“พาสาเพื่ออัตถโร้ดด”
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กลุ่มคนที่อ่านหนังสือตั้งข้อสังเกตกันบ่อยครั้ง ถึงคลังคำศัพท์ที่น้อยลงของเด็กรุ่นใหม่ ยังไม่รวมไปถึงการใช้ภาษาพูดในการเขียน การนำคำที่มีอยู่แล้วมาประดิษฐ์ใหม่ ไม่ว่าจะด้วยการต่อเติม ลดทอน กระทำอะไรต่อมิอะไรที่ไม่ตรงกับภาษาที่ระบุไว้ในราชบัณฑิตยสภา นำไปสู่ การวิบัติของภาษาไทย อย่างที่หลาย ๆ คนพูดกัน
ทว่า มีอีกหนึ่งอย่างที่ดูจะคล้าย ภาษาวิบัติ มากที่สุด คือ ภาษาเพื่ออรรถรส เป็นการพลิกแพลงภาษาไทยให้เข้าถึงอารมณ์ของการสื่อสารมากยิ่งขึ้น สองคำนี้ดูจะมีภาษีที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทั้งที่จริง ๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นภาษาแบบถูกต้องตามหลักราชบัณฑิตยสภา หรือแบบหลัง ก็ล้วนแล้วแต่มีคนใช้จำนวนมากทั้งสิ้น
หากจะให้มองย้อนกลับไป คำในภาษาไทยหลาย ๆ คำก็มีการหยิบยืมดัดแปลงจนคนในยุคนั้น ๆ ตามไม่ทัน ดังเช่นคำว่า โก๋ ที่ปรากฏในสมัยรัชกาลที่ 5 และปัจจุบันก็ยังมีการใช้อยู่บ้างในรูปแบบของคำว่า จิ๊กโก๋ (ถ้าไม่นับขนมโก๋)
อาจบอกกลาย ๆ ได้ว่า ภาษาที่เคยมีท่าทางจะ วิบัติ ในอดีตนั้น เมื่อมีการใช้จนรับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสังคม รู้ตัวอีกทีคำเหล่านั้นก็ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเสียแล้ว
ถ้าให้คุยไปยาวกว่านี้ ทางผู้เขียนกลัวจะวกไปวนมาอยู่ในความคิดตนเอง และอาจจะนำไปสู่การใช้ภาษาที่วิบัติอย่างที่ใครหลายคนพูดกัน เราจึงชวน นัท – นทธี ศศิวิมล นักเขียนมากฝีมือ ที่เคยพาหนังสือ “จดหมายจากดาวแมว” ขึ้นไปสู่หนังสือขายดีอันดับหนึ่งของร้านนายอินทร์ในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ และในฐานะที่เธอเรียนจบเอกภาษาไทย จึงน่าจะสะท้อนแง่มุมความเปลี่ยนไปของภาษาไทย ให้เราได้เห็นมากขึ้น

ประตูบานแรกสู่การเป็นนักเขียน
สำหรับ นัท จริง ๆ ถ้าใช้คำเรียกในปัจจุบัน ต้องบอกว่าเธอเป็นเด็กเบียวภาษา ตั้งแต่ประถมแล้ว มักจะใช้คำศัพท์อลังการ คำศัพท์ยาก ลึก หรือ ศัพท์เก่าที่คนทั่วไปไม่ค่อยใช้ คือสนุกเวลาที่เจอคำศัพท์ แปลก ๆ ลึก ๆ ที่คนทั่วไปไม่ค่อยใช้จะชอบมาก เรียกว่ามันฟุ่มเฟือยก็ได้ แต่ก็ฟุ่มเฟือยแบบสนุก แล้วก็ยังอ่านเข้าใจได้ แต่เรื่องสั้นเรื่องแรกที่เขียน คือ เขียนให้เพื่อนอ่าน ก็เลยตั้งใจใช้ภาษาปาก ที่วัยรุ่นพูดกันเป็นส่วนใหญ่เพื่อจะได้สื่อสารกับคนอ่านได้ง่าย
