“เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่า ภาษาที่ใช้เป็นสื่อการเรียนการสอน
UNESCO, 1953
ได้ดีที่สุดสำหรับเด็กก็คือ ภาษาแม่”
การอ่าน คืออิฐก้อนแรกของความรู้ทั้งปวง เด็กคนหนึ่งจะเอาตัวรอดในโลกนี้ได้ ต้องเริ่มจาก การอ่านออก และหากจะเชี่ยวชาญในศาสตร์ใด ๆ เขาต้องมีทักษะการอ่านที่แข็งแรงเพียงพอ การอ่านจึงเป็นรากฐานของการศึกษาในทุกระดับชั้น
อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือช่วยให้เด็กได้ขัดเกลาความคิด สะท้อนตัวตนผ่านตัวหนังสือ และฝึกการคิดเชิงวิพากษ์ นอกจากแง่มุมทางวิชาการแล้ว การอ่านยังทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนความคิด เป็นพื้นที่ให้เด็กได้ทบทวนตนเอง นำไปสู่การยึดถือคุณค่าบางอย่าง การเข้าใจตัวเอง และการสร้างอัตลักษณ์ในแบบที่ตนจินตนาการไว้

การศึกษา จึงมีบทบาทสำคัญในการทำให้เด็ก อ่านออก และ อ่านให้ได้มาก แต่เด็กชาติพันธุ์ในไทยร่วมล้านคน กลับเจออุปสรรคด้านการอ่านและความเข้าใจในบทเรียน โดยเฉพาะในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
หนึ่งในสาเหตุหลัก คือ การไม่รู้ภาษาไทยของเด็กในพื้นที่ และมี ภาษาแม่เป็นภาษามลายู แต่หลักสูตรการสอนกลับเป็นภาษาไทยกลาง ทำให้เด็กมีพัฒนาการและการเรียนรู้ในเนื้อหาวิชาสาระอย่างเชื่องช้า
ข้อมูลจาก งานวิจัยของ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา เผยว่า 83% ของชาวไทยมุสลิมในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ใช้ภาษามลายูในการติดต่อสื่อสาร แต่โรงเรียนสายสามัญของกระทรวงศึกษาธิการ จัดการเรียนการสอนและใช้สื่อการสอนเป็นภาษาทางการหรือภาษาไทยทั้งหมด
เด็ก ๆ เหล่านี้จึงต้องเผชิญ ภาษาไทย ในฐานะภาษาที่สอง โดยภาษาที่ใช้ในบ้านเป็นอีกภาษา ส่วนภาษาที่ใช้ในโรงเรียนกลับเป็นอีกภาษา ความไม่สอดคล้องนี้สะท้อนให้เห็น ว่าหลักสูตรถูกออกแบบเหมือน เสื้อผ้าโหล ที่สร้างขึ้นจากมุมมองของคนซึ่งใช้ภาษาไทยเป็นภาษาแม่ ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของเยาวชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานมาหลายสิบปี และถือว่าต่ำที่สุดในประเทศ
ยิ่งไปกว่านั้น การไม่รู้ภาษาไทยกลายเป็นปัญหาใหญ่ เพราะนอกจากจะทำให้เด็กไม่สามารถเข้าถึงความรู้ในวิชาอื่น ๆ ได้ เด็กยังมีแนวโน้มจะปิดกั้นตนเอง อยู่เพียงในบริบทที่รู้สึกปลอดภัย และสูญเสียโอกาสในการค้นหาตัวตน
นี่ไม่ใช่ความผิดของเด็ก แต่หน้าที่ของผู้ใหญ่ คือ การค้นหาต้นตอและแก้ไขอย่างตรงจุด นั่นเป็นเหตุผลให้ The Active ลงพื้นที่จังหวัดปัตตานีเพื่อติดตามสถานการณ์การเรียนรู้ของเด็กในพื้นที่ชายแดนใต้ เพื่อหาคำตอบ ว่าจะทำอย่างไรให้ภาษาไม่เป็น กำแพง ปิดกั้นโอกาส แต่กลายเป็น สะพาน ที่เชื่อมให้เด็กได้มองเห็นโลกที่กว้างกว่าเดิม ซึ่งนั่นหมายถึงอนาคตของชาติด้วยเช่นกัน
ห้องเรียนพหุภาษา : เมื่อไม่ถนัด ‘ภาษาไทย’ ก็ใช้ ‘ภาษาแม่’ ช่วยสอน
ความเป็นรัฐรวมศูนย์ และสิ่งประดิษฐ์ทางราชการทำให้คนไทยส่วนใหญ่เข้าใจ ว่าสังคมไทยเป็นสังคม ภาษาเดียว ทั้งที่จริง ๆ แล้วตาม ข้อมูลโดย Ethnolouge อ้างถึงในรายงานยูนิเซฟ พบว่า ประเทศไทยมีภาษามากถึง 72 กลุ่มภาษา จำแนกได้เป็น 5 ตระกูลภาษา เช่น ภาษามลายูถิ่น, ภาษาเขมรถิ่นไทย, ภาษากะเหรี่ยง เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นชุมชนภาษาขนาดใหญ่ที่มีผู้คนใช้สื่อสารกันนับแสนคน โดยแผนที่ด้านล่างแสดงให้เห็นว่า ภาษาชาติพันธุ์เหล่านี้ส่วนใหญ่จะพบตามพื้นที่ชายแดนของประเทศไทย


ซึ่งจัดเป็นภาษาถิ่นในตระกูลออสโตรนีเซียน กลุ่มมลายู
แม้จะไม่มีข้อมูลทางการระบุชัด ว่ามีเด็กที่ไม่ได้ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาแม่จำนวนเท่าใด แต่ การศึกษาของมหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อปี 2550 พบว่า เด็กชั้น ป.2 ในกรุงเทพฯ มีอัตราการไม่รู้หนังสือเพียง 1% ขณะที่ใน 10 อำเภอที่มีประชากรกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมาก กลับพบอัตราการไม่รู้หนังสือสูงถึง 25–36%
สอดคล้องกับ รศ.นงเยาว์ เนาวรัตน์ หัวหน้าศูนย์พหุวัฒนธรรมและนโยบายการศึกษา สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ระบุว่า ประเทศไทยมีผู้เรียนกลุ่มชาติพันธุ์อย่างน้อย 2 ล้านคน ที่ไม่ได้ใช้ภาษาไทยกลางเป็นภาษาแม่ และกลุ่มนี้มักเสียโอกาสในระบบการศึกษาที่ใช้ภาษาราชการเป็นหลัก
เมื่อมองเฉพาะพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ การศึกษาของมหาวิทยาลัยมหิดล ในปี 2550 เก็บข้อมูลจากผู้พูดภาษามลายูถิ่น พบว่า แม้ประชากรราว 70% อ่านออกเสียงภาษาไทยได้คล่องกว่าการใช้อักษรยาวี และอักษรรูมี แต่บางส่วนกลับไม่เข้าใจเนื้อหาภาษาไทยที่อ่านได้ เมื่อเข้าสู่ระบบการศึกษา เด็กเหล่านี้จึงยิ่งประสบปัญหาในการเข้าใจเนื้อหาวิชาการในตำราเรียน ซึ่งกลายเป็นกำแพงสำคัญที่ทำให้พวกเขาถอยห่างจากการศึกษา
แล้วเราควรแก้ปัญหานี้อย่างไร ?

