สังคมสูงวัย : โจทย์ชาติที่ต้องแก้ ก่อนชีวิตบั้นปลายจะกลายเป็นทางตัน

“ไม่ว่าวันนี้คุณจะอายุเท่าไหร่ ในอนาคตคุณก็จะเป็นส่วนหนึ่งของสังคมสูงวัยอยู่ดี”

ข้างต้น คือ เรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ และเราไม่มีทางรู้เลยว่าเราอาจกลายเป็นผู้สูงอายุที่ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว หากในวันนี้ ยังไม่มีการเตรียมตัวทั้งในระดับปัจเจก ไปจนถึงระดับนโยบาย 

13,450,391 คน คือ ผู้สูงอายุทั้งหมดในประเทศไทย

ประมาณ 1.3 ล้านคน หรือ 1 ใน 10 ของผู้สูงอายุเหล่านั้นกำลังใช้ชีวิตลำพัง และไม่น้อยอยู่อย่างโดดเดียว

มากไปกว่านั้น แนวโน้มของผู้สูงอายุในอนาคตจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวสูงขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากประชากรสะสม “รุ่นเกิดล้าน”1 ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงปี 2506 – 2526 ซึ่งหมายความว่า นับจากนี้ เรากำลังเผชิญสถานการณ์ ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นสวนทาง ปีละ 1 ล้านคน ต่อเนื่องยาวนาน 20 ปี

1 รุ่นเกิดล้าน เป็นคำที่ถูกเรียกกลุ่มประชากรที่เกิดในช่วงปี 2506-2526 เพราะอัตราการเกิดของคนในช่วงนั้นสูงมาก จนถือเป็นสึนามิประชากรของประเทศไทยที่กำลังจะกลายเป็นประชากรสูงอายุกลุ่มใหญ่

สูงวัยกับวิกฤตการเงิน : ไร้ความมั่นคง ไร้ที่พึ่ง ?

ในสังคมไทย มีผู้สูงอายุปะปนผสมกลืนกลายเป็นเนื้อเดียวกับผู้คนในสังคม โดยโครงการสำรวจ ภาวการณ์ทำงานของประชากร ไตรมาส 3/2567 พบว่าประเทศไทยมีผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี อยู่ในตลาดแรงงานถึง 5,260,000 คน หรือร้อยละ 37.2 ของผู้สูงอายุทั้งหมด ด้วยเหตุผลสำคัญ คือ สถานการณ์ขาดแคลนแรงงานที่สั่งสมมาอย่างต่อเนื่องจากการเกิดที่น้อยลง

การสำรวจดังกล่าว ยังระบุตัวเลขการจ้างงานผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นถึง 2 แสนคน เมื่อเทียบกับปี  2566 โดยผู้สูงอายุชายมีสัดส่วนการทำงานมากกว่าผู้สูงอายุหญิง และมีแนวโน้มการจ้างงานในกลุ่มผู้สูงอายุมากขึ้นเรื่อย ๆ   

เพื่อให้สอดคล้องกับตลาดแรงงานในการจ้างงานผู้สูงอายุ ศ.เกียรติคุณ ปราโมทย์ ประสาทกุล ที่ปรึกษาอาวุโส สถาบันวิจัยประชากรและสังคม เสนอให้ปรับคำนิยามผู้สูงอายุจาก 60 เป็น 65 ปี ซึ่งจะเป็นการเพิ่มโอกาสการทำงานในผู้สูงอายุมากขึ้น

ข้อเสนอนี้ ยังสอดคล้องกับสถานการณ์ในประเทศใกล้เคียง อย่างสิงคโปร์หรือญี่ปุ่น ที่ได้เผชิญหน้าสังคมสูงวัยไปเรียบร้อย โดยทั้งสองประเทศกำหนดอายุผู้สูงอายุไว้ที่ 65-75 ปี

