นิ้วกลม – สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์
“ชีวิตมีความหมายเพราะมีจุดสิ้นสุด”
ฟรานซ์ คาฟคา
แต่หากจุดสิ้นสุดของชีวิตคือความตาย เหตุใดมนุษย์จึงรังเกียจชิงชังความตายนัก
ในช่วงอายุขัยเพียงไม่กี่สิบปี มนุษย์พยายามทะยานไปข้างหน้าให้ไกลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ราวกับความตายไม่มีวันมาถึง
ราวกับหลงลืมว่าชีวิต คือ วัฏจักรวงกลม ที่ผ่านพบ-จากลา ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่สิ้นสุด
The Active เรียบเรียงถ้อยคำอันล้ำค่าจากมินิทอล์ก วิชา ชั่วคราวที่สวยงาม – ว่าด้วยสุนทรียภาพแห่งมรณกรรม ความงามของการมีชีวิตและสิ้นสุดลง จากหน้าบทเรียนแห่งชีวิตของ นิ้วกลม – สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ หนึ่งในช่วงที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าและความหมายอย่างอุ่นหนาฝาคั่งที่สุด ในงาน Death Fest 2025 : Better Living, Better Leaving. เพื่อการเป็นอยู่ที่มีความหมาย และวาระสุดท้ายที่ดีที่สุด เมื่อวันที่ 23 มี.ค. 2568

“The meaning of life is that it ends” – Franz Kafka
“ความหมายของการมีชีวิตอยู่เกิดขึ้น เพราะมีจุดสิ้นสุด” – ฟรานซ์ คาฟคา
นี่คือประโยคแรก ที่ นิ้วกลม – ศราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ เปิดบทสนทนา
“วันนี้ผมอายุ 46 ปี…
“ผมเคยคุยกับเพื่อนว่า สงสารเด็ก ๆ ที่อายุสิบกว่าปีตอนนี้ เพราะเขาต้องใช้เวลาอีกตั้ง 30 ปีกว่า ในการแก่มาเป็นพวกเรา
“เขาต้องเผชิญกับการสอบตก อกหัก และแรงกดดันในชีวิตมากมายอีกเท่าไหร่ หรือแม้แต่ผมเอง ก็ต้องอยู่ต่อไปอีกกว่า 40 ปี เพราะเราเคยคิดว่ามนุษย์น่าจะอายุยืนสัก 80 ปี”
มนุษย์อายุยืนขึ้นเรื่อย ๆ อนาคตคงไม่ใช่แค่ 80 ปี แต่อาจเป็น 100 ปี 120 ปี หรือ 150 ปี ไม่ว่าจะยืนยาวไปอีกสักเท่าไหร่ ยังไง ความตายก็ต้องเดินทางมาถึง
แต่คำถามสำคัญ คือ เหตุใดกันเล่า มนุษย์เราจึงคอยจะปัดทิ้ง ปฏิเสธความตายอยู่ร่ำไป และดูเหมือนจะอยากยืดเวลาชีวิตออกไปให้นานมากที่สุด
ความตายของช้าง และสุสานแห่งซัคคาร่า
นิ้วกลมเล่าว่า หนึ่งในรายการโปรดของเขาคือ “สารคดีสัตว์โลก” การได้เห็นการเดินทางของฝูงช้างได้ทำให้มองเห็น “การจากลา” ที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าที่เคย
“มีฉากหนึ่งในสารคดี ช้างฝูงหนึ่งเพิ่งสูญเสียสมาชิก ภาพในจอฉายให้เห็นการเดินทางของฝูงช้าง พวกมันเดินทางย้อนกลับมาดูร่างของช้างที่ตาย ที่เป็นทั้งพี่ น้อง และเพื่อนของพวกเขา ผมเห็นช้างแต่ละตัวเอางวงลูบกันสักพัก
“ผมได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดอาลัย มันเป็นฉากที่ลึกซึ้งและเศร้าโศก ผมเห็นการเผชิญกับความสูญเสียของฝูงช้างที่เหลือ เห็นความโศกเศร้าต่อการจากไปของอีกหนึ่งชีวิตที่พวกเขารักและผูกพัน
“พวกเขาใช้เวลาอยู่ตรงนั้นชั่วขณะหนึ่ง ก่อนปล่อยร่างช้างที่ตายไว้ที่เดิม และเพียงแค่ไม่กี่นาที ช้างทั้งฝูงก็เดินจากไป…”
นิ้วกลมเล่าว่า สิ่งที่ฝูงช้างทำนี้ ไม่ต่างอะไรกับการ “มูฟออน”
“ฉากนี้บอกอะไรกับมนุษย์อย่างเรามากเหลือเกิน ฝูงช้างเลือกยอมรับ จากลา และเดินหน้าต่อ แต่สำหรับมนุษย์อย่างเราแล้ว เมื่อมีใครสักคนที่เรารักและผูกพันมาก ๆ ต้องเดินทางจากไป
“เราใช้เวลามากน้อยเพียงใดไปกับความโศกเศร้า?
“เสียงคร่ำครวญนี้จะมีจุดสิ้นสุดลงไหม ?
“และนานแค่ไหนกว่าที่เราจะยอมให้ชีวิตเดินหน้าต่อ ?”
