จะให้ “นักการเมืองรุ่นใหม่” เปลี่ยนประเทศ “สภาพแวดล้อมทางการเมือง” เปลี่ยนหรือยัง

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การเมืองไทยดูเหมือนจะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เมื่อพลังของคนรุ่นใหม่ก้าวเข้าสู่พื้นที่สาธารณะมากขึ้น ทั้งในฐานะผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ผู้เคลื่อนไหวทางการเมือง และนักการเมืองในสภา

เพราะอะไร ?

เราอาจต้องหันกลับไปมองบทเรียนในอดีตและร่องรอยในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ล้วนขับเคลื่อนด้วยพลังของคนรุ่นใหม่ และทุกการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ล้วนมีบทบาทของคนรุ่นใหม่อยู่ในนั้นไม่มากก็น้อย

เริ่มตั้งแต่เหตุการณ์อภิวัฒน์สยามปี 2475 ของคณะราษฎร ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของกลุ่มบุคคลที่อยู่ในช่วงวัยหนุ่ม ทั้งพลเรือน นักเรียนกฎหมาย และนายทหาร จนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ในยุคต่อ ๆ มา

เหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 และพฤษภาทมิฬ 2535 ก็นับเป็นขบวนการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยที่มีแกนหลักเป็นคนหนุ่มสาวแทบทั้งสิ้น

จนมาถึงการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ช่วงปี 2563 หลังกรณีศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ ยิ่งเป็นการจุดชนวนการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ให้ขยายวงมากขึ้น

ความตื่นตัวของเยาวชนคนรุ่นใหม่เช่นนี้ ส่งผลให้หลายพรรคการเมืองเริ่มตระหนักถึงแรงกระเพื่อมที่จะส่งผลต่อการเลือกตั้งครั้งต่อ ๆ ไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่จุดชี้วัดของศึกการเมืองครั้งนี้ คือ ใครกันแน่จะเป็นของจริงหรือของปลอม

โดยเฉพาะ “นักการเมืองรุ่นใหม่” ไม่ต่างจากความหวังของประชาชนที่อยากจะเห็นคนเหล่านี้นำพาการเมืองไทยไปสู่การเปลี่ยนแปลง ด้วยแนวคิดใหม่ กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์โครงสร้างเดิม และกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองที่ฝังรากอยู่ในความไม่เท่าเทียมมานาน

‘ชวน หลีกภัย’ ผู้มีภาพลักษณ์ซื่อสัตย์ เรียบง่าย ได้รับเลือกเป็น สส. ครั้งแรกตั้งแต่อายุ 28 ปี

‘สมัคร สุนทรเวช’ ดาวสภาฝีปากกล้า เป็น สส. ตอนอายุ 32 ปี

‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ นักเรียนนอกดีกรีปริญญาเอกจาก Oxford เป็น สส. ตั้งแต่อายุ 27 ปี

‘เนวิน ชิดชอบ’ ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในเกมการเมืองของหลายรัฐบาล เป็นทายาทนักการเมือง และเป็น สส. ตั้งแต่อายุ 29 ปี

‘ทักษิณ ชินวัตร’ ผู้มาพร้อมกับวิสัยทัศน์ทันสมัย ในฐานะนักธุรกิจที่มีวิธีคิดแบบ CEO ที่ก้าวสู่สนามการเมือง เมื่ออายุ 45 ปี

คนเหล่านี้ ในเวลาหนึ่งก็มีภาพของการเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่มาก่อน แต่เมื่อเวลาผ่านมาจนถึงปัจจุบัน คนเหล่านี้เช่นกันที่เป็นเหมือนเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่า นักการเมืองรุ่นใหม่จากยุคก่อนก็ยังไม่สามารถทำให้การเมืองไทยพ้นจากวังวนเก่า ๆ ได้

กลับมาที่สถานการณ์การเมืองในยุคนี้ คำถามใหญ่ที่ต้องถามกลับไปคือ “นักการเมืองรุ่นใหม่” มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงการเมืองให้ดีขึ้นได้แค่ไหน ? หรือสุดท้ายพวกเขากำลังเดินซ้ำรอยนักการเมืองรุ่นก่อนหน้า ที่เริ่มต้นด้วยอุดมการณ์และจบลงด้วยการปรับตัวให้เข้ากับระบบเดิม

เมื่อดูข้อมูลการเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่าสุดในปี 2566 จะพบว่า มี สส. ในกลุ่ม Gen-X และ Y มีจำนวนไม่ต่างกัน และ Baby Boomer มีจำนวนไล่ลงมา คือ

  • Gen-Y จำนวน 175 คน
  • Gen-X จำนวน 173 คน
  • Baby Boomer จำนวน 138 คน
  • มากกว่า Baby Boomer จำนวน 12 คน

ในจำนวนนี้เป็น “สส. หน้าใหม่” ถึง 268 คน เรียกได้ว่าเกินครึ่งหนึ่งของ สส. ทั้งสภา และในหลายเขตพื้นที่ยังสามารถโค่น สส. เจ้าถิ่น หรือเอาชนะ “บ้านใหญ่” ได้อย่างเหนือความคาดหมาย

ตัวแปรหนึ่งที่มีส่วนชี้วัดผลแพ้-ชนะ ในการเลือกตั้งปี 2566 เป็นเพราะจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในกลุ่ม Gen-Y Gen-Z และ New voter รวมกันแล้วมากกว่า 22 ล้านเสียง จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 52 ล้านเสียง หรือเกือบครึ่งหนึ่ง ซึ่งคงปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวแปรนี้มีผลทำให้เราได้ “นักการเมืองหน้าใหม่” มาอย่างล้นหลาม

อิทธิพลคนรุ่นใหม่-สร้างคนรุ่นใหม่ ใน “ยุทธศาสตร์พรรคการเมือง”

ในวันนี้ เมื่อสังคมไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรและสัดส่วนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ทว่าผลการเลือกตั้ง 2 ครั้งล่าสุดในปี 2562 และ 2566 ปรากฏฉันทามติของประชาชนชัดเจนว่าเทไปในทิศทางใด ทำให้พรรคการเมืองแต่ละพรรคเริ่มตระหนักถึงการสร้างคนรุ่นใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้น

เมื่อวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวในแต่ละพรรค จะเห็นว่าหลายพรรคพยายามเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ ด้วยยุทธศาสตร์ต่าง ๆ เช่น

  • พรรคประชาชน มี “Common School” เป็นพื้นที่ในการทำงานทางความคิดกับคนรุ่นใหม่ 
  • ฝั่งอนุรักษ์นิยมอย่างพรรคภูมิใจไทยและพรรครวมไทยสร้างชาติ มีการใช้ยุทธศาสตร์ปลุกปั้นคนรุ่นใหม่ภายใต้เครือข่าย “บ้านใหญ่” โดยเน้นสร้างสายสัมพันธ์กับตระกูลการเมืองและเครือข่ายอุปถัมภ์ที่มีอยู่เดิม
  • กลุ่ม “NewDem” จากพรรคประชาธิปัตย์ ที่เริ่มปรับตัวให้เหมือนกับพรรคอื่น ๆ แต่อาจสายเกินไปจากจุดยืนและโครงสร้างการบริหารพรรคที่คนรุ่นเก่ายังมีอิทธิพลสูง จนทำให้ต้องปิดฉากไปในที่สุด

ส่วนพรรคเพื่อไทยก็ได้มีการปรับตัวเพื่อทวงแชมป์การเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์อีกครั้ง ด้วยการตั้งทีม Pheu Thai Party Academy หรือ “PTP Academy” เพื่อเสริมศักยภาพคนรุ่นใหม่ภายในพรรค และปักธงที่จะเจาะฐานเสียงจากกลุ่ม Gen-Y และ Gen-Z โดยปัจจุบัน มีสมาชิกทั้งหมดราว 15 คน อายุเฉลี่ยไม่เกิน 30 ปี หรือเป็นนักศึกษาจบใหม่จากมหาวิทยาลัยชั้นนำ ซึ่งทั้งหมดไม่มีใครเป็นทายาทบ้านใหญ่หรือลูกหลานนักการเมือง

มีการเปิดตัว Young Professionals Program หรือ YPP เป็นหลักสูตรพัฒนาบุคลากรด้านนโยบาย สร้างโอกาสให้คนรุ่นใหม่ที่อยากหาประสบการณ์ทางการเมืองด้วยการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำจริง และหากฉายแววทางการเมืองก็มีโอกาสที่จะได้รับการสนับสนุนให้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส. เขตได้ 

พีรวิชญ์ ขันติศุข ผู้อำนวยการ PTP Academy บอกถึงยุทธศาสตร์การสร้างคนรุ่นใหม่ของพรรคว่า PTP Academy เกิดขึ้นเพื่ออุดช่องว่างระหว่างวัยภายในพรรค และหนุนการทำงานของ สส. โดยอาศัยพลังของคนรุ่นใหม่เข้ามาเติมเต็ม

“เราอยากได้คนที่พร้อม get things done และ dirty hand คือพร้อมที่จะลงไปทำงานจริง ในสถานการณ์ที่เพื่อไทยไม่ได้สวยงามเหมือนเมื่อก่อน หรืออยากจะแก้ไขอะไรในแบบที่เพื่อไทยเชื่อ ซึ่งถ้าพร้อมเข้ามา ถือว่าเป็น energy ที่เราต้องการ”

พีรวิชญ์ ขันติศุข ผู้อำนวยการ PTP Academy

พีรวิชญ์ ขันติศุข ผู้อำนวยการ PTP Academy

พีรวิชญ์ เล่าต่อว่า ช่วงแรกในการทำงานของทีมอะคาเดมี ย่อมมีแรงเสียดทานจากคนรุ่นก่อนเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งทีมคนรุ่นใหม่พยายามยึดหลักวิชาการ โดยไม่ใช้ความรู้สึก แต่ใช้ข้อมูลที่อธิบายได้ตามหลักเหตุและผล เพื่อทำความเข้าใจกันระหว่างคนสองวัย

“การที่คนรุ่นใหม่เข้าไปทำงานไม่ได้หมายความว่าจะเข้าไปเป็นภัยคุกคาม แต่เราจะเข้าไปช่วยตรงจุดที่มีช่องโหว่ โดยไม่ได้ educate ว่าอันนี้เก่า โบราณ คร่ำครึ เพราะเราเข้าใจว่าการที่เขาเป็น สส. ได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย และเขามีสกิลบางอย่างที่เราไม่มี เราจึงคุยกันด้วยสันติวิธีที่สุดในการทำงานร่วมกัน”

พีรวิชญ์ ขันติศุข ผู้อำนวยการ PTP Academy

กฤดิกร วงศ์สว่างพานิช ผู้อำนวยการด้านวิจัยและนโยบาย PTP Academy ให้ความเห็นเสริมว่า ความท้าทายในการทำงานภายใต้โครงสร้างพรรคและนักการเมืองรุ่นอาวุโส คือ การปรับจูนทางความคิด สร้างความยอมรับ ความไว้วางใจ ด้วยความเป็นคนหน้าใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์เมื่อเทียบกับ สส. รุ่นใหญ่ และหากมองด้วยใจเป็นธรรม กฤดิกร บอกว่าต้องคำนึงถึงผลลัพธ์ในการทำงานเป็นสำคัญ ว่าสามารถผลักดันนโยบายไปถึงมือประชาชนได้แค่ไหน ไม่ว่าจะมาจากบ้านใหญ่หรือไม่ก็ตาม

(ซ้าย) กฤดิกร วงศ์สว่างพานิช ผู้อำนวยการด้านวิจัยและนโยบาย PTP Academy

“บ้านใหญ่มีมุมที่เป็นข้อเสียในทางการเมืองแน่นอน แต่ก็มีมุมที่เป็นจุดแข็งด้วยเช่นกัน คือเป็นนักการเมืองที่อยู่ในพื้นที่จริง ทำให้มีฐานข้อมูลในพื้นที่มากกว่าทุกคน ฉะนั้นก็ต้องยอมรับใน performance ของเขาด้วย”

กฤดิกร วงศ์สว่างพานิช ผู้อำนวยการด้านวิจัยและนโยบาย PTP Academy

สิ่งที่น่าจับตาถัดจากนี้คือ กระบวนการสร้างคนรุ่นใหม่ในโครงการ YPP ที่จะไปเสริมทัพให้กับพรรคเพื่อไทยในศึกเลือกตั้งครั้งหน้า จะเปิดพื้นที่ให้พวกเขาได้แสดงความสามารถมากน้อยแค่ไหน พร้อมจะถ่ายเลือดใหม่ของพรรคแล้วหรือยัง และที่สำคัญจะตีโจทย์ให้กระแสคนรุ่นใหม่เข้าไปสู่หัวใจของประชาชนได้หรือไม่

ช่องว่างระหว่างวัย : โอกาสหรืออุปสรรค ?

ช่องว่างระหว่างวัย และความไม่ลงรอยของคนต่างรุ่น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย แม้กระทั่งสำนวนโบราณ “อาบน้ำร้อนมาก่อน” ก็ยังถูกนำมาใช้ในปัจจุบัน

กว่า 30 ปีที่แล้ว อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตนักการเมืองดาวรุ่งอย่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็เคยผ่านประสบการณ์ทำนองนี้มาแล้วเช่นกัน เมื่อครั้งที่เข้าสู่สภาสมัยแรก ๆ เพรามีความคิดเห็นที่แย้งกับนักการเมืองรุ่นอาวุโสกว่า

ภาพ : Abhisit Vejjajiva

“ผมเป็น สส. สมัยแรก ก็ถูก สส. หลายสมัย ขู่ว่าจะโยนบ่อปลาคราฟหน้ารัฐสภาเก่า เพราะว่าอายุน้อย แล้วก็ก้าวร้าว ไปแสดงความคิดเห็นที่ไม่ตรงกับผู้ที่มีความอาวุโสกว่า ซึ่งปัญหาแบบนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดา และความจริงก็ไม่ได้เกิดขึ้นแค่สมัยผม ผมเข้าใจว่าตอนคุณชวน หลีกภัย เป็น สส. สมัยแรก ๆ ก็โดนข้อกล่าวหาแบบเดียวกัน”

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

สิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้นักการเมืองรุ่นใหม่สามารถยืนระยะอยู่ในสนามการเมืองได้นั้น อภิสิทธิ์ มองว่าอยู่ที่การยึดมั่นในหลักการความเชื่อของตน ไม่ให้ถูกกลืนไปกับขนบการเมืองแบบเก่า หรือถูกพรรคต้นสังกัดครอบงำ ซึ่งทางออกสำหรับอภิสิทธิ์คือ ให้พรรคการเมืองปรับตัวไปสู่การเป็นสถาบันมากขึ้น เปิดโอกาสให้สมาชิกพรรคมีหนึ่งเสียงเท่ากัน จึงจะสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพได้

“จะบอกว่ามันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยก็คงไม่ได้ เพราะว่าในที่สุด ถึงวันนี้การเมืองเราอาจจะถดถอยไปในหลายต่อหลายเรื่อง แต่ความตื่นตัวหรือความเข้าใจในหลักการพื้นฐานหลายอย่างเกี่ยวกับประชาธิปไตยก็ดีขึ้น ปัญหาจึงอยู่ที่การไปประสานประโยชน์ หรือการทำให้เกิดความเสื่อมด้วยการคอร์รัปชัน หรือการที่มีอำนาจอื่นเข้ามาแทรกแซง จนทำให้การเมืองทำงานไม่ได้ อันนี้คือสิ่งที่เป็นอุปสรรค”

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

เมื่อมองดูสถานการณ์ปัจจุบัน อภิสิทธิ์ มองว่าพรรคการเมืองเกือบทั้งหมดยังต้องขึ้นอยู่กับอำนาจตัดสินใจของเจ้าของพรรค นายทุนพรรค หรือผู้นำจิตวิญญาณ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยฉุดรั้งให้นักการเมืองรุ่นใหม่ไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้

การก้าวขึ้นมาของนักการเมืองรุ่นใหม่ รุ่นแล้วรุ่นเล่า แม้จะไม่สามารถเปลี่ยนบรรยากาศจาก “การเมืองน้ำเน่า” ไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “การเมืองสร้างสรรค์” ในแบบที่ประชาชนคาดหวัง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องสูญเปล่าทีเดียว อย่างน้อยก็ทำให้ประชาชนเกิดความตื่นตัวกันมากขึ้นไปพร้อม ๆ กับความเข้าใจเรื่องหลักประชาธิปไตยที่หยั่งรากลึกมากขึ้นเช่นกัน เพียงแต่ต้องขีดเส้นให้ชัดด้วยว่า ถึงจุดไหนที่ต้องห้ามล้ำเส้นทางความคิด และไม่ควรปล่อยให้เกิดคำพูดที่ว่า “เก็บอุดมการณ์เข้าลิ้นชัก” เพราะหากปล่อยให้ถึงวันนั้น ลิ้นชักอาจจะไม่ถูกเปิดออกมาอีกเลย

“แนวคิด มุมมอง วิสัยทัศน์” ภาพนักการเมืองรุ่นใหม่

อย่างไรก็ตาม ความเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ ไม่ได้วัดกันที่ตัวเลขอายุ แต่ขึ้นอยู่กับแนวคิด มุมมอง วิสัยทัศน์ และความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่สยบยอมต่อขนบแบบเก่า โดยส่วนใหญ่มีจุดร่วมมาจากการเติบโตในภาคประชาชนหรือขบวนการเคลื่อนไหว ไม่ได้มาจากสายอำนาจเดิม เช่น กองทัพ หรือชนชั้นนำเก่า

จากการพูดคุยกับ ศ.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้นิยามนักการเมืองรุ่นใหม่ว่า คือคนที่ให้ความสำคัญต่อบริบทโลก ความเท่าเทียม และความเป็นธรรม ขณะที่นักการเมืองรุ่นเก่ายังคงมุ่งรักษาฐานอำนาจเดิม มักติดอยู่ในระบบอุปถัมภ์ หรือสืบทอดมาจากตระกูลการเมืองเดิม

“บทเรียนสำคัญสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้า ในปี 2570 ทุกพรรคจะต้องให้ความสำคัญกับคนรุ่นใหม่ Gen-Y มากขึ้น เพราะคนเหล่านี้จะเป็นประชากรกลุ่มใหญ่รองจาก Gen-X และในวันข้างหน้าก็จะเป็นประชากรกลุ่มใหญ่สุด เพราะพลังของเขามาจากมันสมองและการสื่อสารที่รวดเร็วและเข้าถึงกลุ่มคนได้มากกว่า ดังนั้นถ้าพรรคละเลยคนกลุ่มนี้ พรรคจะเจอปัญหาหนักในการเลือกตั้งครั้งหน้า”

ศ.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ศ.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เช่นเดียวกับ ชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะอดีตตัวแทนพรรคการเมืองที่เป็นสัญลักษณ์ของคนรุ่นใหม่ มองว่า การเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ไม่ได้วัดกันที่อายุ แต่สิ่งที่นักการเมืองรุ่นใหม่จำเป็นต้องมีคือ เป้าหมายเชิงนโยบายที่ต้องการผลักดัน หรือมีโครงการทางการเมือง (Political project) ที่ชัดเจน

“สังคมมีความเปลี่ยนแปลง มีพลวัต เป็นแบบนี้ทุกยุคสมัย อย่างตอนที่ Baby Boomer เป็นคนหนุ่มสาวเขาก็ขบถทั้งนั้น ผมมองว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ” 

ชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล

ชัยธวัช เรียกสิ่งนี้ว่า “Passion” ในการทำงาน หรือหากมองในแง่บุคลิกลักษณะก็คือ ต้องมีความเป็น “ขบถ” ทางความคิด เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ซึ่งถ้าหากถามว่านักการเมืองรุ่นใหม่มีแนวโน้มที่จะยึดโยงกับอุดมการณ์แบบใด ชัยธวัช มองว่าสังคมไม่ควรจะมีอุดมการณ์ใดเพียงหนึ่งเดียว โดยไม่อนุญาตให้มีอุดมการณ์อื่น อย่างที่ผ่านมาทั้งพรรคอนาคตใหม่ ก้าวไกล จนถึงพรรคประชาชน มักถูกมองว่าเป็นพรรคหัวก้าวหน้า เสรีนิยม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฝ่ายอนุรักษนิยมควรจะต้องหมดไป

ชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล

นอกจากนี้ ชัยธวัช ยังย้ำว่าสิ่งที่ละเลยไม่ได้เลยคือ การผลักดันวาระทางการเมืองที่ชัดเจน และหากทุกพรรคต่อสู้กันด้วยนโยบาย ก็จะยิ่งนำไปสู่การเมืองที่สร้างสรรค์มากขึ้น ซึ่งนักการเมืองรุ่นใหม่ต้องกล้าทะลุทะลวงเพดานความคิดความเชื่อแบบเดิม ต้องมีจินตนาการใหม่ ๆ มองเห็นความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ที่จะตอบโจทย์ความท้าทายใหม่ของสังคมที่เกิดขึ้นตลอดเวลา

“อย่างน้อยมี 2 อย่างที่ต้องทำ ทำให้สังคมเห็นตรงกันให้ได้ว่า เราอยู่กันแบบเดิมไม่ได้แล้ว และต้องทำให้คนส่วนใหญ่ยอมรับคนรุ่นใหม่ เพราะแม้เราจะเป็น New comer (ผู้มาใหม่) แต่ต้องทำให้สังคมไว้วางใจที่จะบริหารประเทศหรือฝากบ้านฝากเมืองได้”

ชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล

ที่ผ่านมา พรรคอนาคตใหม่จนถึงพรรคประชาชนพยายามพัฒนากระบวนการสร้างคน ผ่านการสัมภาษณ์และทดลองทำงานร่วมกัน เช่น การเปิดหลักสูตร “นักการเมืองประชาชน” เฟ้นหาผู้สนใจเข้าร่วมทำงานการเมืองทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ถึงแม้พรรคจะมีการสรรหาบุคคลเข้มข้นเพียงใด ก็ยังเกิดปรากฏการณ์ “งูเห่า” ขึ้นได้เสมอ

อย่างไรก็ตาม ชัยธวัชเชื่อว่าถ้าจะแก้ปัญหานี้ได้ ต้องทำให้พรรคเป็นสถาบันการเมืองที่เข้มแข็ง เพราะปัญหา สส. เปลี่ยนขั้ว ย้ายข้าง ไม่ใช่เรื่องใหม่ในสังคมการเมืองไทย แต่เกิดขึ้นกับทุกพรรค ทุกยุคทุกสมัย

“ผมเคยคุยกับนักการเมืองอาวุโสถึงการแก้ปัญหา ท่านบอกว่า คนเราถ้าร่างกายแข็งแรง ไม่ต้องกลัวเชื้อโรคหรอก แต่ถ้าร่างกายอ่อนแอ เชื้อโรคจะทำร้ายเรา มันยิ่งตอกย้ำสิ่งที่เราเชื่อว่า ต้องทำให้พรรคเป็นสถาบันที่เข้มแข็ง จึงจะแก้ปัญหางูเห่าแบบกำปั้นทุบดินได้”

ชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล

อีกมุมหนึ่งของนักการเมืองรุ่นอาวุโสอย่าง สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร อดีตสมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนาและพรรคภูมิใจไทย และในฐานะพ่อผู้ส่งต่อบุตรชายสู่เส้นทางการเมืองถึง 3 คน เล่าจากประสบการณ์ว่า การจะส่งผ่านบ้านเมืองให้กับคนรุ่นใหม่ จำเป็นจะต้องปูพื้นฐานความเข้าใจที่ตรงกัน ทั้งในแง่บทบาท สิทธิ จิตสำนึก

สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีตนักการเมืองอาวุโส

การเป็นคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่อายุ สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องมีความคิดอ่านที่ทันสมัย ยึดโยงกับประชาชน เห็นได้จากผู้นำโลกหลายคนแม้จะมีอายุมาก แต่ผู้นำเหล่านั้นยังถูกนับว่าเป็นคนรุ่นใหม่ เพราะสามารถปรับตัวได้ทันต่อสถานการณ์โลก และมีวิธีคิดใหม่ ๆ ที่จะแก้ปัญหาให้กับสังคม

“ในขณะที่พรรคอนาคตใหม่ในช่วงแรก ใคร ๆ ก็คาดไม่ถึง แล้วก็ประเมินเขาต่ำเกินไป ผมยังจำได้ตอนที่คุณธนาธรเริ่มออกสื่อครั้งแรก ๆ คนมองเป็นเรื่องขบขัน เหมือนกับที่ครั้งหนึ่งประชาธิปัตย์เคยประเมินเพื่อไทยต่ำไป ไม่เคยคิดว่าความคิดของคนและบริบทการเมืองมันเปลี่ยนไป และไม่คิดว่าจะต้องเอานโยบายพรรคมาเป็นหลัก”

สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีตนักการเมืองอาวุโส

ถึงจุดนี้ คนรุ่นเก่าอาจต้องทบทวนตัวเอง หรือควรวางบทบาททางการเมืองของตนเองหรือไม่นั้น อดีตรองประธานสภาฯ มองว่า อาจไม่จำเป็นต้องถึงขั้นวางมือ แต่ให้เปลี่ยนบทบาทมาเป็นที่ปรึกษา ช่วยคิด ช่วยทำ ช่วยรับผิดชอบ ในฐานะผู้มีประสบการณ์สูง แล้วเปิดทางให้คนรุ่นใหม่ขึ้นมายืนแถวหน้าแทน

ในฐานะผู้เป็นพ่อที่มีบุตรชายสืบทอดทายาทการเมือง อาจนับว่าเป็นข้อได้เปรียบในแง่การสั่งสมประสบการณ์ ได้มีโอกาสซึมซับการทำงานจากพ่อ ซึ่งถือเป็นต้นทุนการเมืองที่สำคัญ แต่ข้อท้าทายก็คือการจะรักษาจะรักษาต้นทุนไว้ได้นั้น ขึ้นอยู่กับผลงานและการตัดสินของประชาชน

ฉะนั้น ความเป็นลูกหลานบ้านใหญ่หรือสายเลือดนักการเมือง จึงไม่ใช่หลักประกันว่าจะชนะการเลือกตั้งทุกครั้ง อาจชนะได้เพียงสมัยแรก ส่วนสมัยถัดไปต้องพิสูจน์ตัวเองว่าประชาชนจะยังให้ความไว้วางใจหรือไม่

“การเมืองไม่ใช่ทรัพย์สมบัติที่จะมอบมรดกให้แก่กันได้ แต่อยู่ที่ประชาชนตัดสิน อาจจะมีผลในช่วงแรกที่เป็นต้นทุนทางการเมืองให้ได้ แต่ก็ได้แค่สมัยเดียวเท่านั้น เพราะประชาชนจะมองเห็นว่าตัวตนของนักการเมืองที่เป็นทายาทนักการเมืองบ้านใหญ่เป็นอย่างไร ฉะนั้นอาจเข้ามาได้สมัยเดียว พอถึงสมัยหน้าก็ไปแล้ว”

สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีตนักการเมืองอาวุโส

ปัจจัยแวดล้อมทางการเมือง : อุปสรรคที่คนรุ่นใหม่ต้องฝ่า

ขณะที่ รศ.สุขุม นวลสกุล อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง มองว่าหากย้อนดูความเปลี่ยนแปลงในแวดวงการเมืองไทย จะพบว่านักการเมืองส่วนใหญ่มักมาจากการสืบทอดอำนาจในตระกูลเดิม ๆ ผ่านการเชื่อมโยงผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มผู้มีอิทธิพล โดยใช้การเมืองเป็นเครื่องมือส่งต่ออำนาจ

