91% ของคนไทยที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตใช้ AI ในชีวิตประจำวัน เพิ่มขึ้นจาก ปี 2024 ถึง 77%
ผลสำรวจจาก “Digital Lives Decoded 2025” โดย Telenor Asia บริษัทโทรคมนาคมเจ้าใหญ่ในเอเชีย แสดงให้เห็นว่า AI ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโลกอินเทอร์เน็ตมากกว่าที่คิด
โดยกลุ่มที่ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มากที่สุดคือ กลุ่ม Gen Z ซึ่งใช้ค้นหาตั้งแต่เรื่องทั่วไป จนถึงเรื่องสำคัญอย่างการทำรายงานวิจัย และเริ่มใช้กันตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษา
ในทิศทางเดียวกัน ผลสำรวจการใช้ AI ในการช่วยเรียนของกลุ่มนักศึกษาแพทย์สาขารังสีวิทยาในไทย ตีพิมน์ในวารสารวิชาการ BMC Medical Education ชี้ว่า ผู้เรียนกว่า 90% มองว่า AI ช่วยให้การเรียนของพวกเขาราบรื่นขึ้น และยังหวังว่า สถาบันจะบรรจุวิชาที่เกี่ยวข้องกับ AI ในหลักสูตรในอนาคต

นอกจากนี้ ยังมีงานศึกษาตีพิมพ์ในวารสาร Frontiers in Artificial Intelligence ปี 2022 ที่สนับสนุนว่า ผู้เรียนส่วนใหญ่มอง AI เป็นเครื่องมือช่วยสืบค้น เช่น Chat GPT ช่วยให้พวกเขาเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ ที่มีข้อมูลต้นทางเป็นภาษาต่างประเทศได้ดีขึ้น และยังทำให้ผู้เรียนไม่รู้สึกท้อถอยกับการเรียน เพราะมี AI เป็นผู้ช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนอยากเรียนรู้เรื่องเหล่านั้นลึกและกว้างขึ้นอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่า AI จะไม่ได้เป็นตัวช่วยให้ผู้ใช้พัฒนาทักษะที่ตนเองมีอยู่เพียงอย่างเดียว อีกด้านหนึ่ง การเข้ามาของ AI กำลังคุกคามระบบการศึกษาอย่างเห็นได้ชัด จากปรากฏการณ์ เด็กไทยใช้ AI ทำการบ้านแทน และเชื่อระบบปัญญาประดิษฐ์โดยไม่ตั้งคำถาม
ต่างประเทศก็เช่นกัน หลายสถาบันแสดงความกังวลถึงอนาคตการสอนของเหล่าผู้สอนที่อาจไร้ความหมาย เพราะนักเรียนและนักศึกษาจำนวนไม่น้อย เลือกใช้ AI สร้างคำตอบ
แล้วอะไรคือเส้นแบ่งของการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อพัฒนาผู้เรียน กับ ภัยคุกคามที่อาจทำให้ผู้เรียนละทิ้งทักษะที่สามารถพัฒนาได้ไปกับความสะดวกสบายของเทคโนโลยี
รู้จัก ‘AI’ เทคโนโลยีใหม่แห่งยุค
AI (Artificial Intelligence) คือ ปัญญาประดิษฐ์ ที่มีความสามารถในการเลียนแบบความฉลาดของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการค้นคว้า เรียนรู้ และตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ อย่าง Chat GPT จากค่าย Open AI หรือ gemini จากค่าย Google
ต่างจากเทคโนโลยีการสืบค้นในโลกอินเทอร์เน็ตที่เราคุ้นชิน อย่างระบบการสืบค้นด้วย search engine เดิม เช่น Google ที่จะค้นหาข้อมูลด้วยคำ Keyword ที่ตรงกัน และผลลัพธ์ที่ได้จะแสดงเป็นลิสต์รายการ ซึ่งอาจจะตรงหรือไม่ตรงกับความต้องการของเรา โดยผู้ใช้ก็จะต้องเข้าไปอ่าน เลือกใช้ข้อมูลเองอีกครั้งเพื่อทำการสืบค้นและรวบรวมข้อมูล