หนึ่งในข้อเสนอที่ภาคการศึกษาเสนอไว้ตั้งแต่ปี 2550 คือ การจัดการเรียนการสอนแบบ ทวิภาษา (หรือเรียก พหุภาษา หากมีมากกว่า 2 ภาษา) หรือการเรียนการสอนที่ใช้ภาษาแม่เป็นฐานควบคู่กับภาษาราชการ โรงเรียนจะไม่บังคับให้เด็กเรียนภาษาไทยเหมือนนักเรียนไทยกลาง แต่จะเริ่มจากการสอนด้วยภาษาแม่ ก่อนค่อย ๆ ให้เรียนอ่านและเขียนภาษาแม่ด้วยอักษรไทย (เช่น มลายูถิ่นอักษรไทย) แล้วจึงเริ่มใช้ภาษาไทยเป็นภาษาหลักในการเรียนรู้ จนเมื่อถึงระดับประถมปลาย เด็กจะสามารถเรียนทุกวิชาด้วยภาษาไทยได้ 100% ส่วนวิชาภาษาแม่จะถูกบรรจุไว้ในรายวิชาวัฒนธรรมท้องถิ่นแทน
แนวทางนี้ช่วยให้เด็กไม่กลัวโรงเรียน มีความมั่นใจมากขึ้น กล้าแสดงความคิดเห็นและแลกเปลี่ยน เพราะภาษาแม่คือพื้นที่ปลอดภัย ของพวกเขา จากนั้นโรงเรียนจะค่อย ๆ มอบโจทย์เพื่อขยายขอบเขตการใช้ภาษาไทย โดยใช้ภาษาแม่เป็นสะพานเชื่อมความเข้าใจ
วิธีสร้างสะพานเชื่อม ‘ภาษาที่บ้าน’ กับ ‘ภาษาที่โรงเรียน’
The Active พูดคุยกับ รศ.เมลดา สุจิตรอาภา คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถึงสถานการณ์การศึกษาในพื้นที่ชายแดนใต้ ซึ่งค้นพบว่า เด็กในพื้นที่ต้องเรียนหลายภาษา ได้แก่ มลายู, อาหรับ และไทย ซึ่งไม่มีความคล้ายคลึงกัน ทำให้เกิดภาระทางภาษาสูงตั้งแต่เด็ก
เมื่อรวมกับแรงกดดันจากการต้องตามเนื้อหาหลักสูตรกลาง บวกกับหลักสูตรอิสลามศึกษา ส่งผลให้การเรียนรู้ช้าลง และเกิดช่องว่างสะสม เมื่อถึงช่วงมัธยม เด็กจำนวนมากตามเนื้อหาไม่ทัน ตัวอย่างชัดคือคะแนนสอบโอเน็ตวิชาภาษาไทย ที่ได้เฉลี่ยเพียง 17 จาก 100 คะแนนในระดับมัธยมปลาย ขณะที่ระดับประถมยังอยู่ราว 30 คะแนนปลาย แสดงถึงปัญหาฐานการเรียนรู้ที่ไม่มั่นคงตั้งแต่ต้น
รศ.เมลดา ยังอธิบายว่า การเรียนภาษาควรเป็นสะพานให้เด็กเชื่อมต่อกับโลกกว้างขึ้น พื้นที่อย่างปัตตานีและพื้นที่พหุภาษามีต้นทุนทางภาษาที่เอื้อต่อการเรียนรู้หลายภาษาอยู่แล้ว เพียงแต่ระบบการศึกษายังไม่ให้สถานะที่เท่าเทียมกันกับแต่ละภาษา
ในมุมมองของสังคมทั่วไป ภาษาไทยถูกมองว่าเป็น ภาษาราชการ เพื่อให้เด็กอยู่รอดและเข้าถึงบริการของรัฐ ภาษาอังกฤษ คือ ภาษาสากล ที่เปิดโอกาสสู่โลกกว้าง ภาษามลายู คือ ภาษาพื้นถิ่น ที่ช่วยให้เข้าใจครอบครัวและชุมชน ส่วนภาษาอาหรับคือ ภาษาศาสนา ที่เชื่อมโยงเด็กกับรากทางจิตวิญญาณ
ดังนั้น ภาษาแต่ละภาษาจึงเป็นส่วนสำคัญในการประกอบสร้างตัวตนของเด็ก โรงเรียนในพื้นที่ที่มีบทบาทในการหล่อหลอมเด็กหลายมิติ จึงจำเป็นต้องโอบรับและเคารพตัวตนทุกด้านของพวกเขา หากเราเชื่อว่าสังคมไทย คือ สังคมพหุวัฒนธรรม อย่างแท้จริง