ทั้งนี้ การเพิ่มอายุการทำงาน อาจเป็นอีกหนึ่งทางออกที่เข้ามาจุนเจือผู้สูงอายุกลุ่มเปราะบางที่ไร้เงินออม รวมไปถึงกลุ่มผู้สูงอายุที่เคยเป็นแรงงานนอกระบบหรือไม่มีเงินเกษียณ

ข้อมูลของกรมกิจการผู้สูงอายุ พบว่า ผู้สูงอายุร้อยละ 54.3 มีเงินออม แต่ในกลุ่มนั้นมีผู้สูงอายุถึงร้อยละ 41.4 มีเงินออมต่ำกว่า 5 หมื่นบาท และมีเพียงร้อยละ 11.9  มีมูลค่าการออมมากกว่า 4 แสนบาท ขณะที่มีผู้สูงอายุกว่า 2 ล้านคนมีหนี้สิน

ข้อมูลของกรมกิจการผู้สูงอายุ อาจบอกได้ว่าผู้สูงอายุเหล่านี้อยู่ในสถานการณ์ วิกฤตด้านการเงิน  เพราะถึงแม้จะยังพึ่งพาเงินช่วยเหลือผู้สูงอายุที่รัฐจัดสรรให้ในรูปแบบถ้วนหน้า ภายใต้ชื่อ “เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ” แต่คำถามสำคัญคือเงินที่รัฐให้เพียงพอต่อการยังชีพหรือไม่

ผู้สูงอายุ “โดดเดี่ยว” เพิ่มขึ้น การช่วยเหลือเข้าถึงมากพอหรือยัง

นอกจากเรื่องการอยู่รอดทางการเงินแล้ว ผู้สูงอายุไทยยังกำลังเผชิญกับสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นภัยเงียบ นั่นคือ การต้องอยู่กับชีวิตที่โดดเดี่ยว และต้องการความช่วยเหลือ

กองพยากรณ์สุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ประเมินว่า จำนวนผู้สูงอายุที่จะอยู่ตกอยู่ในภาวะพึ่งพิง คือไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ในอีก 20 ปีข้างหน้า จะเพิ่มขึ้น 5% ในทุก 5 ปีไปจนถึงปี 2583

โดยตัวเลขที่เก็บในปี 2564 พบว่า ผู้สูงอายุที่จะตกอยู่ในภาวะพึ่งพิงในประเทศไทย เพิ่มขึ้น 4 ถึง 5 เท่า ในอีก 20 ปีข้างหน้า แม้อีกด้านหนึ่งก็มีผู้สูงอายุที่ยังมีสุขภาพดี แต่มีชีวิตอยู่อย่างลำพัง

  • ผู้สูงอายุติดบ้าน 76,000 คน มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเมื่อถึงปี 2583 ถึง 304,000 คน
  • ผู้สูงอายุติดเตียง 99,000 คน ในปี 2564 เมื่อถึงปี 2583 มีแนวโน้มเพิ่มถึง 581,000 คน

สาเหตุหนึ่งมาจากผู้สูงอายุบางส่วนไม่อยากเป็นภาระของลูกหลาน จึงแยกตัวออกมาใช้ชีวิตตามประสาตายายโดยลำพัง หรือลูกหลานเลือกที่จะเรียนต่อในต่างถิ่น และเมื่อเรียนจบก็ปักหลักทำงานอยู่ที่นั่น

มากกว่านั้น คือการที่ครอบครัวไทยมีลูกน้อยลง โดยในปี 2567 จำนวนเด็กไทยเกิดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีจำนวนเด็กเกิดใหม่อยู่ที่ราว 4 แสน 6 หมื่นคน (461,421 คน) ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 70 ปี ที่ประเทศไทยมีจำนวนเด็กเกิดไม่ถึง 5 แสนคนต่อปี และมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับวาระของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่ให้มี “ลูกเพื่อชาติ”

