เศรษฐกิจช็อก! ชายแดนกระทบหนัก จากความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

  • ผลกระทบทางเศรษฐกิจชายแดนและครัวเรือนรุนแรงกว่าที่ตัวเลขภาพรวมสะท้อน
  • ผู้ประกอบการรายใหญ่พอปรับตัวได้ แต่รายย่อยเปราะบางและขาดทางเลือก
  • ข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์ แยกประเด็นเศรษฐกิจออกจากความมั่นคง และใช้การพัฒนาเป็นเครื่องมือสร้างสันติภาพ

ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา การเรียกร้องสันติภาพอาจดูเป็นโจทย์ที่ท้าทาย แต่เราจำเป็นต้องหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูด เพื่อเปิดประตูแห่งความเป็นไปได้ไว้เสมอ และเครื่องมือสำคัญที่จะนำไปสู่สันติภาพ ก็คือการใช้มิติทาง “เศรษฐกิจ” เป็นตัวเชื่อม

จากเหตุปะทะชายแดนไทย–กัมพูชาในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2558 นับว่าหนักหน่วงที่สุดหลังมีนโยบาย “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” ในปี 2531 สมัยรัฐบาลชาติชาย ชุณหะวัณ และเหตุการณ์เสียเขาพระวิหารในปี 2554 ซึ่งไม่ได้เพียงสั่นสะเทือนแนวรบ หากยังสั่นคลอนวิถีชีวิตและเศรษฐกิจของผู้คนริมเส้นพรมแดนอย่างรุนแรง 

ตลาดสดช่องจอม จังหวัดสุรินทร์ คือหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจาก แม้เสียงปืนจะสงบลงชั่วคราวหลังเที่ยงคืนของวันที่ 28 ก.ค. 2568 แต่ความเงียบเหงากลับปกคลุมพื้นที่การค้าซึ่งเคยคึกคักที่สุดแห่งหนึ่งของภาคอีสานใต้ จากเดิมที่เต็มไปด้วยผู้คนทั้งฝั่งไทยและกัมพูชา วันนี้เหลือเพียงผู้ค้าและลูกค้าจำนวนไม่มากที่ยังฝืนดำเนินชีวิตต่อไป

นิวัฒน์ จอมคำสี

นิวัฒน์ จอมคำสี เจ้าของร้านขายของสดและของใช้ประจำวัน เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ยังคงเปิดร้าน แม้จะรู้ดีว่าสถานการณ์ไม่ปลอดภัย หลังเหตุปะทะเมื่อวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา เขายอมรับว่ารายได้ลดลง 20 เท่า แต่ยังคงเปิดร้านเพื่อประคองกิจการและตอบสนองความต้องการของลูกค้าหลักในตอนนี้ คือทหารและชาวบ้านที่ยังไม่อพยพ 

ตลาดช่องจอมในวันวานเคยเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างสองฝั่งแดนอย่างคึกคัก ของจากฝั่งกัมพูชา เช่น ผักป่า เห็ด หอย จะถูกนำมาขายควบคู่ไปกับสินค้าฝั่งไทย เช่น หมู ไก่ ผลไม้ มังคุด ทุเรียน โดยเฉพาะวันพุธและวันเสาร์ที่เป็นวันนัดสำคัญ  “นิวัฒน์” บอกว่า ลูกค้ากัมพูชายังโทรมาสอบถามด้วยความห่วงใย สะท้อนความผูกพันที่ก่อตัวจากความสัมพันธ์ทางการค้ามานาน

ไม่ไกลจากตลาด โครงสร้างคอนกรีตเปลือยของโครงการอาคารพาณิชย์ที่ยังสร้างไม่เสร็จตั้งตระหง่านกลางความเงียบงัน โครงการนี้เดิมถูกออกแบบเพื่อยกระดับตลาดท้องถิ่นให้กลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ของจังหวัด แต่กลับหยุดชะงักพร้อมกับการถอนตัวของแรงงานก่อสร้างชาวกัมพูชา ภาพนี้จึงไม่ใช่เพียงสิ่งปลูกสร้างที่ไร้ชีวิต หากยังเป็นสัญลักษณ์ของ “ต้นทุนความไม่แน่นอน” ของเศรษฐกิจชายแดน

ผลกระทบไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตลาดสดเท่านั้น ในหมู่บ้านชายแดน อำเภอพนมดงรัก ร้านค้าปลีกของ วิษณุกร ขันโมลี ยังคงเปิดอยู่ทุกวัน แต่ลูกค้าลดลงกว่าครึ่ง เพราะเกษตรกรกรีดยางซึ่งเป็นกลุ่มผู้ซื้อตหลัก ขาดรายได้จากการหยุดทำงาน กำลังซื้อจึงหดหายจนร้านค้าต้องเปิดเพียงเพื่อให้มีที่ยืนในชุมชน

วิษณุกร ขันโมลี

“…เปิดร้านแล้ว ก็ไม่รู้จะขายได้หรือเปล่า เพราะตอนนี้คนไม่มีเงินจะซื้อ ไม่มีรายได้ รายจ่ายมีแต่รายรับไม่มี มันต่อกันเป็นลูกโซ่”

วิษณุกร ขันโมลี

ธุรกิจค้าส่งก็สะดุดไม่แพ้กัน พลัฏฐ์ โชติอัครธรรศ ผู้บริหารบริษัท เดอะวัน ซุปเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด เล่าว่า แม้ธุรกิจค้าส่งของเขาจะไม่ได้พึ่งพาตลาดกัมพูชาโดยตรง แต่แรงกระเพื่อมจากเหตุชายแดนทำให้ยอดขายลดลงทันทีราว 30% ร้านค้ารายย่อยซึ่งทำงานด้วยระบบเงินหมุนวันต่อวัน กลายเป็นฟันเฟืองเศรษฐกิจที่เปราะบาง เมื่อของขายไม่ได้ก็ไม่มีเงินซื้อของเข้าร้าน ต้องหยุดกิจการหรือเปลี่ยนอาชีพ ส่งผลเป็นลูกโซ่ในระบบเศรษฐกิจท้องถิ่น

พลัฏฐ์ โชติอัครธรรศ ผู้บริหารบริษัท เดอะวัน ซุปเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด

“เรื่องนี้เกินกว่าที่เอกชนจะควบคุมได้แล้ว รัฐบาลต้องจัดการให้ชัด อย่าปล่อยให้ยืดเยื้อ เพราะคนที่รับผลกระทบจริงๆ คือลูกค้ารายย่อยและชาวบ้านที่ไม่มีทางเลือกอื่นในชีวิต”

พลัฏฐ์ โชติอัครธรรศ

ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ประเมินความเสียหายไม่น้อยกว่า 17,000 ล้านบาทต่อเดือน เฉพาะการค้าชายแดนเพียงอย่างเดียว อาจสูญเสียมูลค่ากว่า 14,011 ล้านบาทต่อเดือน โดยการส่งออกลดลงราว 11,410 ล้านบาท และการนำเข้าลดลงราว 2,601 ล้านบาทต่อเดือน

สินค้าส่งออกที่ได้รับผลกระทบสูง ได้แก่ เครื่องดื่มปรุงรส น้ำแร่ น้ำอัดลม ชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ เครื่องยนต์สันดาปภายใน และสินค้าเกษตรแปรรูป ซึ่งส่วนใหญ่ส่งออกผ่านด่านชายแดนคิดเป็นสัดส่วนเกิน 90% ของมูลค่าทั้งหมด 

ขณะที่สินค้านำเข้าที่ได้รับผลกระทบคือผักและผลิตภัณฑ์จากผัก เศษอะลูมิเนียม ลวดและสายเคเบิล รวมถึงมันสำปะหลัง ซึ่งไทยนำเข้าจากกัมพูชาราว 1–2 ล้านตันต่อปี หากปิดด่านหลายเดือนอาจเกิดปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบ ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น อาหารแปรรูปและอาหารสัตว์