เพราะมนุษย์ต่างจากช้าง และต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ บนโลก
สารคดีเรื่อง Don’t Die: ชายผู้อยากเป็นอมตะ (2025) คือ เรื่องราวของ ไบรอัน จอห์นสัน (Bryan Johnson) มหาเศรษฐีนักลงทุน วัย 46 ปี ที่เดิมพันร่างกายของตัวเองด้วยเงินมหาศาล เพื่อต่อสู้กับความแก่ชรา เพื่อมีชีวิตอยู่ให้นานที่สุด
นี่คือหนึ่งในตัวอย่างหนึ่งของการที่มนุษย์พยายามรับมือกับความตาย
“มนุษย์ไม่ปฏิบัติต่อความตายว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ เมื่อเกิดขึ้น เรามองว่าเป็นสิ่งที่น่าตกใจ ต้องปฏิเสธ และอยากเอาชนะ ความตายจึงไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา”
แต่มนุษย์มีสายตาต่อความตายเช่นนั้นจริงหรือ ?
นิ้วกลมพาเราย้อนไปถึงการเดินทางสู่สุสานในเมืองซัคคารา (Saqqara) ประเทศอียิปต์ ที่นั่นมีพีระมิดขั้นบันได (Step Pyramid) ที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 27 ก่อนคริสตกาล เพื่อเป็นสุสานของฟาโรห์โจเซอร์ (Pharaoh Djoser)
พีระมิดขั้นบันไดถูกสร้างด้วยสเกล 1:1 สัดส่วนเสมือนเมืองที่มนุษย์อยู่อาศัยได้จริง ๆ รอบผนังที่ตกแต่งไว้เป็นอย่างดี ภายในมีห้องฝังพระศพยิ่งใหญ่ และยังเต็มไปด้วยห้องเล็ก ๆ อีกหลายห้องสำหรับเหล่าขุนนาง ช่าง เสนาบดี และข้าราชบริพาร
ตลอดกว่า 4 พันปี พิระมิดแห่งนี้ไม่เคยมีมนุษย์คนใดได้อาศัยอยู่ เพราะที่นี่ มีไว้เพื่อรอการกลับมาของฟาโรห์ที่ตายไปแล้วเท่านั้น

“เหตุใดมนุษย์จึงทำอะไรแบบนี้ ผมคิดว่านั่นเพราะมนุษย์คิดว่าจะคงอยู่ตลอดไป..
“เหมือนเวลาเช็งเม้ง เราแย่งกันเผากระดาษเงิน กระดาษทอง เผามือถือ เผารถเบนซ์ให้อากงไว้ใช้หลังความตาย แต่สำหรับสุสานแห่งซัคคาราแห่งนี้ คือการเช็งเม้งด้วยวังทั้งวัง วังที่ไม่เคยมีมนุษย์คนไหนได้อยู่เลยในยามมีชีวิต”
นิ้วกลมเปรียบเทียบว่า สุสานแห่งซัคคาราแห่งนี้ว่าไม่ต่างอะไรจากสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ (The Terracotta Warriors and Horses) เมืองซีอาน ที่สร้างเพื่อเป็นสถานพำนักหลังความตายของ จักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ (Qin Shi Huang) จักรพรรดิองค์แรกของจีน ที่เต็มไปด้วย กองทัพทหารดินเผา (Terracotta Army) กว่า 8,000 นาย เพื่อปกป้อง จักรพรรดิในปรโลก
“มนุษย์มันก็เป็นแบบนี้ นี่เป็นเพียงแค่ 2 ตัวอย่างที่ผมพอจะนึกออก ที่พยายามบอกว่า มนุษย์เราไม่อยากตาย เพราะรักชีวิตมากเพียงใด
“ผู้เชี่ยวชาญเรื่องอียิปต์บอกว่า ชาวอิยิปต์เชื่อในโลกหลังความตาย ไม่ได้แปลว่าเขาไม่รักชีวิตจนต้องให้ความสำคัญกับความตาย แต่เพราะเขารักชีวิตมากต่างหาก มากจนอยากใช้มันต่อไปเรื่อย ๆ แม้กระทั่งตัวตายไปแล้วก็ตาม” นิ้วกลมเล่า
มนุษย์เรามักเฉลิมฉลองการเกิดขึ้นของบางอย่างด้วยพิธีกรรมอันยิ่งใหญ่ ไม่ว่าโอลิมปิกหรือฟุตบอลโลก แต่ในอีกหลายครั้ง เราได้เห็นพิธีปิดที่ถูกเฉลิมฉลองที่อลังการเสียยิ่งกว่า และหากเปรียบกับชีวิต พิธีปิดนี้อาจหมายถึง ความตาย
ตาตุ่มข้างขวา ความตาย และการใช้ชีวิตแบบเส้นตรง
นิ้วกลมเปรียบเทียบว่า หากให้มีบางอวัยวะในร่างกายที่เราไม่ชอบเสียแล้ว แม้ว่าเราไม่อยากมองแค่ไหนน แต่ทุกครั้งที่เราอาบน้ำก็ต้องมองเห็นอยู่ดี อย่างไรเสียก็หนีไม่พ้น เพราะนี่คือส่วนหนึ่งของร่างกาย