เด็กยุคใหม่กับปัญหาคลังคำศัพท์
คนเรามีคลังคำอยู่ในหัวเยอะ ๆ ส่วนนี้สำหรับ นัท มองเป็นข้อดี เพราะสามารถนำมาใช้สื่อสารได้ครอบคลุมมากกว่า แต่เวลาที่คนรุ่นใหม่เขาเลือกที่จะเขียน หรือ เลือกที่จะอ่านงานที่เขารู้สึกว่าสื่อสารกับเขามากกว่ามันก็ไม่ใช่ความผิด เธอ ย้ำว่า อย่างตอนวัยรุ่น ก็เลือกใช้ภาษาที่จะสื่อสารกับคนอ่านของตัวเอง ซึ่งก็เป็นวัยรุ่นในยุคนั้นเหมือนกัน ภาษาที่เลือกใช้ในวันนั้น เมื่อ 20 – 30 ปีที่แล้ว กับวันนี้ วัยรุ่นวันนั้นกับวันนี้ มันก็ไม่เหมือนกันแล้วเรื่องภาษา
แต่ผลเสียก็คือ ภาษาเก่าที่มันมีความสลับซับซ้อน มีความละเอียดอ่อน ละเมียดละไม บางคำที่ไม่ค่อยถูกดึงมาใช้ มันก็อาจจะถูกทำให้เลือนรางจางลงไปในกลุ่มคนรุ่นใหม่ และก็อาจจะเกิดช่องว่างระหว่างคนรุ่นเก่า กับคนรุ่นใหม่ได้เหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องการเขียน วรรณกรรม ในที่สุดวรรณกรรมที่ใช้คำเก่า สลับซับซ้อน ก็จะถูกจำกัดวงให้มันแคบลงไปอีกเรื่อย ๆ ตรงนี้ก็อาจจะเป็นข้อเสียเหมือนกัน
“ตอนเราวัยรุ่นมีไหมภาษาวิบัติ มีเยอะเลยนะ คือผู้ใหญ่เขาก็บอก อันนี้ภาษาวิบัติแต่จริง ๆ แล้วเราว่าวันเวลาก็จะคัดกรองสิ่งที่มันจะคงอยู่ได้ยาวนาน ให้มันมีอายุสืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้ แต่อันไหนที่มันวูบวาบ คล้าย ๆ ว่าเก็บเรื่องราวของยุคสมัย มันก็จะอยู่ได้เพียงช่วงเวลาหนึ่งแล้วก็จะหายไป พวกศัพท์สแลงหรือพวกภาษาวัยรุ่น อย่างพวก จ๊าบ หรือก่อนหน้านั้น เด็ดดวง อะไรอย่างนี้ ตั้งแต่สมัยยุคพ่อยุคปู่เรา มันก็ไม่อยู่แล้วนะทุกวันนี้”
นทธี ศศิวิมล
ภาษาไทยในวรรณกรรม เปลี่ยนแบบไหน อะไรยังเหมือนเดิม
ในความเปลี่ยนไปของภาษาไทยในวรรณกรรม สำหรับนักเขียนคนนี้ เชื่อว่า อาจจะเป็นเรื่องของท่วงทำนอง โทน อารมณ์ บริบทอื่น ๆ ของสังคม ที่มีผลให้งานเขียนติดกรอบหรือไม่ติดกรอบอะไรบางอย่าง เช่น เรื่องความนิยมนางเอกนิยายสมัยก่อน มีลักษณะอย่างไร เป็นอิทธิพลของสังคมในช่วงเวลานั้น ว่าผู้หญิงที่ดีหรือได้รับความนิยมควรจะเป็นอย่างไร เรียบร้อย เป็นคนดี เป็นผู้ถูกกระทำที่ต้องรอให้ใครสักคนมาช่วยให้ชีวิตดีขึ้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป ลักษณะของนางเอกนิยายซึ่งเป็นตัวแทนของผู้หญิงก็จะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ อาจเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของสังคม ไม่ใช่เรื่องของภาษาอย่างเดียว เพราะภาษาเป็นเครื่องสะท้อนสังคม
