ภูฏาน ประเทศเล็กกลางหุบเขาที่ยึดถือ “ความสุขมวลรวมประชาชาติ” มากว่า 5 ทศวรรษ กำลังเผชิญความท้ายทายใหม่ เมื่อเทคโนโลยีและโซเชียมีเดีย แทรกซึมเข้าไปในทุกมิติของชีวิต ไลฟ์สไตล์และเทรนด์ใหม่ ๆ บนหน้าจอมือถือเป็นเหมือนเสียงเรียกร้องดังลั่นที่ทำให้คนหนุ่มสาวต้องหันไปหา จนเริ่มวางใจห่างออกจากศาสนาและการปฏิบัติมากขึ้นทุกที แม้แต่ในดินแดนที่เคยศรัทธาความเงียบเหนือเสียง เช่นที่แห่งนี้
ในวันที่โลกมุ่งหน้าสู่อนาคตด้วยความเร็วของอัลกอริทึม ภูฏาน ประเทศอันเงียบสงบ ณ ดินแดนแห่งศาสนา และจิตวิญญาณ จำเป็นต้องปรับตัว นี้กำลังเป็นที่จับตามองของผู้คนทั่วโลก ว่าจากนี้ ภูฏาน จะเดินไปข้างหน้าต่อไปอย่างไร ให้คงไว้ซึ่งสมดุลที่ท้าทายกับกระแสการเปลี่ยนผ่านในโลกปัจจุบัน

The Active มีโอกาสได้ร่วมหาคำตอบเรื่องนี้ ผ่านคำอธิบายของ ดาโช การ์มา อูรา (Dasho Karma Ura) ประธานศูนย์ศึกษาภูฏานและการวิจัยความสุขมวลรวมประชาชาติ (Centre for Bhutan Studies and GNH Research, CBS) นักคิดผู้วางรากฐานความสุขเชิงนโยบายของประเทศ ถึงความท้าทายครั้งใหม่ ท่ามกลางจุดตัดของวิทยาศาสตร์และจิตวิญญาณ ภายในงาน Bhutan Meditation Conference 2025 – Science Mindfulness and Meditation ณ เมืองทิมพู ประเทศภูฏาน
ดาโช การ์มา อูรา ยอมรับว่า ท่ามกลางโลกที่กำลังหมุนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ทุกประเทศทั่วโลกต้องปรับตัวรวมทั้งภูฏานด้วยแต่ผลกระทบที่ตามมา คือ ผู้คนในประเทศภูฏาน โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวกำลังใช้โซเชียลมีเดียอย่างหนัก คอนเทนต์สารพัดจากทั่วโลกเหล่านี้ไม่ใช่เพียงแค่ฉกฉวยวันเวลาและโอกาสในชีวิตของพวกเขาไปที่ละน้อย แต่กลับกำลังยึดครองพื้นที่ในจิตใจของพวกเขาโดยไม่รู้ตัวด้วย
นี่จึงเป็นที่มาของธีมการจัดงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติ Bhutan Meditation Conference 2025 – Science, Mindfulness and Meditation (วิทยาศาสตร์ สติ และสมาธิ)
“งานประชุมปีนี้ เราเลือกหัวข้อเกี่ยวกับ สมาธิและวิทยาศาสตร์ เรามองเห็นคนในประเทศรับการเข้ามาของโซเชียลมีเดียอย่างมาก โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว นอกจากเขาจะรับข้อมูลข่าวสารจากภายนอกมากขึ้นแล้ว อิทธิพลทางอ้อมคือการที่พวกเขาใช้เวลาจำนวนมากบนหน้าจอมือถือ แทนที่จะใช้ในการทำสมาธิ ซึ่งควรทำอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน และนี่เป็นเพียงเหตุผลข้อแรก”