“สมมุติว่าผมไม่ชอบตาตุ่มข้างขวาของตัวเอง แต่ยังไงผมก็เอามันออกไปจากร่างกายไม่ได้ ความตาย ก็คงเหมือนกัน ต่อให้พยายามไม่มองเห็น พยายามสลัดมันออกไปมากเพียงใด แต่มันไม่เคยหลุดครับ มันจะอยู่ที่เดิมอย่างนี้ คาตาของเราอย่างนี้ และต้องมองเห็นมันอย่างนี้เรื่อยไปทั้งชีวิต”
เพราะมนุษย์รักชีวิตมาก แต่กลับไม่รักจุดสิ้นสุดของชีวิต
แต่เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น นิ้วกลมยังชวนเราไปตั้งข้อสังเกตว่า หรือเพราะเรามองชีวิตเป็นเส้นตรงแทนที่จะเป็นวงกลม
“เราเกิดในยุคที่ถูกครอบงำด้วยวัฒนธรรมสมัยใหม่ เราคิดแต่ว่าต้องเดินไปข้างหน้าตลอดเวลา เติบโต ร่ำเรียน หาเงิน สร้างครอบครัว แล้วก็ต้องเก่งขึ้นไปเรื่อย ๆ ชีวิตเป็นเหมือนเส้นตรงที่เดินไปข้างหน้าเหมือนจากจุด A ไปสู่จุด B”
แต่ธรรมชาติของชีวิตไม่ได้เป็นเช่นนั้น
“หากเรามองชีวิตให้ดี มนุษย์ดั้งเดิมล้วนสัมพันธ์กับธรรมชาติ หมุนเวียนไปตามฤดูกาล หว่าน ไถ เพาะปลูก งอกงาม เก็บเกี่ยว
“ผมคิดว่าจริง ๆ ชีวิตของเราเป็นวงจรแบบนี้ต่างหาก เกิด-จบ กลางวัน-กลางคืน แดด-ฝน แล้ววนเวียนสลับไปเรื่อย ๆ เป็นวงกลม” นิ้วกลมอธิบาย
“การสิ้นสุด” ไม่ใช่คนแปลกหน้า แต่ทว่า “เป็นส่วนหนึ่ง”
ตอนนี้ เราใช้ชีวิตกันเป็นเส้นตรง เส้นที่ขีดไปข้างหน้าตรงออกไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด และทุกคนพยายามขีดเส้นตรงนี้ให้ยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้
“บางคนขีดเส้นตรงที่ตรงมาก ไม่มีเอียงเลย คือ อยากก้าวหน้า อยากเก่งทุกด้าน อยากพัฒนาตัวเองไม่สิ้นสุด ผมคิดว่าแนวคิดนี้อาจไม่สมจริงไปสักหน่อยสำหรับความเป็นจริงของ ‘ชีวิต’
“ผมว่า ถ้าเราอายุสัก 40 ปี ไปแล้ว ต้องยอมรับว่า เราจะเริ่มไม่สวยแล้ว บางอย่างจะหย่อนคล้อย บางอย่างจะเหี่ยวแห้ง เส้นผมก็เริ่มหงอกและหลุดร่วง เพราะโลกกำลังจะบอกเราว่า เรากำลังเข้าสู่ ‘วัฏจักร’”

วัฏจักร คือ วงกลม เมื่อการเดินวนมาถึงจุดหนึ่งก็ต้องโค้งลง ถ้าเรายอมรับธรรมชาตินี้ได้ เราจะโน้มลงตามมันได้อย่างนุ่มนวล แต่ถ้าหากยังดึงดันขีดเส้นตรงต่อไปเรื่อย ๆ พยายามขึ้นไปอีก ว่าต้องสำเร็จให้มากขึ้น รวยมากขึ้น เก่งมากขึ้น หล่อสวยมากขึ้นไปอีก ก็เหมือนการฝืนวัฏจักรธรรมชาติ แล้ววงกลมของเราจะไม่เคยเต็มวง
หากเรายังอยู่ในวัฒนธรรมเส้นตรงแบบนี้ เราอาจไม่มีวันได้พบเจอ เข้าใจ และยอมรับกับความสิ้นสุดเสียที
และความสิ้นสุดอาจมิใช่เพียงความตายเท่านั้น แต่คือการยอมรับว่า ตัวเราเองจะทำบางอย่างไม่ได้อีกต่อไป
“วันหนึ่งผมอาจเคยวิ่งได้เร็วมาก แต่วันนี้วิ่งได้น้อยลง วันหนึ่งผมอาจเคยยกของได้หนัก แต่วันนี้ทำไม่ได้อีกแล้ว หรือแม้แต่ข้าวของที่เราครอบครอง จะมีสักกี่ชิ้นที่เราใช้จนพัง เพราะบริโภคนิยมคอยกรอกหูเราว่า รุ่นใหม่มาแล้ว ต้องรีบซื้อใหม่ ทั้งที่รุ่นเก่ายังไม่ตาย
“นี่อาจทำให้มนุษย์ปฏิเสธ ความตาย มากขึ้น สวนทางกับสิ่งที่ธรรมชาติพยายามจะบอกเราว่า ชีวิตคือการเกิด-ดับ วนเวียนเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ และความสิ้นสุด ไม่ใช่คนแปลกหน้า แต่ว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตต่างหาก
อย่าตายไม่เป็น
หากถามว่า จะชินกับการเกิด-ดับ ได้อย่างไร หลายคนคงรู้จักเรื่องการภาวนาและวิถีปฏิบัติเป็นอย่างดี
หากเราลองนั่งนิ่งสักเพียง 1 นาที อารมณ์มากมายจะผ่านเข้ามา และผ่านออกไป หากเมื่อย สักพักคงหาย หากกังวล สักพักคงสลายไป ช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ แต่เห็นการเกิด-ดับนับครั้งไม่ถ้วนในตัวเรา