สัดส่วนมูลค่าการส่งออกไทยไปกัมพูชา แค่ 1.3%

แต่หากเปรียบเทียบมูลค่าทางการค้าระหว่างไทย-กัมพูชา กับภาพรวมของประเทศ ดูเหมือนมีมูลค่าไม่มากนัก โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าความตึงเครียดกับกัมพูชาทำให้การค้าชายแดนหยุดชะงัก แต่ผลกระทบต่อภาพรวม การส่งออก ของไทยยังถือว่ายังอยู่ในวงจำกัด โดยสัดส่วนมูลค่าการส่งออกไทยไปกัมพูชา คิดเป็น 1.3% หรือ 7.24 หมื่นล้านบาท

ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2568 เมื่อปิดด่านโดยสิ้นเชิงจากความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้น ทำให้การส่งออกไปยังกัมพูชา ติดลบ 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันจากปีก่อน ซึ่งที่ผ่านมาไทยส่งออกไปยังกัมพูชาประมาณเดือนละ 12,000 ล้านบาท

มิติเศรษฐกิจครัวเรือน เมื่อคนจนต้องอพยพซ้ำซ้อน

ตัวเลขการส่งออกที่หดหาย อาจถูกมองว่าเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของภาพใหญ่ทางเศรษฐกิจของประเทศ แต่ในระดับครัวเรือน โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อย ผลกระทบกลับรุนแรงและชัดเจนกว่ามาก

ยอด ลายตีเงิน อายุ 55 ปี ชาวหมู่ 1 ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ คือหนึ่งในผู้ที่ชีวิตเปลี่ยนไปทันที หลังเหตุความไม่สงบชายแดนไทย–กัมพูชาปลายเดือนกรกฎาคม เธอและครอบครัวต้องเก็บข้าวของออกจากบ้าน มาอยู่ในศูนย์อพยพของรัฐร่วมกับเพื่อนบ้านอีกหลายครัวเรือน

ก่อนหน้านี้ นางยอดและสามีทำเกษตร ปลูกข้าว ปลูกมันสำปะหลัง ควบคู่กับรับจ้างทั่วไป สามีทำงานขนส่งวัสดุก่อสร้าง ได้ค่าแรงวันละ 300 บาท แม้รายได้จะไม่มาก แต่ก็พอเลี้ยงครอบครัวได้อย่างพอเพียง

“เราก็แค่ทำนาทำไร่ ปลูกมัน สามีก็รับจ้างส่งของ พอมีพอกิน ไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่ก็ไม่เดือดร้อนเหมือนตอนนี้”

ยอด ลายตีเงิน

ยอด ลายตีเงิน

การอพยพทำให้ทุกอย่างสะดุดลงทันที ข้าวที่เพาะไว้ไม่ได้รับการดูแล ฝนก็ยังไม่ตก ไม่ได้ใส่ปุ๋ยหรือตัดหญ้า ขณะที่หนี้ ธ.ก.ส. ยังคงต้องผ่อนเหมือนเดิม “ปีนี้ไม่รู้จะได้เกี่ยวข้าวไหม เพราะมาอยู่ศูนย์ก็ไม่ได้กลับไปดูนา คงไม่ได้ผลเท่าไหร่ ถ้าได้สักครึ่งก็ยังดี ปีที่แล้วก็แล้ง ปีนี้ฝนก็ยังไม่มี”

รายได้จากทั้งเกษตรและงานรับจ้างหายไปหมด เหลือเพียงความช่วยเหลือจากรัฐซึ่งไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายประจำวัน

“ตอนนี้ไม่มีรายได้เลยค่ะ อยู่ศูนย์แบบนี้มันก็ต้องกินต้องใช้เหมือนกัน”


ยอด ลายตีเงิน

เรื่องราวของนางยอด สะท้อนความเปราะบางของคนจนชายแดนที่ความยากลำบากเดิมถูกซ้ำเติมด้วยสถานการณ์ไม่สงบ และไม่มีใครรู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะเริ่มต้นชีวิตได้ใหม่

ส่วนที่ จ.ศรีสะเกษ กิ่งกมล ตาลหอม อายุ 49 ปี ชาวบ้านตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ ก็เผชิญชะตาไม่ต่างกัน เธอและครอบครัวต้องอพยพตั้งแต่ 24 ก.ค. หลังพื้นที่เกิดความตึงเครียดและอยู่ใกล้แนวปะทะ

