ไทย-สหรัฐอเมริกา
ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร
เป็นเวลาถึง 192 ปี หรือเกือบ 2 ศตวรรษ ที่ไทยกับสหรัฐอเมริกามีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น จนเรียกได้ว่า ไทยเป็นประเทศมหามิตรที่มีความใกล้ชิดกับสหรัฐฯ มากที่สุดประเทศหนึ่งในภูมิภาคเอเชียก็ว่าได้
แต่ภายใต้ความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนจะราบรื่นนี้ ความจริงแล้วอาจไม่ได้มีความผูกพันลึกซึ้งจริงใจ มากไปกว่าผลประโยชน์ต่างตอบแทน
ณ วันนี้ เมื่อสถานการณ์โลกเปลี่ยนไป กับขั้วอำนาจที่เปลี่ยนแปลง ความสัมพันธ์ที่เคยแน่นแฟ้นก็เริ่มสั่นคลอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายการตั้งกำแพงภาษีของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจและการส่งออกของไทย
สหรัฐฯ ปรับลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยลงเหลือ 19%
1 สิงหาคม 2568 ข่าวที่ทุกคนตั้งตารอคอยก็มาถึง เมื่อรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยในขณะนั้น ประกาศความสำเร็จของ “ทีมไทยแลนด์” หรือคณะผู้แทนฝ่ายไทยที่สามารถเจรจาต่อรองการลดอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ จากเดิมที่โดนัลด์ ทรัมป์ กำหนดไว้สูงถึงร้อยละ 36 จนบรรลุข้อตกลงที่ร้อยละ 19 ซึ่งเป็นอัตราเท่ากันกับกัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์
แต่ท่ามกลางความปลาบปลื้มยินดีที่ไทยสามารถปิดดีลกับสหรัฐฯ ได้ ด้วยอัตราภาษีที่ใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งในอาเซียน สิ่งที่ต้องเตรียมการรับมือในขั้นต่อไป คือ การที่ไทยต้องเดินตามระเบียบโลกใหม่ที่สหรัฐฯ เป็นผู้กำหนด
พ่วงด้วยเงื่อนไขข้อแลกเปลี่ยนอีกมากมาย เช่น การเปิดตลาดให้สินค้าจากสหรัฐฯ กว่า 10,000 รายการ เข้ามาในไทยด้วยอัตราภาษีร้อยละ 0 รวมถึงการเพิ่มโควต้านำเข้าสินค้าเกษตรบางชนิดจากสหรัฐฯ ซึ่งอาจกระทบต่อผู้ประกอบการและภาคเกษตรของไทย

ความไม่ชัดเจนในเรื่องนี้ ทำให้หลายฝ่ายเกิดข้อกังวลและเรียกร้องให้ทีมไทยแลนด์เปิดเผยรายละเอียดต่อสาธารณะ เพราะหากในอนาคตมีการเปิดตลาดนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่ม อาจกระทบต่อผู้ประกอบการรายย่อยมากกว่า 2 ล้านราย
โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเกษตรนำเข้าที่น่าเป็นห่วงอย่างข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง และเนื้อหมู ซึ่งมีต้นทุนถูกกว่าไทย รวมถึงข้อกังวลที่ว่า หากมีการใช้สารเร่งเนื้อแดง นอกจากจะกระทบต่อเกษตรกรแล้ว ยังส่งผลไปถึงตัวผู้บริโภคด้วย
หากลองชั่งน้ำหนักดู การเจรจาภาษีนำเข้าต่างตอบแทน ไทยอาจได้ไม่คุ้มเสีย และสหรัฐฯ ก็ยังเป็นฝ่ายถือไพ่เหนือกว่าทุกประเทศ?