รศ.เมลดา จึงเสนอแนวทางว่า ควรจัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับบริบทพื้นที่ โดยให้เวลาพัฒนา ทักษะภาษา ก่อน เช่น ช่วงชั้น ป.1–ป.4 เน้นพัฒนาภาษา เน้นบูรณาการวิชาเนื้อหาให้เป็นเรื่องใกล้ตัว เด็กจะได้คุ้นชินกับการใช้ภาษาอื่นกับสิ่งรอบตัวที่จับต้องได้ ส่วน ป.5–ป.6 จึงเริ่มเรียนวิชาการเต็มรูปแบบ วิธีนี้จะลดภาระการเรียนและช่วยให้เด็กเข้าใจภาษาไทยได้ดีขึ้น เพราะแม้แต่คณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ ก็ต้องอาศัยทักษะภาษาในการตีความโจทย์ หากไม่เข้าใจภาษาก็ยากจะเรียนรู้ได้ดี
“ภาษาอาหรับที่ใช้แค่อ่านคัมภีร์ แต่ไม่มีโอกาสสื่อสารจริง ทำให้ขาดสมรรถนะในชีวิตจริง เช่นเดียวกับภาษาไทยที่เด็กบางคนใช้ได้แค่ในโรงเรียน แต่การเรียนกลับเน้นท่องจำ สอบอาขยาน ออกเสียงอักขระ ไม่ได้สร้างประสบการณ์การสื่อสารจริง จนเด็กเกิดความเครียดและตั้งคำถามว่า ทำไมต้องเรียนภาษาไทยถ้ามันยากขนาดนี้ ?“
รศ.เมลดา สุจิตรอาภา
แนวทางดังกล่าวยังสอดคล้องกับข้อค้นพบ และข้อเสนอ คณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาศึกษา และเสนอแนวทางการส่งเสริมกระบวนการ สร้างสันติภาพ เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ สภาผู้แทนราษฎร หรือ กรรมาธิการสันติภาพชายแดนใต้ ที่ศึกษาแนวทางการสร้างสันติภาพในพื้นที่ชายแดนใต้อย่างยั่งยืน และหนึ่งในหลายข้อเสนอ คือ ความพยายาม การจัดการศึกษาที่เหมาะสมกับบริบทเฉพาะของพื้นที่ ดังนี้
- จัดการศึกษาปฐมวัยแบบทวิภาษา
สนับสนุนให้สถานศึกษาทั้งรัฐและเอกชนจัดการเรียนการสอนสำหรับเด็กเล็กโดยใช้ภาษาแม่ (มลายูปาตานี) ควบคู่กับภาษาไทย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้และส่งเสริมอัตลักษณ์ทางภาษาและวัฒนธรรมของเด็กในพื้นที่ - บรรจุวิชาภาษามลายูในหลักสูตรระดับประถมและมัธยม
ให้สถานศึกษาของรัฐเปิดสอน วิชาภาษามลายู ควบคู่กับวิชาภาษาไทย และจัดหาครูผู้สอนที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อเปิดโอกาสทางอาชีพ เศรษฐกิจ ศาสนา และการสื่อสารกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงสร้างความเข้าใจระหว่างกลุ่มวัฒนธรรมต่าง ๆ - พัฒนาทักษะการสอนภาษาไทยสำหรับเด็กที่ไม่ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาแม่
ส่งเสริมให้ครูและหน่วยงานการศึกษาพัฒนาความรู้และวิธีการสอนภาษาไทยให้เหมาะสมกับบริบทของเด็กในพื้นที่ เพื่อลดปัญหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ - ปรับหลักสูตรให้เหมาะสมกับบริบทเฉพาะของพื้นที่ชายแดนใต้
ให้การจัดการศึกษาและหลักสูตรสอดคล้องกับลักษณะทางวัฒนธรรมและสังคมของประชาชนในพื้นที่ เพราะการใช้รูปแบบเดียวกับจังหวัดอื่นไม่ตอบโจทย์และไม่ประสบความสำเร็จในบริบทนี้

ทั้งห้องเรียนจึงเต็มไปด้วยสื่อการเรียนรู้ภาษาต่าง ๆ ทั้งไทย อังกฤษ มลายูปาตานี (ตัวเขียนยาวี) และอาหรับ
พูดไทยได้ ไม่ติดทองแดง : การล้อเลียนสำเนียง และการปลดแอกออกจากความเป็นชนบท
ภาษามลายูปาตานี เป็นภาษาถิ่นของพื้นที่ชายแดนใต้ที่มีเพียงภาษาพูด ไม่มีภาษาเขียน ผู้คนส่วนใหญ่สื่อสารกันด้วยภาษามลายูถิ่น เวลาจะเขียนหรืออ่านป้ายจึงนิยมใช้อักษรไทยถอดเสียงจากภาษามลายูปาตานี ซึ่งนำไปสู่การจัดระบบภาษาไทยและพัฒนาสื่อการเรียนการสอนภาษามลายูปาตานีในอักษรไทย เพื่อช่วยให้เด็กเรียนรู้ภาษาไทยได้เร็วขึ้น
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมายังไม่มีระบบมาตรฐานในการถอดเสียง ทำให้ป้ายชื่อสถานที่จำนวนมากเขียนผิดบ้างถูกบ้าง อีกทั้งเสียงบางเสียงในภาษามลายูถิ่นไม่มีในพยัญชนะไทย จึงทำให้ผู้พูดมักติดสำเนียงเมื่อต้องพูดภาษาไทยกลาง หรือที่เรียกว่า ทองแดง
งานวิจัยของ รศ.เมลดา สุจิตรอาภา ร่วมกับคณะมนุษยศาสตร์ฯ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ที่ได้เชิญนักเรียนในพื้นที่มาสัมภาษณ์เพื่อหา ความหมาย ที่เด็กให้ต่อภาษาแม่ และภาษาไทย ผลวิจัยพบว่า เด็กนักเรียนและนักศึกษามองว่าการรู้หลายภาษาเป็น กำไรชีวิต เพราะช่วยเปิดโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิต แต่ในทางกลับกัน เด็กส่วนใหญ่ยังไม่เห็นคุณค่าของการเรียนรู้หลายภาษา เนื่องจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวไม่เอื้อต่อแรงบันดาลใจ อีกทั้งโรงเรียนจำนวนมากเน้นการสอนเนื้อหามากเกินไป จนขาดกิจกรรมที่กระตุ้นความสนใจผู้เรียน
ยิ่งไปกว่านั้น งานวิจัยยังสะท้อน ว่าเด็กบางส่วนมีอคติต่อภาษาแม่ของตนเอง เพราะกลัวถูกบูลลี่เมื่อต้องใช้ภาษาถิ่น ถูกมองว่าเป็นคนชนบท ในทางตรงข้าม ผู้ที่พูดไทยกลางได้ชัดเจนไม่ติดทองแดง กลับถูกมองว่ามีความเป็นสากล หลุดพ้นจากความเป็นชนบท นักเรียนจำนวนมากจึงเกิดความกังวลและขาดความมั่นใจเมื่อต้องนำเสนอเป็นภาษาไทย ซึ่งความวิตกกังวลนี้อาจเกี่ยวข้องกับการกลั่นแกล้งทางสำเนียงชาติพันธุ์
“บรรยากาศในโรงเรียนส่งผลต่อแรงจูงใจของเด็ก เด็กบางคนไม่กล้าสื่อสารกับครูหรือแสดงออกต่อหน้าเพื่อน หากโรงเรียนสร้างบรรยากาศเปิดให้เรียนรู้ร่วมกัน เด็กจะกล้าและสนุกกับการเรียนมากขึ้น เด็กบางคนมีเพื่อนหรือพี่น้องคอยสนับสนุน แต่หลายคนต้องพึ่งพาความพยายามของตนเอง ทำให้โอกาสของเด็กชายแดนใต้ไม่ได้แสดงศักยภาพของตัวเอง”
รศ.เมลดา สุจิตรอาภา