เศรษฐกิจที่ถดถอย 

ค่าครองชีพที่สูงขึ้น แต่รายได้ยังคงที่ 

ความต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต

เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้คนวัยทำงานจำนวนไม่น้อย ชะลอการสร้างครอบครัว  และแม้จะแต่งงาน ส่วนใหญ่ก็มีแนวโน้มจะอยู่กันตามลำพังและไม่มีลูก เพราะคิดว่าไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กได้อย่างมีคุณภาพ

สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุที่เลือกใช้ชีวิตโสด รศ.ศุทธิดา ชวนวัน อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความเห็นว่า รัฐควรจัดให้ผู้สูงอายุกลุ่มนี้มีการขึ้นทะเบียนคนโสด เพื่อให้รัฐรับรู้สถานการณ์ และสามารถออกแบบนโยบายเพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้สูงอายุกลุ่มนี้ที่กำลงเพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่งแน่นอนว่าประเทศไทยสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ของอีกหลายประเทศที่เผชิญกับปัญหาสังคมสูงวัยมาก่อน

“ญี่ปุ่นเป็นประเทศแรก ๆ ของโลกที่ประสบปัญหาผู้สูงวัยโดดเดี่ยว”

หนึ่งในสถานการณ์สังคมสูงวัยที่ญี่ปุ่นเจอ คือ ปัญหาผู้สูงวัยที่ต้องเสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเพิ่มขึ้น ซึ่งมีคำเรียกเฉพาะสำหรับปรากฏการณ์นี้ว่า “โคะโดะคุชิ” ที่หมายถึง การที่ผู้สูงอายุใช้ชีวิตเพียงลำพัง และเสียชีวิตในที่พัก โดยไม่มีใครรู้ 

“โคะโดะคุชิ” เป็นการเสียชีวิตที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ หรือจากอุบัติเหตุโดยไม่นับรวมการฆ่าตัวตาย  ซึ่งตัวแปรหลักของการเสียชีวิตเช่นนี้ คือ ผู้เสียชีวิตจะต้องอาศัยตามลำพังภายใต้ภาวะโดดเดี่ยว และขาดการติดต่อทางสังคม

ปัญหานี้ รัฐบาลญี่ปุ่นให้ความสำคัญและพยายามเป็นอย่างมากในการแก้ไขผ่านโครงการที่มีชื่อเรียกว่า “Rojin no Kai” โดยต้องการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุชาวญี่ปุ่นได้มีโอกาสเข้าร่วมทำกิจกรรมต่าง ๆ ทางสังคม เช่น เข้าร่วมหรือเป็นส่วนหนึ่งในการจัดงานเทศกาลประจำท้องถิ่น เพื่อจะได้พบปะพูดคุยกับผู้สูงอายุคนอื่นมากยิ่งขึ้นรวมถึงใช้เทคโนโลยี ตรวจสอบความเป็นอยู่ของผู้สูงอายุ ผ่านแอปพลิเคชัน บนสมาร์ตโฟน รวมถึงการแก้กฎหมายขยายอายุเกษียณของพนักงานบริษัทเอกชนออกไปถึง 70 ปี

สำหรับประเทศไทย อารีย์ พีรพรวิพุธ อาจารย์ประจำคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้เสนอ 3 องค์ประกอบที่จะนำไปสู่การตายอย่างโดดเดี่ยวของผู้สูงวัยไว้ ดังนี้

ด้านเศรษฐกิจ ที่ทำให้แรงงานส่วนใหญ่ต้องเข้าไปทำงานในเมือง และทิ้งให้ผู้สูงอายุต้องอยู่ตามลำพัง ซึ่งสิ่งเร้าที่ทำให้ผู้สูงอายุที่อยู่ลำพัง เปราะบางมากยิ่งขึ้น คือ กลุ่มครอบครัวผู้สูงอายุที่ลูกหลานมีรายได้น้อย พึ่งพาการทำงานที่ใช้แรงงาน เป็นลูกจ้างรายวัน รายได้ไม่มีความแน่นอน หากมีอุบัติเหตุทางการเงิน การส่งเงินกลับไปดูแลผู้สูงอายุอย่างพ่อ แม่ ปู่ย่าตายายก็ย่อมสะดุดชะงัก

ลักษณะครัวเรือนไร้บุตรหลาน องค์ประกอบนี้เป็นผลจากความจริงที่เกิดขึ้น คือ อัตราการเกิดที่ลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่ง อารีย์ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า การก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยที่ไร้บุตรหลานนั้น จะส่งผลเชิงลบในวงกว้าง และมีความรุนแรง เพราะประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างประเทศไทย กำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ “แก่ก่อนรวย”  ซึ่งซ้ำเติม ความโดดเดี่ยว เพราะชีวิตยิ่งอายุมากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งต้องการพึ่งพิงผู้อื่นไม่ว่าทางตรง หรือทางอ้อม และการไร้บุตรหลานดูแล ในขณะที่ระบบการดูแลผู้สูงอายุของไทยยังมีอยู่อย่างจำกัด ย่อมนำไปสู่ภาวะการเสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวมากยิ่งขึ้น

ลักษณะการดำเนินชีวิตที่ขาดการติดต่อกับสังคม โดยการเสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวอาจสะท้อนถึงความล้มเหลวของสังคมรอบตัวผู้เสียชีวิต ซึ่งสามารถเกิดได้กับคนทุกวัย หากความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวไม่สู้ดีนัก ก็มีแนวโน้มนำไปสู่การเก็บตัว ซึ่งสภาวะโดดเดี่ยวในช่วงที่อารมณ์ตกต่ำ หดหู่ อาจนำไปสู่ปัญหาทางจิตใจที่รุนแรงมากขึ้นในเวลาต่อมา 

อย่างไรก็ตาม แม้การตายอย่างโดดเดียวในสังคมไทย อาจยังเป็นเรื่องไกลตัว แต่ก่อนจะถึงวันนั้น สิ่งที่เราให้ความสำคัญ คือ จะทำอย่างไรกับผู้สูงอายุที่อยู่ลำพังให้เข้าถึงบริการสุขภาพ

ในพื้นที่ต่างจังหวัด เรามีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่จะทำหน้าที่เยี่ยมผู้สูงอายุที่อยู่ติดบ้าน โดยมีการให้คำแนะนำต่าง ๆ รวมไปถึงการประเมินสุขภาพ แต่ข้อจำกัดของ อสม. คือ ภารกิจงานที่มีมากกว่าการดูแลผู้สุงอายุ รวมประสิทธิภาพ ของ อสม. แต่ละแห่งที่มีไม่เท่ากัน 

ในทำนองเดียวกัน กรุงเทพมหานคร ก็มีอาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร แต่ด้วยบริบทความเป็นเมือง จึงเกิดข้อจำกัดในภาคปฏิบัติอยู่พอสมควร

ทั้งนี้ เมื่อมองไปยังระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ที่ถึงแม้จะเป็นบริการฟรี ครอบคลุมทุกการเจ็บป่วย มีระบบการดูแลระยะยาว (Long-term Care) และการดูแลระยะท้าย เป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างระบบการดูแลสุขภาพที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม

แต่คำถามสำคัญ เมื่อผู้สูงอายุที่อยู่ลำพัง จำเป็นต้องไปโรงพยาบาล “ใครจะพาไป” ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะแม้จะมีบริการที่ถูกสร้างไว้ให้ แต่ความไม่สะดวกเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเลือกรับบริการนั่นเอง

เมื่อชีวิตโรยรา ไม่ต่างจากวัยแรกเกิด ที่ต้องการ “การพึ่งพิง”

หากเราต้องใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างโดดเดี่ยว แม้จะวางแผนไว้ดีแค่ไหน แต่ในมุมมองของนักประชากรศาสตร์ อย่าง รศ.ศุทธิดา มองว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการการพึ่งพิง ยิ่งอยู่ในช่วงวัยเปราะบาง ไม่ว่าวัยแรกเกิด หรือวัยที่ร่างกายโรยรา ก็ยิ่งต้องการการดูแลจากมนุษย์ที่แข็งแรงกว่า อย่างลูกหรือคู่สมรส แต่สำหรับคนโสด ไม่มีลูก … ใครจะเป็นผู้ดูแล นี่จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องออกแบบนโยบายล่วงหน้า จากภาคการเมือง 