จริง ๆ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับนักเขียนอย่างเดียว เรื่องของการลิดรอนสิทธิสื่อก็มีความสำคัญ ก่อนหน้านี้ งานเขียนไหนเผยแพร่ได้หรือไม่ได้ งานเขียนที่ได้รับการอนุญาตก็เลยจะมีอิทธิพลกับสังคมเยอะ ก็กำหนดรสนิยมของสังคมประมาณหนึ่งเหมือนกัน
“เรามองว่าบันเทิงคดีสามารถเก็บบริบทของยุคสมัยไว้ได้ค่อนข้างมาก และมักจะเก็บไว้ในศัพท์สแลงหรือศัพท์เฉพาะของช่วงเวลานั้นเยอะ วรรณกรรมที่แสดงสิ่งนี้ให้เราเห็นได้มากที่สุดก็คือ พล นิกร กิมหงวน (สามเกลอ) ถ้าใครได้อ่านก็จะเห็นชัดเลยว่า มีการบอกเล่าให้ผู้อ่านฟังว่าตอนนั้นมีภาษาปากคำว่าอะไรบ้างที่เป็นที่นิยมใช้ในสมัยนั้น และบางทีก็รู้ด้วยว่ามันมาจากไหน ซึ่งสิ่งนี้ไม่เปลี่ยนไปเลย ตั้งแต่สมัยนั้นหรือก่อนหน้า จนถึงปัจจุบัน เพราะมนุษย์สร้างคำใหม่ ๆ อยู่เสมอจากสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัว”
นทธี ศศิวิมล

การเติบโตของภาษาวิบัติ
เมื่อก่อนเราไม่มีอินเทอร์เน็ต แต่วันนี้เรามี เมื่อก่อนไม่มีคำว่า LGBTQ+ แต่วันนี้เรามี สำหรับ นัท จึงไม่ได้มองว่า มันเป็นเรื่องของการวิบัติ แต่เป็นเรื่องของสิ่งใหม่ ๆ ตามยุคสมัย ตามช่วงเวลาต่างหาก เมื่อก่อนไม่มีสิ่งนี้ ก็เลยมีภาษามารับรอง อย่างศัพท์คำว่า หน้าหยา หน้ายม จริง ๆ คำว่า หยา หรือ ยม ก่อนหน้านี้ไม่เคยมี เป็นความหมายใหม่ด้วยซ้ำ เกิดขึ้นมาเพื่อสนับสนุนการใช้งานของคนในยุคปัจจุบัน แต่ว่าจะอยู่นานหรือไม่นาน มนุษย์เราจะช่วยกันคัดเลือกคัดกรอง ถ้า 10-20 ปี ยังอยู่ก็แสดงว่ายังมีการใช้งาน ถ้าไม่ใช้งานก็จะเลือนหายไป ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ว่าทุกวันนี้ไม่ใช้แล้ว
มีอีกประเด็นที่เธอตั้งคำถาม คือ ทำไมภาษา LGBTQ+ ถึงสลับซับซ้อน แต่ก็หาคำตอบให้ตัวเองได้ว่า เพราะเราไม่ชอบพูดกันตรง ๆ อย่างเช่นเรื่องเพศ ศัพท์ LGBTQ+ ก็จะมาช่วยสนับสนุนเวลาพูดในที่สาธารณะ เช่นคำว่า ถวายบัว กินบวบ พอมีผลิตคำมาใช้ นักข่าวบางคนต้องการจะพูดเรื่องนี้เหมือนกัน แต่บางครั้งไม่อยากจะใช้ศัพท์ทั่วไปที่บางครั้งดูเหมือนแรง เขาก็จะยืมศัพท์ LGBTQ+ ไปใช้เพื่อให้ซ้อนเป็นสัญลักษณ์อีกชั้นหนึ่ง คนที่สนใจแต่ไม่รู้คำศัพท์ก็จะต้องไปค้นหาอีกที เพราะบริบทสังคมไทยบางเรื่องยังพูดตรงไปตรงมาขนาดนั้นไม่ได้
ภาษาวิบัติ ปัญหาที่ไม่มีทางลัด