‘สนธิสัญญาไมตรี’ จุดเริ่มต้นการค้าและการขยายอำนาจสหรัฐฯ
ตั้งแต่อดีตที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับความช่วยเหลือและการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ อย่างเต็มกำลังจากสหรัฐฯ ทั้งการศึกษา สาธารณสุข และการทหาร จนเรียกได้ว่าแนวทางการพัฒนาประเทศในหลายด้าน มีรากฐานมาจากสหรัฐฯ ไม่มากก็น้อย
รศ.โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ พาย้อนกลับไป ณ จุดเริ่มต้นที่ทูตสหรัฐฯ เดินทางมาเยือนไทยครั้งแรก เมื่อสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์

หากมองในแง่ความสัมพันธ์ทางการทูตและการค้า สหรัฐอเมริกาเริ่มเข้ามามีความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับราชอาณาจักรสยาม ในปี พ.ศ. 2376 ภายใต้ “สนธิสัญญาไมตรีและพาณิชย์” ซึ่งถือเป็นสนธิสัญญาฉบับแรกที่สหรัฐฯ ลงนามกับประเทศในทวีปเอเชีย หรือเรียกได้ว่า ไทยเป็นพันธมิตรสหรัฐฯ ที่เก่าแก่สุดในเอเชีย
สาระสำคัญของสนธิสัญญาไมตรีและพาณิชย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้าและการทูตระหว่างสองประเทศ ซึ่งต่อมาสหรัฐฯ ขอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติม โดยอิงต้นแบบจากสนธิสัญญาเบาว์ริงของอังกฤษ เพื่อให้สหรัฐฯ ได้ประโยชน์เพิ่มขึ้น
“ครั้งเริ่มต้น มีการค้าขายกับเอ็ดมันด์ โรเบิร์ตส์ (Edmund Roberts) ในสมัย ร.3 มาต่อที่ ทาวน์เซนด์ แฮร์ริส (Townsend Harris) ซึ่งก็เป็นพวกชุบมือเปิบ คืออังกฤษมาทำสนธิสัญญาเบาว์ริงแล้ว พอทาวน์เซนด์ แฮร์ริส มาถึงก็บอกว่า เอาแบบนั้นแหละ”
รศ.โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
การเข้ามาของชาติตะวันตกในยุคนั้น ทำให้ไทยต้องปรับปรุงกฎหมายหลายฉบับ เช่น กฎหมาย “จารีตนครบาล” ที่ใช้วิธีไต่สวนแบบทรมาน เพื่อให้ผู้ต้องหารับสารภาพ เช่น ตอกเล็บ บีบขมับ หรือการเฆี่ยน ซึ่งไม่สอดคล้องกับหลักสากล และกลายเป็นข้อต่อรองให้ไทยต้องยอมให้ “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” แก่อังกฤษ สหรัฐฯ และชาติตะวันตกอื่น ๆ
ในช่วงเวลาที่นานาชาติเข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับไทย บริบทของขั้วอำนาจโลกก็ค่อย ๆ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไป อย่างประเทศจีนที่เคยเป็นใหญ่ในภูมิภาค ก็ต้องพ่ายแพ้ให้แก่อังกฤษในสงครามค้าฝิ่น ก่อนที่ขั้วอำนาจจะพลิกอีกครั้งในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
เมื่อกลับมามองที่ประเทศไทย ด้วยความเป็นประเทศขนาดเล็กที่ไม่มีแสนยานุภาพพอที่จะต่อกรกับมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ ทำให้ไทยต้องเลือกที่จะเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ โดยมี “ขบวนการเสรีไทย” เคลื่อนไหวอยู่เบื้องหลัง เพื่อรักษาเอกราชและความอยู่รอดของชาติเป็นสำคัญ ทำให้ไทย ไม่ตกอยู่ในสถานะ ประเทศแพ้สงคราม
“พอหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มสงครามเย็น ก็เกิดเป็น 2 อภิมหาอำนาจ คือ สหภาพโซเวียตกับสหรัฐอเมริกา คราวนี้เราก็เกาะอเมริกาเต็มตัวในช่วงสงครามเย็นตลอด ถึงขนาดให้มาตั้งฐานทัพ ให้ทหารเขามาอยู่เป็นหมื่น ๆ คน มารบที่สงครามเวียดนาม”
รศ.โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