“ผมเชื่อว่าตัวเราเติบโตผ่านการตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า สิ่งนี้กำลังบอกว่า ‘เราไม่เคยเป็นคนเดิม’
นิ้วกลมย้อนเล่าไปถึงช่วงที่เขาออกเดินทางท่องโลก หนึ่งในบรรดาภาพถ่ายที่เขาชอบท่ีสุด คือ “อนุสาวรีย์ขี้นก”
“ตอนผมออกเดินทางใหม่ ๆ ผมชอบถ่ายรูปถ่ายอนุสารีย์คนสำคัญที่มีนกขี้บนหัว ผมเก็บภาพถ่ายพวกนี้ไว้เยอะมาก เพราะมันบอกกับผมว่าชีวิต ‘มันก็เท่านี้แหละ’
“มนุษย์ที่ยิ่งใหญ่เท่าไหร่ ยิ่งอยากมีอนุสาวรีย์ คนยิ่งเก่ง ยิ่งอยากให้โลกจดจำ เพราะนี่คือสิ่งที่มนุษย์ให้คุณค่าเหลือเกิน แต่สัตว์มันไม่ได้สนใจเลย”
นั่นเป็นเพราะมนุษย์แสนจะหวงแหนความเป็นตัวเองมาก ๆ การถูกกระทำหรือวิพากษ์จากผู้อื่นจึงนำมาซึ่งความทุกข์มหาศาล นั่นเพราะ เราตายไม่เป็น
“หากผมโดนใครว่าร้ายไปเมื่อ 3 ปีก่อน แล้วผมยังไม่วางไม่เป็น ยังไม่ยอมตายไปจากวันนั้น ผมคงยังเจ็บปวดจนถึงวันนี้ และอาจเก็บบาดแผลนั้นไว้ชั่วชีวิต
“แต่แท้จริงแล้ว เราไม่ได้เป็นคนเดิมอีกต่อไป หากเราทิ้งตัวเราให้ตายไปตั้งแต่ตอนนั้น บาดแผลก็จางหายได้ ความเสียใจแค่ไหนก็ตามเรามาไม่ได้
“มนุษย์เอาแต่ใช้ชีวิตจริงจังไปเสียทุกเรื่อง ทั้งรูปร่างหน้าตา ความสำเร็จ ชัยชนะ ศักดิ์ศรี อุดมการณ์ ภารกิจ แม่กระทั่งความหมายของชีวิต ดูเหมือนเราจะคาดคั้น เอาเป็นเอาตายกับชีวิตสั้น ๆ นี้เสียเหลือเกิน

“แต่การ ตายเป็น ก็เป็นทั้งการตายจากความทุกข์ และตายจากความสุขนะครับ เช่น ถ้าวันนี้ผมมาพูดบนเวทีแล้วไม่รอด ผมก็แค่ขับรถกลับบ้าน แล้ววันนี้ก็จบลง ปล่อยให้ตัวเองตายเสียตั้งแต่วันนี้ พรุ่งนี้ผมก็ไม่ทุกข์แล้ว
“หรือหากเราทำได้ดีในวันนี้ ก็ไม่ต้องแบกเอาความดีงามนี้ไปด้วย จนกลายเป็นกดดันตัวเอง ว่าวันนี้เคยดีแล้ว วันหน้าต้องดีกว่านี้ ไม่ว่าวันนี้จะทุกข์หรือสุข ก็ขอให้ตายให้เป็นครับ”
ชีวิตสำคัญ “เพียงนั้น” จริงหรือ ?
หลังวัย 35 ปี คำถามหนึ่งที่นิ้วกลมเฝ้าถามตนเองมาตลอดนั้นคือความสำคัญของชีวิตและสิ่งที่ยึดถือ
“ชีวิตเราสำคัญขนาดนั้นจริงไหม ?“
“สิ่งที่ยึดถือไว้นั้น จำเป็นและมีความหมายกับชีวิตมากมาย ขนาดนั้นหรือเปล่า ?”
และวันนี้ การเติบโตไม่ได้เกิดขึ้นเพียงผ่านขวบปี แต่ผ่านการเดินทาง บทสนทนา และการขบคิด เหล่านี้คือคำตอบแล้วว่า มนุษย์ไม่ได้ยิ่งใหญ่เพียงนั้นเลย
“ผมเคยเจ็บปวดกับสิ่งที่ยึดถือ ผมเคยอยากเก่งกว่าคนอื่น ผมเคยอยากสำเร็จ ผมเคยอยากได้รางวัล ผมอยากมีความสัมพันธ์ที่ดี ผมคาดหวังกับชีวิตมากมาย เราจึงจริงจังกับชีวิตมาก เพราะเราคิดว่าชีวิตเราสำคัญมาก แต่ผมเฝ้าถามตัวเองว่า แท้จริงแล้วคุณค่าเหล่านี้มันสำคัญกับผมขนาดนั้นจริงหรือ ?”
และหากไม่ใช่ เหตุใดกันเล่า เราจึงยึดติดสิ่งเหล่านี้ ?
นั่นอาจเป็นเพราะเรากำลังยึดติดกับมายาคติ 2 ชั้นเป็นอย่างน้อย
มายาคติแรก คือ การคิดว่าสิ่งสมมติทั้งหลายที่มนุษย์สร้างขึ้นนั้น “เป็นของจริง” เช่น ความสำเร็จในหน้าที่การงาน ที่ดูเหมือนแสนยิ่งใหญ่ แต่หากลองมองอออกไปไกลมาก ๆ เหมือนเราอยู่อีกดวงดาวหนึ่งปล้วมองกลับมา ความสำเร็จในโลกนี้มันอาจเป็นเพียงแค่เรื่องน่าหัวเราะ
มายาคติที่สอง คือ เราลืมไปว่าต้องตาย
“การตระหนักว่า อย่างไรเสีย เราต้องตาย มันทำให้สิ่งที่เราพยายามขวนขวาย ราวกับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต กลับกลายเป็นของธรรมดาไปเสียหมด
“แต่ผมว่ามันมีเรื่องสำคัญกว่านั้น คือเราจริงจังกับชีวิตเกินไปไหม มนุษย์ไม่ได้ยิ่งใหญ่ปานนั้นหรือเปล่า ?”