The Active ยังได้พูดคุยกับ รุสลัน มามะ นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนจงรักสัตย์วิทยา จ.ปัตตานี เขามีความฝันอยากเรียนต่อในสาขาจิตวิทยาคลินิก จากเด็กที่เคยมีภาวะเสี่ยงซึมเศร้า เขาได้เปิดโลกใหม่ผ่านหนังสือจิตวิทยาที่เป็นเพื่อนคู่ใจ
เขายอมรับว่า ภาษาแม่คือภาษามลายู จึงทำให้รู้สึกว่าตัวเองสื่อสารภาษาไทยไม่แข็งแรงพอ เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น โดยเฉพาะเมื่อต้องขึ้นเวทีหรือนำเสนอหน้าห้อง เขามักไม่มั่นใจ กลัวพูดผิด กลัวออกเสียงไม่ชัด จนบางครั้งเลือกที่จะไม่พูดเลย เช่นเดียวกับเพื่อนอีกหลายคน
เมื่อเขาย้ายมาเรียนที่โรงเรียนใหม่ตอนมัธยมต้น ซึ่งโรงเรียนมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ห้องเรียนมีทั้งคนพูดยาวี และคนพูดภาษาใต้จากภาคใต้ตอนบน โรงเรียนไม่บังคับให้พูดภาษาไทยตลอดเวลา ครูเข้าใจว่าเด็กบางคนไม่ถนัด บางครั้งอนุญาตให้นำเสนอเป็นภาษายาวี แล้วให้เพื่อนช่วยแปลเป็นไทยอีกที ครูให้คะแนนจากความตั้งใจมากกว่าความถูกต้องของภาษา นั่นทำให้ รุสลัน กล้าที่จะพูด และมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ไม่กลัวพูดผิดเหมือนก่อน
“หลายคนรวมถึงผม ปิดตัวเองอยู่ในโลกเล็ก ๆ ไม่กล้าไปเจอคนใหม่ ๆ แต่ถ้าโรงเรียนสร้างพื้นที่ปลอดภัย ให้คะแนนจากความตั้งใจมากกว่าความถูกต้องของภาษา มันทำให้ผมกล้าที่จะพูดมากขึ้น ไม่กลัวผิดเหมือนเมื่อก่อน ผมว่าใจความสำคัญของการเรียนภาษาอยู่ที่คนรอบตัว ถ้ามีครูและเพื่อนที่เข้าใจ ให้กำลังใจ เราก็จะกล้าพูด กล้าเรียนรู้“
รุสลัน มามะ

ที่เปิดโลกการเรียนรู้ภาษาและความสนใจทางจิตวิทยา
รุสลัน ยังเล่าอีกว่า หนังสือดี ๆ ทำให้มองเห็นโลกกว้างขึ้น ได้สัมผัสแนวคิดของผู้อื่น และเข้าใจตัวเองมากขึ้น เขาจึงชอบอ่านหนังสือแนวจิตวิทยา เพราะพูดถึงหัวใจของคน ทำให้รู้จักและรักตัวเอง ก่อนจะเข้าใจผู้อื่น เดิมทีตอนเด็กเคยฝันอยากเป็นตำรวจ แต่เมื่อโตขึ้น ผ่านช่วงซึมเศร้าและเก็บตัว หนังสือกลายเป็นแรงผลักพาเขาออกจากความมืด ทำให้รู้ว่าความเข้าใจคือพลังยิ่งใหญ่
วันนี้เขาอยากเป็นนักจิตวิทยาคลินิก อยากฟังปัญหาของคนอื่น และช่วยให้คนที่มีปัญหาสบายใจ แม้ไม่ได้รักษาใคร เพียงแค่ได้ฟังก็รู้สึกว่ามีคุณค่าแล้ว
การอ่านสำหรับ รุสลัน จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่เพียงช่วยเพิ่มพูนความรู้ แต่ยังเปิดโลกให้เด็กได้มองเห็นและเข้าใจตัวเองในสังคมที่กว้างขึ้นอีกด้วย
‘หลักสูตรฐานสมรรถนะ’ และ พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา : ให้โรงเรียนออกแบบหลักสูตรตามโจทย์พื้นที่
แน่นอนว่าหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สร้างความเชื่อมั่นด้านการใช้ภาษาให้กับนักเรียนในพื้นที่ชายแดนใต้ คือ โอกาส และความเข้าใจ ที่จะปรับหลักสูตรการเรียนการสอนให้ตอบโจทย์ ยืดหยุ่นกับความต้องการเชิงพื้นที่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ คือ หนึ่งในรูปธรรมที่เกิดขึ้นกับ โรงเรียนจงรักสัตย์วิทยา จ.ปัตตานี
ในฐานะของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามที่ จัดการเรียนการสอนวิชาอิสลามศึกษาควบคู่กับหลักสูตรสามัญ โดยจำแนกระดับความเข้มข้นของหลักสูตรตามความต้องการของผู้เรียน โดยโรงเรียนเปิดสอนตั้งแต่ระดับปฐมวัย ถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย มีนักเรียนหลายพันคนจากหลากหลายประเทศ ทั้งไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย รวมถึงชาติอาหรับ และมุสลิม นอกจากนี้ยังมีครูต่างชาติจากรัฐอิสลาม และอียิปต์มาสอนประจำด้วย โดยสรุปแล้ว ที่นี่มีนักเรียนอยู่ร่วม 3,000 กว่าคน และครูอีก 200 กว่าคน