แม้เวลาผ่านเกือบ 2 สัปดาห์ แต่เธอยังไม่สามารถกลับบ้านได้ เพราะพื้นที่ยังอยู่ระหว่างการเก็บกู้ระเบิดและกระสุนคงค้าง

ครอบครัวของเธอต้องย้ายศูนย์พักพิงถึง 2 ครั้ง ล่าสุดเพิ่งย้ายมาพักในวัดใกล้เคียง เพราะที่เดิมต้องคืนให้โรงเรียน แม้จะได้รับการดูแล แต่เศรษฐกิจครัวเรือนกลับหยุดชะงัก

“ก่อนหน้านี้ก็ทำเกษตร เลี้ยงวัว ปลูกข้าว กรีดยาง แต่พอเสียงปืนเสียงระเบิด ก็ต้องหยุดหมด วัวก็ขายไม่ได้ ข้าวก็ไม่ได้ใส่ปุ๋ย ยางก็ไม่ได้กรีด”

กิ่งกมล ตาลหอม

สิ่งที่เธอกังวลที่สุดคือการเลี้ยงดูครอบครัว รายได้หลักจากเกษตรหายไป แต่รายจ่ายยังคงอยู่

“ลูกก็ต้องกิน ตัวเองก็ต้องกิน เงินไม่มี งานก็ทำไม่ได้ บางทีก็ต้องแอบกลับไปดูวัว ดูนา ทั้งที่กลัว แต่ถ้าไม่ไปก็ไม่มีจะกิน”

กิ่งกมล ตาลหอม

ทั้งสองเรื่องราวคือภาพจริงของ เศรษฐกิจครัวเรือนชายแดน ที่เปราะบางต่อความไม่สงบทางการเมืองและความมั่นคง การสูญเสียรายได้อย่างฉับพลันทำให้ครอบครัวเหล่านี้ตกอยู่ในสภาพไร้ทางเลือก และยังไม่รู้ว่าจะได้กลับไปยืนบนเส้นทางเดิมเมื่อใด

ผู้ประกอบการปรับตัว แต่รายย่อยเริ่มได้รับผลกระทบ

ดูเหมือนว่าผู้ประกอบการรายใหญ่ และรายย่อยจะมีระดับการรับมือที่แตกต่างกัน รายใหญ่พอจะประคองได้บ้าง แต่รายย่อยได้รับผลกระทบเต็มรูปแบบ

รัฐวิทย์ อังคสกุลเกียรติ ประธานหอการค้าจังหวัดศรีสะเกษ บอกว่า ผู้ประกอบการค้าส่งรายใหญ่ที่เคยส่งสินค้าในปริมาณมากไปยังกัมพูชา เริ่มหันกลับมาโฟกัสตลาดภายในประเทศ ขณะที่กลุ่มผู้ค้ารายย่อยบริเวณแนวชายแดน ซึ่งมักค้าขายกับชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามาซื้อของในตลาดไทย กำลังเผชิญปัญหารายได้หดตัว

รัฐวิทย์ อังคสกุลเกียรติ ประธานหอการค้าจังหวัดศรีสะเกษ

“กลุ่มค้าส่งบางรายยังไม่ขยายไปตลาดอื่น รอดูสถานการณ์ก่อน ส่วนรายย่อยที่ขายของตามแนวชายแดน เราพยายามช่วยเหลือ โดยเปิดพื้นที่ตลาดถนนคนเดินในตัวจังหวัดให้เขาเข้ามาขายของแทนชั่วคราว” 

รัฐวิทย์ อังคสกุลเกียรติ

หอการค้าศรีสะเกษ ยังได้ประสานกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัด เพื่อหาตลาดทดแทนให้ผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับผลกระทบสามารถนำสินค้าไปจำหน่ายในพื้นที่อื่นได้