นิ้วกลมเล่าถึงหนังสือ “I Contain Multitudes” เขียนโดย Ed Yong ที่เปรียบเทียบอายุของโลกตลอด 4,550 ล้านปี เป็นปฏิทินเล่มหนึ่ง
หากวันที่กำเนิดโลกเปรียบกับวันที่ 1 ม.ค. ในช่วงเวลานั้นเอง โลกคงเต็มไปด้วยสัตว์เซลล์เดียว วันเวลาผ่านมาเรื่อย ๆ จนเข้าสู่ยุคไดโนเสาร์ จนกระทั่งเข้าสู่เดือน พ.ย. อุกาบาตชนโลก และไดโนเสาร์สูญพันธุ์
ถัดจากนั้น โฮโม เซเปียนส์อย่างเราค่อยถือกำเนิดขึ้น ซึ่งน่าจะตรงกับปลายเดือน ธ.ค. เท่านั้นเอง

“มนุษย์เพิ่งเกิดมาบนโลกเมื่อไม่นาน หากคิดว่าอายุขัยของโลกเป็นก้อนเค้กที่เรียงเป็นชั้นแล้ว แบคทีเรียและสัตว์เซลล์เดียวทั้งหลายอาจอยู่ชั้นล่างสุด ชั้นถัดขึ้นมาอาจเป็นสัตว์เลื้อยคลาน ต่อมา สิ่งมีชีวิตวิวัฒนาการมาเรื่อย ๆ เรียงเป็นชั้นขึ้นด้านบน จนกระทั่งถึงการกำเนิดของโฮโมเซเปียนส์ในท้ายที่สุด
“มนุษย์จึงเปรียบได้เพียงเป็นเกล็ดน้ำตาลไอซิ่งที่โรยบนหน้าเค้กเท่านั้น”
ทั้งหมดนี้กำลังจะบอกว่า มนุษย์เราสำคัญตัวเองเกินไปไหม และกำลังเข้าใจอะไรผิดอยู่หรือเปล่า ?
นิ้วกลมชวนเราเดินทางไปเนปาล กับข้อค้นพบบางอย่างที่ยืนยันว่า มนุษยเราอาจไม่ได้ยิ่งใหญ่และสำคัญเพียงนั้นเลย
หิมาลัยไม่มีจริง
เส้นทางการเดินทางบนเทือกเขาหิมาลัย มีเป้าหมายมุ่งสู่หมู่บ้านนัมเช (Namche Bazar) ระหว่างเส้นทางสู่ Everest Base Camp ค่ายฐานที่ผู้หวังพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ บนความสูงหลายพันเมตรเหนือระดับน้ำทะเล นำไปสู่การค้นพบหลายสิ่ง และหนึ่งในนั้นการค้นพบทางปรัชญา จิตวิญญาณ และ “ความเป็นหนึ่งเดียวกัน”
“ระหว่างทาง เราเดินสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ จังหวะหนึ่งที่หันมองกลับมา เราเห็นหมู่บ้านนัมเชจมอยู่ในหุบเขาราวกลับถูกกลืนหาย เมืองที่เคยยิ่งใหญ่กลับหดเล็กเหลือนิดเดียว
“บนความสูงเกือบ 5 พันเมตร เราเดินทางต่อไปข้างหน้าเรื่อย ๆ เบื้องหน้าคือเทือกเขาหิมาลัยที่ใหญ่โตเหลือเกิน ใหญ่โตเสียจนมนุษย์อย่างเราเป็นเพียงแค่ก้อนกรวด”
นิ้วกลม เล่าว่า ระหว่างเดินทางบนเส้นทางสายนี้ ธรรมชาติระหว่างทางได้แสดงสัจจะแห่งชีวิตหลายประการ ทุกอย่างดำเนินไปตามวัฏจักรอย่างไม่รีบร้อน และกลายเป็นปรากฏการณ์ซึ่งกันและกัน
“ทุกเช้า เราจะเห็นหิมะบนเทือกเขาเริ่มละลาย ไอน้ำลอยสูง กลายเป็นก้อนเมฆอ้วนเหนือภูเขา พอเริ่มสาย เมฆจะตั้งเคราครึ้มคอยฝนพรำลงมา น้ำฝนไหลลงไปตามซอกผา และกลายเป็นแม่น้ำ
“เมื่อนั้น กวางเริ่มออกมาหากินริมลำธาร ชาวบ้านเริ่มออกมาใช้ชีวิต
“แต่ละวันที่ผ่านไปเป็นวัฏจักร เมื่อไม้ใหญ่ล้มลง ไม้เล็กก็ผลิบาน อ็อกซิเจนจากต้นไม้ถูกผลิตและส่งต่อ กลายเป็นอากาศให้มนุษย์และสัตว์ได้หายใจ
“การจากไปของชีวิตหนึ่งมิใช่ความตาย แต่คือการเกิดใหม่ของอีกหลายชีวิต
“การเปลี่ยนแปลงนี้ เกิดในภาวะที่สงบมาก ๆ ทุกอย่างมันซึมเข้าไปในใจผมว่า หากไม่มีปรากฏการณ์ทั้งหมดนี้ ก็ไม่มีเรา ลมหายใจของเราก็เป็นส่วนหนึ่งของสรรพสิ่งทั้งหมดเช่นกัน
“เวลาคนขอลายเซ็นในหนังสือ ‘หิมาลัยไม่มีจริง’ ผมมักจะเขียนคำว่า ‘หนึ่งเดียวกัน’ เพราะผมคิดว่านี่คือสิ่งที่มนุษย์หลงลืมไป เราลืมไปว่าเรากำลังหายใจอยู่ในอากาศเดียวกัน
“และการมีชีวิตย่อมมีการสิ้นสุด แต่จุดสิ้นสุดนี้ไม่ใช่จุดฟูลสต็อป แต่เป็นเพียงปรากฏการณ์ที่แปรเปลี่ยนไปเท่านั้น เพราะการมีชีวิตไม่ใช่การเดินไปข้างหน้าเป็นเส้นตรง แต่คือการเดินทางเป็นวงกลมต่างหาก”