“เหตุผลข้อที่ 2 คือ เราอยากรักษาธรรมเนียมปฏิบัติของการทำสมาธิในภูฏานในคงอยู่ต่อไป แม้ว่าตอนนี้ พระ นักบวช หรือผู้สูงวัยยังคงทำสมาธิกันเป็นกิจวัตรทุกวันอยู่แล้ว แต่เราอยากให้คนรุ่นใหม่ รวมถึงคนทำงานในภาคอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวไม่หลงลืมรากเหง้านี้ เพราะสมาธิเป็นเรื่องสำคัญสำหรับพวกเราทุกคน โดยเฉพาะนักเรียน”
“เหตุผลข้อที่ 3 ภูฏาน เป็นประเทศที่มีสถานที่ทางจิตวิญญาณจำนวนมาก เช่น วัด หรือสถานที่ปฏิบัติธรรม เราอยากนำเสนอทรัพยากรและมรดกทางจิตวิญญาณเหล่านี้ให้กับคนภายนอก รวมถึงนักท่องเที่ยว เราเชื่อว่าสิ่งนี้จะเป็นการสร้างคุณค่าให้กับชีวิตของผู้อื่นด้วยวิถีอย่างถ่อมตน”
ดาโช การ์มา อูรา

ประธานศูนย์ศึกษาภูฏานและการวิจัยความสุขมวลรวมประชาชาติ
(Centre for Bhutan Studies and GNH Research, CBS)
และเหตุผลข้อสุดท้าย ดาโช การ์มา อูรา เชื่อว่า ความรู้เรื่อง สมาธิและจิตวิญญาณ นี้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับเรื่องสุขภาพจิตได้อย่างลึกซึ้ง
“ตอนนี้ ผู้คนจำนวนมากรู้สึกโดดเดี่ยว ขาดการเชื่อมโยงกับผู้อื่น เพราะฉะนั้น การเป็นส่วนหนึ่ง (belonging) จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก และการฝึกสมาธิเป็นหนึ่งในวิธีการแก้ปัญหาโดยเฉพาะในบริบททางการแพทย์ มีงานวิจัยจำนวนมากชี้ว่า สมาธิช่วยลดความเครียด ความผิดปกติ และบาดแผลทางจิตใจได้ เราจึงเชื่อว่า การบูรณาการระหว่างวิทยาศาสตร์และสมาธิจะมีประโยชน์มหาศาล”
ดาโช การ์มา อูรา ขยายความ
สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัด คือ ภูฏานไม่ได้เพียงแต่พูดถึงสมาธิผ่านบทเรียนหรือคำสอนทางศาสนาเท่านั้น แต่ทำให้การทำสมาธิอยู่ในวิถีชีวิตปฏิบัติจริง ในงานนี้ เราได้เห็น session สาธิตการทำสมาธิจริง (live demonstration) เช่น เทคนิคการฝึกหายใจขณะทำสมาธิ ที่จัดขึ้นวันละ 2 ครั้ง ให้แก่ผู้เข้าร่วมทั่วโลกเรียนรู้ร่วมกันด้วย
สมาธิ-สติ แก้ปัญหาสุขภาพจิตระยะยาว
ท่ามกลางงานวิจัยมากมายที่มานำเสนอในงาน หนึ่งในหัวข้อที่น่าสนใจ คือ การย้ำเตือนว่า การฝึกสติและสมาธิ สัมพันธ์โดยตรงกับสุขภาพจิต และเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกคนไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานะนักบวช นักเรียน พนักงานออฟฟิศ พ่อค้าแม่ขาย หรือใครก็ตาม

มหาวิทยาลัยโลแวง (University of Louvain) ประเทศเบลเยียม
ปิแอร์ ฟิลิปโปต์ (Pierre Philippot) ศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัยโลแวง (University of Louvain) ประเทศเบลเยียม หนึ่งในผู้นำเสนองานวิจัยในหัวข้อ “แนวทางตามกระบวนการในการฝึกสติเพื่อสุขภาพจิต” (A process-based approach to mindfulness training for mental health) ชี้ให้เห็นว่า ที่ผ่านมามีโมเดลทางจิตวิทยาหลายแบบที่พยายามอธิบายว่า การฝึกสติ (mindfulness) มีผลต่อจิตใจอย่างไร โมเดลเหล่านี้ไม่ได้มีคุณค่าแค่ทางทฤษฏี แต่สามารถนำมาใช้จริงในชีวิตประจำวันได้ด้วย