การก้าวขึ้นมาเป็นประเทศมหาอำนาจของสหรัฐฯ นั้น รศ.โกวิท มองว่า ปัจจัยหนึ่งเป็นเพราะข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ถึงกว่า 3 ล้านตารางไมล์ มีทรัพยากรมหาศาล และมีอาวุธทำลายล้างสูงไว้ในครอบครอง
ดังที่สหรัฐฯ ได้แสดงให้เห็นจากการทิ้งระเบิดปรมาณู “Little Boy” โจมตีเมืองฮิโรชิมา ตามด้วยลูกที่ 2 คือ “Fat Man” ที่ใช้ถล่มเมืองนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1945
เมื่อ 2 อภิมหาอำนาจ อย่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต ต่างก็แข่งขันกันสะสมอาวุธนิวเคลียร์ ทำให้ต่างฝ่ายต่างไม่กล้าโจมตีกันซึ่งหน้า เพราะย่อมสูญเสียกันทั้งสองฝ่าย
นั่นจึงนำมาสู่การรบแบบ “สงครามตัวแทน” ที่ปรากฏชัดเจนในช่วงสงครามเย็น โดยประเทศไทยยังคงเลือกที่จะยืนเคียงข้างสหรัฐฯ เช่นเดิม
ในช่วงเวลานี้เอง เรียกได้ว่าไทยได้รับอานิสงส์จากสหรัฐอเมริกาในด้านต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นความช่วยเหลือด้านงบประมาณและอาวุธยุทโธปกรณ์ เพื่อต่อต้านภัยคุกคามจากลัทธิคอมมิวนิสต์ แลกกับการเปิดทางให้กองกำลังสหรัฐฯ เข้ามาตั้งฐานทัพในไทย เพื่อใช้เป็นศูนย์ปฏิบัติการ โจมตีทางอากาศ ในสงครามเวียดนาม
สหรัฐฯ ยังให้ความช่วยเหลือแก่ไทยครอบคลุมแทบทุกด้าน ตั้งแต่การพัฒนากองทัพ การฝึกคอบร้าโกลด์ ซึ่งเป็นหนึ่งในการฝึกร่วมที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอินโด – แปซิฟิก โดยจะเห็นว่าตลอดช่วงทศวรรษ 1960 ความช่วยเหลือด้านการเงินจากสหรัฐฯ สูงถึงกว่าร้อยละ 50 ของงบประมาณการป้องกันประเทศของไทย
“สมัยจอมพลถนอมได้เงินเยอะนะ ได้ผลประโยชน์ ได้อะไรต่าง ๆ เศรษฐกิจดี ฝรั่งก็เข้ามาใช้เงิน ความเจริญอะไรต่าง ๆ ถนนมิตรภาพต่าง ๆ อเมริกันสร้างให้ทั้งนั้น”
รศ.โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
วาทกรรมการพัฒนา มรดกสหรัฐฯ บนดินแดนไทย
ข้อมูลจากสถานทูตสหรัฐฯ และสถานกงสุลในประเทศไทย ระบุถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่าง 2 ประเทศว่า ไทยเป็นพันธมิตรในสนธิสัญญาไมตรี เป็นผู้นำและผู้ส่งเสริมความมั่นคงในประชาคมนานาชาติ อีกทั้งยังเป็นหุ้นส่วนที่ไว้ใจได้
โดยเฉพาะในช่วงรอยต่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และยุคสงครามเย็น เรียกได้ว่าสหรัฐฯ ได้เข้ามาวางรากฐานการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น การถางผืนป่าดงพญาไฟ สร้างทางรถไฟ ถนนมิตรภาพ เชื่อมโยงพื้นที่ชนบทกับเมือง เพื่อแก้ปัญหาความยากจนและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ
แต่เหตุผลเบื้องลึก คือ เพื่อป้องกันการแพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์ตามทฤษฎีโดมิโน
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีนโยบาย “น้ำไหล ไฟสว่าง ทางสะดวก” คือหนึ่งในนโยบายสำคัญของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่สะท้อนถึงความร่วมมือกับสหรัฐฯ ในยุคนั้น จนเกิดเป็นแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับแรกของไทย ปี พ.ศ. 2504-2509
เรื่อยมาจนถึงสมัย จอมพล ถนอม กิตติขจร ที่เน้นการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่ง ระบบชลประทาน และพลังงาน สร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรต่อนักลงทุน พร้อมกับเพิ่มบทบาทของภาคเอกชนมากขึ้น ตามแนวคิดของโลกทุนนิยมและกลไกตลาดเสรี
