รับฟังแต่ไม่ได้ยิน ! จูนความเห็นต่างสุดขั้ว ให้เป็นคลื่นความถี่เดียวกัน

“จะมีนักการเมืองสักกี่คนที่พวกคุนด่า แล้วพร้อมจะมานั่งคุยด้วยเหตุผลแบบนี้ ?” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

15 ปี หลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 53 ที่ราชประสงค์ 

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับมาปรากฏตัวสู่สาธารณะและในหน้าสื่ออีกครั้งในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดูเหมือนในครั้งนี้ เขาจะเป็นตัวแปรสำคัญในการช่วยกอบกู้พรรค และถือเป็นจังหวะในการ รีเซ็ตภาพลักษณ์ สำหรับตัวเขาและพรรคประชาธิปัตย์เอง เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งในสมัยหน้า

หลังกลับมาเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้ง อภิสิทธิ์เดินสายให้สัมภาษณ์ ขึ้นเวทีสาธารณะต่อเนื่อง บรรยายพิเศษทั้งในห้องเรียนมหาวิทยาลัยและเวทีระดับนานาชาติตอกย้ำภาพลักษณ์ ความซื่อสัตย์และหลักการทางการเมือง ที่เขาระบุว่าเป็นหัวใจของการนำพรรคกลับมาสู่ความเชื่อมั่นของประชาชน 

แต่สิ่งที่เป็นประเด็นถกเถียงกันในช่วงเวลานี้ คือ ท่าทีที่อภิสิทธิ์พูดคุยกับกลุ่มนักศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทวงถามถึงเหตุการณ์การสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงปี 53 เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

เกิดอะไรในรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ?

เมื่อวันที่ 2 พ.ย. ที่ผ่านมา อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้รับเชิญไปไปบรรยายพิเศษในหลักสูตรปริญญาเอกสาขานโยบายสาธารณะ (CU-DriPP) ในกิจกรรม Policy Talk หัวข้อ “นโยบายสาธารณะ: ทฤษฎีและการปฏิบัติ” จัดโดย ศ.ไชยันต์ ไชยพร ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ในช่วงเวลานั้น มีนิสิต 4-5 คนชูป้ายผ้าใบขนาดใหญ่ ระบุข้อความ “สลายการชุมนุม 53 คนสั่งฆ่าอยู่ที่นี่” พร้อมตั้งคำถามถึงกระบวนการยุติธรรมตามกฎหมาย และทวงถามถึงความรับผิดชอบต่อ อภิสิทธิ์ ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงเวลานั้น

กลุ่มนิสิตชูป้ายถามหาความรับผิดชอบต่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ
ภาพ ประชาไท

นาทีนั้น มีเจ้าหน้าที่ในบริเวณมหาวิทยาลัยเข้าห้ามจากความหวั่นเกรงว่าจะเกิดความไม่สงบ แต่ อภิสิทธิ์กลับไม่ได้เดินหนี เลือกที่จะห้ามปรามเจ้าหน้าที่ท่านนั้น และยอมนั่งลงพูดคุยกับเหล่านิสิตกลุ่มดังกล่าว หน้าตึกเกษม อุทยานิน เป็นเวลาพอสมควร

คลิปวิดีโอยาวกว่า 26 นาที ที่ถูกเผยแพร่โดยสื่อ ประชาไท เปิดเผยถึงบทสนทนาและท่าทีระหว่าง 2 ฝ่าย ในช่วงเวลาที่ อภิสิทธิ์พยายามชี้แจงและตอบข้อสงสัย บนข้อคำถามและความคลางแคลงใจของเหล่านิสิตที่เชื่อว่ายังไม่ได้รับคำตอบ

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กำลังนั่งพูดคุยกับนิสิต บริเวณหน้าคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ
ภาพ ประชาไท

พฤษภา 53: แผลเก่าที่สังคมไม่มีวันมูฟออน

ระหว่างบทสนทนา ฝ่ายนักศึกษาพยายามทวงถามถึง ความรับผิดชอบต่อ เหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง หรือกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)  ในปี 2553 ที่แยกราชประสงค์ ในช่วงเวลาที่เขาเป็นรัฐบาล