โดยมีประโยชน์อย่างน้อย 2 ประการ ได้แก่
- ทำให้รู้ว่าการฝึกสติกระตุ้นกระบวนการทางจิตใจใดบ้าง นำไปสู่การเลือกใช้การฝึกสติให้เหมาะกับปัจญาทางจิตแต่ละประเภท (differential indication) ได้อย่างแม่นยำ
- ทำให้เข้าใจกระบวนการพื้นฐานเบื้องหลังการฝึกสติ นำไปสู่การสอนฝึกสติที่ดียิ่งขึ้น
“งานวิจัยนี้ เน้นการศึกษาเรื่องความสนใจและการยับยั้ง (attention and inhibition) และกระบวนการที่เหนือระดับการเรียนรู้ (metacognitive processes) เช่น การแยกตัวออกจากความคิดและการกระทำ (cognitive defusion) และ ความเมตตาต่อตนเอง (self-compassion) เราพบว่ากระบวนการเหล่านี้เชื่อมโยงกับ การรู้จักตนเองอย่างลึกซึ้ง และการควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น”
ปิแอร์ ฟิลิปโปต์
สุดท้ายแล้วมีข้อสรุปว่า การฝึกสติจะช่วยการหลีกเลี่ยงประสบการณ์ภายในที่ไม่พึงประสงค์ (Experiential avoidance) เช่น คนกลัวความล้มเหลว อาจหลีกเลี่ยงการสัมภาษณ์งานใหม่ หรือคนที่มีความเศร้า แต่ไม่กล้ายอมรับความรู้สึกนั้น จึงเลือกจะเมิน และทำตัวเองให้ยุ่งมาก ๆ หรือใช้สารเสพติดเพื่อหนีความรู้สึก รวมถึงช่วยลดการการคิดวนซ้ำไม่จบ (rumination) และการจดจ่อความสนใจแต่สิ่งลบได้ (attentional bias)
และได้มีการเสนอกรอบคิดใหม่ที่รวมกระบวนการทางจิตสำคัญไว้ด้วยกัน เพื่อใช้ในการออกแบบการฝึกสติให้เหมาะสมกับการดูแลสุขภาพจิตในแต่ละกรณี

ทางฝั่ง ดาโช การ์มา อูรา อธิบายเพิ่มว่า ทุกวันนี้คนมีปัญหาสุขภาพจิตมากมายซึ่งเป็นผลลัพทธ์ปลายทาง แต่ต้นเหตุคือ ตอนนี้เราทุกคนล้วนขาดสมาธิ และใช้เวลาไปกับการคิดเรื่องที่ไม่ได้อยู่ตรงหน้า การแก้ไขนี้ทำได้ตั้งแต่ในระดับหลักสูตรการศึกษา หรือแม้แต่การฝึกปฏิบัติในวิถีชีวิตประจำวัน
“ในโลกฝั่งตะวันตก เมื่อเจ็บป่วยทางใจ จิตแพทย์มักให้คำปรึกษา (counseling) และยารักษาโรคซึมเศร้า แต่นี่คือผลลัพธ์จากการขาดการฝึกปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ในขณะที่เราดำรงอยู่ที่นี่ เวลานี้ แต่ใจเรามักจะ อยู่ที่อื่น เสมอ ใจเรามักกังวลกับเรื่องอื่นที่ผ่านมาแล้ว หรือยังมาไม่ถึง เราใช้เวลาจำนวนมากมายไปกับสิ่งที่ไม่ได้อยู่ตรงหน้า สมาธิของเราไม่ใด้อยู่กับปัจจุบันเลย”
ดาโช การ์มา อูรา
จากผลการศึกษายังพบว่า คนทำงานใช้เวลากว่า 50% ของการทำงานไปกับความคิดที่ล่องลอยขาดสติ และใช้เวลามากมายกว่า 8 ชั่วโมงในการอยู่ที่ทำงาน แต่กลับมีสมาธิทำงานเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