มรดกการพัฒนาที่สำคัญอย่างหนึ่งตามทฤษฎี Modernization ที่สหรัฐฯ ได้ทิ้งไว้แก่ไทย และต้องบันทึกไว้ ณ ที่นี้ คือ โครงการสร้างเขื่อน ภายใต้วาทกรรมการพัฒนาที่ว่า เทคโนโลยีเขื่อนจะสามารถแก้ไขได้ทั้งปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง และยังเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด
แต่มาถึงยุคปัจจุบัน เมื่อองค์ความรู้เริ่มเปลี่ยนไป ในประเทศสหรัฐอเมริกาเองกลับเริ่มมีการรื้อถอนเขื่อนเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเขื่อนขนาดเล็กที่มีสภาพทรุดโทรม ถูกทิ้งร้าง หรือมีอายุการใช้งานเกิน 50 ปี ทำให้การซ่อมแซมมีค่าใช้จ่ายสูง และเขื่อนที่ชำรุดทรุดโทรมเหล่านี้อาจเป็นอันตรายต่อชุมชนได้หากเกิดการพังทลาย
กลุ่มรณรงค์เคลื่อนไหวในสหรัฐฯ ระบุว่า ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ มีการรื้อถอนเขื่อนไปแล้วกว่า 2,000 แห่ง ขณะที่ข้อมูลล่าสุดในปี 2024 พบว่ามีการรื้อเขื่อนไปแล้ว 108 แห่ง โดยมีจุดประสงค์เพื่อคืนความสมดุลของธรรมชาติและฟื้นฟูระบบนิเวศกลับคืนมาอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ถ้ามองในภาพรวมแล้ว การเข้ามาของสหรัฐฯ ก็ยังนับว่ามีคุณูปการต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตในมิติต่าง ๆ ของคนไทย เช่น ในด้านการแพทย์และการสาธารณสุข โดยกลุ่มมิชชันนารีมีบทบาทเผยแพร่ความรู้ทางการแพทย์สมัยใหม่ ช่วยรักษาและฉีดวัคซีนป้องกันไข้ทรพิษและอหิวาตกโรค
รวมถึงยุคต่อมาที่มูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ (Rockefeller Foundation) เข้ามามีส่วนสำคัญในการพัฒนาโรงเรียนแพทย์ศิริราช หรือคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลศิริราช ในปัจจุบัน
ด้านการศึกษา เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทย-สหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นโครงการแลกเปลี่ยนนักเรียนนักศึกษา อย่างโครงการเยาวชน AFS เพื่อการศึกษาและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมนานาชาติ
โครงการทุน “ฟุลไบรท์ (Fulbright Scholarship)” โดยมูลนิธิการศึกษาไทย-อเมริกัน เป็นทุนที่มอบให้ทั้งชาวอเมริกันและชาวไทย ตั้งแต่ปี 2492 สำหรับนักศึกษา อาจารย์ และนักวิจัย
เมื่อพิจารณาในภาพรวมแล้ว วาทกรรมการพัฒนาที่สหรัฐอเมริกาได้เข้ามามีบทบาทบนผืนแผ่นดินไทย ไม่ว่าจะเป็นด้านโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคม การแพทย์ การศึกษา หรือการสาธารณสุข ล้วนได้หล่อหลอมรากฐานของสังคมไทยให้ก้าวสู่ความทันสมัยตามแนวคิดการพัฒนาแบบตะวันตก
แม้เบื้องหลังจะมีแรงขับเคลื่อนจากการเมืองโลกและการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามรดกเหล่านี้ได้สร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ต่อคุณภาพชีวิตของผู้คนในหลายมิติ
‘Trade War’ เปลี่ยนสนามรบ เป็นสงครามการค้า
กลับมาที่ประเด็นเศรษฐกิจการค้า แม้ไทย-สหรัฐฯ จะมีความสัมพันธ์มาเนิ่นนาน แต่ภายใต้กลไกแข่งขันของตลาดเสรีและการเปลี่ยนขั้วอำนาจของโลก ก็ส่งผลให้สหรัฐฯ มีท่าทีที่เปลี่ยนไป
หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต สหรัฐอเมริกากลายเป็นประเทศมหาอำนาจเพียงชาติเดียวที่ไร้คู่ต่อกร แต่เพียงไม่นาน สาธารณรัฐประชาชนจีนก็กลับผงาดขึ้นมาอีกครั้งในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 เป็นต้นมา และเริ่มทำให้สหรัฐฯ สั่นคลอน
ความขัดแย้งทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างจีน-สหรัฐฯ ทวีความรุนแรงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่ช่วงที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก โดยสหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับจีนอย่างต่อเนื่องยาวนาน
นโยบายที่ทรัมป์ใช้ตอบโต้จีน คือ มาตรการกีดกันทางการค้า ทั้งการขึ้นภาษีนำเข้า การคว่ำบาตรบริษัทจีน พร้อมกล่าวหาว่าจีนเอาเปรียบทางการค้า ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติสหรัฐฯ โดยทั้งสองประเทศต่างใช้มาตรการตอบโต้กันไปมาเป็นระยะ และยังไม่มีข้อยุติที่ชัดเจน
จนกระทั่งสงครามการค้าปะทุขึ้นอีกครั้งในรัฐบาลทรัมป์ สมัยที่ 2 ซึ่งส่งผลกระทบต่อหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย
ในปี 2567 มูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยไปยังสหรัฐอเมริกาสูงถึง 1.9 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 18 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทย
สินค้าส่งออกที่สำคัญของไทยไปยังสหรัฐฯ ได้แก่ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สื่อสาร ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ยาง โดยการส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่หลังจากนี้เป็นต้นไป ผลกระทบจากมาตรการตอบโต้ทางภาษีของสหรัฐฯ จะเริ่มส่งผลให้เห็นไม่เกินปลายปี 2568
เกียรติ สิทธีอมร อดีตประธานผู้แทนการค้าไทย ในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และอดีตประธานหอการค้านานาชาติแห่งประเทศไทย เล่าว่า ในอดีตนั้นไทย-สหรัฐฯ เป็นคู่ค้าที่ดีต่อกันมาตลอด ตั้งแต่สนธิสัญญาไมตรีและพาณิชย์ มาจนถึงความร่วมมือในการก่อตั้งองค์การการค้าโลก หรือ WTO ในปี 2538 จนสามารถบรรลุข้อตกลงว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า หรือ GATT Agreement (แกต อะกรีเม้นต์)

อดีตประธานผู้แทนการค้าไทย มองว่า ความสัมพันธ์ที่เริ่มเปลี่ยนไปนั้นอาจขึ้นอยู่กับผู้นำแต่ละยุคสมัย หากเป็นช่วงเวลาที่ต้องเผชิญวิกฤตการณ์ร่วมกัน หรือมีภัยคุกคามร่วมกัน แต่ละประเทศก็จะหันมาร่วมมือกันด้วยดี แต่เมื่อวิกฤตผ่อนคลายลง หลายประเทศก็ต่างคนต่างเดิน ทำให้มีความใกล้ชิดเพียงบางช่วงบางตอน
“ไม่ว่าประวัติศาสตร์จะเป็นอย่างไร แต่เรากับสหรัฐฯ ก็ใกล้ชิดกันเป็นพิเศษมาโดยตลอด ตรงนี้ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่หรือคนรุ่นนี้อาจจะไม่ค่อยทราบหรือลืมประวัติศาสตร์ไปหมดแล้ว รวมทั้งคนอเมริกันและประธานาธิบดีคนปัจจุบันด้วย”
เกียรติ สิทธีอมร อดีตประธานผู้แทนการค้าไทย และอดีตประธานหอการค้านานาชาติแห่งประเทศไทย
ข้อตกลงทางภาษีและการค้าของ WTO ปี 2538 ประเทศสมาชิกได้มีฉันทามติร่วมกันว่า การจะกระตุ้นให้เศรษฐกิจทั้งโลกขยับตัวดีขึ้น คือ ต้องลดทั้งกำแพงภาษีและกำแพงที่ไม่ใช่ภาษี เพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจดำเนินไปอย่างราบรื่นมากขึ้น