ถ้าให้ตอบแบบกำปั้นทุบดิน คือ การอ่านเยอะ ๆ ช่วยได้ ไม่ว่าจะเป็นเจนเนอเรชันไหน การอ่าน สะสมคำ เรียนรู้บริบทคำในรูปแบบต่าง ๆ ก็จะทำให้ช่องว่างของความไม่เข้าใจลดลงได้
ขณะที่สื่อที่มีทางเลือกให้เราเยอะขึ้นในปัจจุบัน ที่สามารถพาออกไปจากหน้ากระดาษ หนังสือ วรรณกรรมก็มีเยอะมาก การจะดึงคนรุ่นใหม่กลับมาอ่านเป็นเรื่องที่ค่อนข้างท้าทายอยู่เหมือนกัน นักเขียนอย่างเธอ จึงมองว่า การดัดแปลงให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้ง่ายขึ้นก็ช่วยได้ส่วนหนึ่ง
“มันไม่มีทางลัดเลย การที่เราจะทำความเข้าใจหรือทำความรู้จักกับอะไรบางอย่างเราต้องเรียนรู้ แต่ความสนใจที่เรียนรู้ของคนยุคนี้บางครั้งมันเหมือนถูกดึงไปกับสื่ออื่นเยอะเหมือนกัน”
นทธี ศศิวิมล
ในมุมมองนักเขียนอาชีพ ภาษาเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทั้งในงานเขียนและบริบททางสังคม ดังนั้นปัญหาดังกล่าวก็แก้ด้วยการให้ทั้งฝั่งที่ใช้ภาษาใหม่ และเก่าที่มีความสนใจอยากจะเข้าใจอีกมุมมอง เริ่มอ่านให้มากขึ้น เพื่อเรียนรู้ให้ครอบคลุมมากว่าที่เป็นอยู่
เพื่อให้มุมมองเรื่องภาษาไทยกลมกล่อมมากยิ่งขึ้น เรายังชวน นภสร ตั้งวิบูลยกิจ หรือ อ.แบม จากภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาจารย์ภาษาไทยหน้าใหม่ไฟแรง ผู้มีความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างภาษากับวัฒนธรรมไทย ที่น่าจะสามารถช่วยขยายขอบเขตเรื่องนี้ได้มากกว่าเดิม

สำหรับความเปลี่ยนแปลงของภาษาไทยในปัจจุบัน ถ้าลองสังเกต หลัก ๆ มีอยู่ 2 ประเด็น อย่างแรก คือ เรื่องของ การสะกดคำ อินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีเข้ามาทำให้การสื่อสารรวดเร็ว ทำให้การสื่อสารโดยภาษาไทยเปลี่ยนแปลงไปเยอะ มีทั้งแบบที่ใช้คำที่สะกดผิด อาจจะเพื่อความสะดวกในการพิมพ์ เราใช้โซเชียลมีเดียเยอะ ตอบแชท ต้องอาศัยความเร็ว บางทีรีบ ถ้าจะพิมพ์ให้ถูกต้องทุกคำอาจจะใช้เวลามากเกินไป ก็เลยพิมพ์ให้แค่สื่อสารกันเข้าใจ แต่มุมมองนี้อาจจะจำกัดด้วยกลุ่มคนที่เราสื่อสาร อาจจะเป็นเพื่อนกัน เช่นคำว่า กู ต้องกด Shift ที่คีย์บอร์ดเพื่อให้พิมพ์ได้ แต่ถ้าพิมพ์แค่ กุ มันเร็วกว่า หรือจะพิมพ์คำว่า เดี๋ยว ก็กลายเป็น เดว
อีกเรื่องก็คือ เรามีเสียงพูด เวลาพิมพ์เราอาจจะพิมพ์ตามเสียงพูด เสียงที่อยู่ในหัว รูปคำก็อาจจะผิดเพี้ยนไปจากคำที่อยู่ในพจนานุกรม เช่นคำว่า เมื่อกี้ เราเขียนอีกแบบ แต่เวลาพูดเราพูดอีกแบบ ไม่ได้มองว่ามันผิด เราใช้ ทุกคนใช้ ก็ใช้ตาม ๆ กันไป