แต่การสืบค้นด้วย AI ถูกพัฒนาขึ้นมาให้เหนือชั้นไปมากกว่านั้น เพราะใช้ระบบการสืบค้น แบบ LLM – Large Language Models ซึ่งเป็นโครงข่ายข้อมูลขนาดใหญ่ ทำงานคล้ายรับประสาทมนุษย์ และมีความสามารถในการเชื่อมโยง วิเคราะห์ภาษา
นอกจากนี้ผู้ใช้งานยังสามารถพิมพ์ประโยคคำถามที่ยาวกว่าคำคีย์เวิร์ด โดยการพิมพ์ป้อนเข้าไปในระบบ จากนั้น AI ก็จะเรียบเรียงคำตอบออกมาให้ในรูปข้อเขียน ที่รวบรวมข้อมูลมาจากหลายแหล่ง ซึ่งทุกครั้งที่ระบบส่งคำตอบกลับมาให้ ก็จะมีข้อความสั้น ๆ แนบท้ายมาด้วยว่า “ข้อมูลที่ AI ให้มา อาจจะยังมีความผิดพลาด ไม่ครบถ้วน จำเป็นต้องผ่านการตรวจสอบจากต้นทางก่อนนำไปใช้”
แต่หลายครั้งผู้ใช้งานมักจะลืมคำเตือนนี้และนำข้อมูลไปใช้ในทันที
มากไปกว่านั้น AI ยังเรียนรู้พฤติกรรมของผู้ใช้งาน โดยวิเคราะห์ว่าผู้ใช้มักจะค้นหาคำว่าอะไร และใช้คำค้นแบบไหน จากนั้น AI ก็จะสร้างคำแนะนำเพิ่ม เช่น ต้องการให้ AI หาข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมจากเรื่องนี้ไม่ ?
ความน่ากังวลในการใช้ปัญญาประดิษฐ์นี้ จึงอยู่ที่การพยายามหาข้อมูลมาตอบนั้น หลายครั้งเป็นการประมวลผลเพื่อหาคำตอบที่ใกล้เคียงที่สุด มากกว่าคำตอบที่ถูกต้องที่สุด และหากผู้ใช้งานไม่รอบคอบมากพอก็อาจจะนำข้อมูลไปใช้จนเกิดความผิดพลาดได้
ทั้งนี้ หากมองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสายตาเดียวกัน โดยเปรียบเทียบกับการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีจากยุคแอนะล็อก เข้าสู่ยุคดิจิทัลที่การค้นคว้าจากเล่มหนังสือเปลี่ยนมาใช้ search engine ในค้นหาคำตอบได้เพียงไม่กี่วินาที การเข้ามาของ AI ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องใหม่แต่อย่างใด
แต่ในด้านหนึ่ง AI กำลังสร้างผลกระทบต่อวงการการศึกษา หากผู้เรียน นำ AI มาใช้ผิดวิธี เช่น กรณีนักศึกษาจากสองมหาวิทยาลัยดังในสหรัฐอเมริกาและลิทัวเนีย ที่ใช้ AI ทำข้อสอบ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา
เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นที่มหาวิทยาลัยวิลนีอุส ลิทัวเนีย โดย นักศึกษา 10 คน ถูกไล่ออกเนื่องจากพบว่ามีการใช้ AI ช่วยเขียนวิทยานิพนธ์เพื่อจบการศึกษา ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการขาดความรับผิดชอบทางวิชาการอย่างร้ายแรง
อีกเหตุการณ์ เกิดขึ้นที่มหาวิทยาลัยชั้นนำแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา โดยตรวจพบว่า นักศึกษาภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์เกิน 1 ใน 3 ของชั้นเรียน ใช้ AI ช่วยทำโครงงานชิ้นสำคัญ
อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์การใช้ AI ในวงการการศึกษา ใช่ว่าจะเกิดขึ้นกับผู้เรียนเท่านั้น AI ได้ลดทอนความน่าเชื่อถือของผู้สอน เมื่อนำมาใช้ผิดวิธี อย่างการช่วยออกแบบ และทำการการสอน
ตัวอย่างหนึ่ง คือ เหตุการณ์ที่นักศึกษาในสหรัฐเมริกาได้ร้องเรียนกับมหาวิทยาลัยเพื่อขอคืนค่าเล่าเรียน เพราะจับได้ว่าผู้สอนใช้ AI ช่วยทำเนื้อหาเพื่อใช้ในการสอน และในบางสถานศึกษา ผู้สอนใช้ AI อย่าง Chat GPT ตรวจการบ้านนักเรียน จนถูกตั้งคำถามถึงความถูกต้องของการให้คะแนน
ดาบสองคมที่มาพร้อมกับความก้าวหน้าทางการเรียนรู้ด้วย AI นี้ จะกลายเป็นโอกาสหรือวิกฤต และหากหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญไม่ได้ สถาบันการศึกษา ครู อาจารย์ ผู้เรียน หรือแม้แต่ตัวพวกเราเองจะต้องปรับตัวอย่างไร
AI กับการศึกษา ดาบสองคมที่ใครก็อาจตกหลุมพราง
สำหรับการเรียนระดับมหาวิทยาลัยในบางสาขาวิชา ไม่ได้มองว่า AI เป็นผู้ร้าย แต่ในทางตรงกันข้าม AI กลับถูกนำมาใช้ เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับการเรียนการสอนมากยิ่งขึ้น
ผศ.วสะ บูรพาเดชะ ผอ.ศูนย์นวัตกรรมการเรียนรู้ คณะบริหารธุรกิจและเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เจ้าของเพจพ่อบ้านเล่างานวิจัย ตั้งข้อสังเกตถึงการใช้ AI ในสถานศึกษาว่ามีแนวโน้มที่จะเข้มข้นมากขึ้น ตามนวัตกรรมด้านข้อมูลที่ใช้ในการพัฒนา AI เพื่อการศึกษา รวมไปถึงการใช้ AI ที่แพร่หลายมากยิ่งขึ้น
ผศ.วสะ มองว่าถ้าใช้ AI อย่างเท่าทันก็จะยิ่งช่วยพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน โดยเฉพาะการขยายขอบเขตของความรู้ ซึ่งสำหรับเขาเอง แม้จะเป็นอาจารย์ด้านเทคโนโลยี ก็ต้องยอมรับว่าบางเรื่องก็ต้องพึ่ง AI ในการค้นคว้า หรือช่วยสรุปความ โดยเฉพาะการค้นหาไอเดียใหม่ ๆ เพื่อนำมาปรับใช้กับการออกแบบการเรียนรู้ ซึ่งรวมไปถึงในกรณีที่ผู้เรียนใช้ AI เพื่อช่วยค้นหาวิธีการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ โดยที่ไม่ใช่เป็นการให้ AI ทำงานแทน
“ในฝั่งผู้เรียน ก็เหมือนกับเทคโนโลยีอื่น ๆ ตัวเทคโนโลยีเองไม่ได้กำหนดว่าต้องใช้งานอย่างไร ตัว Gen AI เป็นเทคโนโลยีที่ค่อนข้างจะครอบคลุม ทำได้หลายอย่าง ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้งานเพื่ออะไร ถ้าผู้เรียนมองว่า มันเป็นตัวแทนของเขาได้ เขาก็จะไม่ทำงาน แล้วส่งต่องานให้ agent ตัวนี้ทำแทน”
“แต่ผู้เรียนที่ตระหนักว่า ตัวเองต้องพัฒนาศักยภาพเพื่อที่จะไปทำงานต่อในอนาคต เขาก็จะมีความเฉลียวใจมากกว่าว่าจะใช้เทคโยโลยีนี้เพื่อจะพัฒนาเขาอย่างไร”
ผศ.วสะ บูรพาเดชะ ผอ.ศูนย์นวัตกรรมการเรียนรู้ คณะบริหารธุรกิจและเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
ผศ.วสะ ยังยกตัวอย่างการใช้ AI ในฝั่งผู้เรียนที่ทำให้เห็นว่าเป็นการใช้ AI อย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยการทำให้ผู้เรียนพัฒนาความรู้และความเข้าใจได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น
“มีเด็กคนหนึ่งได้รับโจทย์งานเป็น problem base มาให้ทำ ซึ่งสิ่งที่เขาทำ คือ โยนโจทย์เข้าไปให้ AI อธิบายว่าเขาจะทำสิ่งนี้ได้ต้องมีทักษะอะไรบ้าง เพื่อย้อนกลับไปดูว่าทักษะเหล่านี้เขามีครบหรือยัง แล้วตัวงานเขาจะเป็นคนทำเอง ตรงนี้เห็นได้ชัดว่าเขาตระหนักว่า เขากำลังใช้งานให้เป็นโค้ช แต่ไม่ได้ให้มันเป็นคนที่ทำแทนเขา”
ผศ.วสะ บูรพาเดชะ ผอ.ศูนย์นวัตกรรมการเรียนรู้ คณะบริหารธุรกิจและเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
แม้จะมีผู้เรียนบางคนที่ใช้ AI อย่างชาญฉลาด แต่มีไม่น้อยที่ยังคงติดกับดักของความสะดวกสบายที่ AI มอบให้ ด้วยการให้มันทำงานแทน โดยเฉพาะในรายวิชาการเขียนที่หากใช้ AI ทำแทน ผลกระทบที่ตามมา คือ ผู้ใช้อาจจะสูญเสียทักษะสำคัญอย่างความคิดสร้างสรรค์ เพราะให้ AI คิดและเรียบเรียงแทนทั้งหมด
สิ่งสำคัญจึงเป็นการสร้างข้อตกลงกับผู้เรียนอย่างชัดเจนว่า หากจะใช้ AI ต้องมีขอบเขตแค่ไหน เพื่อสุดท้ายแล้วผู้สอนจะได้ประเมินความสามารถของผู้เรียนได้ถูกต้อง

ผศ.วสะ เสนอว่า การประเมินความความสามารถผู้เรียน โดยใช้ AI มาเป็นเครื่องมือในการสอนอาจทำได้ผ่านทักษะการเขียน เพราะการเขียนก็คือการคิด เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ได้เขียนก็คือไม่ได้คิด ถ้าไม่ได้สร้างเนื้อหาเอง เราก็ไม่ได้คิดอะไรเลย โดยเสนอให้ผู้สอนชี้ว่าส่วนไหนทำได้หรือไม่ได้ หรือที่เรียกว่า Traffic light นั่นคือการใช้ลักษณะของสัญญาณไฟจราจรเป็นการกำหนด
“ถ้าผมสอนวิชาการเขียน ผมอาจจะบอกเลยว่าในช่วงแรกของการเขียน ห้ามใช้ AI เป็นไฟแดง ห้ามใช้เด็ดขาด”
“ในช่วงที่เริ่มระดมสมองอาจจะให้ใช้ได้บ้าง แต่ผมจะกำหนด prompt ให้ และต้องรายงาน prompt กลับมาด้วย อันนี้คือระดับที่เป็นไฟเหลือง ซึ่งใช้ได้แต่ต้องอยู่ในขอบเขตที่จำกัด”
“แล้วถ้าถึงจุดที่เป็นขั้นสุดแล้ว คุณจะต้องส่งเรื่องสั้นหนึ่งเรื่อง อันนี้ให้เป็นไฟเขียวแล้ว ใช้ได้ ลองสำรวจความคิดกับเขา แต่คุณก็ต้องส่งตรงนั้นกลับมา”
โรงเรียนระดับมัธยมก็เจอความท้าทายจากเทคโนโลยี AI ไม่แตกต่างกัน โดย พิทวัส นามนวด นักวิจัยด้านนโยบายปฏิรูปการศึกษา TDRI ตั้งข้อสังเกตการใช้ AI ในโรงเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาว่า AI ไม่ใช่ผู้ร้าย แต่ถ้านักเรียนใช้ AI เพื่อทำงานแทนมากกว่าเป็นผู้ช่วยในการค้นคว้า ผลที่ตามมา คือ ผู้เรียนจะเสียทักษะที่ควรจะได้จากการเรียนขาดการคิดวิเคราะห์เนื้อหา เพราะพวกเขาเอาสิ่งเหล่านี้ไปให้ AI ทำแทน โดยแนวโน้มมักเกิดขึ้นกับรายวิชาที่เป็นวิชาบังคับที่ไม่ตรงความสนใจของผู้เรียน หรือผู้เรียน เรียนไม่เข้าใจ แต่ต้องทำงานส่ง ก็มักใช้ AI เป็นตัวช่วยในการส่งงาน
“นักเรียนมักจะใช้ AI ทำการบ้าน ถามว่าทำไมต้องทำแบบนี้ ส่วนตัวมองว่า เขาอาจจะไม่มีเวลา มีงานเยอะ บางทีอาจจะเรียนแล้วไม่เข้าใจ เขาต้องทำงานส่งเพื่อให้ได้คะแนน เขาก็เลือกหนทางที่มันง่ายต่อตัวเขา”
พิทวัส นามนวด นักวิจัยด้านนโยบายปฏิรูปการศึกษา TDRI
ในฐานะครูและนักวิจัยด้านการศึกษา พิทวัส มองว่าอย่างไรเสียโรงเรียนก็ไม่อาจปฏิเสธการเข้ามาของ AI ได้ สิ่งที่โรงเรียนควรทำ คือ การให้ครูผู้สอนให้ความรู้นักเรียนเรื่องการใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบและถูกวิธี
“ครูต้องให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ คงต้องมีการสื่อสารกับผู้เรียนอย่างตรงไปตรงมาว่า AI สามารถใช้ประโยชน์ด้านการเรียนรู้ของผู้เรียนได้อย่างไรบ้าง แล้วเราจะกำหนดขอบเขตตรงนี้ว่าให้ผู้เรียนใช้ได้ในระดับไหน ให้ใช้หาข้อมูลอย่างเดียวไหม ใช้แก้งานได้ หรือว่าจะให้ผู้เรียนทำงานร่วมกับ AI ได้เลย”
พิทวัส นามนวด นักวิจัยด้านนโยบายปฏิรูปการศึกษา TDRI
พิทวัส ยังระบุอีกว่า มีงานศึกษาจากต่างประเทศหลายชิ้นชี้ว่า ในห้องเรียนที่ครูสื่อสารเรื่องการใช้ AI อย่างถูกวิธี ช่วยให้ผู้เรียนมีผลลัพธ์ทางการเรียนดีขึ้นโดยที่ยังไม่เสียทักษะการเรียนรู้ และในขณะเดียวกันก็เป็นการใช้ AI ได้อย่างเท่าทัน

สิ่งสำคัญที่สุด คือ เป้าหมายการเรียนรู้ที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ทักษะไหนจากบทเรียน ทำให้ครูเองก็จำเป็นจะต้องมีความรู้เรื่องการใช้ AI อย่างถูกวิธี และใช้ AI เป็นเครื่องมือให้ผู้เรียนไปถึงเป้าหมายนั้น
“ยกตัวอย่าง ครูให้การบ้านนักเรียนไป จุดประสงค์ คือ อยากให้นักเรียนฝึกจำข้อมูลอะไรบางอย่าง แต่บอกว่าให้ AI ช่วยทำงานได้ สุดท้าย AI ทำมาให้หมดเลย ผู้เรียนก็ไม่ได้ฝึกจำ แต่กลับกัน ถ้าบอกว่า การบ้านนี้มีเป้าหมายการเรียนรู้ อยากให้ผู้เรียนฝึกวิเคราะห์ และฝึกตีความข้อมูลจากหลากหลายแหล่ง ถ้าให้การบ้านให้ผู้เรียนวิเคราะห์ข้อมูลจากหลายแหล่ง ที่ได้จากทั้ง AI และการค้นหาอื่น ๆ แบบนี้ ผมว่าการใช้ AI มันก็ไม่ได้ทำให้เกิดผลเสีย”
พิทวัส นามนวด นักวิจัยด้านนโยบายปฏิรูปการศึกษา TDRI
“รู้เท่าทัน” ทางออกของการใช้ AI ในห้องเรียน
จนถึงตอนนี้เราต้องยอมรับว่า AI กับวงการการศึกษากลายมาเป็นสิ่งที่สังคมไทยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะในยุคที่ต้นทุนการเข้าถึงเทคโนโลยีนั้นถูกลง
ทั้งนี้ เมื่อฟังจากความเห็นของนักวิชาการด้านการศึกษาทั้งสองคนแล้ว จะพบว่า โรงเรียนและมหาวิทยาลัยทั้งในระดับโลกและในประเทศไทย ไม่ได้ต่อต้านการใช้ AI ในห้องเรียน ตรงกันข้ามพวกเขากลับมองเห็นศักยภาพของ AI ที่จะช่วยพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนและผู้สอน