ประเทศสิงคโปร์ เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับบทบาทความช่วยเหลือของครอบครัว และชุมชนต่อการดูแลภายในบ้าน และการใช้บริการบ้านพักผู้สูงอายุมากกว่าการใช้บริการโรงพยาบาล คลินิก และสถานบริการผู้สูงอายุ

โดยการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบเพื่อผู้เกษียณอายุที่เรียกว่า “Kampung Admiralty” ซึ่งเป็นอาคารแบบผสมผสานที่ช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถที่จะใช้ชีวิตประจำวันในพื้นที่ที่เหมาะสม โดยรวมสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นสำหรับผู้สูงอายุมาไว้ในที่เดียวกับที่พักอาศัย เช่น ศูนย์พัฒนาศักยภาพคนชรา ศูนย์อาหาร ลานกิจกรรม ตลอดจนศูนย์การดูแลรักษา ซึ่งการออกแบบพื้นที่เช่นนี้ อาจมีความเป็นไปได้กับความเป็นเมืองอย่างกรุงเทพมหานคร 

ประเทศญี่ปุ่น ก็เช่นกัน โดยให้ความชัดเจนในการให้บริการ ซึ่งแบ่งตามประเภทของผู้สูงอายุตามช่วงอายุ และเน้นการบริการให้แก่ผู้สูงอายุที่มีความจำเป็นเป็นหลัก 

ผู้รับบริการต้องจ่ายเงินสมทบ แต่ก็สามารถเลือกรับบริการได้อย่างอิสระ โดยจะมีหน่วยงานเข้าช่วยเหลือ เช่น การจัดหารถวิลแชร์ การติดตั้งราวจับหรือทางลาดไว้ที่บ้าน ช่วยจ้างรถสำหรับไปโรงพยาบาล หรือไว้สำหรับแพทย์และพยาบาลมาเยี่ยมที่บ้าน ตลอดจนการจัดหาอาหารการกิน และบริการอาบน้ำ โดยพยาบาลมืออาชีพ

มากไปกว่านั้น หากเข้าสู่ช่วงวัยเกษียณแต่ยังแข็งแรงและยังอยากทำงาน แทนที่จะรับความช่วยเหลือจากรัฐบาลเพียงอยางเดียว รัฐบาลญี่ปุ่นได้จัดตั้งศูนย์ทรัพยากรมนุษย์สูงวัย ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 1,300 แห่งทั่วประเทศ โดยจะทำหน้าที่หางานให้กับผู้สูงอายุในท้องถิ่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานพาร์ทไทม์ และงานชั่วคราวที่ค่าตอบแทนไม่สูงมาก แต่เป้าหมายหลักคือการสร้างกิจกรรมให้ผู้สูงอายุได้บริหารสมอง ออกกำลังกาย ได้ตื่นตัว ไม่อยู่โดดเดี่ยวตามลำพัง และยังคงเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน

ประเทศจีน ก็มีกระทรวงกิจการพลเรือนของจีน ซึ่งประกาศแนวปฏิบัติเพื่อปฏิรูปบริการดูแลผู้สูงอายุ โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นของแนวทางอย่างครอบคลุม ที่เชื่อมโยงระบบประกันสังคม และสุขภาพ จากความท้าทายของประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นโดยตัวเลขผู้สูงอายุในจีนมีมากกว่า 1 ใน 5 ของประชากรทั้งหมด 

หนึ่งในกิจการ คือการพัฒนาระบบดูแลผู้สูงอายุแบบสามระดับ ตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน ระดับตำบล ไปถึงระบบเทศมณฑล และการประสานงานระหว่างศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ผู้ดูแลที่บ้าน และในชุมชน เพื่อให้การปฏิรูปมีประสิทธิภาพสูงสุดภายในสิ้นทศวรรษหน้า

อีกหนึ่งแนวคิดการดูแลผู้สูงวัยที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน คือ Aging in place การสูงวัยในถิ่นเดิม ซึ่งเป็นแนวคิดให้ผู้สูงอายุ สามารถพักอาศัยในสถานที่เดิมได้ ทั้งในชุมชน หรือครอบครัว โดยจะต้องมีการจัดการสภาพแวดล้อม และที่พักอาศัยให้เป็นมิตร และเหมาะสมกับผู้สูงอายุ

โดยคำว่า ถิ่นเดิม มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย ได้ให้คำนิยาม ไว้ว่า ผู้สูงอายุจะได้อยู่ในบ้านและชุมชนที่ตนเองชื่นชอบและพึงพอใจ ที่ที่มีความทรงจำ ที่ที่สะดวกสบายใจ เป็นที่ที่คุ้นเคย มีอิสระ มีคุณค่า และมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

แนวคิดนี้อาจเป็นทางออกสำหรับคลื่นสึนามิประชากรจากรุ่นเกิดล้าน ที่จะเกิดขึ้นในอีก 20 ปีข้างหน้า ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ไม่ไช่เพียงการวางแผนเชิงปัจเจกโดยประชาชน แต่ภาครัฐจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น แก้กฎระเบียบการใช้งบประมาณที่ปัจจุบันยังติดขัดในความซ้ำซ้อน ทำให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่กล้าดำเนินการ เพราะไม่ต้องการเสียงถูกตรวจสอบ ทั้งที่ตามยุทธศาสตร์ของแผนผู้สูงอายุ ฉบับที่ 2 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับโอนมอบ ให้เป็นหน่วยงานดูแลผู้สูงอายุ

เมื่อพิจารณาจากหลายประเทศ จุดร่วมที่สำคัญของการออกแบบบริการทางสังคมเพื่อดูแลผู้สูงอายุ คือ จัดบริการที่เหมาะสมที่สุดให้กับผู้สูงอายุที่มีความต้องการการบริการที่หลากหลาย ตามแต่ละข้อจำกัดของแต่ละบุคคล

เพื่อให้อิสระแก่ผู้สูงอายุสามารถเลือกใช้บริการได้ตามความต้องการ และคำนึงถึงความสะดวกในการเข้าถึงบริการ ทั้งด้านที่พักอาศัย ศูนย์พัฒนาจิตใจ และการคมนาคม

เมื่อมองย้อนกลับไป เราคงไม่มีเวลาที่จะรับมือในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ก็คือสังคมสูงวัยที่เราเป็นส่วนหนึ่งไปแล้ว โดยเฉพาะ ผู้ที่มีอำนาจทางการเมืองยิ่งจะต้องตระหนักถึงความท้าทายที่รอเราอยู่ในขณะนี้

แม้วันนี้ ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยไปแล้ว แต่ก็ใช่ว่า ทุกอย่างจะสายเกินรับมือ สิ่งที่เราทำได้ในตอนนี้คือ ต้องเตรียมการ เตรียมตัว เตรียมใจ รับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น และต้องไม่ทำให้วิกฤตสังคมสูงวัยเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่จะให้ประชาชนรับผิดชอบดูแล ร่างกาย และวางแผนการเงินโดยลำพัง แต่เป็นเรื่องที่สังคมต้องร่วมกันดูแล รวมถึงภาคการเมืองที่เป็นส่วนสำคัญและจำเป็นต้องมีการออกแบบ เสนอเป็นนโยบายที่อย่างชัดเจน และเป็นรูปธรรม เพื่อให้ประชาชนได้ร่วมตัดสินใจ ว่าจะเลือกแนวทางใด กำหนดชีวิตตนเองในวันข้างหน้า

เพราะอนาคตของผู้สูงอายุในวันนี้ คือภาพสะท้อนอนาคตของเราทุกคนในวันข้างหน้า


Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active