เหตุการณ์ครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 99 ศพ ทั้งประชาชน เจ้าหน้าที่ อาสาสมัครพยาบาลรวมถึงเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจ มีการฟ้องร้อง อภิสิทธิ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ว่าสั่งฆ่าประชาชนโดยเจตนา

แม้ อภิสิทธิ์จะชี้แจงว่า เหตุการณ์ดังกล่าวได้ผ่านกระบวนการทางกฎหมายแล้ว โดยฝ่ายกระบวนการยุติธรรมสรุปว่าการใช้กำลังของรัฐในครั้งนั้นเป็นเรื่องทางยุทธศาสตร์ที่ขึ้นภายใต้ “กรอบอำนาจตามกฎหมาย” เพื่อรักษาความสงบจากสถานการณ์ที่มี กองกำลังติดอาวุธ แฝงในพื้นที่ ซึ่งเป็นเงื่อนไขพิเศษทางกฎหมายในเวลานั้น จึงไม่ถือว่าเป็นการกระทำผิดทางอาญาหรือมีหลักฐานชัดเจนที่ชี้ชัดว่าเจตนาฆ่าคนตาย

ศาลฎีกาพิพากษายืนตามชั้นต้นและอุทธรณ์ว่าศาลอาญาไม่มีอำนาจพิจารณาคดี หมายความว่า ศาลทั้ง 3 ระดับ มีคำสั่งยกฟ้องในคดีนี้ และยืนยันว่าเขาไม่ต้องรับผิดในข้อกล่าวดังกล่าว

ซึ่งในมุมมองของเขา ถือเป็นการแสดงความรับผิดชอบในทางกฎหมายอย่างถึงที่สุดแล้ว

อีกด้านหนึ่ง ในปี 2558 ป.ป.ช. มีมติให้ข้อกล่าวหาการสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง ของ อภิสิทธิ์ และ พวก เป็นอันตกไป โดย ระบุว่าาการสลายชุมนุมของรัฐบาล และ ศอฉ. เป็นไปตามหลักสากล และอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายอย่างการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง

แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า แม้เวลาจะผ่านไปกว่าทศวรรษ เงามืดของเหตุการณ์ในครั้งนั้น ยังคงหลอกหลอน และคนในสังคมบางส่วนมีภาพจำต่อ อภิสิทธิ์ว่าเป็นผู้นำที่มี “มือเปื้อนเลือด”

“ความรุนแรงของอภิสิทธิ์กลายเป็นภาพจำและตราประทับที่เขาไม่อาจหนีอดีตได้” ปุรวิชญ์ วัฒนสุข

ปุรวิชญ์ วัฒนสุข คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายว่า แม้เหตุการณ์นี้จะผ่านมานานกว่า 15 ปีแล้ว มีการเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย อภิสิทธิ์ยืนยันว่า ตนเองได้ผ่านการพิจารณาในกระบวนการยุติธรรมอย่างครบถ้วน และถือว่าตนบริสุทธิ์ตามคำวินิจฉัยของศาล 

แต่สำหรับผู้คนในสังคมที่ยังคงอยู่กับบาดแผล อภิสิทธิ์ ไม่เคยชอบธรรมทางความรู้สึก

“แม้อภิสิทธิ์จะยืนยันว่าตนเองเข้าสู่กระบวนการอย่างชอบธรรมแล้วก็ตาม แต่อารมณ์และความรู้สึกของผู้คนในสังคมยังคงอยู่ การบาดเจ็บ-สูญเสียยังคงค้างคาใจ  เพราะมันทำให้เขารู้สึกถึงความไม่ยุติธรรม”

อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยังอธิบายอีกว่า ไม่ว่าศาลจะตัดสินผิดหรือถูก แต่ในมุมผู้สูญเสียและมีความทรงจำร่วม ย่อมรู้สึกว่าไม่สามารถยอมให้เรื่องจบลงแค่นี้ได้ และเหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นกับ อภิสิทธิ์นั้น เป็นเหมือน อดีตที่กำลังไล่ล่า และเป็นสิ่งที่เขาต้องเผชิญไปอีกทั้งชีวิตทางการเมือง

ปุรวิชญ์ วัฒนสุข
คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

“แม้ว่าตัวอภิสิทธิ์หรือคนในสังคมจะอยากมูฟออนแค่ไหน แต่ต้องยอมรับว่าเมื่อไหร่ที่เขาโผล่หน้ามา จะมีคนพาย้อนกลับไปเรื่องนี้เหมือนเดิม เพราะเขาคือสัญลักษณ์ของเหตุกการณ์นี้ไปแล้ว”

หากถามว่า ในเมื่อสถาการณ์เป็นเช่นนี้ไปเสียแล้ว อภิสิทธิ์ จะแก้เกมอย่างไร ปุรวิชญ์ วิเคราะห์ว่า  ทางเดียวที่จะทำได้คือ อภิสิทธิ์ต้องไม่กลับมาเล่นการเมืองอีกต่อไป

“แบรนด์ของ อภิสิทธิ์ตอนเข้าสู่สนามการเมืองครั้งแรก เขาคือผู้นำรุ่นใหม่ หน้าตาดี มีความรู้ และมีวิสัยทัศน์ แต่ตราบาปจากเหตุการณ์ปี 53 ทำให้อภิสิทธิ์ไม่สามารถกลับมารีแบรนด์ตัวเองได้อย่างเดิมอีกต่อไปแล้ว ทางเดียวทีทำได้คือ ออกไปจากสนามการเมือง”

แม้อภิสิทธิ์จะเคยออกจากสนามไปแล้ว แต่การเลือกกลับมาในครั้งนี้ ย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่านี่คือต้นทุนและความเสี่ยง

ดูเหมือนเหตุการณ์ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ในครั้งนี้จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เมื่อเข้าสู่สนามเลือกตั้ง ไม่ว่าบนเวทีดีเบทไหน ๆ คำถามนี้จะถูกย้อนกลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง และนี่คือสิ่งที่นายอภิสิทธิ์ต้องเผชิญ

เห็นต่างนั่งคุย: สังคมเรียนรู้อะไรจากการคุยครั้งนี้ ?

ปุรวิชญ์ มองว่าเหตุการณ์นี้ คือ หน้าฉากสำคัญทางการเมืองครั้งสำคัญ ที่อภิสิทธิ์ที่ได้ประโยชน์อย่างน้อย 2 เรื่อง คือ ได้เวทีดีเบต และได้ภาพลักษณ์ของการเป็นผู้ใหญ่ที่รับฟังคนรุ่นใหม่

“เราต้องไม่ลืมว่าอภิสิทธิ์ชำนาญเรื่องการถกเถียง ดีเบตมากแค่ไหน ที่ไหนที่อภิสิทธิ์ได้พูด ถือว่านั่นคือเกมของเขาเลย” ปุรวิชญ์ ย้ำ พร้อมบอกว่าเหตุการณ์ในวันนั้น แม้จะมีการโต้เถียงและตั้งคำถามจากฝ่ายนิสิตอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าเป็น 20 นาทีกว่าที่ อภิสิทธิ์ได้เวทีดีเบตที่่เต็มไปด้วยเรื่องเล่า (narrative) ของตัวเอง

“ไม่ว่าสิ่งที่นายอภิสิทธิ์พูดจะเป็นที่ยอมรับได้มากแค่ไหน แต่ผมว่านี่คือวิธีการที่อภิสิทธิ์ถนัด เขาสร้าง narrative จากฝั่งของตัวเองเพื่อโน้มน้าวคนฟัง และแน่นอนว่ามีคนจำนวนหนึ่งพร้อมจะเชื่ออยู่เสมอ”