นิฮาซานา อายัม ครูวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษา โรงเรียนจงรักสัตย์วิทยา บอกกับเราว่า โรงเรียนรับนักเรียนจากหลายพื้นที่ บางคนเติบโตในประเทศตะวันออกกลาง เช่น ซาอุดิอาระเบีย เมื่อกลับมาไทยกลับไม่รู้ทั้งภาษาไทยและภาษามลายู แต่ด้วยบรรยากาศการเรียนรู้ที่เปิดกว้าง เพื่อนและครูช่วยเหลือกัน เด็กจึงสามารถพูด อ่าน และเขียนภาษาไทยได้ในที่สุด
“ในชีวิตประจำวัน เด็ก ๆ ใช้ทั้งภาษาไทยและภาษามลายู ทำให้คุ้นเคยกับความหลากหลายทางภาษาและวัฒนธรรม นักเรียนส่วนใหญ่มีทัศนคติที่เปิดกว้าง หลายคนพูดได้มากกว่า 3 ภาษา ได้แก่ ไทย มลายู อาหรับ และอังกฤษ”
นิฮาซานา อายัม
แม้เด็ก ๆ ในระดับอนุบาล ส่วนใหญ่ยังพูด อ่าน เขียนภาษาไทยไม่ได้ เนื่องจากมีพื้นฐานภาษามลายูเป็นหลัก แต่เมื่อเข้าเรียน ครูจะค่อย ๆ ลดการใช้ภาษามลายู และเพิ่มการใช้ภาษาไทยมากขึ้น แต่ถ้าเป็นคำศัพท์นามธรรมที่เข้าใจยาก ครูจะอธิบายด้วยภาษามลายูประกอบ เพื่อให้เข้าใจได้ชัดเจน
ขณะเดียวกัน วิชาอิสลามศึกษาและการศึกษาพระคัมภีร์ก็เปิดโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้ภาษาอาหรับเพิ่มเติม ทำให้เด็กที่นี่มีพัฒนาการทางภาษาหลากหลายตั้งแต่วัยเยาว์
“ถ้าเด็กเขาไม่กล้า เขาก็จะไม่พัฒนา หัวใจสำคัญคือคุณครูต้องอยู่ใกล้ชิดกับเด็ก ๆ โดยเฉพาะครูประถม ส่วนใหญ่จะอยู่กับเด็กในห้องเรียนเกือบตลอดเวลา ทำให้เข้าใจพฤติกรรมและภาษาของแต่ละคนได้ดี ครูบางห้องก็จะตั้งกติกาให้พูดภาษาไทยมากขึ้น เพื่อฝึกการใช้ภาษาอย่างเป็นธรรมชาติและถูกต้อง”
นิฮาซานา อายัม

การสอนหลักสูตรอิสลามศึกษาควบคู่กับหลักสูตรสามัญ ทำให้ปริมาณเนื้อหาที่เด็กต้องเรียนมีมากขึ้น แต่หัวใจของการจัดการศึกษาที่โรงเรียนจงรักสัตย์วิทยา คือ หลักสูตรฐานสมรรถนะ ที่เน้นการบูรณาการการเรียนรู้
โดยเฉพาะในระดับประถม เนื้อหาวิชาจะเชื่อมโยงกับเรื่องราวของชุมชนและสิ่งที่เด็กสัมผัสได้ในชีวิตประจำวัน เมื่อนำมาสอนควบคู่กับการสอนแบบทวิภาษา เด็กจึงเรียนรู้ภาษาใหม่จากบริบทที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ทั้งการเรียนคำศัพท์และรูปประโยคใหม่ สิ่งนี้สะท้อนว่า หากต้องการยกระดับทักษะภาษาให้เด็กได้คุ้นชิน โรงเรียนจำเป็นต้องปรับเนื้อหาวิชาให้ยืดหยุ่นและจับต้องได้เช่นกัน
ครูนิฮาซานา ยังอธิบายว่า หลักสูตรฐานสมรรถนะ คือ หัวใจสำคัญที่ทำให้นักเรียนได้เรียนรู้จากบริบทชุมชนรอบตัว เพราะแต่ละท้องถิ่นในปัตตานีมีภาษามลายูถิ่นแตกต่างกัน ทั้งคำพูดและสำเนียง เด็ก ๆ จึงได้แลกเปลี่ยนและเรียนรู้ผ่านภาษาไทยกลาง เพื่อใช้สื่อสารร่วมกันได้เข้าใจมากที่สุด
ทั้งนี้ หลักสูตรฐานสมรรถนะต่างจากหลักสูตรแกนกลางปี 2551 ตรงที่เน้นบูรณาการเนื้อหาท้องถิ่นเข้ากับหลายศาสตร์ เช่น โรงเรียนมี วิชาเสน่ห์ปัตตานี สำหรับชั้น ป.4 และ ปัตตานีรีดีไซน์ สำหรับชั้น ป.5 ซึ่งเน้นการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ เชื่อมโยงกับชีวิตจริงของเด็กในพื้นที่ ทำให้เด็กได้เรียนรู้ทั้งวิชาการและอัตลักษณ์ท้องถิ่นไปพร้อมกัน
สำหรับ แวดาโอะ แวดือเระ ผู้จัดการโรงเรียนจงรักสัตย์วิทยา มองว่า ทุกภาษาเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะภาษามลายูซึ่งเป็นภาษาแม่ของคนในพื้นที่ชายแดนใต้ และยังเป็นภาษาที่ใช้ในภูมิภาคอาเซียนมากกว่า 300 ล้านคน โรงเรียนมีนักศึกษาต่างชาติมาจากอินโดนีเซีย และมาเลเซีย ทำให้นักเรียนเห็นว่าภาษามลายูไม่ใช่เพียงภาษาของคนในสามจังหวัดเท่านั้น แต่เป็นภาษาระดับภูมิภาค เด็กจึงเกิดความภาคภูมิใจในภาษาแม่ของตนเอง ขณะเดียวกันก็เรียนรู้ภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาราชการควบคู่กัน

