โควิด-19 ส่งผลคนไร้บ้านเพิ่มร้อยละ 30 ภาคีเครือข่ายฯ เล็งต่อยอด “ที่อยู่อาศัยคนละครึ่ง” สู่เมืองในภูมิภาคต่าง ๆ หลังเห็นผล 3 เดือน ช่วยคนไร้บ้านได้ 30 คน มีที่อยู่ -รายได้ – เงินเก็บ ตั้งหลักชีวิตได้
วานนี้ ( 23 พ.ค.65 ) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และภาคีเครือข่ายภาควิชาการ ภาครัฐ และภาคประชาสังคม จัดเวทีถอดบทเรียนโครงการวิจัยเชิงปฏิบัติการ เพื่อพัฒนารูปแบบและนำร่องการจัดบริการที่อยู่อาศัยและความช่วยเหลือฉุกเฉินสำหรับกลุ่มคนไร้บ้านในกรุงเทพมหานคร ภายใต้โครงการ “ที่อยู่อาศัยคนละครึ่ง” พบความสำเร็จจากการดำเนินงานสามารถสนับสนุนคนไร้บ้านให้เข้าถึงที่อยู่อาศัย นำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตและสุขภาวะ การมีรายได้เพียงพอต่อการตั้งหลักชีวิต และเกิดเครือข่ายช่วยเหลือระหว่างคนไร้บ้าน ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของคนไร้บ้านในการ“แชร์” ค่าเช่าที่อยู่อาศัย
อนุกูล ปีดแก้ว อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวว่า กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มคนไร้บ้าน ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรเปราะบางที่สุดกลุ่มหนึ่งของสังคม ผ่านรูปแบบการทำงานที่ครอบคลุมทุกมิติ โดยเฉพาะการสร้างความมั่นคงทางรายได้และที่อยู่อาศัย และการเข้าถึงสวัสดิการขั้นพื้นฐาน อันเป็นรากฐานสำคัญของการยกระดับคุณภาพชีวิต
ทั้งนี้ กรมฯ ได้ปรับกระบวนการทำงานที่เน้นการมีส่วนร่วมกับหลายภาคส่วน ทั้งภาคประชาสังคม ภาควิชาการ และภาคเอกชน เพื่อให้เกิดความครอบคลุมและมีประสิทธิภาพในการยกระดับคุณภาพชีวิตคนไร้บ้าน ผ่านโครงการ “ที่อยู่อาศัยคนละครึ่ง” ซึ่งเป็นหนึ่งในความร่วมมือที่ชี้ให้เห็นความสำเร็จและทางเลือก ตลอดจนกระทรวง พม. ได้เน้นการขับเคลื่อนด้านการจ้างงานการมีอาชีพและรายได้ซึ่งจะทำให้คนไร้บ้านตั้งหลักชีวิตได้ต่อไป
ภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สสส. กล่าวว่า ที่ผ่านมา สสส. ได้ขับเคลื่อนและร่วมทำงานกับนักวิชาการจากแผนงานสนับสนุนองค์ความรู้เพื่อการสร้างเสริมสุขภาวะและคุณภาพชีวิตคนไร้บ้าน สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบปัญหา จากสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบทำให้คนไร้บ้านมีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 30 จากเดิมที่พบคนไร้บ้านในกรุงเทพฯ ประมาณ 1,307 คน พบเพิ่มขึ้นประมาณ 1,700 – 1,800 คนและพบคนไร้บ้านทั่วประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นประมาณ 4,000 คน
อย่างไรก็ตาม การสนับสนุนช่วยเหลือคนไร้บ้านหน้าใหม่หรือคนที่เข้าสู่ภาวะไร้บ้านไม่ถึง 1 ปี สสส. เชื่อว่าจะลดความเสี่ยงและภาวะเปราะบางระยะยาวของคนไร้บ้านได้ ซึ่งการเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงจากการใช้ชีวิตบนพื้นที่สาธารณะ สสส. ได้สานพลังร่วมกับกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย และภาคีเครือข่ายเพื่อพัฒนา “นวัตกรรมการจัดบริการที่อยู่อาศัยและความช่วยเหลือฉุกเฉิน บนฐานการมีส่วนร่วมของคนไร้บ้าน” หรือโครงการ “ที่อยู่อาศัยคนละครึ่ง”
ความร่วมมือดังกล่าวมีเป้าหมายจัดการเรื่องที่อยู่อาศัยให้คนไร้บ้าน ผ่านการมีส่วนร่วมของคนไร้บ้านในรูปแบบ ‘แชร์’ ค่าเช่าที่อยู่อาศัย ร่วมกับกองทุนที่เครือข่ายคนไร้บ้านและมูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัยได้จัดตั้งขึ้น โดยคนไร้บ้านจะต้องสมทบค่าเช่าห้องร่วมกับโครงการฯ ในสัดส่วน 60:60 ของค่าเช่าห้อง ซึ่งส่วนเพิ่มร้อยละ 20 ของการสมทบจากคนไร้บ้าน จะถูกนำไปเป็นเงินกองทุนเพื่อช่วยเหลือสมาชิกกลุ่มด้านอื่นๆ ต่อไป
ทั้งนี้ จากการดำเนินการช่วง 3 เดือนแรก ( ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ -เดือนเมษายน) พบว่า ทำให้คนไร้บ้านกลุ่มเป้าหมายเข้าถึงที่อยู่อาศัยได้ 30 คน และมีกองทุนสะสมของเครือข่ายฯ กว่า 3 หมื่นบาท มีคนไร้บ้านที่สนใจเข้าร่วมโครงการเพิ่มอีกราว 20 คน และพบว่าโครงการนี้ ไม่เพียงแต่จะสร้างการเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมให้คนไร้บ้านเท่านั้น แต่ทำให้คนไร้บ้านเข้าถึงงานและรายได้ที่เพียงพอ มีเงินออม และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อันเป็นพื้นฐานสำคัญของการตั้งหลักชีวิตในระยะยาว
“ความสำเร็จของความร่วมมือดังกล่าว ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าคนไร้บ้านมีศักยภาพในการตั้งหลักชีวิตได้ด้วยตนเอง หากได้รับการสนับสนุนและโอกาสที่เหมาะสม และทาง สสส. ได้หารือกับภาคีเครือข่ายที่จะขยายการทำงานสู่เมืองภูมิภาคในอนาคต อาทิ กาญจนบุรี ปทุมธานี ขอนแก่น และเชียงใหม่ ภายใต้การสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน”
ภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สสส.
สมพร หารพรม มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย กล่าวว่า โครงการ “ที่อยู่อาศัยคนละครึ่ง” ได้เปิดมิติการสนับสนุนด้านที่อยู่อาศัยและคุณภาพชีวิตที่เหมาะสมกับคนไร้บ้านและกลุ่มเปราะบางที่ส่วนใหญ่เป็นแรงงานรับจ้างรายวันในเมืองหลวงกรุงเทพมหานคร และมองว่าการสนับสนุนที่เหมาะสมบนพื้นฐานศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ บนความเชื่อมั่นในศักยภาพของคนไร้บ้าน สามารถเปลี่ยนชีวิตของคนไร้บ้านได้อย่างชัดเจน