ในส่วนของภาพลักษณ์ที่รับฟังคนรุ่นใหม่ รอบนี้ อภิสิทธิ์ดูจะได้ไปเต็ม ๆ เพราะวันนี้เขาคือนักการเมืองอาวุโสผู้คร่ำหวอดในการเมืองมากว่า 30 ปี แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับนักศึกษา กลับเลือกไม่เดินหนี พร้อมเปิดกว้างยอมนั่งเผชิญหน้า รับฟังเสียงจากคนรุ่นใหม่ 

“อภิสิทธิ์เป็นนักดีเบต ย่อมรู้อยู่แล้วว่าต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้ สิ่งที่พูดคือการเตรียมการมาเป็นอย่างดีแล้ว

“และอย่างที่เรารู้ดีว่าการเลือกตั้งกำลังจะมาถึง เมื่อได้เวทีแล้ว จึงไม่มีเหตุผลที่ต้องหนีเวที สิ่งที่อภิสิทธิ์ทำคือการแสดงภาพลักษณ์ว่าตนเองเปิดกว้างต่อคนรุ่นใหม่ นี่คือ การหาเสียงทางหนึ่ง” ปุรวิชญ์ อธิบาย

ในขณะที่ ผศ.ชนินทร เพ็ญสูตร คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้ความเห็นว่า แม้ อภิสิทธิ์จะใช้ความเป็นนักดีเบตที่ช่ำชอง และพร้อมฉกฉวยพื้นที่ในการสร้างเรื่องเล่าอย่างไร 

แต่ยอมรับว่าท่าทีของ อภิสิทธิ์ ที่ยอมเปิดใจนั่งคุยกับเหล่านิสิตในครั้งนี้เป็นเรื่องที่ดีมาก ที่สะท้อนให้เห็นภาพลักษณ์ของผู้ใหญ่ที่พร้อมรับฟังเด็ก

แต่หากมองให้ดี จะพบว่ากระบวนในครั้งนี้จะยังไม่ราบรื่นเสียทีเดียว เพราะต่างฝ่ายต่างคุยกันคนละภาษา และไม่ได้นำไปสู่ความเข้าใจตราบใดที่คำตอบยังไม่ตรงกับธงในใจที่แต่ละฝ่ายถือไว้เสียที

กลุ่มนักศึกษาตั้งคำถามถึงความสูญเสียในเหตุการณ์ดังกล่าว ว่าเหตุใดยังไม่มีการลงโทษผู้สั่งการ และเรียกร้องให้ อภิสิทธิ์ แสดงออกถึง “ความรับผิดชอบทางการเมือง” แต่ อภิสิทธิ์ ยังคงยืนยันว่าตนเองเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย ถือเป็นการแสดงความรับผิดชอบอย่างสูงสุดแล้ว

เมื่อฟังไปเรื่อย ๆ ดูเหมือนการส่งคำถามและการตอบของทั้งฝั่ง ระหว่าง อภิสิทธิ์ และ นักศึกษา กำลังยืนอยู่บนคนละแกน

“เราเห็นว่าฝ่ายหนึ่งพยายามอธิบายบนบริบทของกฎหมายเพื่อยืนยันว่าเขาไม่ผิด แต่ก็ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายเข้าใจสถานการณ์ขึ้นเลย 

“การคุยครั้งนี้ เป็นการคุยกันของคนที่มีความคิดแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว เหมือนอยู่กันคนละคลื่นความถี่วิทยุ จูนกันอย่างไรก็ไม่ได้ยินอีกฝ่ายอยู่ดี” ผศ.ชนินทร อธิบายเสริมอีกว่า กระบวนการคุยเช่นนี้ สามารถจะดีกว่านี้ได้อีก หากมีการออกแบบกระบวนการที่ดี และมี คนกลาง (Mediator)

ผศ.ชนินทร เพ็ญสูตร
คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

โดยในกระบวนการพูดคุยของคนที่ต่างกันมาก ๆ นั้น คนกลาง จะเข้ามาทำหน้าที่รับรับฟังเรื่องราวของทั้ง 2 ฝ่าย ก่อน โดยยังไม่ให้เผชิญหน้ากัน 

