระบบสุขภาพชุมชน หรือการจัดการปัญหาสุขภาพที่ซับซ้อน ซึ่งเป็นโจทย์ที่ประเทศต้องเผชิญร่วมกัน เวทีสร้างสุขภาคใต้ยังเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ต่อเนื่อง ทำให้ภาคีเครือข่ายในพื้นที่เกิดความเข้มแข็งและสามารถทำงานร่วมกับหน่วยงานรัฐและวิชาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ สช. จะทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อม เพื่อขับเคลื่อนข้อเสนอเหล่านี้ให้เข้าสู่ระบบนโยบายสาธารณะในระดับประเทศ และทำให้การสร้างสุขภาวะในภาคใต้เกิดขึ้นได้จริงในทุกมิติ ทั้งด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตของประชาชน

ขณะที่ เพ็ญ สุขมาก ผู้อำนวยการสถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เปิดเผยกับ The Active ว่า ปีที่ 20 จะชัดในตัวเป้าหมายคืออะไร คือภาพของการกินดี อยู่ดี สิ่งแวดล้อมดีและสุขภาพดี เพราะฉะนั้นการทำตัวชี้ว่าจะใช้ตัวกินดี อยู่ดี สิ่งแวดล้อมดี และสุขภาพดี มาทำตัวชี้วัดเพื่อบอกคนอื่น ได้ว่า “เราสุขแล้วนะ” 

เพ็ญ สุขมาก ผู้อำนวยการสถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

ทั้งนี้ตัวชี้วัดจะไม่เป็นตัวชี้วัดในเชิงวิชาการ ไม่ใช่ตัวชี้วัดที่ไปตอบหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ ไม่ใช่ตัวชี้วัดท้องถิ่นอะไรมาตอบ แต่เป็นตัวชี้วัดที่ประชาชนทุกคนในภาคใต้ที่ต้องมาคิดช่วยกันว่า ยินดีของเราเราจะวัดจากอะไร จะต้องมีกระบวนการจาก การที่เรามีต้นทุนภาคีเครือข่าย 14 จังหวัด มีเครือข่ายทั้งภาครัฐเอกชนท้องถิ่น ภาคประชาสังคมมาช่วยกันคิด ว่า การกินดีจะวัดจากอะไร อย่างเช่น เวลาพูดถึงการกินดีก็จะสะท้อนความมั่นคงทางอาหาร ก็คือการที่คนใต้มีอาหารกินอย่างที่เพียงพอ เป็นอาหารที่มีคุณภาพและใช้ประโยชน์จากอาหารได้ มีเสถียรภาพทางด้านอาหาร เช่น เมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้นมา คนใต้จะสามารถอยู่ได้กี่วัน โดยไม่ต้องพึ่งพาอาหารภายนอก ถ้าจำนวนวันอยู่ได้นานแสดงว่า มีความมั่นคง เพราะฉะนั้นอันนี้ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่เอามาเป็นตัววัด 

“กลไกวิชาการซึ่งเรามีเครือข่ายวิชาการหลายที่ ก็จะมาร่วมกันทำงานแบบเป็นทีม เพื่อหาคำตอบว่าถ้าเราจะไปบอกเพื่อนว่าเรามีความสุข การกินดีจะวัดจากอันไหน เช่น เรามีอาหารครบ 5 หมู่ตลอด เรามีอาหารที่ปลอดภัย ภายใต้ระบบเกษตรของทางภาคใต้ หรือ อยู่ดี คนใต้มีบ้านที่มั่นคง มีสิทธิในที่ดินทำกินที่ดีจากอะไร สิ่งแวดล้อมดีมาจากอะไร ซึ่งหากมองตัวชี้วัดของราชการก็อาจจะมองว่าคุณภาพน้ำ คุณภาพอากาศดีหรือไม่ แต่ถ้าหากเป็นของภาคประชาชน สิ่งแวดล้อมของเรา คืออะไร คือฐานทรัพยากรไหม ที่มันอุดมสมบูรณ์อยู่อย่างยั่งยืนถึงลูกถึงหลาน อันนี้เป็นตัวอย่าง กระบวนการแบบนี้แหละที่เราจะชวนภาคีเครือข่ายมาร่วมกันคิด ทำตัวชี้วัดให้ชัดขึ้น เวลาที่เราไปบอกเพื่อนว่าสุขหรือยังเราจะได้บอกได้ว่าสุขแล้ว” 

เพ็ญ สุขมาก

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active