แม่ : ปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ของชีวิต
หากเปรียบว่าชีวิตไม่มีการเกิดและการตาย แต่เราเป็นเพียงแค่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นของกันและกันในชั่วขณะหนึ่ง “แม่” เป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ของนิ้วกลม
“ผมแอบถ่ายรูปแม่ไว้รูปหนึ่ง เป็นภาพตอนแม่กำลังกดน้ำร้อนจากกระติก และมีตัวผมเป็นเงาสะท้อนอยู่ในนั้น ผมชอบภาพนี้ เพราะนี่คือภาพที่ผมเห็นแต่เด็ก ทุกเช้าผมจะได้กินโอวัลตินฝีมือแม่ จนติดถึงทุกวันนี้
“ส่วนอีกภาพ คือ ภาพโฟมล้างหน้าที่ผมใช้ประจำ พอโฟมเริ่มหมด อยู่ ๆ จะมีขวดใหม่เต็มหลอดมาวางข้าง ๆ หรือเสื้อผ้าที่ผมใส่แล้ว อีกวันก็จะเรียบใหม่แล้วย้ายมาอยู่ในตู้เสื้อผ้า ผมเรียกสิ่งนี้ว่า ‘นางฟ้าเสก’”
แม่ไม่ได้เป็นเพียงแค่นางฟ้า แต่คือปรากฏการณ์ที่สำคัญมากสำหรับนิ้วกลม
ในช่วงท้ายของชีวิต แม่ถูกส่งไปที่ศูนย์ดูแล นั่นเป็นห้วงเวลาที่แสนมีค่าของครอบครัว
“ผมรู้แก่ใจเสมอว่าแม่กำลังนับถอยหลัง วันหนึ่งแม่ต้องจากพวกเราไป ในช่วงท้ายของแม่ เราไม่เคยบอกแม่ว่าต้องกินอะไร หรือต้องอยู่อย่างไรอีกต่อไปแล้ว
“เราแค่กอดแม่ ขอบคุณแม่ บอกแม่ว่าท่านมีคุณค่าอย่างไร และพวกเรารักท่านขนาดไหน เราชวนคุยในเรื่องที่แม่สบายใจ หรือถ้าแม่ชอบกินอะไร พวกเราก็จะไปกินเผื่อแม่”
เพราะตระหนักเสมอว่าทุกอย่างมีจุดสิ้นสุด สิ่งที่ครอบครัวทำจึงไม่ใช่การพยายามยื้อชีวิต แต่คือการทำทุกครั้งที่เจอกันดีที่สุดเท่าที่มนุษย์ทำต่อกันได้
“ผมโตขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่แม่แก่ตัวลงทุกวัน แม่เหมือนใบไม้สีเขียวที่ค่อย ๆ กลายเป็นสีส้ม แล้วเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล จนกระทั่งถึงวันที่ขั้วใบจวนเจียนจะหลุดเต็มที
“แม่อยู่กับผมจนเกือบ 80 ปี แล้วแม่ก็จากไปในปีที่แล้ว แม่กลับคืนสู่ธรรมชาติที่จากมา เหมือนทุกอย่างดำเนินเป็นวงกลม
“แม้แม่จะคือความตายที่ผมได้เตรียมตัว แต่ในวันที่ผมเห็นแม่ไม่ขยับตัวอีกแล้ว แม่จากไปแล้วจริง ๆ ผมก็พังทะลาย ร้องไห้ตัวโยน ไม่ต่างจากช้างที่รู้ว่าสมาชิกในฝูงจากไป
“อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่า ความดีงามของการมีชีวิตไม่ใช่การมีอายุยืนนาน แต่คือการเป็นการกฏการณ์ที่สวยงามแก่ผู้อื่นมากกว่า และ แม่ คือ ปรากฏการณ์นั้นของผม
ความตายของ “ตุล”
“กลางดึกคืนหนึ่ง โทรศัพท์ดังขึ้น ปลายสายที่โทรเข้ามาคือภรรยาของตุล เธอร้องไห้เยอะมาก แต่ผมจับใจความได้ว่าตุลไม่อยู่แล้ว หมอพยายามปั๊มหัวใจ แต่ตุลก็ไม่กลับมา”
นั่นคือนาทีที่นิ้วกลมได้รับข่าวร้ายถึงการจากไปของ อ.ตุล – คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง คันเร่งถูกเหยียบมุ่งสู่ รพ. พร้อมความสับสน ไม่มีใครเชื่อ ว่าความตายนี้เกิดขึ้นจริง
“ผมไปที่ รพ. มองเห็นร่างตุลสงบนิ่ง แต่สิ่งที่เคลื่อนไหวคือกราฟหัวใจ ในใจผมคิดว่ามันไม่ได้ตายนี่หว่า ทุกคนเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า ผมเดินเข้าไปเขย่าขา และคิดว่าเขาจะตื่นขึ้นมาคุยกับผมอีก แต่มันก็ไม่เคยเกิดขึ้น
“สุดท้ายผมเข้าใจแล้วว่า เสียงติ๊ด ๆ ที่ผมได้ยิน และกราฟหัวใจที่ผมเห็น เป็นเพียงเครื่องประคองชีวิต หลังจากถอดเครื่องนั้นออก ตุลก็จากไปแล้วจริง ๆ”
สำหรับทุกคน ความตายของ อ.ตุล เป็นความตายที่ไม่คาดฝัน ไม่มีสัญญาณเตือน ไม่มีคำร่ำลา และไม่มีใครคาดคิดว่าจะมาถึงเร็วขนาดนี้
“เราเพิ่งเจอกันไม่นาน ตอนนั้นตุลดูปกติมาก เขายังแซวผมอยู่เลยว่าผมวิ่งออกกำลังกายเยอะ แต่สุขภาพของผมแย่กว่าเขาเสียอีก แถมยังตั้งฉายาให้ผมว่านายกิมกวง หรือนายตับทอง เพราะผมมีไขมันพอกตับตามที่หมอบอก (หัวเราะ)
“ตุลเป็นคนน่าสนใจและน่าคบหา เขาเป็นคนจริงใจและประหลาด เขาเป็นคนที่เปิดหัวใจมาก ๆ แล้วยังเปิดหัวใจคนอื่นด้วย ตุลคือกัลยาณมิตรที่มีค่า การสูญเสียตุลไปเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับผม”
ความตายของ อ.ตุล ทำให้นิ้วกลมนึกย้อนไปตอนที่แม่เสีย ความตายของแม่เป็นสิ่งที่เตรียมใจมาได้แล้ว แต่ความตายของ อ.ตุลนั้นแตกต่าง
“ผมถามตัวเองว่า ตุลจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้วจริง ๆ ใช่ไหม? เขาจะจากไปง่าย ๆ แค่นี้เองหรอ ? ผมเต็มไปด้วยความสับสนและอธิบายไม่ได้ แต่ความตายของตุลทำให้ผมนึกถึงคำพูดเขาที่งานศพแม่ของผม
“ในงานศพแม่ ผมเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ตลอด 3-4 วันในงานผมไม่ร้องไห้เลย พอวันเผา ตุลเดินมาหาผมและถามไถ่ เขาบอกกับผมว่า นี่คือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของชีวิตช่วงหนึ่ง และขอให้ผมใช้มันอย่างดี”
เพราะสำหรับ อ.ตุล ในฐานะคนเรียนปรัชญาและผู้ศึกษาเรื่องการภาวนา เมื่อต้องเผชิญกับความสูญเสียของแม่ เขาเองก็รู้สึกสับสนไม่ต่างกัน อ.ตุลเชื่อว่า การมีอารมณ์ที่เป็นกลาง ไม่บวก ไม่ลบ น่าจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว แทบไม่มีใครทำได้
“ตุลบอกผมว่า เวลาคนรักตายจริง ๆ ปรัชญาอะไรก็เอาไม่อยู่ เราจะไม่เข้าใจอะไรเลย เราทำได้แค่ปล่อยให้มันเกิดขึ้น และเป็นไปอย่างที่เรารู้สึก…พอตุลพูดจบ ผมร้องไห้ตรงนั้น – ‘มึงร้องไห้ได้นะ’ – นี่คือคำพูดสุดท้ายของตุลที่ลอยเข้าหูผม ในวันนั้นที่ตุลไม่อยู่อีกแล้ว ผมร้องไห้ต่อหน้าร่างเขาอีกครั้ง”
และนี่คือเรื่องราวทั้งหมดของ อ.ตุล เรื่องราวที่ทำให้เห็นถึงความเป็นมนุษย์
มนุษย์ที่เกิดมาเพื่อผูกพันกัน
ในวันสุดท้ายที่อ่าวระนอง อ.ตุล แปรเปลี่ยนไปสู่อีกสภาพหนึ่ง ราวกับว่ากลับสู่วงกลมสังสารวัฏนั้นอีกครั้ง

“ผมอุ้มเถ้ากระดูกตุลไว้ ลงเรือไปลอยอังคาร ตุลลอยอยู่เหนือผืนน้ำ และกลับสู่บ้านเกิดอีกครั้งที่อ่าวระนอง เขากลับสู่ที่ที่เขาจากมา ชีวิตคนมีเพียงเท่านี้ มันว่างเปล่า แต่สำคัญ และสวยงาม”
ชีวิตไม่เคยสมบูรณ์แบบ แม้เราจะสูญเสียใครบางคนไป แต่จะยังมีคนที่เหลืออยู่กับเรา และไม่นานก็จะมีคนจากไปอีก และแน่นอนว่ายังมีคนอยู่กับเราอีกเหมือนเดิม
ชีวิตก็วนเวียนไปเช่นนี้
“มนุษย์มักคาดหวังว่าต้องมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ และยังคาดหวังว่าจะตายได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วย แต่นี่กลับยากเสียยิ่งกว่า เราอาจควบคุมความตายไม่ได้ แต่ความสามารถเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มนุษย์พอทำได้ตอนนี้ คือการ อยู่ให้ดี
“การอยู่ดี คือ การเป็นปรากฏการณ์ดี ๆ ในชีวิตคนอื่น เหมือนที่แม่เป็น ตุลเป็น และหลาย ๆ คนได้เป็นแล้วในชีวิตผู้อื่น ผมเข้าใจแล้วว่า มนุษย์เราเกิดมาเพื่อเป็นปรากฏการณ์นี้ของกันและกัน มันเป็นเช่นนี้เอง
ขอจงเป็นปรากฏการณ์ที่ดี ของกันและกัน