แต่จะเห็นว่าสิ่งที่ โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังทำ สวนทางกับเงื่อนไขในการฟื้นฟูเศรษฐกิจโลก และหลักการของ WTO ที่เปิดโอกาสให้ประเทศเล็กหรือประเทศใหญ่มี 1 เสียงเท่ากัน แต่ที่สุดแล้วสหรัฐฯ กลับเป็นฝ่ายถอยห่างจากข้อตกลงนี้เสียเอง
“สหรัฐฯ ช่วงหลังก็เริ่มถอยห่าง เพราะรู้สึกว่าไม่ค่อยได้เปรียบอย่างที่อยากได้แล้ว ก็เป็นอย่างนั้น พอ 4-5 ปีที่ผ่านมา ก็ไม่ยอมส่งคนไป WTO ในคณะกรรมการอุทธรณ์ ซึ่งดีแล้วที่คุณมีข้อตกลง แต่จะไม่มีความหมายเลยถ้าสมาชิกไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง แล้วทำอะไรไม่ได้”
เกียรติ สิทธีอมร อดีตประธานผู้แทนการค้าไทย และอดีตประธานหอการค้านานาชาติแห่งประเทศไทย
พูดโดยง่ายว่า ทรัมป์ไม่สนใจกติกาขององค์การการค้าโลก และตัดตัวเองออกจากเวทีเจรจาเมื่อเห็นว่าฝ่ายของตนเสียเปรียบ ทำให้กลไกความร่วมมือระหว่างประเทศแทบไม่มีผลต่อสหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ก็ไม่ให้ความสำคัญกับภูมิภาคเอเชียและประเทศไทยเหมือนในอดีตที่ผ่านมา เพราะคำนึงถึงผลประโยชน์ประเทศตนเองเป็นที่ตั้ง ดังแนวคิดที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ตอกย้ำเสมอ คือ “America first” – อเมริกาต้องมาก่อน
“ไม่ใช่เรื่องจริง ถ้าจะบอกว่าสิ่งที่ทรัมป์กำลังทำอยู่มีเฉพาะผลทางบวกกับอเมริกา และชัดเจนมากว่ามีผลในทางลบด้วย รวมทั้งเรื่อง America first เพราะแนวคิดนี้มีผลกระทบมากมายสำหรับสหรัฐฯ เอง ไม่ใช่เพื่อนร่วมโลกที่เหลือเท่านั้น”
เกียรติ สิทธีอมร อดีตประธานผู้แทนการค้าไทย และอดีตประธานหอการค้านานาชาติแห่งประเทศไทย

เกียรติ ให้คำอธิบายว่า ทันทีที่มีการขึ้นภาษีสินค้านำเข้า ภาคธุรกิจของสหรัฐฯ ที่เป็นผู้นำเข้าจะต้องเป็นฝ่ายแบกรับภาษีนี้โดยตรง ก่อนจะส่งต่อไปถึงผู้บริโภค ฉะนั้น ผลพวงที่ตามมา คือ ราคาสินค้าจะแพงขึ้นทันที
ณ วันนี้เราอาจจะยังไม่เห็นผลกระทบที่รุนแรง เพราะผู้ประกอบการในสหรัฐฯ ได้สั่งสินค้าไว้ล่วงหน้าแล้ว ตั้งแต่เริ่มมีสัญญาณการขึ้นภาษี ทำให้ตัวเลขการส่งออก 2 ไตรมาสแรกของปีนี้ ดูค่อนข้างสดใส แต่อีก 2 ไตรมาสหลังจากนี้ จะเริ่มเห็นผลชัดเจน เมื่อสินค้าที่นำเข้าสหรัฐฯ ราคาแพงขึ้น และประชาชนจะรู้สึกได้ทันที
สำหรับผู้ส่งออกของไทย ผลกระทบที่จะได้รับ คือ เมื่อสินค้าราคาแพงขึ้น การบริโภคชะลอตัว ทำให้คำสั่งซื้อลดลง ดังนั้นจะต้องหาวิธีลดต้นทุน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
ที่สำคัญ เกียรติ แนะนำว่า ผู้ส่งออกไทยต้องพยายามพลิกวิกฤตครั้งนี้ด้วยการมองหาตลาดใหม่ ๆ เพราะถึงแม้สหรัฐฯ จะเป็นตลาดส่งออกอันดับต้น ๆ ของไทย แต่ก็ยังมีตลาดอื่นอีกมากที่ไทยยังไม่เคยเข้าไปบุกเบิก รวมถึงต้องใช้กลไกความร่วมมือในภูมิภาคให้เป็นประโยชน์มากขึ้น เช่น เวทีอาเซียน และ WTO เพราะหลายประเทศต่างก็ไม่พอใจกับสิ่งที่สหรัฐฯ กำลังทำ
“เราเจรจากับคนตัวใหญ่มาทั้งชีวิต เพราะเราไม่ใช่คนตัวใหญ่ เราตัวเล็กมาตลอด แต่เราจะมีวิธีที่ทำให้มีน้ำหนักยังไง เช่น เรามีอาเซียนไว้ทำอะไร ทำไมไม่คุยระหว่างอาเซียนว่าเรื่องนี้เรื่องใหญ่ ไม่ใช่แต่ละคนต่างวิ่ง เสียเปรียบกันทุกคนเลย”
เกียรติ สิทธีอมร อดีตประธานผู้แทนการค้าไทย และอดีตประธานหอการค้านานาชาติแห่งประเทศไทย
