วัยแรงงานไทย ‘เดอะแบก’ ของจริง! ทำงานหัวหมุน สวนทางชีวิตเปราะบาง เสี่ยงตายก่อนวัยอันควร 

พบ 3.4 ล้านครัวเรือน มีอัตราพึ่งพิงสูง วัยแรงงาน ลุยงาน 13 ชม./วัน แบกภาระหนัก ดูแลทั้งครอบครัว-ผู้สูงอายุ แต่เงินออมน้อย น่าห่วงไทย แนวโน้มอัตราสูงวัยเพิ่ม 28% ใน 10 ปี หลายหน่วยงาน เร่งบูรณาการทำงาน ชู ‘เวชศาสตร์วิถีชีวิต’ สร้างแผนป้องกันสุขภาพ ฝ่าวิกฤตประชากร ดูแลผู้สูงอายุ คนวัยแรงงาน เพิ่มคุณภาพเด็ก เยาวชน

ปัจจุบัน ไทยมีสัดส่วนของประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้น เผชิญปัญหาการเจ็บป่วยจากโรค NCDs ที่มีสาเหตุจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต ขณะที่ประชากรเกิดใหม่ กำลังลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว โดยที่จำนวนประชากรที่เสียชีวิตในแต่ละปีมี จำนวนมากกว่า จำนวนประชากรเกิดใหม่ มีแนวโน้มกระทบต่อประเทศ และประชาชนในหลายมิติ 

เมื่อเร็ว ๆ นี้ สมาคมเวชศาสตร์วิถีชีวิตและสุขภาวะไทย (TLWA) ได้จัดงานประชุมวิชาการเรื่อง “ประชากรสูงอายุและประชากรลดลง : จากการคาดการณ์สู่การป้องกัน” เพื่อหาแนวทางเตรียมแผนรับมือกับปัญหาในอนาคตเสนอต่อรัฐบาล โดยบูรณาการองค์กรความรู้ศาสตร์การแพทย์ ปรับพฤติกรรมคนไทย ป้องกันโรค พร้อมลงนาม MOU ครั้งที่ 2 กับ องค์กรพันธมิตรกว่า 50 องค์กร  เผยแพร่ความรู้ส่งเสริมการใช้เวชศาสตร์วิถีชีวิตในการดำเนินชีวิต เตรียมแผนรับมือกับปัญหาอนาคตสังคมสูงวัย และประชากรลด เตรียมเสนอรัฐบาล โดยมี พล.อ.อ. ชลิต พุกผาสุข องคมนตรี  เป็นประธาน

       

โดยสาระสำคัญของ เวชศาสตร์วิถีชีวิต คือ การส่งเสริมและแก้ไขปัญหาสุขภาพที่มีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตที่ไม่เอื้อต่อการมีสุขภาพที่ดี ด้วยการให้ความสำคัญกับเสาหลัก 6 ด้าน คือ 

  1. การกินอาหารจากธรรมชาติที่มีพื้นฐานมาจากพืช 

  2. มีการเคลื่อนไหวทางกายอยู่อย่างสม่ำเสมอ 

  3. นอนหลับได้อย่างเพียงพอเพื่อฟื้นฟูสุขภาพได้อย่างดี 

  4. มีการบริหารความเครียด 

  5. หลีกเลี่ยงการรับหรือบริโภคสารที่เสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพ

  6. การมีมุมมองทางจิตวิทยาเชิงบวก และมีความเชื่อมโยงกันทางสังคม ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นแนวทางเบื้องต้น สำหรับการป้องกันและรักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น

พม.เปิดข้อมูล ประชากรหด สูงอายุเพิ่ม
‘เดอะแบก’ วัยแรงงาน เปราะบางทั้งชีวิต การเงิน สุขภาพ

ขณะที่ วราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) บรรยายพิเศษในหัวข้อ “ประชากรสูงอายุและประชากรหดตัว : วิสัยทัศน์ กลยุทธ์ และพันธกิจในระยะยาว” (Aging and Shrinking Population : Vision, Strategy and Long-term Commitment) ว่าด้วย 3 เรื่องสำคัญ  คือสถานการณ์ประชากรหดตัว, คุณภาพชีวิตวัยแรงงาน, และการพัฒนาสังคมสูงวัยของทุกคน