เมื่อคนกลางทำความเข้าใจเรื่องราวและความต้องการของทั้ง 2 ฝ่ายได้แล้ว จึงนำมาสู่การเผชิญหน้าเพื่อเจรจา

โดยคนกลางต้องทำหน้าที่แปลเนื้อความ ทบทวน ย้ำคำถาม สรุปประเด็น เพื่อนำไปสู่การทำความเข้าใจและไกล่เกลี่ย ตอบสนองความต้องการของแต่ละฝ่ายเห็นความเจ็บปวดของอีกฝั่ง และเพื่อให้จูนกันได้ติด เปรียบเสมือนคนแปลงคลื่นเสียงให้อยู่บนความถี่เดียวกัน

“เราเชื่อว่าเหตุการณ์ระหว่างอภิสิทธิ์และนิสิตในวันนั้น อาจไม่ได้มาจากการเตรียมตัวที่ดีเพื่อพูดคุยกันทั้ง 2 ฝ่าย แล้วยังมีสื่อมาจับจ้อง ทำให้แต่ละฝ่ายอาจไม่สามารถสื่อออกมาได้หมดก็เป็นได้”

ผศ.ชนินทร บอกว่า โดยปกติแล้วกระบวนการไกล่เกลี่ยเช่นนี้ จะต้องทำให้ห้องปิด หรือหากจะเป็นการทำอย่างเปิดเผยต้องมีการแจ้งล่วงหน้า เพื่อให้ทุกฝ่ายเตรียมตัว และเอกสารหลักฐานมาพูดคุยกัน และการคุยไม่ควรจบลงแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว แต่จำเป็นต้องมีครั้งต่อ ๆ ไปเพื่อเพิ่มเติมประเด็นด้วย

ชีวิตเรียกคืนกลับมาไม่ได้ แต่การ “ยอมรับผิด” อาจเป็นสิ่งสุดท้ายที่สังคมอยากได้ยิน

แม้เวลาจะผ่านมากว่า 15 ปี นับจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 2553 และคดีได้สิ้นสุดลงในกระบวนการยุติธรรมแล้ว แต่มิอาจปฏิเสธได้ว่า “ภาพจำทางการเมือง” ที่สังคมมีต่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังคงถูกผูกโยงกับความสูญเสียในครั้งนั้น


แม้เขาจะยืนยันว่าได้แสดงความรับผิดชอบในทางกฎหมายครบถ้วนแล้ว แต่ในความรู้สึกของผู้คนบางส่วน “ความรับผิดชอบทางใจ” อาจยังไม่จบสิ้น

ผศ.ชนินทร ชวนมองไปให้ไกลขึ้นอีกว่า เหตุการณ์ที่นิสิตจุฬาฯ ลุกขึ้นตั้งคำถามต่ออดีตนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงการทวงถามความจริงทางการเมืองเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึง ความรู้สึกร่วมของคนรุ่นใหม่ต่อบาดแผลในประวัติศาสตร์ และรู้สึกว่าบาดแผลนั้นยังไม่มีคำอธิบายหรือคำขอโทษอย่างจริงใจ

“ทุกคนต้องเคยทำอะไรผิดพลาดทั้งนั้น เราทุกคนล้วนเป็นบาดแผลให้กับผู้อื่นมาแล้วทั้งนั้น ไม่ใช่แค่นายอภิสิทธิ์เท่านั้น”

ผศ. ชนินทร อธิบายว่า ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในปี 2553 ไม่ต่างจากบาดแผลในสังคมอื่นที่ต่างจำเป็นต้องใช้กระบวนการพูดคุยและให้อภัยร่วมกัน เพื่อไปสู่การเยียวยา