“หากเราทำให้พนักงานมีสมาธิอยู่กับงาน เราจะทำงานได้ดีขึ้นโดยใช้เวลาที่น้อยลง เราอาจไม่ต้องทำงานถึง 8 ชั่วโมงหรือทำงานทั้งวันแบบทาสอีกต่อไป สติจะช่วยให้เราใช้เวลาทำงานน้อยลง มีเวลาเพิ่มขึ้นเพื่อพักผ่อน ใช้ชีวิตกับครอบครัว มีเวลาสำหรับงานศิลปะ และชื่นชมความรื่นรมย์ของชีวิต ผมคิดว่าแนวทางที่ง่ายที่สุดและนำไปใช้ได้จริงคือ การแทรกแซงด้วยสติ (mindfulness intervention) ร่วมกับ การบำบัดจิต (Cognitive Behavioral Therapy, CBT) เพื่อลดบาดแผลทางจิตใจ (trauma) ซึ่งเป็นวิธีท่ีทำได้ง่ายมากโดยเฉพาะสำหรับจิตแพทย์”
ดาโช การ์มา อูรา
เมื่อโลกจิตวิญญาณ เดินคู่ขนานกับปัญญาประดิษฐ์
หนึ่งในหัวข้อที่เป็นไฮไลท์ของงานประชุมวิชาการในครั้งนี้ คือ ประสาทวิทยาศาสตร์ (Neuroscientific) จิตวิทยาและการบำบัดรักษาโรค โซเชียลมีเดีย เทคโนโลยี และปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมถึงการแชร์ประสบการณ์และเรื่องเล่าจากนักปฏิบัติจริง
ดาโช การ์มา อูรา ย้ำว่า หัวข้อการประชุมครอบคลุมเรื่องสมาธิหลายแง่มุม ทั้งการนำสมาธิไปใช้เรื่องสุขภาพ การใช้ในสถานศึกษา ที่ทำงาน ศิลปะ และดนตรีบทสวด แม้กระทั่งในช่วงวัยไม้ใกล้ฝั่ง ที่ผู้คนต้องเผชิญกับความแก่ชราและจุดสิ้นสุดของชีวิต แต่สิ่งใหม่ที่พูดคุยกันในปีนี้คือ การตั้งคำถามต่อการมาถึงของ AI ว่า เราจะก้าวข้ามข้อจำกัดในความเป็นไปได้ของชีวิตได้อย่างไร ในวันที่ปัญญาประดิษฐ์กำลังเข้ามากำหนดรูปแบบของชีวิต ซึ่งเกี่ยวพันกับวิถีชีวิตคนภูฏานด้วย

มุมมองจาก ฟรานซิส วี. ทีโซ (Francis V. Tiso) นักบวช นักเทววิทยา และนักวิชาการชาวอเมริกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างศาสนาคริสต์และพุทธศาสนา โดยเฉพาะในบริบทของทิเบต วัชรยาน ได้นำเสนอผ่านงานวิจัยในหัวข้อ การปฏิบัติภาวนาและปัญญาประดิษฐ์ (Contemplative Practice & AI)
โดยตั้งคำถามว่า ที่ผ่านมา มีงานด้านประสาทวิทยาศาสตร์มากมายที่แสดงให้เห็นว่า สมาธิส่งผลต่อสมองอย่างไร แต่การมาถึงของ AI ในตอนนี้เป็นสิ่งใหม่ที่น่าสนใจยิ่งกว่า เพราะดูเหมือนเกือบทุกเรื่องที่มนุษย์พยายามจะทำความเข้าใจหรือหาคำตอบ AI จะเข้าไปแทรกแซงอยู่ในนั้นแล้ว
หากเป็นเช่นนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะนำ AI มาใช้ร่วมกับการปฏิบัติภาวนาด้วย ?
ฟรานซิส วี. ทีโซ ยังอธิบายอีกว่า ก่อนจะพูดเรื่องการปฏิบัติภาวนา จำเป็นต้องกล่าวถึง จิตสำนึกที่รู้ตัว (consciousness) เสียก่อน
ในมุมมองที่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ เชื่อว่า จิตที่รู้ตัวเอง (self-aware consciousness) เกิดขึ้นจากการทำงานของระบบประสาทที่ซับซ้อน แต่ตอนนี้มีการตั้งคำถามว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือ ?