ปัญหาของความเปลี่ยนแปลงทางภาษา
แล้วสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นปัญหาแค่ไหน ? ในมุมมองของอาจารย์ภาษาไทย ถ้าเป็นประเด็นเรื่องของการสะกดคำ อาจมีบางประเด็นให้ขบคิด คือ บางครั้งรู้ว่าผู้เขียนตั้งใจทำ อาจจะเพื่ออรรถรส สะกดผิดเพื่ออรรถรส หรืออาจจะเพราะการพิมพ์สื่อสาร คำพูดมันไม่มีเสียง ก็ต้องใช้รูปตัวอักษรหรือว่าบางทีมีอีโมจิ มีสติกเกอร์ไลน์ เข้ามาช่วยตรงนี้ จึงถือเป็นสิ่งที่ยอมรับได้
แต่ก็อาจต้องดูบริบทด้วย ถ้าบริบทที่สื่อสารเฉพาะกลุ่ม ในกลุ่มเพื่อน แล้วตั้งใจใช้ผิด หรือว่าใช้คำที่ถูกตกแต่งรูปคำ เช่น คำว่า หนูเป็น นู๋ อะไรแบบนี้คุยกันในกลุ่มเพื่อนรู้สึกว่าจะให้ความรู้สึกใกล้ชิด ตลก ๆ มากกว่า มันเป็นการสื่อสารผ่านการพิมพ์ที่สามารถแสดงความรู้สึก ณ ขณะนั้นออกมา หรืออย่างเช่นใช้แบบ แกร จร้า ซึ่งเจอได้มาก สำหรับเธอแล้วมองว่าไม่ผิด ถ้าใช้เพื่อแสดงความใกล้ชิดสนิทสนม และป็นคำที่แสดงความรู้สึกของผู้พูดออกมาได้ดี ตรงกับสิ่งที่อยู่ในใจของเขาในขณะนั้น เพราะต้องไม่ลืมว่าการพิมพ์ไม่มีเสียง

“แต่มองในอีกแง่มุมนึง ก็มีความน่าเป็นห่วง คือ ใช้คำที่สะกดผิดจริง ๆ ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดจากไม่รู้ หรือไม่ใส่ใจที่จะเรียนรู้ หรือสะเพร่า อาจจะใช้ ร เรือ ล ลิงสลับกันอย่างเช่น ลุม กับ รุม ซึ่งลุม มันไม่มี มันต้องเป็นรุม หมารุมกัด แล้วก็ รังเกียจ มันเป็นสระเอียแล้วก็ จ จาน ก็ไปใช้คำว่า รังเกลียด แทน ทำให้น่าเป็นห่วงนิดนึง เพราะบางทีมันก็ทำให้การสื่อความหมายใน context นั้น ๆ มันเพี้ยนไปได้ อาจจะเกิดความสับสน อย่างเช่น นักข่าวไปพาดหัวข่าวออนไลน์ สื่อในยูทูบ พิมพ์ผิด ก็จะส่งผลต่อภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือ ถ้าเป็นการสะกดผิดแบบนี้ก็ต้องสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ให้รู้ก่อนว่าถูกคืออะไร ผิดคืออะไร ถ้าจะเล่นคำก็เล่นให้ถูกบริบท”
นภสร ตั้งวิบูลยกิจ
ภาษาวิบัติ ถึงการเปลี่ยนแปลงในห้องเรียน
ถ้าพูดถึงเรื่องการปรับการเรียนการสอนให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลง ในมุมมองของอาจารย์ภาษาไทยแล้ว อาจต้องแบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือ วิชาที่สอนเรื่องการเขียน การพูด ภาษาไทยในบริบทต่าง ๆ กับ วิชาที่สอนเรื่องการวิเคราะห์และการอภิปรายเกี่ยวกับการใช้ภาษาไทย โดยเฉพาะภาษาไทยในปัจจุบัน