ในอดีต ภาษามลายูเคยถูกมองว่าเป็น ภาษาความมั่นคง แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นเสน่ห์ของพื้นที่ชายแดนใต้ โรงเรียนมีบทบาทสำคัญในการทำให้เด็กมองเห็นว่าภาษามลายูคืออัตลักษณ์ของพวกเขา พร้อมเรียนรู้ภาษาอื่นควบคู่กัน ปัจจุบันโรงเรียนส่วนใหญ่ในพื้นที่ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้หลายภาษา เด็ก ๆ ได้เรียนอย่างน้อย 4 ภาษา ได้แก่ ภาษามลายู ภาษาไทย ภาษาอาหรับ (ซึ่งใช้ในการละหมาดและสวดมนต์) และภาษาอังกฤษ ซึ่งสะท้อนวิถีชีวิตทางภาษาของคนในสามจังหวัดชายแดนใต้ ผู้ที่พูดได้หลายภาษาย่อมมีโอกาสสื่อสารกับผู้คนทั่วโลกได้กว้างขึ้น
“คนที่รู้หลายภาษา เปรียบเสมือนนกที่มีปีกมาก ย่อมบินได้ไกลกว่า
แวดาโอะ แวดือเระ
อีกทั้งศาสนายังส่งเสริมให้เรียนรู้ไม่เฉพาะภาษาของตนเองเท่านั้น”
ส่วนสำคัญที่ทำให้การจัดการศึกษาตอบโจทย์พื้นที่และผู้เรียนได้นั้น ผู้จัดการโรงเรียนจงรักสัตย์วิทยา ชี้ไปที่ พระราชบัญญัติพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562 ช่วยเปิดโอกาสให้โรงเรียนจัดการเรียนการสอนได้อย่างอิสระตามบริบทของพื้นที่ ไม่จำเป็นต้องเหมือนส่วนกลาง โรงเรียนจึงสามารถพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับอัตลักษณ์ท้องถิ่น
เดิมนโยบายการศึกษามีความรวมศูนย์ค่อนข้างมาก แต่รัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมองเห็นว่าภาษามลายู อังกฤษ และอาหรับคือจุดแข็งของพื้นที่ ควรได้รับการส่งเสริมให้เด็กมีเวทีพัฒนาทักษะภาษา และให้ครูได้รับการพัฒนาความเข้าใจในการสอนภาษาอย่างมีประสิทธิภาพ หากเกิดความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาในไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย หรืออินโดนีเซีย ผ่านนโยบายระดับรัฐบาลหรือท้องถิ่น ก็จะเป็นโอกาสสำคัญในการพัฒนาคนในพื้นที่อย่างก้าวกระโดด
อัตรากำลังครูติดลบ แต่ภาระงาน ‘ครูสอนภาษา’ ทวีคูณ
ห่างจากตัวเมืองปัตตานี ไปอีกราว 25 กิโลเมตร คือที่ตั้งของอำเภอยะรัง The Active ชวนมาสำรวจอีกที่คือ โรงเรียนประตูโพธิ์วิทยา โรงเรียนรัฐขนาดกลาง ที่ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งข้อจำกัดของระบบราชการ งบประมาณไม่เพียงพอต่อคุณภาพการศึกษา การขาดแคลนครู และการติดล็อกกับหลักสูตรแกนกลาง ที่ทำให้การบูรณาการรายวิชาเกิดขึ้นได้ยาก รวมถึงการสอนแบบพหุภาษาที่ยิ่งเป็นไปได้ยากขึ้นไปอีก

ที่นี่มีครูภาษาไทยประจำเพียง 1 คน ดูแลทักษะทางภาษาไทยของนักเรียนไทยมุสลิมทุกระดับชั้นมัธยมราว 200 กว่าคน โดยมีครูอัตราจ้างมาช่วยแบ่งเบาภาระบ้าง นี่คือโจทย์ท้าทายของ รอกีเยาะ เซ็ง ครูวิชาภาษาไทย โรงเรียนประตูโพธิ์วิทยา ที่ต้องสอนตั้งแต่ ม.3 ถึง ม.6 รวมเกือบ 20 คาบต่อสัปดาห์ และยังต้องรับผิดชอบงานทุนการศึกษาอีกกว่าสิบทุน เช่น ทุนเสมอภาค ทุนมุสลิม และทุนปัจจัยพื้นฐาน เด็กได้รับทุนจำนวนมากจนครูต้องช่วยเปิดบัญชีธนาคารให้เอง ทำให้งานสอนล่าช้าและไม่ทั่วถึง
ปัญหาอัตรากำลังครูติดลบในพื้นที่ชายแดนใต้เป็นเรื่องไม่ปกติที่เกิดขึ้นมานานจนเหมือนเป็นความปกติ โรงเรียนแห่งนี้มีอัตรากำลังครูติดลบถึง 5 คน หมายความว่าควรมีครูเพิ่มอีก 5 อัตรา แต่ยังไม่ได้รับการจัดสรร
ขณะเดียวกัน นักเรียนที่นี่ต้องเรียนเนื้อหาที่อัดแน่น ทั้งหลักสูตรสามัญ 8 กลุ่มสาระ และหลักสูตรอิสลามศึกษาอีก 8 วิชา รวมถึงการเรียนภาษาอาหรับเพื่ออ่านอัลกุรอาน และภาษามลายู ตารางเรียนจึงแน่น โรงเรียนจึงต้องเริ่มสอนก่อนเวลา 8.00 น. และเรียนต่อเนื่องเกือบทั้งวัน โดยแต่ละคาบใช้เวลาไม่ถึง 40 นาที

นอกจากนี้ แม้จะเป็นโรงเรียนระดับมัธยม แต่ครูภาษาไทยยังต้องสอนเสริมและปรับพื้นฐานให้กับเด็กที่มีช่องว่างทางภาษาตั้งแต่ระดับประถม เพราะเนื้อหาวิชาที่อัดแน่นและบริบทพื้นที่ไม่เอื้อต่อการเรียนรู้ภาษาไทย โดยก่อนเปิดภาคเรียน โรงเรียนจะจัดสัปดาห์ปรับพื้นฐาน 5 วันเต็ม
สำหรับวิชาภาษาไทย ครูจะคัดกรองทักษะการอ่านและเขียนของนักเรียนทั้งหมด เด็กที่อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้จะถูกส่งเข้า คลินิกภาษา เพื่อฟื้นฟูเป็นพิเศษ ครูต้องใช้ภาษามลายูช่วยอธิบาย โดยเฉพาะกับเด็กที่ยังอ่อน เพราะครูพูดได้ทั้งภาษาไทยและภาษาแม่ แต่ในฐานะโรงเรียนรัฐ ยังต้องยึดตามมาตรฐานและตัวชี้วัดของหลักสูตร ซึ่งตั้งไว้ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับข้อจำกัดของพื้นที่ จึงเป็นเรื่องยาก เด็กบางคนยังไปไม่ถึงจุดนั้น ต้องใช้เวลาและความเข้าใจมาก
“อยากให้หลักสูตรคำนึงถึงบริบทของแต่ละชุมชนมากขึ้น ไม่ควรใช้ไม้บรรทัดเดียวกันวัดเด็กทั่วประเทศ เพราะพื้นฐานต่างกัน เด็กในพื้นที่เราคงเปรียบเทียบกับเด็กสาธิตไม่ได้เลย ถ้าแต่ละโรงเรียนสามารถตั้งโจทย์ของตัวเองได้ตามบริบท ก็จะเหมาะสมกว่า”
รอกีเยาะ เซ็ง