นอกจากนี้ ไทยเองต้องใช้โอกาสนี้ในการกู้ภาพลักษณ์ประเทศให้เป็นที่ยอมรับในสายตาประชาคมโลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนและแรงงาน ปัญหาการค้ามนุษย์ หรือกรณีส่งผู้อพยพชาวอุยกูร์ให้กับทางการจีน สิ่งเหล่านี้ทำให้ไทยถูกประณามจากองค์การสหประชาชาติ และองค์กรสิทธิมนุษยชนสากล
เกียรติ ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า การที่ทรัมป์พยายามสื่อสารให้คนเข้าใจว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ เกิดจากปัจจัยภายนอกทั้งหมด หรือการที่สหรัฐฯ ขาดดุล เพราะเกิดจากการค้าที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งไม่จริงเสมอไป เพราะอีกด้านหนึ่ง สหรัฐฯ เองก็มีรายได้มหาศาลจากการค้าอาวุธ โดยเฉพาะเมื่อเกิดภาวะสงคราม สหรัฐฯ คือผู้ตักตวงผลประโยชน์จากวิกฤตโดยตรง
รายงานของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เผยว่า ในปีงบประมาณ 2024 สหรัฐฯ มีรายได้จากการค้าอาวุธสงครามและยุทโธปกรณ์ให้กับรัฐบาลต่างชาติ รวมทั้งสิ้นกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 29 จากปีงบประมาณ 2023
ผลประกอบการที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดนี้ เป็นผลมาจากความต้องการอาวุธที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในสงครามยูเครน-รัสเซีย และความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
อีกข้อสังเกตที่น่าสนใจของอดีตประธานผู้แทนการค้าไทย คือ ทรัมป์มีอำนาจโดยชอบธรรมหรือไม่ และมีเหตุผลเพียงใดในการประกาศมาตรการตอบโต้ทางภาษีครั้งนี้ โดยศาลชั้นต้นสหรัฐฯ ได้พิจารณาแล้ว และคดีอยู่ในชั้นอุทธรณ์
“ต้องไม่ลืมว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ก็โดนท้าทายในศาลสหรัฐฯ ว่าเขาไม่มีอำนาจในการทำอย่างนี้ อยู่ดี ๆ จะขึ้นภาษีเอง ทั้ง ๆ ที่ไม่มีเหตุฉุกเฉิน”
เกียรติ สิทธีอมร อดีตประธานผู้แทนการค้าไทย และอดีตประธานหอการค้านานาชาติแห่งประเทศไทย
“ณ วันนี้ ศาลชั้นต้นอธิบายชัดเจนว่า การขาดดุลไม่ใช่เป็นกรณีฉุกเฉิน ไม่ใช่เป็นเรื่องความมั่นคง แต่เป็นเรื่องทางการค้าปกติ เพราะฉะนั้นคุณไม่สามารถใช้อำนาจประธานาธิบดีในการทำเช่นนี้ได้” เกียรติ เล่าต่อ
เกียรติ ให้ความเห็นทิ้งท้ายว่า ภายใต้ระบบการค้าเสรีที่ทุกประเทศมีสิทธิที่จะแข่งขันกันได้อย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะเป็นไทยกับสหรัฐฯ หรือไทยกับจีน และไม่ว่าขั้วอำนาจทางการเมืองจะเปลี่ยนไปอย่างไร ไทยก็ไม่จำเป็นต้องเลือกข้างใดข้างหนึ่ง ขอเพียงแค่ยืนอยู่บนกติกาการค้าขายเพื่อสร้างประโยชน์ร่วมกัน โดยไม่ทำลายอีกฝ่ายหนึ่ง
เมื่อสหรัฐฯ เบนเข็มจากไทยสู่กัมพูชา
ท้ายที่สุดแล้ว คำถามที่ว่า ไทย-สหรัฐฯ จะยังเป็นมหามิตรที่ดีต่อกันอย่างยั่งยืนจริงหรือไม่ รศ.โกวิท ให้ข้อคิดว่า การจะพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในบริบทโลกปัจจุบันนั้น ล้วนขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ของแต่ละประเทศเป็นสำคัญ ฉะนั้น ไม่มีคำว่ามิตรแท้และศัตรูถาวร
รศ.โกวิท ยังบอกอีกว่า อยากให้มองเรื่องนี้ในกรอบทฤษฎี เพราะหากใช้กรอบทฤษฎี 2 ข้อนี้ เราก็จะหมดข้อสงสัยได้ว่า เหตุใดสหรัฐอเมริกาจึงตีตัวออกห่างจากไทย