ถ้าเป็นวิชาที่เกี่ยวกับการเขียนภาษาไทย เช่น เขียนหนังสือราชการ เขียนประกาศ เขียนแถลงการณ์ เขียนจดหมายสมัครงาน หรือแม้กระทั่งเขียนเชิงวิชาการ ก็จะเป็นในรูปแบบการสร้างความตระหนักรู้ จึงต้องอธิบายให้นิสิตเข้าใจว่าบางทีการสะกดคำ หรือการใช้ศัพท์ใหม่ ศัพท์สแลง ภาษาเพื่ออรรถรส ใช้ได้ไม่ผิด แต่สิ่งสำคัญก็คือ การดูบริบท
“ถ้าใช้ในกลุ่มในโซเชียลนี่ไม่ติด แต่ถ้าบริบทเปลี่ยน เป็นพวกเอกสารทางการ เรซูเม่สมัครงาน อย่างแรกเลยที่สำคัญมากคือคุณไม่ควรพิมพ์ผิด เพราะว่ามันส่งผลต่อความน่าเชื่อถือ เวลาเด็กส่งงานมา เราก็ต้องพยายามตรวจแก้กัน ให้เขาตระหนักและระวังนิดนึงเรื่องการพิมพ์ผิด โดยเฉพาะคำที่มันง่าย ๆ”
นภสร ตั้งวิบูลยกิจ
อีกอย่างก็คือเรื่องของ การใช้คำ ในการเขียนเอกสารทางการ จะต้องเลือกใช้คำที่ไม่ติดภาษาพูด เช่น เปลี่ยนจาก บอก เป็น แจ้ง อันนี้เป็นวิชาที่เกี่ยวกับการเขียน
แต่ถ้าในอีกกรณี ก็คือวิชาที่เกี่ยวกับการวิเคราะห์ แล้วก็อภิปรายการใช้ภาษาไทยในปัจจุบัน มองว่า เน้นเข้าร่วม ไม่เน้นต่อต้าน คือภาษามันเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว ก็เอาพวกศัพท์สแลง หรือว่าการเขียนในรูปแบบต่าง ๆ ที่น่าสนใจมาเป็นตัวตั้ง แล้วก็เรียนจากกรณีศึกษาเหล่านี้ได้เลย เช่น สอนเรื่องเกี่ยวกับการใช้คำในปัจจุบัน ก็ให้การบ้านนิสิต ลองมองหาตัวอย่างมา แล้วร่วมกันอภิปรายว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง มีที่มาจากอะไร หมายถึงอะไร แล้วกระตุ้นให้เด็กช่วยกันคิดว่า ความเปลี่ยนแปลงคำที่เราเอามา คิดว่ามันมีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง มันก่อให้เกิดความเข้าใจผิดได้หรือไม่
“การเปลี่ยนแปลงของภาษาไม่ได้เป็นปัญหา มันเป็นเรื่องปกติ ภาษาต้องเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว เพราะว่าเรามีคนใช้อยู่ตลอด การเปลี่ยนแปลงของภาษาเป็นเรื่องธรรมชาติ ตราบใดที่ยังมีคนใช้ มีคนพูดภาษาไทย ก็คิดว่าภาษาไทยก็จะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ หมุนไปเรื่อย ๆ ไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่”
นภสร ตั้งวิบูลยกิจ
คลังคำศัพท์น้อย หรือการเข้าถึงสื่อที่เปลี่ยนไป