ให้นักเรียนสามารถฝึกสะกดคำได้ง่ายขึ้น
การศึกษาโลก 2 ใบ : เมื่อสามัญต้องไม่ทิ้งศาสนา
ด้วยบริบททางความเชื่อและศาสนาที่มีความเฉพาะตัว ผู้ปกครองส่วนใหญ่จึงมองว่าการศึกษาไม่เพียงต้องให้ความรู้ทางวิชาการ แต่ต้องปลูกฝังความรู้ทางศาสนาและคุณธรรมไปพร้อมกัน กล่าวคือ โรงเรียนไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ให้ความรู้เพื่อชีวิตในอนาคตเท่านั้น แต่ยังต้องปูทางให้เด็กมีหนทางหวนคืนสู่พระเจ้าในโลกหลังความตายด้วย ด้วยเหตุนี้ การส่งลูกหลานเข้าเรียนในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม จึงเป็นที่นิยมมากขึ้น
ปัจจุบัน โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาฯ มีแนวโน้มเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงการปรับตัวของสถานศึกษาในท้องถิ่น และถือเป็นผลดีต่อประชาชนในฐานะ ผู้บริโภค ที่มีทางเลือกหลากหลายในการจัดการศึกษาแก่บุตรหลาน อย่างไรก็ตาม โรงเรียนเอกชนบางแห่งมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าโรงเรียนรัฐ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล ครอบครัวและเยาวชนจึงอาจมีทางเลือกจำกัด จำเป็นต้องเข้าเรียนในโรงเรียนของรัฐที่มักมีข้อจำกัดมากกว่า
ขณะเดียวกัน โรงเรียนรัฐหลายแห่งยังขาดแคลนทรัพยากรในการผลักดันการศึกษาแบบพหุภาษา ทั้งขาดครูและติดกรอบหลักสูตรแกนกลาง ทำให้การบูรณาการการเรียนรู้เกิดขึ้นได้ยาก

ทางฝ่ายบริหารของโรงเรียนตระหนักดีถึงภาระของครูที่ต้องแบกรับงานหนัก แต่ก็ไม่อาจละเลยความต้องการของชุมชนได้ สุลายมาน บากา รองผู้อำนวยการโรงเรียนประตูโพธิ์วิทยา บอกกับเราว่า ปัจจุบันโรงเรียนสามัญมีแนวโน้มปรับตัวให้มีความเป็นศาสนามากขึ้น สอดรับกับความคาดหวังของผู้ปกครองที่อยากให้โรงเรียนรัฐสอนศาสนาเข้มข้นไม่แพ้เอกชน โรงเรียนประตูโพธิ์วิทยาจึงยึดแนวทาง เรียนสามัญไม่ทิ้งศาสนา
“ช่วงหนึ่งเด็กในโรงเรียนรัฐลดลง ขณะที่โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามขยายตัวรวดเร็ว หมู่บ้านผมจากไม่มีเลย กลายเป็นมีนักเรียนกว่าพันคนในไม่กี่ปี สะท้อนถึงความต้องการผู้ปกครองที่เปลี่ยนไป โรงเรียนรัฐจึงปรับตัวเป็นแนว สามัญไม่ทิ้งศาสนา หรือ อิสลามเข้ม ตั้งแต่ราวปี 2546 เป็นต้นมา”
สุลายมาน บากา
อย่างไรก็ตาม โรงเรียนรัฐยังเผชิญข้อจำกัดหลายด้าน โดยเฉพาะอัตรากำลังครู โรงเรียนนี้มีสายวิทย์ชั้นมัธยมฯ ปลาย แต่ไม่มีครูเคมี เพราะครูคนเดิมไปสอบเป็นผู้บริหาร พอจะขอทดแทนต้องดูบัญชีกลางของ ก.ค.ศ. ซึ่งให้เรียงลำดับการขอตามวิชาขาดแคลน ปรากฏว่าต้องขอวิชาสังคมศึกษาก่อนเคมีเพราะมีตำแหน่งเดียว โรงเรียนจึงต้องช่วยกันสอน พอมีนักเรียนเพิ่มขึ้น ทำให้ได้อัตราครูเพิ่มอีกประมาณ 5 คน
แต่ในความเป็นจริง การได้อัตราครูใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เวลาหลายปีจึงจะครบตามโควตา ตอนนี้โรงเรียนพยายามขอตำแหน่งครูภาษาไทยเพิ่ม เพราะมีเพียงคนเดียว อีกคนเป็นลูกจ้างที่มีคุณสมบัติสอนได้ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระ แต่หากได้อัตราข้าราชการจริง ๆ จะยั่งยืนกว่า