(1) ประเทศไม่มีมิตรถาวร ไม่มีศัตรูถาวร ประเทศมีแต่ผลประโยชน์ถาวรเท่านั้น เพราะฉะนั้นเลิกคิดเรื่องมิตรแท้และศัตรูถาวร อันนี้เป็นสัจจนิยม Realism
(2) นโยบายภายในประเทศกำหนดนโยบายต่างประเทศ
นอกจากนี้หากมองสถานการณ์การปะทะที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ก็จะเห็นว่า เพราะสหรัฐฯ คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นอันดับหนึ่ง จึงทำให้ดูเหมือนว่าท่าทีของสหรัฐฯ เอนเอียงไปทางกัมพูชามากกว่า
หนึ่งในเหตุผลคือ กัมพูชามีทรัพยากรที่น่าสนใจในสายตาสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือ “เรียม” และโครงการขุดคลองฟูนันเตโช ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากทางการจีน เพื่อปรับปรุงและขยายพื้นที่เป็นฐานทัพเรือกัมพูชา แต่มาภายหลัง จีนได้ประกาศอย่างชัดแจ้งแล้วว่า จะไม่มาลงทุนในกัมพูชาเพิ่มอีก เพราะ ปัญหา “จีนเทา” ที่สร้างผลกระทบอย่างหนัก
เมื่อกัมพูชาพึ่งพาจีนไม่ได้ จึงหันไปแนบชิดสหรัฐฯ และแน่นอนว่าในอนาคตสหรัฐฯ อาจฉวยจังหวะนี้เข้าไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่กัมพูชาต่อไป
อีกด้านหนึ่ง มีความเคลื่อนไหวล่าสุดของสหรัฐฯ ช่วงกลางเดือนตุลาคม 2568 ต่อกรณีการตั้งข้อหา เฉิน จื้อ นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชาวจีน วัย 37 ปี ผู้ถือสัญชาติกัมพูชา ผู้อยู่เบื้องหลังศูนย์สแกมเมอร์หลายแห่งในกัมพูชา โดยดำเนินการคว่ำบาตรในฐานะองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย ซึ่งน่าจับตามองว่าจะมีผลต่อท่าทีของสหรัฐฯ ที่มีต่อกัมพูชาในด้านอื่น ๆ หลังจากนี้อย่างไร
รศ.โกวิท ยอมรับว่า การวิเคราะห์ท่าทีสหรัฐฯ โดยเฉพาะประธานาธิบดีทรัมป์ ถือเป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ยาก เพราะเป็นบุคคลที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ จนนักวิชาการทั้งหลายต่างพากันวิเคราะห์พลาด ดังผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีทั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมา โดยเขาเรียกปรากฏการณ์ทรัมป์ว่า เป็นความ “อปกติ” โดยสิ้นเชิง
“ประธานธิบดีทรัมป์ เป็นปรากฏการณ์ที่ผิดปกติมาก ๆ แต่ทรัมป์ก็หมดภายใน 4 ปีนี้ ต่อไปถ้ามีคนใหม่ก็คงไม่เป็นอย่างทรัมป์แน่ เพราะว่าอันนี้เป็น ‘อปกติ’ อย่างมโหฬารที่สุดในระบบการเมืองสหรัฐฯ”
รศ.โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
สุดท้าย ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยกับสหรัฐอเมริกา คงไม่ได้มีเพียงด้านใดด้านหนึ่ง อยู่ที่ว่าสถานการณ์นั้น ๆ เราจะมีจุดยืนอย่างไร เพื่อให้ผลประโยชน์ของประเทศมาเป็นอันดับหนึ่ง พร้อม ๆ กับรักษาสมดุลกับนานาชาติ ให้ยืดหยุ่นไปตามการเมืองและเศรษฐกิจโลก เพื่อไม่ให้บานปลาย จนกลายเป็นความขัดแย้งรุนแรง
นอกจากนี้ สิ่งหนึ่งที่เราเรียนรู้จากความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะในยุคที่ทรัมป์กลับมามีอำนาจอีกครั้ง คือ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ประเทศไทยจำเป็นต้องมีความพร้อมในการปรับตัว เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีใครทำนายได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด