รัฐ – ทุน…ภัยคุกคาม กับ การหายไปของ ‘วิถีชาติพันธุ์’

จากพื้นที่ราบเต็มไปด้วยความเป็นเมือง แต่ทันทีที่รถมุ่งหน้าเข้าสู่เขตป่าสงวนแห่งชาติ เส้นทางเปลี่ยนไปค่อย ๆ ลาดชัน จากทางตรงเป็นถนนคดเคี้ยว มองด้วยตาก็บอกได้เลยว่า ถ้าไม่ใช่เจ้าถิ่นที่ชำนาญเส้นทาง ก็คงไม่ง่ายที่จะไปยัง บ้านดอยช้างป่าแป๋ อ.บ้านโฮ่ง จ.ลำพูน 

ยินดีต้อนรับทุกท่าน เข้าสู่พื้นที่จิตวิญญาน ชุมชนชาวกะเหรี่ยงดอยช้าง(ป่าแป๋) 

ป้ายผ้าที่เขียนด้วยมือ ถูกแขวนอยู่ทางเข้าหมู่บ้าน ที่นี่เป็นชุมชนที่แข็งแรง ทั้งวิถีชีวิตผู้คน วัฒนธรรม ธรรมชาติ รวมถึงยึดหลักการบริหารจัดการทรัพยากร ภายใต้แนวคิด ที่ว่า “ใช้ประโยชน์ส่วนน้อย รักษาส่วนใหญ่ เพื่อประโยชน์ส่วนร่วม” จนได้รับการที่ประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตชุมชนชาติพันธุ์ลำดับที่ 12 ของประเทศไทย มาตั้งแต่ปี 2563


จากนั้นเป็นต้นมา ดอยช้างป่าแป๋ก็กลายเป็นพื้นที่ตัวอย่างในการบริหารจัดการทรัพยากรด้วยวิถีชีวิตของชนเผ่ากะเหรี่ยง อย่างมีประสิทธิภาพ ที่จะเห็นได้ชัดคือการจัดการพื้นที่ของชุมชนที่ช่วยลดความรุนแรงของการเปลี่ยนแปลงตามสภาพภูมิอากาศ ด้วยการนำภูมิปัญญาในอดีตของชุมชนมาใช้ในการทำแนวกันไฟ 


แต่ก็ใช่ว่าที่นี่จะไม่เคยเจอปัญหา…


ในปี 2562 ชุมชน ดอยช้างป่าแป๋ ประสบปัญหาเกี่ยวกับการถูกยึดที่ดินและจากการทำไร่หมุนเวียนเนื่องจากช่วงนั้นมีการประกาศเขตห้ามล่าสัตว์ป่าในเขตป่าบ้านโฮ่ง ทำให้เจ้าหน้าที่มองว่าชุมชนเข้าไปบุกรุกพื้นที่  ซึ่งชุมชนดอยช้างป่าแป๋ ถูกกฎหมายประกาศทับซ้อนหลายฉบับ ทั้ง พ.ร.บ.ป่าไม้, พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ, และ พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า   


ประเด็นปัญหาพื้นที่ทับซ้อนแบบนี้ไม่ได้เกิดแค่กับที่ชุมชนดอยช้างป่าแป๋ แต่เกิดกับชุมชนชาติพันธุ์ตั้งแต่บนที่สูง จนถึงชายฝั่งทะเล แน่นอนว่าคนที่ได้รับผลกระทบคือ กลุ่มชาติพันธุ์ ที่ใช้ชีวิตอยู่กับป่าและทะเล

นโยบายอนุรักษ์ป่า รักษาความมั่นคง ภัยคุกคามวิถีชีวิตชาติพันธุ์

รศ.ขวัญชีวัน บัวแดง จากคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เล่าถึง การที่กลุ่มชาติพันธุ์ถูกคุกคาม ว่า เกิดขึ้นได้ทั้งในทางสังคมและธรรมชาติ แต่ที่ชัดเจนเลย คือ ในทางสังคม การที่ชาติพันธุ์เข้าสู่ระบบของรัฐ และเข้าสู่การควบคุมของรัฐตามประกาศของกฎหมาย  ซึ่งเป็นปัญหาที่มีมานาน โดยในอดีตก่อนที่จะมีกฎหมายเขาก็จะอยู่อย่างอิสระ อยู่กับธรรมชาติ ทำไร่ ตามวิถีพึ่งพา และรักษาธรรมชาติ เพราะชีวิตในช่วงนั้นยังคงเป็นอิสระและไม่ต้องการความเชื่อมโยงกับรัฐ