ขณะที่ วิรัตน์ เศรษฐวิพัฒนชัย ประธานหอการค้าสุรินทร์ ระบุว่า ภายหลังการระบาดของโควิด-19 แม้สถานการณ์จะเริ่มคลี่คลาย แต่การค้าชายแดนก็ยังไม่ฟื้นกลับมาเต็มที่ โดยหลังโควิด จำนวนลูกค้าชาวกัมพูชากลับมาแค่ประมาณ 50–60% ของช่วงก่อนหน้านั้น ยังไม่ฟื้นเต็มร้อย

กระทั่งเกิดเหตุความตึงเครียดบริเวณชายแดนในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา บรรยากาศการค้าขายที่เริ่มฟื้นตัวก็ค่อย ๆ เงียบลงอีกครั้ง

“รอบนี้หนักเลยครับ หายไปเกือบ 100% ทั้งกลุ่มลูกค้าและรถขนส่ง ทุกอย่างหยุดหมดแบบกะทันหัน”

วิรัตน์ เศรษฐวิพัฒนชัย

 กลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด คือ ผู้ประกอบการที่ขายส่งสินค้าอุปโภคบริโภคไปกัมพูชา กับกลุ่มเกษตรกรที่ส่งออกไก่สด ซึ่งปกติสุรินทร์ส่งไก่ไปฝั่งโน้นถึงเดือนละ 700,000 ตัว แต่ตอนนี้ทุกอย่างหยุดหมด

วิรัตน์ เศรษฐวิพัฒนชัย ประธานหอการค้าจังหวัดสุรินทร์

สมดุลระหว่างความมั่นคงและผลประโยชน์เศรษฐกิจ

ประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นคือ การชั่งน้ำหนักระหว่างความจำเป็นด้านความมั่นคงกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ซึ่งประธานหอการค้าศรีสะเกษ ให้มุมมองที่สะท้อนความเข้าใจอันลึกซึ้ง ว่า

“เวลามีคนมาสัมภาษณ์หอการค้า มักจะเน้นเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจว่าเสียหายมากน้อยแค่ไหน แต่ภาพที่ออกไปกลับไม่สะท้อนว่า เอกชนเองก็ห่วงเรื่องความมั่นคง เพราะมันคือฐานสำคัญของเศรษฐกิจเช่นกัน”

รัฐวิทย์ อังคสกุลเกียรติ

สอดคล้องกับ ประธานหอการค้าสุรินทร์ ก็มองในมิติเดียวกัน เมื่อถูกถามถึงความคุ้มค่าของการแลกเปลี่ยนระหว่างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและความขัดแย้งทางชายแดน

“สำหรับผมแล้ว มันคือเรื่องของความมั่นคงของชาติ เราไม่สามารถยอมเสียดินแดนหรือความมั่นคงไปได้ แม้ว่าจะมีต้นทุนทางเศรษฐกิจที่ต้องแลกก็ตาม”

วิรัตน์ เศรษฐวิพัฒนชัย

การปิดชายแดนถาวร หรือสร้างกำแพงกั้นก็เป็นทางเลือกหนึ่ง แต่ก็มีต้นทุนและผลกระทบตามมา รัฐบาลจะต้องมีมาตรการช่วยเหลือและฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ชัดเจน หากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น 

โจทย์ใหญ่! ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ จ.ชายแดน หากสถานการณ์ยืดเยื้อ

อย่างไรก็ตาม วิรัตน์ ยังแสดงความกังวลต่อผลกระทบระยะยาวที่อาจเกิดขึ้น หากความขัดแย้งยืดเยื้อ จะทำให้ตลาดการค้าชายแดนซบเซา สินค้าเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภคที่ส่งออกไปยังฝั่งกัมพูชาจะสูญเสียช่องทางตลาด และหากคู่ค้าเปลี่ยนไปพึ่งพาประเทศอื่น เช่น ลาว หรือเวียดนาม เศรษฐกิจชายแดนของสุรินทร์ก็จะยิ่งได้รับผลกระทบหนัก

“ผมคาดเดาไม่ได้ว่าสถานการณ์จะจบลงเมื่อไหร่ แต่สิ่งที่อยากเห็นคือการเจรจาอย่างสันติวิธี ที่ไม่ทำให้เราเสียเปรียบและสามารถกลับมาดำเนินชีวิต ทำมาค้าขายกันได้ตามปกติ”