ถึงตรงนี้หากวัดกันที่คลังคำศัพท์และการเข้าถึงสื่อของเด็กยุคนี้ เช่น หนังสือ นิทาน วรรณกรรมเยาวชน ก็อาจมองได้ว่า เด็กไม่อ่าน หรือสิ่งที่เด็กอ่านไม่หลากหลายจริง ๆ แต่จะไปโทษเด็กว่า เป็นเพราะไม่ขวนขวายเอง ไม่อ่านเองฝ่ายเดียวก็อาจจะไม่ถูก บางทีสื่อที่เขารับมามันเปลี่ยนไปแล้ว มันไม่มีคำพวกนี้ใช้แล้วหรือไม่ อาจจะมีข้อจำกัดด้วย ก็เลยทำให้เขาไม่รู้
“ถ้าเขาเปิดใจ ไม่ได้เป็นแบบที่ไม่รู้คำศัพท์แล้วเขาโมโหว่า หนังสือเล่มนี้เขียนอะไรพิมพ์อะไร คำนี้คืออะไร แปลกมากเลยเอามาใช้ได้อย่างไร ซึ่งก็ต้องเรียนรู้กันไปได้ ผู้สอนเองก็ต้องอธิบายไป หรืออาจจะแนะนำให้เขาไปค้นหาความหมายของคำนั้น แต่ถ้าเขาตั้งป้อมของเขาว่ามันผิดนะ แบบนี้เขาไม่ใช้กันหรอก อันนี้ก็อาจจะเป็นสิ่งที่ต้องค่อย ๆ พูดคุยกันดี ๆ ว่าจริง ๆ มันก็มีใช้อยู่นะ แค่เราอาจจะยังไม่ได้เจอหรือเปล่า”
นภสร ตั้งวิบูลยกิจ

วงจรและอนาคตของภาษาไทย
สำหรับเรื่องของคำศัพท์ อ.แบม ทิ้งท้ายว่า บางครั้งมันเป็นสแลงที่ใช้เฉพาะกลุ่ม แบบกลุ่ม LGBTQ+ กลุ่มแฟนคลับ แล้วก็เป็นที่นิยม ขยายไปสู่คนนอก ชาวโซเชียลทั่วไปก็ใช้กัน จนกลายเป็นคำฮิต สังเกตว่าช่วง หลายปีมานี้ สื่อต่าง ๆ ก็จะผลิตคอนเทนต์ออนไลน์ที่รวบรวมคำศัพท์ยอดฮิตของแต่ละปีมานำเสนอ แล้วบางเว็บก็ยกสถิติด้วยว่าใช้กันไปกี่ล้านครั้ง
สิ่งนี้ช่วยย้ำเตือนว่า การเปลี่ยนแปลงของภาษาไทยโดยเฉพาะภาษาในโซเชียลมีเดีย เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เป็นปกติ แล้วคนไทยเราก็โอบรับคำที่เกิดขึ้นเหล่านี้ด้วยการเอาไปใช้ ไม่ได้ต่อต้าน หรือที่ทุกคนไม่ต่อต้านอาจเป็นเพราะว่ากลัวตกเทรนด์ด้วยหรือเปล่าอันนี้ก็ไม่แน่ใจ (หัวเราะ)
อย่างไรก็ตาม ศัพท์สแลงพวกนี้ก็มีระยะเวลาของมัน อันนี้คือความเปลี่ยนแปลงของภาษา บางคำพอเวลาผ่านไปสักพักก็เลิกฮิตเลิกใช้ แล้วก็หมุนมาใหม่ ไม่นานก็มีคำฮิตใหม่ เปลี่ยนใหม่
“ส่วนอนาคตของภาษาไทยจะเป็นอย่างไร ในความเห็นส่วนตัวคิดว่าที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงและความน่าสนใจ ก็คือพวกเรื่องศัพท์นี่แหละ และยังเพิ่มความท้าทายให้เราในฐานะที่เป็นคนสอน ให้วิ่งตามเทรนด์ให้ทัน ว่าจะเอาประเด็นอะไรมาสอนนิสิตดี”
นภสร ตั้งวิบูลยกิจ
อ่านมาจนถึงตรงนี้แล้ว เรื่องการวิบัติของภาษา หรือ การใช้ภาษาเพื่ออรรถรสนั้น ดูจะมีหลายมุมมอง เกินกว่าที่เราจะตัดสิน ว่าแท้ที่จริงแล้วมันเป็นปัญหาที่ใหญ่จนน่าปวดหัวหรือไม่ ?
หรือไม่แน่ว่า ปัญหาที่เราพยายามแก้กันอยู่ทุกวันนี้…อาจจะเป็นเพียงแค่ความไม่เข้าใจกันระหว่างวัยก็เป็นได้
“ฝากวั้ยหั้ยคริส”