โดยขณะนี้ มีประชากรโลก 8,200 ล้านคน และมีแนวโน้มอัตราการเจริญพันธุ์ที่ลดลง ควบคู่กับจำนวนประชากรสูงอายุที่เพิ่มขึ้น ซึ่ง 63 ประเทศทั่วโลก ไม่มีแนวโน้มที่จะเพิ่มประชากรขึ้นอีก เช่น จีน เยอรมณี, ญี่ปุ่น, รัสเซีย และ ไทย คาดการณ์ว่า ภายในปี 2568 ผู้สูงอายุทั่วโลกจะมีจำนวน 1,200 ล้านคน คิดเป็น 14.63% ของประชากรโลก และภายในปี 2593 คาดว่าผู้สูงอายุทั่วโลกจะมีจำนวน 2,000 ล้านคน ส่งผลให้ประชากรทั่วโลกมีแนวโน้มหดตัว 

ทั้งนี้ จีน มีประชากรผู้สูงอายุมากที่สุด ประมาณ 278 ล้านคนทั่วประเทศ คิดเป็น 19.50% และประเทศที่มีผู้สูงอายุมาก ติดอันดับ TOP 10 ของโลก อยู่ในเอเชียถึง 4 ประเทศ ได้แก่ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น และอินโดนีเซีย 

“ไทยอยู่อันดับที่ 17 มีผู้สูงอายุ 20.94% และจะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 28% ภายใน 10 ปีข้างหน้า ขณะที่ปี 2567 ไทยมีอัตราเด็กเกิดใหม่เป็นครั้งแรกในรอบ 75 ปี นับจากปี 2492 ที่มีเด็กเกิดใหม่ต่ำกว่า 5 แสนคน นับเป็นปีที่ 4 ที่มีคนตายมากกว่าเกิด ซึ่งอัตราการเพิ่มตามธรรมชาติของประชากรติดลบสูงเป็นประวัติการณ์”

วราวุธ ศิลปอาชา

รมว.พม. บอกด้วยว่า ปรากฏการณ์ “ประชากรหดตัว” ในปี 2567 โลกเผชิญกับแนวโน้มอัตราการเจริญพันธุ์ที่ลดลง โดยเฉพาะในเอเชีย อาทิ เกาหลี, สิงคโปร์ และญี่ปุ่น ซึ่งไทยมีอัตราเจริญพันธุ์รวมลดลงเป็นประวัติการณ์

ประเทศเหล่านี้จึงได้ขับเคลื่อนนโยบายการเพิ่มอัตราการเกิด ด้วยการ เพิ่มศูนย์เด็กเล็ก, เพิ่มวันลาหยุดของผู้เลี้ยงดูเด็ก, การให้เงินอุดหนุนสำหรับเด็กแรกเกิด, การใช้เทคโนโลยีสนับสนุนการมีลูก และการเพิ่มสวัสดิการให้เด็ก 

ในขณะที่ประเทศไทยได้ขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมการมีบุตร อาทิ กระทรวงสาธารณสุขขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมการเกิดอย่างมีคุณภาพ การจัดตั้งคลินิกส่งเสริมการมีบุตรในโรงพยาบาล และการทำเด็กหลอดแก้ว ในส่วนของกระทรวง พม. มีการสนับสนุนเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดถึง 6 ปี รายละ 600 บาทต่อเดือน การจัดตั้งศูนย์เด็กเล็กใกล้บ้าน และการสร้างระบบนิเวศที่เหมาะสมเพื่อพัฒนาศักยภาพเด็ก 

“ประชากรแรงงานของไทย ปี 2567 มีคนทำงาน 37.2 ล้านคน แต่ในอีก 50 ปีข้างหน้า ปี 2616 คนทำงานจะลดลงเหลือ 22.8 ล้านคน ซึ่งจะหายไปประมาณ 15 ล้านคน  ทำให้เป็นที่มาของการใช้คำว่าวิกฤตประชากร”