รศ.ขวัญชีวัน บัวแดง คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

แต่หลังจากปี 2500 คอมมิวนิสต์ ขยายตัวในภูมิภาคอินโดจีน เมื่อมองเป็นประเด็นเรื่องความมั่นคง การควบคุมพื้นที่และการเคลื่อนย้ายประชากรจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญ ปัญหาของการเข้าสู่การเป็นพลเมืองของรัฐไทยจึงเริ่มชัดเจนขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง เมื่อไม่สามารถย้ายที่อยู่ได้เหมือนก่อน ก็ส่งผลให้ต้องปรับตัวตามสภาพที่ดินที่มีอยู่ นอกจากนี้การที่จะได้รับบัตรประชาชนและกลายเป็นพลเมืองไทยก็เป็นเรื่องยากสำหรับบางกลุ่มที่เคยห่างไกล


แต่ประเด็นใหญ่ที่พูดกันมาตลอดในระยะหลัง ก็คือนโยบายของรัฐในเรื่องของทรัพยากร โดยเฉพาะการประกาศเขตอนุรักษ์ที่รัฐบาลเริ่มขยายการประกาศเขตอนุรักษ์มากขึ้น  ซึ่งการขยายพื้นที่ป่าไม้เพื่อการอนุรักษ์เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการรักษาทรัพยากรธรรมชาติในช่วงที่การพัฒนาและความทันสมัยเริ่มเกิดขึ้นในเมือง

“พอเข้าสู่ความทันสมัยเนี่ยรัฐไทยกลับไปสู่การอนุรักษ์มากขึ้นนะ หมายถึงว่าในเมืองมันเจริญอะไร ต่ออะไรก็เริ่มรู้สึกว่าเราควรจะต้องมีป่าควรจะมีป่าไม้มี อะไรต่าง ๆ ที่มากขึ้นก็มีการขยายเขตป่าไม้ถ้าเอาจุดหัวเลี้ยวหัวต่อ 2500 มาเนี่ย ก็หมายความว่าเรื่องป่าไม้เริ่มเป็นปัญหามากขึ้น จากการขยายพื้นที่อุทยานขยายพื้นที่ อนุรักษ์พันธ์สัตว์ป่า” 

รศ.ขวัญชีวัน บัวแดง

เมื่อมองตามพื้นที่ตั้งของชุมชนทางภาคเหนือของไทยแล้ว จะเห็นอย่างชัดเจนเลยว่า พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่สูง ภูเขา และป่าไม้ ชาวบ้านอยู่กันไปเกือบทั่วทุกที่เพราะมีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ราบ ทำให้หมู่บ้านหลายพันหมู่บ้าน ตั้งอยู่บนพื้นที่สูงโดยเฉพาะชุมชนของกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งมีหลายกลุ่ม และแน่นอนว่าเมื่อประกาศ เขตอุทยานแห่งชาติก็เท่ากับว่าที่ไหนมีป่าไม้ ก็มีเปอร์เซนต์ที่จะทับที่ชาวบ้านที่อยู่มาก่อนอย่างแน่นอน เรื่องนี้ รศ.ขวัญชีวัน มองว่า เป็นปัญหาภัยคุกคามเมื่อเริ่มมีกฎหมายของรัฐมาบังคับชีวิตของชาวบ้าน