หรือแท้จริงแล้ว จิตสำนึกที่รู้ตัวนั้นดำรงอยู่มาก่อนหน้านั้น และเป็นเงื่อนไขของการเกิดขึ้นของชีวิตและจิตสำนึกเองเสียอีก การตั้งคำถามเช่นนี้ ทำให้ต้องกลับมาทบทวนกรอบความคิดเดิม ๆ ที่เคยตั้งบนแนวคิดแบบวัตถุนิยมอีกครั้ง ซึ่ง ฟรานซิส วี. ทีโซ อธิบายว่า หนึ่งในวิธีการพิจารณาผ่านการเปลี่ยนแปลง 3 รูปแบบ ได้แก่
- วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ควบคู่ไปกับวิวัฒนาการของสมองมนุษย์ ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น
- วิวัฒนาการของเทคโนโลยีที่มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง
- การเปลี่ยนแปลงระดับปัจเจคบุคคล ที่สามารถฝึกสมาธิและที่เข้าถึงสภาวะจิตที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น (กว่าในอดีต)
โดยเฉพาะในข้อสุดท้าย ฟรานซิส วี. ทีโซ บอกว่า เป็นสิ่งที่มีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตของมนุษยชาติอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงทั้ง 3 รูปแบบนี้ สามารถเกิดขึ้นได้อย่างก้าวกระโดด หากมีการช่วยเหลือจาก AI ที่ทำให้เข้าถึงแหล่งข้อมูลมหาศาล
“แม้ว่าตอนนี้ หากถาม AI เรื่องธรรมเนียมการปฏิบัติภาวนา อาจยังขาดการให้ข้อมูลที่ลึกซึ้ง แต่ต้องยอมรับว่าบทสนทนากับ AI กำลังมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น และเป็นไปได้ว่า AI อาจสามารถช่วยเหลือ ผู้นำทางจิตวิญญาณ (spiritual guide) ในการทำงานกับผู้กำลังฝึกสมาธิและการภาวนาได้ และอาจมีความเป็นไปได้ ที่ในอนาคต AI อาจสามารถสร้าง แรงจูงใจ หรือ เจตจำนง บางอย่างที่นักออกแบบไม่ได้คาดคิดไว้ก็เป็นได้ ซึ่งควรได้รับการศึกษาอย่างเป็นระบบต่อไป”
ฟรานซิส วี. ทีโซ
พื้นที่ปะทะทางความคิด บนโลกวิทยาศาสตร์ ศาสนา และปรัชญา
ในเวทีการประชุม ยังมีบทสนทนาสิ่งท้าทายความคิดในด้านวิทยาศาตร์ เชิงศาสนา และปรัชญากันอย่างออกรส ไม่ว่าจะเป็นการตั้งคำถามถึง จิตสำนึก ว่าหากเป็นรากฐานของทุกสิ่งแล้ว ไม่เพียงแต่ในมนุษย์ แต่โต๊ะ เก้าอี้ หรือก้อนหิน อาจมีจิตสำนึกเช่นกันใช่หรือไม่ ?
แต่คำถามสำคัญ คือ แล้ว AI มีจิตสำนึกหรือไม่ ?