วราวุธ ศิลปอาชา

อัตราพึ่งพิงสูง! คนวัยแรงงาน รับภาระหนัก

วราวุธ ยังชี้ให้เห็นว่า ขณะที่ในไทยมีลักษณะครัวเรือน Sandwich ถึง 3.4 ล้านครัวเรือน คิดเป็น 14% มีอัตราพึ่งพิงสูง คือ วัยแรงงาน 100 คนต้องดูแลเด็กและผู้สูงอายุรวม 86 คน อีกทั้งสมาชิกในครัวเรือน Sandwich ส่วนใหญ่เป็นแรงงานนอกระบบ มีเงินออมน้อยกว่า 20,000 บาทต่อครัวเรือน 

“เดอะแบก” ต้องใช้เวลาเฉลี่ยกว่า 13 ชั่วโมงต่อวันในการทำงาน และรับผิดชอบดูแลทั้งพ่อแม่สูงอายุ และลูกของตนเอง ส่งผลให้มีความเปราะบางทางการเงินและสุขภาพ”

วราวุธ ศิลปอาชา

ชูนโยบาย 5×5 ฝ่าวิกฤตประชากร
สร้างพลังผู้สูงอายุ-ฟื้นประชากรหดตัว-เพิ่มคุณภาพเด็ก เยาวชน

ทั้งนี้ กระทรวง พม. ได้ขับเคลื่อน นโยบาย 5×5 ฝ่าวิกฤตประชากร ซึ่งประกอบด้วย 5 ยุทธศาสตร์ x 5 มาตรการ ได้แก่ 

  1. เสริมพลังวัยทำงาน 
  2. เพิ่มคุณภาพ และผลิตภัณฑ์ของเด็กและเยาวชน : New Gen ที่เจ๋งกว่าเก่า 
  3. สร้างพลังผู้สูงอายุ : มีหลักประกัน มีคุณค่า มีศักดิ์ศรี 
  4. เพิ่มโอกาสและเสริมสร้างคุณค่าคนพิการ 
  5. สร้างระบบนิเวศที่เหมาะสม เพื่อพัฒนาความมั่นคงของครอบครัว 

สำหรับการสร้างพลังผู้สูงอายุนั้น กระทรวง พม. ได้ดำเนินการ 5 มาตรการ ได้แก่ 

  1. มุ่งป้องกันมากกว่าการรักษา : โรงเรียนผู้สูงอายุ  
  2. ขยายโอกาสทางเศรษฐกิจ : Upskill , Reskill , การจ้างงานผู้สูงอายุ 
  3. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน 
  4. ส่งเสริมให้มีสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย
  5. ส่งเสริมให้มีการบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลสวัสดิการผู้สูงอายุ 

วราวุธ บอกด้วยว่า กระทรวง พม. ยังได้ดำเนินโครงการผู้บริบาลและคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุในชุมชน เพื่อพัฒนาศักยภาพผู้บริบาลในการดูแลผู้สูงอายุในชุมชนและให้ผู้สูงอายุได้อยู่อาศัยในถิ่นเดิม (Agent In Place) อีกทั้งเป็นการสร้างระบบกลไกการดูแลผู้สูงอายุครอบคลุมทุกมิติในระดับพื้นที่ ทั้งนี้ ปีงบประมาณ 2568 จะขยายผลโครงการฯ ให้ครอบคลุม 76 จังหวัด 156 พื้นที่ ทำให้มีผู้บริบาลคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุ รวมจำนวน 342 คน ซึ่งสามารถดูแลผู้สูงอายุได้เป็นจำนวนมากถึง 342,000 คน

ในขณะที่ การช่วยเหลือดูแลเรื่องสิทธิสวัสดิการสังคมสำหรับผู้สูงอายุนั้น ในปี 2568 มีผู้สูงอายุได้รับเบี้ยอยู่กว่า 12 ล้านคน แต่รัฐบาลมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เฟส 2 มีผู้สูงอายุได้รับสิทธิจำนวน 3,025,596 คน เป็นการบรรเทาภาระค่าครองชีพให้กับผู้สูงอายุได้มีโอกาสเข้าถึงการใช้จ่ายที่จำเป็น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อีกทั้งช่วยสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบและกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย 

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active