‘สะมาริตันส์ฯ’ 47 ปีแห่งการรับฟัง กอบกู้ใจที่ผุพัง ป้องกันการ ‘ฆ่าตัวตาย’

“ฆ่าตัวตาย 1 ครั้ง ชีวิตพังไป 6 คน”

นี่คือข้อมูลที่ องค์การอนามัยโลก ประมาณค่าไว้ว่า เมื่อมีคน 1 คน ฆ่าตัวตายได้สำเร็จ จะมีผู้ได้รับผลกระทบอย่างลึกซึ้งจากการสูญเสียนี้ราว 6 คนเป็นอย่างน้อย แน่นอนว่า เริ่มจากคนวงในใกล้ชิด ทั้งคนในครอบครัว คู่ชีวิต ญาติพี่น้อง ไปถึงเพื่อนสนิท

การวิจัยโดย Julie และคณะ (2014) จากมหาวิทยาลัยเคนทักกี พบว่า การฆ่าตัวตายหนึ่งครั้ง อาจส่งผลกระทบต่อผู้คนมากถึง 135 คน ซึ่งรวมถึงครอบครัว เพื่อนร่วมงาน และผู้ที่รู้จักผู้เสียชีวิต

มองมาที่สถานการณ์ในประเทศไทย จากรายงานของ ศูนย์ป้องกันการฆ่าตัวตายแห่งชาติ (National Suicide Prevention Center) ซึ่งสังกัดกรมสุขภาพจิต มีการรายงานว่า ปี 2565 มีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย 4,523 คน เฉลี่ยประมาณ 12 คนต่อวัน หรือทุก 2 ชม. มีคนฆ่าตัวตายสำเร็จ 1 คน

นี่เป็นตัวเลขที่น่าขนลุกไม่น้อย…เกิดอะไรขึ้นกับสถานการณ์สุขภาพจิตบนโลกใบนี้ ท่ามกลางโลกที่มีเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกให้ชีวิตมากมาย มนุษย์กำลังพัฒนาความสามารถไปไกลกว่าขีดจำกัดที่ตัวเองเคยวาดฝันไว้ แต่เหตุใดกลับสวนทางกับความสามารถในการประคับประคองความรู้สึกและจิตใจ จนไม่สามารถช่วยหลายชีวิตไว้ได้อย่างทันท่วงที

The Active ชวนทำความความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงสถานการณ์การฆ่าตัวตาย พร้อมติดเครื่องมือดูแลหัวใจตนเอง โดยไม่ลืมที่จะหันมองคนรอบข้าง เพื่อคอยประคองสังคมรอบตัวให้ฟื้นขึ้นมา และผ่านพ้นช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ไปด้วยกัน

47 ปี ‘สะมาริตันส์ฯ’ รับฟัง กอบกู้ชีวิตที่จมดิ่ง ก่อนตัดสินใจจบชีวิต!

นี่เป็นบทบาทที่ สมาคมสะมาริตันส์แห่งประเทศไทย ทำมาตลอดเกือบครึ่งศตวรรษ เพราะนี่คือ องค์กรอาสาสมัคร ที่ทำหน้าที่เป็นสายด่วนรับฟัง ซึ่งในแต่ละปีมีคนจำนวนมากโทรเข้ามาระบายความทุกข์ยาก และปัญหาในชีวิตผ่านการรับฟังของอาสาสมัคร

การรับฟังนี้ จึงเป็นเหมือนตัวช่วยด่านแรกให้ผู้คนได้ระบายความทุกข์ และความเก็บกดในใจออกมา เป็นเหมือนแสงสว่างเล็ก ๆ ที่พาผู้คนออกมาจากความมืดที่จะพาจมดิ่งลงไป และนำไปสู่การจบชีวิตในที่สุด

ปวริศ สุขนิรันด์ ผู้อำนวยการสมาคมสะมาริตันส์แห่งประเทศไทย เล่าว่า สมาคมฯ ทำหน้าที่เป็นเหมือน เพื่อนรับฟัง ให้แก่ประชาชนทั่วไปมายาวนาน 47 ปีแล้ว พบว่า ในแต่ละปี จำนวนผู้โทรเข้ามาขอรับบริการไม่เคยลดลง แต่กลับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อาจสะท้อนถึงภาพรวมของวิกฤตสุขภาพจิตคนไทยได้เช่นกัน

“แต่ละวัน มีคนโทรเข้ามาระบายความทุกข์ไม่น้อยกว่า 30 สาย ไม่รวมถึงจำนวนคนที่ฝากข้อความไว้ให้เราติดต่อกลับ ตลอดเวลาหลายปีมานี้ จำนวนคนเหล่านี้ไม่เคยลงลงเลย มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ”