คนหนึ่งที่อธิบายไว้อย่างแยบคาย คือ ฟรานซิส วี. ทีโซ ที่มองว่า แท้จริงแล้ว แทนที่จะตั้งคำถามถึงการมีจิตสำนึกของ AI สิ่งที่เราควรพิจารณา คือ การเกิดขึ้นของจิตสำนึกต่างหาก และควรใช้ AI ในการเป็นนักคิด วิเคราะห์ และคู่สนทนาเพื่อแก้ไขปัญหา ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่เราควรไปให้ถึงมากกว่า
แน่นอนว่าตอนนี้ AI เป็นเหมือนเพื่อนคู่คิด และความท้าทายใหม่ของมนุษยชาติ ความพร่าเลือนระหว่างความเป็นมนุษย์ และ AI ก็ถูกตั้งคำถามเช่นกัน

ประเทศอินเดีย
ในขณะที่ อนัญญา ดัตตะ (Ananya Dutta) ผู้สื่อข่าวจาก Hindustan Times ประเทศอินเดีย ก็ตั้งคำถามว่า ทุกวันนี้ มนุษย์ไม่ได้แค่แสวงหาความรู้และข้อมูลจาก AI เท่านั้น แต่ยังแสวงหาความรู้สึก และอารมณ์จากมันแทนการพูดคุยกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน หากเป็นเช่นนี้ วันหนึ่ง เราจะกลายเป็น AI และ AI จะกลายเป็นมนุษย์หรือไม่ ?

นาดาฟ อาเมียร์ (Nadav Amir) นักวิจัยหลังปริญญาเอก สถาบันประสาทวิทยาศาสตร์พรินซ์ตัน (Princeton Neuroscience Institute) ก็อธิบายไว้เช่นกันว่า มิติทางอารมณ์เป็นสิ่งสำคัญของมนุษย์มากและเป็นรูปแบบการรับรู้เฉพาะของสติปัญญามนุษย์ และ AI ยังไม่สามารถทำได้ แต่ในอนาคตไม่มีอะไรการันตีว่าจะเป็นไปไม่ได้
“ไม่ใช่ว่าสองสิ่งที่แตกต่างกัน จะต้องมาบรรจบกันเสมอไป แต่ถ้าให้ผมทำนายเรื่องนี้ ผมไม่ยินดีนักที่จะบอกว่า ในอนาคต มันอาจเป็นไปได้ทั้งนั้น”
นาดาฟ อาเมียร์

แต่อีกหนึ่งคำถามที่สั่นสะเทือนเวทีไม่น้อยกลับมาจาก สมเด็จไวโรจนะ รินโปเช หรือ องค์ลามะน้อย ในวัยเพียง 11 ชันษา
“เรามีความสนใจใคร่รู้เรื่องการรู้แจ้งมาก เราอยากรู้ว่า เราสามารถนำประสาทวิทยาศาสตร์ มาอธิบายเรื่องการทำสมาธิ และการรู้แจ้งได้หรือไม่ ?”
สมเด็จไวโรจนะ รินโปเช
จากคำถามขององค์ลามะน้อย สตีฟ อีไล เจลเลนซ์ (Steve Eli Jellenc) หนึ่งในผู้นำเสนองานวิจัยเรื่อง ประสบการณ์ ความรู้ และทฤษฎี: การแปลปรากฏการณ์ และญาณวิทยาข้ามระหว่างวัชรยานกับวิทยาศาสตร์การภาวนา (Experience, Knowledge, and Theory: Translating Phenomena and Epistemologies across Vajrayana and Contemplative Science ยอมรับว่า แม้คำอธิบายเรื่องการตรัสรู้ (enlightenment) จะเป็นหนึ่งในเป้าหมายสูงสุดของการศึกษาเรื่องนี้ แต่คงเป็นเรื่องยากที่จะหาคำตอบด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์

“ผมคิดว่านี่เป็นคำถามที่ชาญฉลาดและตรงประเด็นมาก แม้ว่าการทำสมาธิและการตรัสรู้นั้น มีตัวบ่งชี้ความก้าวหน้ามากมาย แต่การฝึกสอนสมาธิ มีหลายระเบียบวิธีปฏิบัติหลายแบบที่แตกต่างกันและใช้ผสมผสานกันในแต่ละขั้นตอน และเป็นที่น่าเสียดายที่ในโลกใบนี้ มีผู้ที่ตรัสรู้แจ้งแล้วเพียงไม่กี่คน จึงยากจะเข้าถึงรายละเอียดและข้อมูล นี่จึงยังเป็นเรื่องยากที่จะหาคำตอบทางวิทยาศาสตร์”