ดังเช่น เหตุการณ์สังหารหมู่รวันดา (Rwandan genocide) ในปี ค.ศ. 1994 เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่กลุ่มฮูตูสังหารชาวทุตซีกว่า 800,000 คน ภายในเวลาเพียง 100 วัน ถือเป็นหนึ่งในโศกนาฏกรรมมนุษยชาติที่รุนแรงที่สุดในศตวรรษที่ 20

หลังจากเหตุการณ์นั้น กระบวนการเยียวยาทำโดยมีการนำผู้กระทำมาพบกับญาติของเหยื่อ การเผชิญหน้า พูดคุย ถามถึงเหตุผลของการกระทำในช่วงเวลานั้น นำไปสู่การให้อภัยได้ในที่สุด

“ในรวันดา มีการนำผู้ที่สังหารกับลูกของเหยื่อมาคุยกัน บทสนทนาคือการเปิดใจคุยจนเข้าใจกันว่า ในเวลานั้นเขาอาจไม่ได้รู้สึกผิดที่ทำ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาเข้าใจมากขึ้น และเลือกที่จะขอโทษญาติของเหยื่อแทน

“แม้ชีวิตเรียกคืนไม่ได้ แต่การยอมรับผิดในการกระทำจะทำให้เกิดการเยียวยาในระยะยาว และกลายเป็นบทเรียนระดับชาติเพื่อยืนยันว่าจะไม่ยอมให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก

“มันสำคัญมาก ที่ผู้นำจะต้องรียนรู้ที่จะมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เคยเกิดขึ้นผ่านการขอโทษอย่างจริงใจ และให้คำมั่นว่าจะไม่ยอมให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นอีก”

อาจารย์คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ยังยกตัวอย่างกรณี โทมิอิชิ มุรายามะ (Tomiichi Murayama) อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ผู้กล่าวคำขอโทษต่อประเทศเพื่อนบ้านจากบาดแผลของสงครามโลกครั้งที่สอง เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี แห่งการสิ้นสุดสงคราม (The Murayama Statement)

คำแถลงนั้นมีสาระสำคัญคือการ ยอมรับและขอโทษอย่างเป็นทางการ ต่อประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียที่ได้รับความเสียหายจากการรุกรานของญี่ปุ่นในช่วงสงคราม

แม้เขาจะไม่ได้เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง แต่การกล่าวขอโทษในครั้งนั้นกลายเป็น สัญลักษณ์ของความรับผิดชอบร่วม และเป็นหมุดหมายสำคัญของวัฒนธรรมการให้อภัยในเอเชีย

สมาคมถ้อยแถลงมุรยามะ” (Murayama Statement Association)
เดินทางไปขอขมาเหยื่อ ณ หออนุสรณ์ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สังหารหมู่หนานจิง
ภาพ Chinanews/Yang Bo

“นายกฯ มุรายามะอาจไม่ได้เป็นคนที่สั่งการโดยตรง แต่เขาออกมาขอโทษแทนบรรพบุรุษที่เคยทำผิดพลาดไป และขอขมาในนามของชาติ การขอโทษแบบนี้มีพลังมาก เพราะไม่ใช่การยอมรับความผิดทางกฎหมาย แต่คือการแสดงความรับผิดชอบทางศีลธรรม”

ในกรณีของอภิสิทธิ์เอง ที่ประชาชนส่วนหนึ่งยังมองว่าเขาคือผู้กระทำ แต่สิ่งที่ประชาชนอยากได้ยิน คือ การแสดงความรับผิดชอบผ่านการขอโทษอย่างจริงใจ ที่แม้ต่อให้กล่าวออกไปแล้ว ประชาชนอาจจะยังก่นด่าต่อไป แต่อย่างน้อยก็ยังเป็นเครื่องยืนยันความกล้าหาญ และสำนึกความรับผิดชอบของผู้นำที่อาจนำซึ่งความรู้สึกของสังคมในเชิงบวกมากขึ้น

“เราเชื่อว่าหากมีคำขอโทษอย่างจริงใจและเป็นทางการ บรรยากาศในสังคมจะดีขึ้น แม้บางคนอาจยังไม่ให้อภัย แต่ส่วนหนึ่งจะเริ่มมองเขาในแง่บวก และเห็นว่าอย่างน้อยก็ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น และส่งผลดีมากกว่า” ผศ. ชนินทร อธิบาย