ปัจจุบันก็มีปัญหาเรื่องกฎระเบียบ ที่ประกาศโดยจังหวัดเรื่อง PM2.5 คือ การห้ามเผา ซึ่ง รศ.ขวัญชีวัน ก็ชี้ว่า เป็นอีกภัยคุกคามต่อวิถีชีวิต เพราะว่าถ้าไม่เผาระบบธรรมชาติตามวิถีทำกินดั้งเดิมของชาติพันธุ์ อย่าง ไร่หมุนเวียน ก็ทำไม่ได้ เพราะระบบนี้ต้องอาศัยเรื่องของการเผาเข้ามาจัดการตรงนี้เพื่อให้มันหมุนเวียนได้ เป็นไปตามระบบของเขา กฎ กติกา จากนโยบายรัฐที่ออกมา จึงเป็นอีกภัยคุกคามของวิถีชีวิต วัฒนธรรม ความเชื่อของชาติพันธุ์โดยตรง

“อ่านน้ำ จำลม อ่านฟ้า จำดาว”…วิถีชีวิต ที่ไม่มีสอนในระบบการศึกษา

สอดคล้องกับ รศ.นฤมล อรุโณทัย อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เล่าถึง ข้อจำกัดที่ทำให้ชุมชนชาติพันธุ์ที่ถูกคุกคามจากนโยบายต่าง ๆ และยังไม่ได้รับการคุ้มครองว่า อาจมาจากข้อจำกัดภายนอกที่ไม่เข้าใจ วิถีธรรมชาติของชาติพันธุ์  วิถีชีวิตอยู่กับป่า หรือว่าอยู่กับทะเล โดยอาจถูกคนภายนอกมองว่า สิ่งนี้  “มันไม่มั่นคง”  ไม่เข้าใจไม่พออาจมีการเอาความคิดความรู้ใหม่ ๆ เข้าไปแทนความรู้เดิมผ่านระบบการศึกษา 

“การศึกษาทำให้เด็กเหล่านี้เนี่ยไม่ได้เรียนรู้ภูมิปัญญาไม่ได้เรียนรู้เนี่ยวิธีการช่าง สังเกต เรื่องปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมาได้ทำงานกับชาวเล เราก็จะมีการพูดถึงว่า อ่านน้ำจำลม อ่านฟ้าจำดาว ก็คือเรื่องการอยู่กับทะเลแล้วจนกระทั่งอ่านน้ำได้ว่าน้ำแบบนี้ จะมีปลามีอะไร กระแสน้ำไปทิศทางไหน ถ้าสมมุติว่ามีพื้นที่อันตรายจะเป็นยังไง

รศ.นฤมล อรุโณทัย

การสืบสาน ส่งต่อวิถีชีวิต ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์อ่านธรรมชาติได้อย่างผู้รู้จริง แต่สิ่งที่เขามีนี้ เสี่ยงที่จะเลือนหายด้วยแนวคิดแบบนักอนุรักษ์ห้องแอร์ กลับกลายเป็นมองว่า การให้พื้นที่ป่ากับกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อใช้สอยเป็นการให้อภิสิทธิ์ชนกับคนบางกลุ่ม ซึ่งอคติเหล่านี้มันถูกตอกย้ำด้วยระบบการศึกษาอยู่ตลอด


ผลสะท้อนของการที่รัฐมีนโยบายเรื่องการจัดการทรัพยากร การเอาคนออกจากป่าและเอาคนเข้าสู่ระบบการศึกษา ใช่จะมีแต่มุมลบเท่านั้น ด้านหนึ่งก็ทำให้ชาวบ้านเรียนรู้เรียนที่จะต่อรองกับรัฐ ปัจจุบันชาวบ้านก็รวมตัวสร้างเครือข่าย ไปจนถึงการเข้าไปมีส่วนร่วมในองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นเสนอนโยบาย แต่นั่นก็อาจไม่ได้เป็นหลักประกันที่จะทำให้พวกเขามั่นใจว่าจะรักษาวิถีชีวิตนี้ไว้ได้

“คนมีเงินเดือนคนอยู่ในเมือง หรือแม้แต่กลุ่มชาติพันธุ์ที่เติบโตไปเป็นข้าราชการ อันนี้ก็อาจจะไม่มีปัญหา เพราะว่าส่วนใหญ่ก็เปลี่ยนวัฒธรรมก็จะเปลี่ยนไปตามนั้น แต่กลุ่มที่ยังต้องพึ่งพาธรรมชาติอยู่กับป่า อยู่กับน้ำอยู่กับทะเล อันนี้แหละที่สังคมกำลังถกเถียงกัน”