ปวริศ สุขนิรันด์

นี่อาจแสดงให้เห็นว่า ผู้คนในสังคมไทยอาจยังขาดคนรับฟังอย่างแท้จริง การฟัง จึงเปรียบเสมือนเครื่องมืออันทรงพลังที่อาจช่วยกอบกู้ความรู้สึกของผู้คนไว้ได้

ปวริศ สุขนิรันด์ ผู้อำนวยการสมาคมสะมาริตันส์แห่งประเทศไทย

“ปัญหาตอนนี้ในสังคมไทย คือ ทุกคนต่างคิด ต่างพูด
แต่เมื่อต้องรับฟังใครสักคนกลับไม่เคยได้ยินเสียง”

นี่เป็นเสียงสะท้อนตอกย้ำถึงสถานการณ์ที่ ผศ.พ.ต.หญิง พนมพร พุ่มจันทร์ อาจารย์ภาควิชาจิตวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในฐานะนายกสมาคมสะมาริตันส์แห่งประเทศไทย อธิบายถึงปัญหาการรับฟังที่เกิดขึ้นในสังคมไทยเวลานี้ เพราะเมื่อไม่สามารถรับฟังให้ได้ยินเสียง หรือความรู้สึกแท้จริงที่ซ่อนอยู่ใต้คำพูดเหล่านั้นเลย ในที่สุดเขาก็ไม่รู้จะหันหน้าไปทางไหน สมาคมสะมาริตันส์ฯ จึงขอทำหน้าที่นั้นแทน

“เวลาใครสักคนไม่สบายใจ แค่เพียงเขาได้พูดออกมากับคนที่รับฟังเขาด้วยใจอย่างแท้จริง ไม่ตัดสินผิดถูก และรับฟังด้วยความห่วงใย ก็เหมือนช่วยให้เขาได้ระบายเอาของเสีย ที่เรียกว่า ความทุกข์ ออกไป การตั้งใจฟังเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามหาศาล ที่เป็นเหมือนกระจกสะท้อน เมื่อเขาได้ยินเสียงตัวเอง ก็จะรู้ได้เองว่าคำตอบที่เขาตามหาไม่ได้อยู่ที่ไหน แต่อยู่ในใจของพวกเขาเองต่างหาก

ผศ.พ.ต.หญิง พนมพร พุ่มจันทร์

ผศ.พ.ต.หญิง พนมพร ยังอธิบายอีกว่า มีบางรายเหมือนกัน ที่โทรมาด้วยความทุกข์ เล่าระบายความในใจยาวนานเป็นชั่วโมง แล้วสุดท้าย เขากลับเจอกับทางออกของปัญหา ว่ามีอีกหลายหนทางที่ไม่ใช่ความตาย และแน่นอนว่า คำตอบนี้ เขาค้นพบด้วยตัวของเขาเองขณะมีคนรับฟัง

เขาโทรกลับมาขอบคุณเรา แล้วบอกว่า ถ้าวันนั้นไม่มีใครฟังเขา เขาคงไม่ได้มีชีวิตอยู่ถึงวันนี้ สภาวะตอนนั้นเป็นเหมือนแค่เขาหกล้มลงชั่วคราวเท่านั้น แต่พอมีคนรับฟัง ก็เหมือนมีคนช่วยประคองเขาขึ้นมา ถ้าวันนั้นเขาล้มแล้วไม่ลุกขึ้นมา คงไม่มีโอกาสทำอะไรดี ๆ ให้คนรอบตัวอีกเหมือนวันนี้ จากนี้ เขาคงไม่กลับไปคิดฆ่าตัวตายอีกแล้ว”

ผศ.พ.ต.หญิง พนมพร พุ่มจันทร์

ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่าความเครียด ความทุกข์ ของผู้คนในสังคมไทยไม่ได้ลดลงเลย และ การรับฟัง ยังคงเป็นเครื่องมือที่ง่ายที่สุด แต่กลับทรงพลังที่สุด ช่วยช้อนผู้คนที่กำลังรู้สึกร่วงหล่น ผุพังไว้ได้ทันท่วงที 

นี่จึงเป็นเหมือนปราการด่านแรกในการป้องกันการฆ่าตัวตายได้ ซึ่งแน่นอนว่า สามารถเล่าได้ทุกเรื่อง อย่างไม่มีเงื่อนไข และทางสมาคมฯ จะเก็บทุกอย่างไว้เป็นความลับ

ผศ.พ.ต.หญิง พนมพร พุ่มจันทร์ นายกสมาคมสะมาริตันส์แห่งประเทศไทย

กันก่อนแก้ – หมั่นจับสังเกตสัญญาณอันตรายของ ‘ใจ’