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่นักการเมือง นายทหาร หรือบุคคลสาธารณะ ถูกชูป้ายประท้วง หรือนำเสนอข้อเรียกร้อง ระหว่างการปรากฏตัวไปทำกิจกรรมในพื้นที่ต่าง ๆ ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรก แต่หลายคนเลือกที่จะเดินผ่านไป เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า บางคน เลือกใช้วิธีการพูดคุยเพียงสั้น ๆ ไม่ได้ลงรายละเอียดในเนื้อหาสาระของประเด็นที่ถูกหยิบยกมาประท้วง

แต่ก็มีบางครั้งที่นักการเมืองเลือกเผชิญหน้ากับการตั้งคำถามอย่างตรงไปตรงมาจากคนรุ่นใหม่และเยาวชน ย้อนไปเมื่อปี 2563 ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในขณะนั้น ถูกกลุ่มนักเรียนเลว (Bad Student) และแนวร่วมนักเรียนอีก 50 โรงเรียน  ดักรอหน้ากระทรวงศึกษาธิการเพื่อตั้งคำถามเกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมในระบบการศึกษา ในเวลานั้นมีทั้งการชูป้ายประท้วง และอ่านแถลงการณ์ จนนำไปสู่ข้อเรียกร้องให้เขาลาออกหากยังไม่ยอมปฏิรูประบบการศึกษา

บรรยากาศวันนั้นตึงเครียด แต่ณัฐพล เลือกเดินเข้าไปพูดคุยกับกลุ่มนักเรียนด้วยตนเอง ท่ามกลางเสียงโห่ไล่ เป่านกหวีด และตั้งคำถามจากผู้ชุมนุมเยาวชน เช่น “ทำไมถึงไม่ปกป้องสิทธิของนักเรียน” หรือ “กระทรวงจะทำอะไรกับครูที่ใช้ความรุนแรง”

ในที่สุด ทั้งสองฝ่ายได้เปิดวงสนทนาอย่างสั้น ก่อนจะนำมาสู่การขึ้นเวทีดีเบต ระหว่าง รัฐมนตรี vs นักเรียน โดยมี จักรกฤต โยมพยอม รับหน้าที่เป็นคนกลาง

ในช่วงนับถอยหลังสู่การยุบสภาฯ เตรียมเดินหน้าสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่ เหตุการณ์ทำนองนี้น่าจะปรากฏให้เห็นบ่อยขึ้น โดยเฉพาะช่วงการเดินสายลงพื้นที่หาเสียง ซึ่งคงไม่ใช่เพียงแค่การไปนำเสนอนโยบายให้ประชาชนรับรู้รับทราบแต่เพียงฝ่ายเดียว บางครั้งก็อาจต้องรับฟังเสียงสะท้อนมุมมองความคิดและข้อเสนอแนะไปพร้อมกันด้วย

เหตุการณ์ทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่านักการเมืองไม่อาจหลีกหนีจากการตั้งคำถามของประชาชนได้ แต่การเลือกใช้วิธีที่รับฟังอย่างตั้งใจ ไม่เดินหนีหรือปิดหูปิดตา เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แม้ในเวลานั้นอาจยังหาความเข้าใจร่วมไม่ได้ แต่สิ่งสำคัญคือการสร้างบรรยากาศในาการพูดคุยให้เกิดขึ้นต่อไปหลังจากนั้น ให้เป็นการฟังอย่างตั้งใจที่ไม่ได้ฟังด้วยหูเท่านั้น แต่เป็นการฟังด้วยใจต่อกันต่างหาก

Author

Alternative Text
AUTHOR

ปุณยอาภา ศรีคิรินทร์

เธอไม่ต้องฆ่าฉันด้วยปืนหรอก แค่เธอบอกว่าไม่รัก สักพักฉันก็ตาย