วิรัตน์ เศรษฐวิพัฒนชัย

ทั้ง 2 จังหวัดต่างก็เผชิญกับปัญหาเดียวกันคือ การที่เศรษฐกิจท้องถิ่นมีความเชื่อมโยงกับการค้าชายแดนอย่างลึกซึ้ง ทำให้เมื่อเกิดปัญหาขึ้น ผลกระทบจะแพร่กระจายไปยังสาขาอื่น ๆ อย่างรวดเร็ว

“จังหวัดที่มีพรมแดนติดประเทศเพื่อนบ้าน ย่อมมีความได้เปรียบทางการค้า แต่ถ้าด่านปิด หรือความตึงเครียดยืดเยื้อ มันไม่ใช่แค่ค้าขายหยุด แต่ส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจทั้งจังหวัดเลยครับ”

วิรัตน์ เศรษฐวิพัฒนชัย

ส่วนที่ ศรีสะเกษ แม้มูลค่าการค้าชายแดนอาจไม่สูงเท่าจังหวัดอื่น แต่การเปลี่ยนแปลงบริเวณชายแดนส่งผลต่อวิถีชีวิตและเศรษฐกิจฐานรากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะในภาวะที่ด่านปิดหลายแห่งพร้อมกัน ผู้ประกอบการจึงต้องพึ่งพาความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนอย่างใกล้ชิด

เมื่อถูกถามว่าอยากเห็นสถานการณ์จบลงอย่างไร ประธานหอการค้าศรีสะเกษ ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า ภาคเอกชนพร้อมเปิดค้าขายกับกัมพูชา แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเท่าเทียมและผลประโยชน์ร่วมกัน

“เรายินดีค้าขายกับกัมพูชา แต่ประเทศไทยต้องไม่ถูกเอาเปรียบ เราหวังว่าความขัดแย้งจะยุติลงโดยไม่ใช้ความรุนแรง และวันหนึ่งจะกลับมาหันหน้าเจรจากันได้ในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน ที่พึ่งพาและเติบโตไปด้วยกัน”

รัฐวิทย์ อังคสกุลเกียรติ

ส่วน ประธานหอการค้าสุรินทร์ ก็สะท้อนความรู้สึกของผู้ประกอบการในพื้นที่ว่าที่อยู่มานาน เขาจึงอยากเห็นสถานการณ์กลับมาเป็นปกติโดยเร็ว ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเลขเศรษฐกิจเท่านั้น แต่เพราะ เศรษฐกิจชายแดน คือหัวใจของคนในพื้นที่จำนวนมาก จึงอยากให้กลับมาเหมือนเดิม

ประธานหอการค้าศรีสะเกษ ก็เน้นย้ำถึงความสำคัญของการไม่พึ่งพิงตลาดเดียวเกินไป โดยยืนยันว่า จังหวัดไม่ได้พึ่งพาเพียงแค่การค้าชายแดนกับกัมพูชาเท่านั้น แต่วางแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจบนฐานของความยั่งยืนระยะยาว โดยเฉพาะในด้านการเกษตรแปรรูปและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์

“ที่ผ่านมาเราชัดเจนว่า ไม่ได้ฝากความหวังไว้กับฝั่งกัมพูชาทั้งหมด แต่แน่นอน ถ้ามีตลาดตรงนั้นด้วย เศรษฐกิจก็โตเร็วขึ้น แต่เราไม่อยากพึ่งพิงสิ่งที่เสี่ยงจนเกินไป เราอยากดึงนักลงทุนมาลงทุนในอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป เพราะพื้นที่ของเรามีทรัพยากรพร้อม”

รัฐวิทย์ อังคสกุลเกียรติ

อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เช่น ดนตรี ภาพยนตร์ ก็เป็นอีกหนึ่งทิศทางที่เรากำลังผลักดัน เพราะไม่ต้องพึ่งชายแดน และมีศักยภาพที่จะเติบโตได้ดีในพื้นที่ของเรา 