รศ.นฤมล อรุโณทัย

รศ.ขวัญชีวัน ให้ความเห็นว่า นี่คือเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องช่วยกันจัดการ เพราะว่าวัฒนธรรม หรือความรู้ที่ปรากฎอยู่มาจากการที่เขาอยู่กับสิ่งเหล่านี้ ซึ่งมันจะสืบทอดได้ก็ต่อเมื่อ เขาทำสิ่งเหล่านี้คือ เขาทำไร่ เขาถึงจะมีความรู้ เข้าป่าไป หาเห็ด หาผลผลิต ในป่า ก็ทำให้เขามีความรู้เรื่องยาสมุนไพร 

“ถ้าเขาไม่มีสิ่งเหล่านี้ ความรู้ทั้งหมดก็จะไม่มี ซึ่งมันเป็นสิ่ง ที่จำเป็นสำหรับโลกปัจจุบันที่จะต้องมีความรู้เหล่านี้ การอยู่ร่วมกับธรรมชาติ การมีความเคารพต่อธรรมชาติ ซึ่งอันนี้มันจะหายไปหมด”

รศ.ขวัญชีวัน บัวแดง

ทั้งนี้ยังเล่าว่า ปัญหานโยบายที่มันกีดกันชาวบ้านออกจากป่า ชาวบ้านออกจากทรัพยากร อาจเพื่อให้ไปพึ่งพาระบบทุน

การศึกษา เข้าถึงงาน เสิร์ฟทุน ?

อดีตที่ผ่านมาปกติชาวบ้านใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ มีความเชื่อเรื่องผีสาง ซึ่งเป็นตัวแทนของธรรมชาติ เวลาคนเหล่านั้นจะใช้ต้นไม้ ต้องขออนุญาต เพราะพวกเขาเชื่อว่าธรรมชาติมีเจ้าของ แต่กลับพบว่า เมื่อผู้คนที่มีวิถีวัฒนธรรมการอยู่กับป่าเข้าไปสู่โรงเรียน จากความเชื่อกลายเป็นประเด็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ 

รศ.ขวัญชีวัน ย้ำว่า ที่ต้องวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการศึกษาเพราะว่ามันไปปรับเปลี่ยนความคิดของผู้คนจากเดิม เป้าหมายการดำเนินชีวิตคือมุ่งไปที่การที่จะทำยังไงให้มีความรู้ เพื่อที่จะได้ไปเป็นลูกจ้าง หรือ ไปทำงานรับราชการ ทำอย่างไรมีความรู้ในด้านของระเบียบกฎเกณฑ์แบบวิทยาศาสตร์ ฝึกให้เป็นทำบัญชีฝึกให้ คิดแบบวิชาชีพแบบใหม่ ๆ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ชาวบ้านเคยมีความรู้ก็ค่อย ๆ หายไปมันค่อย ๆ หายไป


ยกตัวอย่างเรื่องที่มีการกล่าวถึงอยู่เสมอเมื่อพูดถึงชาติพันธุ์ คือ เรื่องไร่หมุนเวียน ภายในไร่มีเมล็ดพันธุ์มีความหลากหลายทางชีวภาพมากน้อยแค่ไหน และสิ่งเหล่านี้มันพัฒนาอยู่เรื่อยอันเกิดจากการปฏิสัมพันธ์ เมล็ดพันธ์ไม่ หยุดนิ่ง มันเป็นธนาคารตามธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ที่เกิดขึ้นอย่างมีชีวิต 

“อันเนี้ยก็จะเป็นประเด็นปัญหาว่า ทำไมเราต้องอนุรักษ์เรื่องของวัฒนธรรม เพราะมันไม่ ใช่เรื่องการเครื่องแต่งกาย การฟ้อน แต่วัฒธรรมหมายถึง วิถี ชีวิตและมันหมายถึงองค์ความรู้ในเรื่องของพืชพันธุ์ในเรื่องของธรรมชาติ” 