เมื่อใดที่เกิดความเครียด ความทุกข์ใจ นอกจากการขอคำปรึกษาและการดูแลด้านการรับฟังแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ ห้ามละเลย คือ หมั่นกลับมาสำรวจความรู้สึกของตนเอง และสังเกตคนรอบข้าง หรือการรู้เท่าทันการสายเกินแก้นั่นเอง

นายกสมาคมสะมาริตันส์ฯ แนะนำว่า ให้ลองสังเกตตนเองว่าความทุกข์ ความเศร้า ที่กำลังเผชิญกินเวลายาวนานเพียงใด หากติดต่อกันมากเกินไป โดยไม่เบาบางลงเลย อาจเกิดจากความแปรปรวนของสารเคมีในสมอง จำเป็นต้องพบผู้เชี่ยวชาญ และอาจต้องรับการรักษาด้วยยาและการบำบัด

โดยปกติแล้ว อารมณ์ของมนุษย์ จะผ่านมาแล้วผ่านไป ขอให้พยายามจับให้เท่าทันตัวเอง ลองสังเกตตัวเองว่ามีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปไหม เช่น จากที่เคยกินชอบกินหมูกระทะ แต่ตอนนี้ก็ไม่อยาก บางคนเริ่มนอนไม่หลับ หรือบางคนนอนหลับมากกว่าปกติ หรือไม่มีสมาธิ”

ผศ.พ.ต.หญิง พนมพร พุ่มจันทร์

ทั้งยังย้ำว่า โดยปกติความรู้สึกเชิงลบนี้ อาจใช้เวลาเพียง 2-3 วันแล้วจะดีขึ้น แต่หากยาวนานเกิน 2 สัปดาห์ อาจจำเป็นต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อแก้ไขให้ตรงจุด เพราะอาการทางจิตเวชเกิดได้จากหลายปัจจัยที่ซับซ้อนหลายมิติ ทั้งทางร่างกาย จิตใจ สารเคมีในสมอง และระบบประสาท ที่ยังรวมไปถึงสภาพสังคมและเศรษฐกิจด้วย

และเมื่อดูแลใจตัวเองแล้ว อย่าลืมดูแลใจคนรอบข้างด้วย เป็นสิ่งที่ ปวริศ เน้นย้ำ คือ ต้องหมั่นสังเกตพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของคนใกล้ชิด และสร้างความรู้สึกปลอดภัย ที่ทำให้เขารู้สึกอุ่นใจว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จะมีเราคอยอยู่เคียงข้างเขาเสมอ

“บางคนปกติเป็นคนพูดน้อย แต่อยู่ ๆ ก็พูดมากเป็นพิเศษ นี่ก็เป็นสัญญาณเตือนว่าเกิดความผิดปกติอะไรบางอย่าง เขาอาจพยายามกลบความทุกข์โดยแสดงออกให้เห็นในทางตรงข้าม หรือบางคนเริ่มโพสภาพสีดำ หรือข้อความแปลก ๆ ในโซเชียลฯ ก็ขออย่าละเลย และจับสัญญาณนั้นให้ได้ บางคนไม่ได้พร้อมจะเล่า แต่ขอให้เราลองทักทาย หรือชวนคุย แม้ว่าวันนี้เขาจะยังไม่พร้อมจะบอกเล่า แต่ขอให้รู้ว่าอย่างน้อยจะมีเราคอยรับฟังอยู่ตรงนี้ และเมื่อวันหนึ่งเขาพร้อม เขาจะระบายออกมาเอง”

ปวริศ สุขนิรันด์

โดยเฉพาะกับเด็ก ๆ พ่อแม่ ควรจับสัญญาณนี้ให้ได้เร็วที่สุด โดยการชวนลูกพูดคุยด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร และใช้คำถามปลายเปิด และไม่ว่าความทุกข์ของลูกคืออะไร อย่าเผลอไปสั่งสอน หรือดุด่า ว่ากล่าวลูกเป็นอันขาด เพราะจะเป็นเหมือนการปิดประตูใส่ ทำให้เกิดช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างพ่อแม่และลูก

“เมื่อเห็นลูกแปลกไป ขอให้ตั้งใจฟังลูกเล่า ไม่ต้องดุ ไม่ต้องสอน
เพราะคนกำลังทุกข์ใจ รับคำสั่งสอนไม่ไหวแน่ ๆ แต่ขอให้รับฟังมากที่สุด
ทำให้ลูกรู้ว่า เขาไม่ได้อยู่อย่างเดียวดายบนโลกใบนี้”

ผศ.พ.ต.หญิง พนมพร พุ่มจันทร์

“เราเสียใจที่ช่วยเขาไว้ไม่ทัน…” – ตั้งหลักใหม่ กอบกู้หัวใจ ในวันที่เสียศูนย์

นี่เป็นถ้อยคำสำคัญที่เรามักได้ยินจากปากของผู้ที่สูญเสียใครบางคนในชีวิตไปจากการจบชีวิตตนเอง เพราะการฆ่าตัวตายสำเร็จของคนเพียง 1 คน จึงส่งผลกระทบทางใจเป็นวงกว้างต่อคนใกล้ชิด และต้องเผชิญกับความทุกข์แสนสาหัสต่อเนื่องยาวนาน

“เราเคยเจอลูกศิษย์ที่จบชีวิตตัวเองได้สำเร็จ มันไม่ได้กระทบแค่คนในครอบครัวเขา แต่สะเทือนไปถึงอาจารย์และเพื่อนร่วมชั้นเรียน อาจารย์เริ่มกลับมาโทษตัวเอง ว่าออกข้อสอบยากเกินไปไหม เพื่อน ๆ หรือคนรอบตัวก็เริ่มรู้สึกผิดว่าตนเองทำอะไรไม่ดีลงไปไหม หรือไม่ตั้งใจฟังเขาดีพอหรือเปล่า สุดท้ายแล้ว เหลือไว้แต่ความรู้สึกาว่า ทำไม ? วันนั้นเราไม่ดูแลเขาให้ดี

ผศ.พ.ต.หญิง พนมพร พุ่มจันทร์

ปวริศ เสริมว่า การที่มีใครสักคนจบชีวิตตัวเองได้สำเร็จ ไม่ใช่เพียงแค่คนรอบตัวที่เสียใจเท่านั้น แต่ยังมีอีกคนที่เสียใจที่สุด คือ ตัวเราเองในอนาคต

“หากเราฆ่าตัวตาย อีกคนที่จะเสียใจมากที่สุดคือตัวเราในอนาคต เพราะหากเรายังมีชีวิตอยู่ ในวันนั้น เราอาจจะยังมีโอกาสได้ทำอะไรดี ๆ หรือพลาดโอกาสที่จะมีความสุขไปได้”

ปวริศ สุขนิรันด์

แต่หากเผชิญกับความสูญเสียแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการ จากเป็น หรือจากตาย ยิ่งกว่าเสียใจ คือ ความรู้สึกผิด สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องทำเป็นอย่างแรก คือ ตั้งหลัก

ปวริศ ยังอธิบายว่า เมื่อเกิดการสูญเสียไปแล้ว ขอให้กลับมามองที่ตัวเองก่อน ยอมรับความจริงให้ได้ ว่า เรากำลังรู้สึกอะไรอยู่และให้โอกาสตัวเองในการมีความรู้สึกเหล่านี้ จากนั้นจึงถอยออกมามองถึงคนรอบข้างที่ที่เรายังมีความหมายกับเขา ซึ่งอาจเป็น ครอบครัว คนรัก หรือแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยง

“เมื่อเจอความสูญเสียแล้ว ขอให้กลับมาตั้งหลักให้ดี หันกลับมามองใจตัวเอง ว่าเรากำลังรู้สึกอะไรอยู่ อาจเป็นได้ทั้งความผิดหวัง เสียใจ กระทั่งความรู้สึกผิด เมื่อเรามองเห็นตัวเองแล้ว ก็ขอให้ยอมรับ และใช้เวลาอยู่กับมันให้นานโดยไม่เร่งรัด เพราะระยะเวลาการฟื้นตัวของแต่ละคนไม่เท่ากัน”

“ผมเคยเจอคนเจอกับความสูญเสีย เขาเสียสูญไปนานมากและคิดว่าตนเองไม่เหลือใครแล้ว จนกระทั่งหันกลับมามองแมวที่เลี้ยงไว้ เลยคิดได้ว่า ถ้าเขาเสียสูญนานไปกว่านี้ แมวจะไม่มีใครเล่นด้วย และแมวก็จะเศร้าไปด้วย”

ปวริศ สุขนิรันด์

และเมื่อตั้งหลักได้แล้ว อย่าลืมที่จะ เรียนรู้ จากการสูญเสียในครั้งนี้ด้วย

“เราเสียใจได้ แต่อย่าปล่อยให้จมกับน้ำตาตัวเองนานเกินไปจนชีวิตไม่เดินหน้า เพราะอย่างไรชีวิตเราก็ต้องไปต่อ การรู้สึกผิดไปเรื่อย ๆ ก็ไม่เคยมีอะไรดีขึ้น ขอให้วางใจให้ดี ว่าบนโลกใบนี้ มีพบก็ต้องมีจาก ระหว่างที่อยู่ด้วยกัน ขอให้ทำดีต่อกันมากที่สุด เมื่ออีกฝ่ายจากไป ขอให้เรียนรู้จากความผิดพลาด และเหลือความรู้สึกทีว่าเราได้ทำเต็มที่แล้วก็พอ

ผศ.พ.ต.หญิง พนมพร พุ่มจันทร์

สร้างสังคมแห่งการ ‘รับฟัง’ เครื่องมือสำคัญป้องกันการฆ่าตัวตาย

ปัญหาสุขภาพจิตไม่ใช่แค่เรื่องปัจเจกส่วนบุคคล ที่ใคร ๆ ก็ต่างต้องรับผิดชอบใจตัวเองเท่านั้น แต่เห็นชัดแล้วว่าเป็นปัญหาระดับสังคมที่กระทบเป็นวงกว้าง และค่านิยมในสังคมนี้เอง ที่อาจเป็นตัวแปรสำคัญที่เป็นชนวนเหตุแห่งปัญหาสุขภาพจิต

ท่ามกลางสังคมทุนนิยมที่ทุกคนต่างเร่งรีบ แข่งขัน ประกอบกับการถาโถมของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนพฤติกรรมมนุษย์ไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ทักษะเรื่อง การรับฟังอย่างมีคุณภาพ กำลังหล่นหายไปจากสังคม

ปวริศ มองว่า ตอนนี้การมีโซเชียลมีเดีย ทำให้ผู้คนรู้สึกโดดเดี่ยว และใช้ชีวิตอย่างปัจเจกชนสูงมาก ทำให้ไม่ได้รับการถูกรับฟัง รวมถึงขาดทักษะการเป็นผู้ฟังที่ดีด้วย

“จุดเริ่มต้นเล็ก ๆ อาจเป็นการรับฟังกันเองในครอบครัว แต่อย่าลืมว่า ปริมาณของการฟัง ไม่สำคัญเท่ากับการฟังอย่างมีคุณภาพ และการฟังอย่างมีคุณภาพจะนำไปสู่การมีความสัมพันธ์ที่ดีด้วย”

ปวริศ สุขนิรันด์

ถึงตรงนี้ ผศ.พ.ต.หญิง พนมพร ย้ำว่า พื้นฐานสำคัญของมนุษย์ที่สุดคือการมีความสัมพันธ์ที่ดี และการมีความสัมพันธ์ที่ดีได้ย่อมเกิดจากการรับฟังกันและกัน นอกจากจะเริ่มจากคนใกล้ชิดแล้ว ขอให้ขยายเป็นวงกว้างในระดับชุมชนให้เกิดความรู้สึกปลอดภัย และเมื่อมนุษย์รู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า ก็จะลดความคิดเชิงลบ ที่นำไปสู่การจบชีวิตได้

“นอกจากในครอบครัวแล้ว เราอาจเริ่มจากการสร้างสัมพันธ์กับคนในชุมชน ตลาดที่ไปประจำ ร้านอาหารเจ้าโปรด ลองทักทาย พูดคุยถามไถ่เล็ก ๆ น้อย ๆ สิ่งเหล่านี้อาจเป็นกำลังใจให้ใครบางคนที่กำลังเผชิญกับเรื่องแย่ ๆ ในชีวิตอยู่ก็เป็นได้ วิธีง่าย ๆ นี้ คือการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยในชุมชน ทำให้ผู้คนไม่รู้สึกเดียวดาย และการได้รับการรับฟัง จะสร้างความรู้สึกว่าเขาเป็นมนุษย์ที่มีคุณค่าอีกด้วย”

ผศ.พ.ต.หญิง พนมพร พุ่มจันทร์ ทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม


ใครที่กำลังมีเรื่องกลุ้มใจ อยากระบาย หรือต้องการคนรับฟัง ติดต่อได้ที่… 

  1. สมาคมสะมาริตันส์แห่งประเทศไทย รับฟังทุกเรื่องด้วยใจ โทร. 02-113-6789

  2. Depress We Care ซึมเศร้าเราใส่ใจ โทร. 081-932-0000 (บริการทุกวันตลอด 24 ชม.)

  3. สายด่วนสุขภาพจิต โทร. 1667 (บริการทุกวันตลอด 24 ชม.)

Author

Alternative Text
AUTHOR

ปุณยอาภา ศรีคิรินทร์

บุญคุณต้องทดแทน มนต์แคนต้องแก่นคูน