แต่หากเรียบเรียงจากหลายกรณีศึกษาที่ยกมานั้น สิ่งจำเป็นในการใช้ AI คือ การรู้เท่าทัน AI (AI literacy) เพราะการรู้เท่าทัน AI คือ ความสามารถในการเข้าใจข้อจำกัดของ AI ที่สามารถประเมินคุณภาพของข้อมูลที่เราได้รับว่ามีความน่าเชื่อถือเพียงใดและควรนำไปใช้ต่อหรือไม่ โดยเฉพาะหากเป็นข้อมูลที่อาจจะสร้างผลกระทบต่อสังคม เช่น ข้อมูลทางการแพทย์
AI literacy สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ด้าน หลัก ๆ ดังนี้
- เข้าใจการทำงานของ AI ว่า AI ประเภทที่กำลังจะใช้งาน มีวิธีการทำงานอย่างไร
- รู้จักหลักการการใช้งานและการสร้างสรรค์ผลงาน โดยการป้อนคำสั่งที่ถูกต้อง เพราะหากป้อนคำสั่งผิด ผลลัพธ์ที่ได้มานั้นอาจจะไม่ตรงกับความเป็นจริง และเสี่ยงต่อความคลาดเคลื่อนของข้อมูล
- การประเมินและตั้งคำถามกับสิ่งที่ได้ จาก AI เพราะต้องไม่ลืมว่า AI ใช้ข้อมูลที่มนุษย์ป้อนให้ ซึ่งมนุษย์นั้นย่อมมีอคติในการเลือกใช้ข้อมูล ดังนั้นเมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว ผู้ใช้งานจึงต้องตรวจสิ่งที่ได้รับมาทุกครั้ง รวมถึงการตรวจสอบข้อมูลจากหลายแหล่ง
- ด้านจริยธรรมและความรับผิดชอบ ซึ่งเป็นข้อที่สำคัญที่สุด เพราะการใช้ AI หากขาดความรับผิดชอบ ก็อาจจะนำไปใช้โกงในการสอบ หรือทุจริตในทางวิชาการได้
นอกจาก AI literacy ที่ผู้ใช้งานต้องตระหนักรู้ในการใช้งานในนามปัจเจก ยังมีตัวอย่างจากประเทศพัฒนาแล้วว่าใช้เครื่องมืออะไรเข้ามาช่วยในการกำหนดทิศทางการใช้ AI โดยเฉพาะในแวดวงการศึกษา
สหราชอาณาจักร ราวปี 2023 มีการออกคู่มือการใช้ AI ในสถานศึกษา โดยใจความสำคัญคือ การให้แนวทางการใช้ AI สำหรับครูและนักเรียน ส่งเสริมให้ครูใช้ AI เข้ามาช่วยทำแผนการสอน และต้องกำหนดขอบเขตการใช้ AI ของผู้เรียนอย่างชัดเจนว่า ต้องใช้เพื่อช่วยค้นคว้าเท่านั้น ห้ามใช้ AI ทำการบ้านแทน
ออสเตรเลีย ออกกรอบการใช้ AI ในโรงเรียนมาให้ครู ว่าต้องสอนเรื่องการใช้ AI อย่างรู้เท่าทัน (AI literacy) เพื่อให้ผู้เรียนไม่เกิดภาวะที่เรียกว่า “Hallucination” หรือการเชื่อคำตอบที่ AI ปั้นแต่งมาเกินจริง
สำหรับประเทศไทย แม้จะยังไม่ได้มีระเบียบปฏิบัติออกมาเป็นข้อบังคับ แต่แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ (พ.ศ. 2565 – 2570) ก็ได้ระบุถึงการเตรียมความพร้อมด้าน AI Literacy สำหรับประชาชน ซึ่งเป็นการะบุรายละเอียดกว้าง ๆ ไม่ได้ลงลึกในระเบียบวิธีการ
คำถามที่ตามมาคือ เมื่อนำไปใช้แล้วจะสามารถใช้จริงในทางปฏิบัติได้มากน้อยเพียงใด
เพราะท้ายที่สุด AI กับการศึกษาไทยยังเป็นเรื่องใหม่อยู่มาก การเข้ามาของ AI ไม่ต่างกับการเข้ามาของเทคโนโลยีแบบอื่น ๆ ในอดีต จากการวาดภาพด้วยมือ สู่การถ่ายภาพ ทว่าหัวใจสำคัญของงานศิลปะก็ยังไม่หายไปไหน
ไทยมีกรณีศึกษาจากต่างประเทศมากมายให้เราเรียนรู้ที่จะปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทแวดล้อม วันนี้จึงเป็นก้าวสำคัญที่เราไม่อาจปฏิเสธเทคโนโลยีกับการศึกษา แต่จำเป็นต้องโอบรับอย่างมีภูมิคุ้มกัน