สุลายมาน ยังบอกด้วยว่า โรงเรียนยังไม่ได้เข้าร่วมเป็น พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา เนื่องจากระบบเป็นแบบสมัครใจ และปีนี้ยังไม่พร้อมเพราะเพิ่งขยายขนาดและเพิ่มนักเรียน แต่คาดว่าปีหน้าจะเริ่มขับเคลื่อนได้ โดยเชื่อว่า พ.ร.บ.พื้นที่นวัตกรรม เป็นโอกาสสำคัญให้โรงเรียนออกแบบหลักสูตรของตนเองได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังติดกรอบจากระดับบน ทั้งระบบการประเมินโอเน็ตและคณะกรรมการระดับจังหวัด หากเข้าเป็นพื้นที่นวัตกรรม โรงเรียนจะสามารถออกแบบหลักสูตรฐานสมรรถนะที่เน้นมองโจทย์ว่าต้องสอนเพื่อให้นักเรียนทำอะไรได้ และสอดคล้องกับบริบทท้องถิ่นได้จริง ซึ่งเป็นแนวทางที่ควรเกิดขึ้นในทุกพื้นที่
สำหรับ หลักสูตรฐานสมรรถนะ สุลายมาน เชื่อว่า แม้ผู้บริหารจะได้ยินบ่อย แต่ครูหลายคนยังไม่เข้าใจชัด เพราะแม้แต่นักวิชาการของกระทรวงศึกษาธิการเองก็ยังไม่ตกผลึก กว่าจะขับเคลื่อนได้จริงอาจต้องใช้เวลาอีกหลายสิบปี แต่ก็เชื่อว่าหลักสูตรนี้มุ่งให้เด็ก ทำอะไรได้จริง และเราต้องสอนให้เขาทำได้ เป็นแนวทางที่ดีที่จะทำให้เด็กเรียนวิชาน้อยลงแต่ได้ความรู้เพิ่มขึ้น
พร้อมทั้งทิ้งท้ายว่า การศึกษาของไทยยังต้องตอบโจทย์ทั้งระดับท้องถิ่น ศาสนา และชาติ แต่ยังมีอีกหลายประเด็นในโจทย์ของโลกอนาคตที่ต้องไล่ตามให้ทัน คุณภาพการศึกษาในสามจังหวัดชายแดนใต้ยังอยู่ในระดับต่ำที่สุดของประเทศ เพราะเราวัดผลด้วยมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ ทั้งที่บริบทแตกต่างกัน
โรงเรียนในพื้นที่ชายแดนใต้ จึงต้องการคนที่เข้าใจและอยากทำงานจริง ไม่ใช่คนที่ถูกย้ายมาลงโทษ เพราะแท้จริงเราควรส่งคนที่มีคุณภาพไป เพื่อให้เด็ก ๆ ได้รับการศึกษาที่ตอบโจทย์ชีวิตและความฝันของพวกเขาอย่างแท้จริง
“โรงเรียนในพื้นที่สามจังหวัดต้องการคนที่เข้าใจและอยากทำงานจริงมาช่วยเรา
สุลายมาน บากา
ไม่ใช่มองพื้นที่นี้เป็นที่ลงโทษ”
บทส่งท้าย : การสร้างสังคม ‘อ่านออก-เขียนได้’ เป็นเรื่องของทุกคน
การเรียนรู้ภาษาในปัจจุบันยังถูกตีกรอบด้วยนิยามที่ค่อนข้างจำกัด หลักสูตรแกนกลางฯ ปี 2551 ระบุว่า วิชาภาษาไทยควรส่งเสริมความรู้ ทักษะ และวัฒนธรรมการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร ความชื่นชม การเห็นคุณค่า ภูมิปัญญาไทย และความภูมิใจในภาษาประจำชาติ ซึ่งหมายความว่า วิชาภาษาไทยถูกกำหนดให้มีท่าทีเพียงอย่างเดียว คือ ชื่นชมและภูมิใจ แต่สำหรับเด็กที่ไม่ได้ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาแม่ สื่อสารได้ไม่ชัดเจนตามอักขรวิธี หรือไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวัน จะถือว่าเขาเป็นคนที่ภูมิใจในภาษาไทยด้วยได้ไหม ?
มนุษย์แต่ละคนมีปฏิสัมพันธ์กับภาษาไม่เหมือนกัน การเรียนรู้และทดลองใช้ภาษาใหม่ ๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับการทำความรู้จักกับเครื่องมืออันใหม่ แต่หลักสูตรมักกำหนดว่าต้องเคารพและภูมิใจก่อนใช้ภาษา ทั้งต้องออกเสียงและท่าทีแบบตายตัว ทำให้เด็กเชื่อว่าการเรียนรู้ภาษามีรูปแบบเดียว ทั้งที่โลกของการเรียนรู้ภาษาหลากหลายกว่านั้น และเด็กสามารถเลือกวิธีปฏิสัมพันธ์กับภาษาที่เหมาะสมกับตนเองและบริบทโดยรอบได้

สถานศึกษาโดยเฉพาะโรงเรียนรัฐยังถูกจัดวางให้เป็นหน่วยราชการ ครูจึงถูกมองเป็นข้าราชการมากกว่าผู้สอน ทำให้หลายครั้งต้องสนองนโยบายส่วนกลางไม่ใช่ด้วยเหตุผลทางการศึกษา แต่ด้วยข้อบังคับและการควบคุมจากส่วนราชการ ภาพรวมของระบบนิเวศการเรียนรู้ทักษะภาษาจึงแข็งกระด้าง
อย่างไรก็ดี การเรียนรู้ภาษาที่มีประสิทธิภาพ คือการสร้างสภาพแวดล้อมที่ผู้คนใช้ภาษานั้น ๆ อยู่เป็นประจำ ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมทักษะภาษาจึงไม่ได้มีแค่โรงเรียน แต่รวมถึงครอบครัวที่บ้าน คนในชุมชน และสถาบันสื่อสารมวลชน วงการภาพยนตร์ หนังสือ ฯลฯ ซึ่งเราจำเป็นต้องสร้างสรรค์สื่อคุณภาพให้มากเพื่อการส่งเสริมทักษะทางภาษาในเยาวชน
โปรดอย่าลืมว่า…แม้เด็กชายแดนใต้ จะมาจากชาติพันธุ์หรือมีภาษาถิ่นต่างกัน แต่พวกเขาก็ล้วนเป็นเด็กไทย และไม่ได้จำกัดเฉพาะสามจังหวัดนี้เท่านั้น หลายพื้นที่ทั่วประเทศก็มีเด็กที่ไม่ได้ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาแม่ ซึ่งทุกคนควรได้รับสิทธิเข้าถึงการศึกษาตามหลัก Education For All ของสหประชาชาติ
สามจังหวัดชายแดนใต้มีจุดแข็งหลายประการ ทั้งภาษา ความเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม และชุมชนไทยพุทธ-มุสลิม ที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติ แต่ก็ยังมีปัญหาที่ต้องแก้ไข เช่น ภาระงานครู, อัตรากำลังครู, หลักสูตรที่ไม่เชื่อมโยงกับพื้นที่ และโอกาสทางเศรษฐกิจที่จำกัด ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่แค่เรื่องของเด็กชายแดนใต้เท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของเด็กไทยทุกคน
ในยุคที่เด็กสามารถเข้าถึงข้อมูล วัฒนธรรม และภาษาทั่วโลก โลกถูกย่นย่อเหลือเพียงหมู่บ้านเดียว เด็กทุกคนเข้าถึงได้ผ่านมือถือและสื่อต่าง ๆ การสร้างห้องเรียนที่เปิดรับความแตกต่างและหลากหลาย จึงเป็นแนวทางที่ช่วยให้เด็กพัฒนาทักษะพลเมืองโลก มองเห็นตัวเอง มองเห็นจุดแข็งและจุดพัฒนา และเรียนรู้ที่จะเคารพผู้อื่น
โลกทุกวันนี้ไม่ได้ต้องการการรวมศูนย์อำนาจทางวัฒนธรรมอีกต่อไป แต่ต้องการความหลากหลายและการยืนหยัดในความเป็นท้องถิ่น เลิกผลิตเสื้อโหล และสร้างเด็กให้เป็นตัวของตัวเอง สิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยความกล้าหาญทางนโยบายจากภาครัฐอย่างยิ่ง