รศ.ขวัญชีวัน บัวแดง

อำนาจการต่อรองไม่แข็งแรงพอ คนจึงต้องยอมจำนนกับกฎ กติกาที่คุกคาม

เสียงกรุ๊งกริ๊ง ๆ จากกระดิ่งที่ห้อยอยู่บนแผงที่แขวนอยู่บนบ่าของหญิงสาวชาติพันธุ์ ที่แต่งตัวเป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะในตัวเมืองเชียงใหม่  หรือย่านท่องเที่ยวใน กทม. อย่างถนนข้าวสาร นี่คือภาพสะท้อนหนึ่งที่บ่งบอกว่า บ้าน และพื้นที่ทำกินบนดอยของคนเหล่านี้ ไม่สามารถจะหากินได้แบบเดิมได้แล้ว พวกเขาจึงต้องทิ้งบ้านเข้ามาดิ้นรนในเมือง

นี่เป็นปรากฎการณ์ที่ รศ.นฤมล ชี้ให้เห็นว่า เมืองเป็นจุดหมายปลายทาง ของการมาขายแรง

“รากเหง้าของเขา ถูกถอนราก ถอนโคน ไม่มีความภูมิใจในวิถีวัฒนธรรมทำแล้ว พื้นที่ไม่สามารถจะรองรับให้เขาทำมาหากินได้แล้วภาพอย่างนี้มันไม่ใช่เลย คนที่เคยมีวิถีวัฒนธรรม มีความภาคภูมิใจ รู้จักทะเล รู้จักป่า ถูกเอามาไว้ในเมืองเพื่อที่จะดิ้นรนมีชีวิตอยู่” 

รศ.ขวัญชีวัน บัวแดง

นอกจากคนจากพื้นที่สูงบนภูเขาแล้ว รศ.นฤมล ยังเล่าว่า มีชาวเลบางคน ไปทำงานก่อสร้าง บางทีเขาเหล่านี้ไม่รู้วิธีที่จะป้องกันอะไรต่าง ๆ ซึ่งแน่นอนว่า ค่อนข้างจะเสี่ยงอันตราย หากเป็นอย่างนี้ ทำอย่างไรเพื่อเอาแรงงานเหล่านี้กลับไป ที่ไร่หมุนเวียน หรือทำประมงตามวิถีชีวิตเดิมอย่างมีศักดิ์ศรี 


ผลกระทบนี้เห็นชัดเจนผ่าน สารคดี คน จน เมือง ซีซัน 5 ตอน ลาหู่ลงดอย ซึ่งสะท้อนชีวิตจริงของ นาฮูมา – วิศัลยา เกิดโอฬาร ชาติพันธุ์ลาหู่ ชาวบ้านขอบด้ง อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ที่วิถีชีวิตของเขาถูกเปลี่ยนไปจากเดิมเพราะที่บ้านไม่สามารถใช้ที่ดินทำกินได้ จนเขาต้องห่างจากครอบครัว เพื่อพาตัวเองเข้ามาขายแรงในเมืองหลวง


เมื่อภัยคุกคามวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ มีส่วนมาจากการคุกคามของนโยบาย กฎหมาย ทุน ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า จากนี้เราอาจต้องจริงจังกับการสร้างกลไกขึ้นมาปกป้อง คุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์ในฐานะของคนไทยที่มีส่วนร่วมขับเคลื่อนประเทศ นี่คือสิ่งที่หลายฝ่ายกำลังร่วมกันผลักดันให้มีกฎหมายชาติพันธุ์เกิดขึ้นเสียที   


เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
‘ลงดอย’ สู่ ‘มหานคร’…ชะตากรรม เปลี่ยนวงจรชีวิต แลกความอยู่รอด หญิงชาติพันธุ์
ก่อนจะหาว่า…มีอภิสิทธิ์! ปรับมุมคิด ‘กฎหมายชาติพันธุ์’ มองคนให้เท่ากัน บนต้นทุนวิถีวัฒนธรรม และการมีส่วนร่วม 
13 ปี มติ ครม. 3 สิงหา…โอกาสไปต่อ กฎหมายชาติพันธุ์
เมื่อ ‘วัฒนธรรม’ มิอาจแยกจากธรรมชาติ ”พื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์“ จึงสำคัญ