แนวคิดการพัฒนาระยะยาว ทฤษฎีการพัฒนาเพื่อสันติภาพ

ถึงตรงนี้ ประธานหอการค้าสุรินทร์ ยังเสนอแนวคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนในระยะยาว ว่าถ้าสุรินทร์สามารถพัฒนาการค้าชายแดนจนกลายเป็นเมืองชายแดนที่มีความเจริญเติบโตสูง จะช่วยลดความรุนแรงและความขัดแย้งได้มากขึ้น เพราะเมื่อมูลค่าการค้าสูงขึ้น ผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องก็จะมากตาม และฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็จะระมัดระวังไม่ให้เกิดความเสียหายรุนแรง

“ดูอย่างแม่สอดเป็นตัวอย่าง ถ้าเมืองชายแดนเจริญมาก คนมาอยู่รวมกันหนาแน่น การสู้รบจะเกิดขึ้นยาก เพราะความเสียหายจะมากและไม่คุ้มค่า แต่พื้นที่อย่างสุรินทร์ยังไม่ได้พัฒนาเต็มที่ จึงยังเกิดความขัดแย้งง่ายกว่า”

วิรัตน์ เศรษฐวิพัฒนชัย

แนวคิดนี้สะท้อนทฤษฎีที่ว่า การพัฒนาเศรษฐกิจและการเชื่อมโยงทางการค้าสามารถเป็นเครื่องมือในการสร้างสันติภาพได้ เมื่อทุกฝ่ายมีผลประโยชน์ร่วมกันมากขึ้น ก็จะมีแรงจูงใจในการรักษาความสงบสุขเพื่อปกป้องผลประโยชน์เหล่านั้น

เจรจาแยกประเด็นความมั่นคงออกจากเศรษฐกิจ

ขณะที่มุมมองจาก พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานหอการค้าไทย ย้ำภาพรวมผลกระทบที่น่าเป็นห่วง คือ เส้นทางโลจิสติกส์และต้นทุนที่เพิ่มขึ้น การปิดด่านทำให้พ่อค้าแม่ค้าต้องขนส่งผ่านเส้นทางอื่น เช่น ผ่านลาวหรือเวียดนาม ซึ่งเพิ่มต้นทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

ส่วนระยะเวลาสถานการณ์จะยาวนานเพียงใด ขึ้นอยู่กับผลการเจรจา ซึ่งเป็นการหารือระหว่างไทย–กัมพูชา แต่ ประธานหอการค้าไทย เห็นว่า ประเด็นความมั่นคงและอธิปไตยกำลังอยู่เหนือเศรษฐกิจ แนวทางลดความเสียหายทางเศรษฐกิจ ในมุมมองภาคธุรกิจ หากต้องการลดความเสียหาย ควรแยกการเจรจาทางเศรษฐกิจออกจากข้อพิพาทด้านเขตแดน โดยเปิดช่องให้การค้าบางส่วนเดินหน้าต่อได้ ขณะประเด็นความมั่นคงยังอยู่ระหว่างการเจรจา

หอการค้าไทย กำลังทำงานร่วมกับภาครัฐอย่างใกล้ชิด ซึ่งจะต้องมาวิเคราะห์เป็นรายอุตสาหกรรมเพื่อกำหนดมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการอย่างตรงจุด 

ความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา ส่งแรงสะเทือนตรงสู่เศรษฐกิจท้องถิ่น การค้าข้ามแดนหยุดชะงัก และการท่องเที่ยวชายแดนแทบหยุดนิ่ง อนาคตของพื้นที่นี้ จึงไม่อาจฝากไว้เพียงกับการรอความสงบ แต่อาจจำเป็นต้องเร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์ พัฒนาเศรษฐกิจที่หลากหลาย และสร้างความร่วมมือข้ามพรมแดนในระดับชุมชน เพื่อให้ชายแดนกลับมาเป็นเส้นทางแห่งโอกาสเหมือนที่ผ่านมา

Author

Alternative Text
AUTHOR

วชิร​วิทย์​ เลิศบำรุงชัย

ผู้สื่อข่าวสาธารณสุข ThaiPBS