รศ.สุขุม นวลสกุล อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง

ด้วยเหตุนี้ รศ.สุขุม จึงไม่เชื่อว่า พรรคการเมืองเก่าจะสามารถสร้างนักการเมืองรุ่นใหม่ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาประเทศอย่างแท้จริง ตรงกันข้ามกลับมองว่าเป็นการสร้างพวกพ้องเพื่อรักษาผลประโยชน์ แต่ถึงอย่างไร ยังต้องจับตาดูการเลือกตั้งใหญ่ในครั้งหน้าว่า อุดมการณ์คนรุ่นใหม่จะมีบทบาทมากแค่ไหนในการตัดสินใจหย่อนบัตรลงคะแนน

ทั้งอุปสรรคระหว่างผู้อาวุโสภายในพรรค ทั้งความไม่เชื่อมั่นในประสบการณ์อันน้อยของนักการเมืองรุ่นใหม่ ยังมีระบบนิเวศการเมืองไทยที่ไม่เอื้อให้นักการเมืองหน้าใหม่เติบโตในสายการเมืองอีกด้วย โดยเฉพาะปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ยังเป็นข้อจำกัด เช่น ระบบเลือกตั้ง สส. 400 เขต ที่ ศ.สิริพรรณ มองว่า บางครั้งจำเป็นต้องอาศัยเส้นสายเครือข่ายระบบอุปถัมภ์จึงจะครองเสียงประชาชนในพื้นที่ได้

นอกจากนี้ “รัฐราชการ” ก็นับเป็นปราการด่านใหญ่สุดที่นักการเมืองรุ่นใหม่ต้องเผชิญ ซึ่งทำอย่างไรให้ข้าราชการไว้วางใจและให้ความร่วมมือ เพื่อที่จะผลักดันนโยบายของพรรคไปสู่การปฏิบัติจริงได้

รวมถึง ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ มีความพยายามที่จะใช้อำนาจสภาที่ 4 หรือองค์กรอิสระต่าง ๆ เป็นเครื่องมือในการตรวจสอบฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ เพราะความไม่ไว้วางใจที่องค์กรอิสระมีต่อสภาผู้แทนราษฎรค่อนข้างสูงมาก จนดูราวกับว่านี่คือสงครามระหว่างวัย ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของคนรุ่นใหม่ที่มีความตั้งใจเข้ามาทำงานการเมือง

“คำถามคือใครตรวจสอบองค์กรอิสระได้บ้าง และที่สำคัญคนในองค์กรอิสระล้วนถูกสรรหามาโดย Baby Bommer และได้รับการรับรองโดยวุฒิสภาซึ่งเป็นคนสูงวัยอีกเช่นกัน สิ่งนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็น clash of generation แต่ก็ไม่อยากให้ท้อถอย ถ้าเรามีพลังประชาชนเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็ก เราก็คงสู้กันได้ ก็ค่อย ๆ ขยับประเด็นทางการเมืองและพื้นที่ต่อสู้กันไปได้”

ศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

การเกิดขึ้นของนักการเมืองรุ่นใหม่จึงเป็นเรื่องปกติของระบอบประชาธิปไตย แต่สิ่งที่สำคัญกว่า คือ โครงสร้างทางการเมืองที่เป็นอยู่นี้ จะเอื้อให้พวกเขาได้มีโอกาสใช้ศักยภาพได้มากน้อยแค่ไหน เพราะการเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจในระบบการเมืองไทยต้องอาศัยการผลักดันในระดับโครงสร้างที่ลึกกว่าจำนวน สส.รุ่นใหม่ ทั้งกติกา ระบบราชการ พรรคการเมือง และทัศนคติของสังคมต่อการมีส่วนร่วมทางการเมือง

ท้ายที่สุด คำถามจึงอาจไม่ใช่แค่ “นักการเมืองรุ่นใหม่มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงการเมืองให้ดีขึ้นได้แค่ไหน ?” แต่ต้องถามอีกคำถามสำคัญว่า

“ประเทศนี้พร้อมให้นักการเมืองรุ่นใหม่เปลี่ยนหรือยัง ?”


Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active