นิ้วกลมเคยจำลองงานศพของตัวเองมาแล้วครั้งหนึ่งในปี 2561 ในโปรเจกต์ “ตายก่อนตาย” มีการจัดพิธี และกล่าวคำอาลัยเสมือนจริงที่วัดธาตุทอง
ครั้งนั้น สร้างความสั่นสะเทือนให้สังคมสู่การตระหนักรู้เรื่องความตายและความหมายของชีวิต และยังกลายเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของตัวเขาเองด้วย
“วันนั้น ในงานศพที่วัดธาตุทอง ผมเหมือนดวงวิญญาณเร่ร่อนที่ยืนร้องไห้หลายต่อหลายครั้งท่ามกลางคนมากล่าวคำอาลัย ตอนนั้นผมรู้สึกเข้าใกล้ความตายจริง ๆ ”
“หลังจากนั้น เกิดความเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงในใจผม
“ผมเขียนจดหมายไปขอโทษเพื่อน 3 คน ที่เคยผิดใจกัน แล้วผมก็ได้เพื่อนกลับคืนมา
“ผมใช้เงินไปจำนวนมากเพื่อท่องเที่ยวไปยังสถานที่ที่ผมต้องไปก่อนตายให้ได้ คือ อเมริกาใต้และแอนตาร์คติกา”
แล้วความมหัศจรรย์ของการเดินทาง ยิ่งเน้นย้ำความหมายของการมีชีวิต เพราะชีวิตที่เห็นโลกกว้างทำให้เราเชื่อมั่นว่า เราสามารถไปได้ทุกที่ และเป็นได้ทุกอย่างที่เราต้องการ
“โลกบอกกับเราว่า เราจะเป็นอะไรก็ได้ เราจะไม่เป็นอะไรก็ได้ และถ้าเราเป็นแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นให้ดีก็ได้ เราแค่ไปถึงมันในแบบที่เราเป็นก็พอ ทุกวันนี้ ผมใช้ชีวิตแบบนั้น และตามมาด้วยประสบการณ์ชีวิตหลากหลาย
“ผมเคยไปวิ่ง 100 กิโลเมตร
“ผมเคยโกนหัว
“ผมเคยต่อยมวย
“ผมเคยแต่งตัวเป็นเทียรี่ (เมฆวัฒนา)
“ผมเคยติดหิมะอยู่บนเส้นทางเอเวอเรสต์เบสแคมป์
“ผมเคยเขียนหนังสือมาแล้ว 50 เล่ม
“ผมเคยเป็นพิธีกรรายการทีวีแล้วล้มไม่เป็นท่า
“ผมเคยแต่งงานด้วยปาร์ตี้ชุดนอน แล้วเอาหมอนขนเป็ดมาฟาดกันจนโรงแรมเรียกเก็บเงินเพิ่ม”
“และผมเคยกระทั่งเล่นหนังแล้วไม่รู้ว่าต้องแก้ผ้า (หัวเราะ)”
“ผมเคยสำเร็จ ผมเคยล้มเหลว แต่ทั้งหมดนี้ไม่สำคัญว่าผมทำอะไร เพราะการสัมพันธ์กับชีวิตอื่นรอบ ๆ ต่างการที่สำคัญที่สุด
“หนังสือที่ผมเขียน มีความหมายเพราะมีคนอ่าน การพูดของผมวันนี้มีความหมาย เพราะมีผู้ฟัง มนุษย์เราก็สัมพันธ์กันในลักษณะนี้ เราจึงเป็นปรากฏการณ์ของกันและกัน”

เราทุกคนมีผู้คนผ่านมาในชีวิตมากมายเหลือเกิน บางครั้งก็สั้น บางครั้งก็ยาว ทุกคนต่างเกิดมาเพื่อสัมพันธ์กับเราชั่วขณะหนึ่ง
และวันหนึ่ง หากไม่เป็นเขาก็คงเป็นเราที่ต้องจากไป แม้จะหวังว่าจะได้เจอกันอีกสักครั้งที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้ แต่หวังเล็ก ๆ นั้น อาจไม่ไม่เคยเป็นจริง เพราะ ครั้งสุดท้าย ต่างหาก คือความจริงอันเป็นนิรันดร์
ความตายและการจากลาไม่น่ากลัว หากได้ใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างปราณีตและรู้ตัว
เพราะชีวิต คือ การทำวันธรรมดาทุกวันอย่างดี เท่านั้นเอง
ดังบทภาวนาที่ว่า
“ขอให้ฉันมีสติกับทุกลมหายใจ
ขอให้ฉันได้ใช้ชีวิตจนวันสุดท้าย
ไม่ใช่เพราะชีวิตสำคัญ แต่เพราะฉันได้มีโอกาสอยู่บนโลกนี้อย่างรู้ตัว”
“ผมคิดว่า ชีวิตอาจไม่ได้ต้องการความหมาย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าต้องการความรู้สึก หากเราใช้จ่ายเวลาในชีวิตแบบผ่าน ๆ ไป ทุกอย่างคงกระจาย แตกฉานซ่านเซ็น จนเหมือนไม่ได้ใช้ชีวิต
“ผมอยากขอให้ทุกคนใช้ชีวิตให้กว้าง และใช้เวลาให้ลึก ทำให้แต่ละช่วงขณะของชีวิตของเรา ให้กลายเป็นปรากฏการณ์ที่ดีของกันและกัน ในวันที่ยังมีชีวิตอยู่ก็พอ”