สตีฟ อีไล เจลเลนซ์
อย่างไรก็ตาม แม้ สตีฟ อีไล เจลเลนซ์ จะไม่มีข้อสรุปสำหรับคำถามท้าทายขององค์ลามะน้อย แต่เขาก็เชื่อว่า องค์ความรู้เรื่องการทำสมาธิยังต้องส่งเสริม และพัฒนาต่อไปอีกเพื่อสร้างความเข้าใจ
และสิ่งสำคัญที่สุด คือ เราต้องยอมรับเสียก่อนว่า เราไม่รู้อะไรต่างหาก…
กำหนดสติด้วยวิถีชีวิต กำหนดวิถีชีวิตด้วยนโยบาย
การเห็นความสำคัญของการมีสติ สมาธิ และความสงบสุขทางจิตใจนั้น ภูฏานไม่ได้มองว่าเป็นเพียงแค่หลักคำสอน หรือจิตนาการทางค่านิยมของชาติเท่านั้น แต่คือการที่รัฐบาลให้ความสำคัญลงลึกไปถึงการกำหนดระดับนโยบาย และส่งไปสู่ประชาชนได้จริง
“เราสามารถเปลี่ยนแปลงผู้คนได้ผ่านนโยบาย และนโยบายเหล่านี้ จะกำหนดการทำงานของกระทรวงต่าง ๆ โดยเฉพาะกระทรวงศึกษา และกระทรวงสาธารณสุข การขยายผลนี้จะทำให้เกิดการฝึกอบรมด้านสมาธิ เพื่อให้คนนำไปปรับใช้กับการดูแลสุขภาพยุคใหม่ โดยเฉพาะคนที่ต้องเผชิญความทุกข์และความเครียด ไม่ว่าใครก็ตาม”
ดาโช การ์มา อูรา

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
สอดคล้องกับ ศ. พระเมธีวัชรบัณฑิต (หรรษา ธมฺมหาโส) จากวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ (IBSC) วิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จากประเทศไทย ที่ได้มานำเสนองานวิจัยในเวทีนี้ด้วย ให้ความเห็นว่า การให้ความสำคัญต่อพระพุทธศาสนาในระดับวิชาการนี้ เป็นนโยบายสำคัญที่ภูฏานทำมาตลอดหลายปี จนกลายเป็นหมือนประตูแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ด้านพุทธศาสนาสำหรับ 3 นิกายหลัก ได้แก่ เถรวาท มหายาน และวัชรยาน
“สังคมเราตอนนี้เป็นยุคดิจิทัล โลกภายนอกทะละเข้าไปสู่กำแพงวัด ผ่านอินเทอร์เน็ต และหน้าจอมือถือ บริบทที่เปลี่ยนไปทำให้เราหลงลืมคุณค่าที่แท้จริงของศาสนา เวลาเราพูดถึงสติ สมาธิ มันไม่แยกหรอกว่าเป็นแบบเถวรวาท มหายาน หรือวัชรยาน แต่หัวใจคือการกลับไปหาหลักการเดิมตามแนวทางพระพุทธเจ้า นโยบายระดับบน จะช่วยกำหนดวิถีของประชาชน ให้นำแก่นไปใช้ ฝึกฝน และทำให้การปฏิบัติธรรมจนกลายเป็นวิถีชีวิต”
ศ. พระเมธีวัชรบัณฑิต

ท่ามกลางความผันผวนของเทคโนโลยี และการเข้ามาของปัญญาประดิษฐ์ (AI) นี่คือช่วงเวลาที่คงไม่มีใครหยุดโลกที่กำลังหมุนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนได้อีกต่อไปแล้ว
แต่ภูฏานเลือกที่จะ หมุนตามโลก ด้วยจังหวะของตัวเอง แม้ไม่ได้เร็วจนเท่าทันใคร แต่กลับไม่เคยลืมจังหวะหายใจของตัวเอง
คำถามสำคัญในเวลานี้ อาจไม่ใช่ว่าเราจะอยู่รอดในโลกอนาคตอย่างไร แต่อาจอยู่ที่ว่า เราจะยังคงความเป็นมนุษย์ที่มีความหมายได้อย่างไรต่างหาก