เศรษฐกิจช็อก! ชายแดนกระทบหนัก จากความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

ความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เริ่มมาตั้งแต่ช่วงต้นปี จนถึงต้นเดือนมิถุนายน ที่เริ่มมีการเปิด-ปิดด่านชายแดน จนในที่สุดเกิดการปะทะรุนแรงจนต้องปิดด่าน สิ่งที่ตามมา คือ เศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดนตกอยู่ “ภาวะช็อก” พร้อมกับความหวาดวิตกของผู้คน

หากเปรียบเทียบมูลค่าทางการค้าระหว่างไทย-กัมพูชา กับภาพรวมของประเทศ ดูเหมือนมีมูลค่าไม่มากนัก โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าความตึงเครียดกับกัมพูชาทำให้การค้าชายแดนหยุดชะงัก แต่ผลกระทบต่อภาพรวม “การส่งออก” ของไทยยังถือว่ายังอยู่ในวงจำกัด

ผลกระทบจากการส่งออกของไทยไปยังกัมพูชาหลังจากปิดด่าน หายไปอย่างสิ้นเชิงในช่วงที่เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรง โดยมูลค่าส่งออกเริ่มลดลงอย่างฮวบอาบ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2568 และ เมื่อมีการปิดด่านโดยสิ้นเชิงจากความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้น ทำให้การส่งออกไปยังกัมพูชาหายไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งโดยเฉพาะแล้ว ไทยส่งออกไปยังกัมพูชาประมาณเดือนละ 12,000 ล้านบาท

แต่ผลกระทบที่หนักยิ่งกว่าตัวเลขการค้าในภาพรวม คือ วิถีชีวิตของผู้คนตามพื้นที่ชายแดน เพราะนอกจากคนตามแนวชายแดนจะไปมาหาสู่กันและเป็นญาติพี่น้องกันแล้ว การเปิดพรมแดนเพื่อค้าขายที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2531 ตามนโยบาย “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของผู้คนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนของทั้งสองประเทศ

ตลาดสดช่องจอม จ.สุรินทร์ เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง แม้ว่าเสียงปืนจะสงบลงชั่วคราว แต่ตลาดชายแดนช่องจอมแทบร้างผู้คน จากที่เคยคึกคักด้วยสินค้าจากทั้งฝั่งไทยและกัมพูชา

 “นิวัฒน์ จอมคำสี”  เจ้าของร้านขายของสด และสินค้าทั่วไปใช้ในชีวิตประจำวัน ยังคงเปิดขายท่ามกลางสถานการณ์ไม่ปกติ หลังเหตุปะทะเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ที่ผ่านมา บอกว่าแม้จะรู้ว่าสถานการณ์ไม่ปลอดภัย แต่ก็ยังเปิดขาย เพราะลูกค้าหลักในตอนนี้ คือทหารและชาวบ้านบางส่วนที่ยังไม่อพยพ

 “กลัวก็กลัวครับ แต่ก็อยู่ไปวัน ๆ รายได้ก็ไม่ได้มากอะไร อยู่แบบนี้ก็เพื่อประคองร้านไว้ก่อน ของก็ลดลง ซื้อแค่ที่จำเป็น”

ตลาดแห่งนี้ เคยเป็นจุดแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างคนสองฝั่งแดน ทั้งชาวไทยและกัมพูชา นิวัฒน์ เล่าว่าเมื่อก่อนตลาดตรงนี้คึกคักมาก ของจากฝั่งกัมพูชาก็มีพวกผักป่า เห็ด หอย ส่วนของไทยเราก็มีของสด ลูกชิ้น หมู ไก่ ผลไม้ พวกมะม่วง ข้าวโพด ฝั่งโน้นก็มาซื้อไปขายต่อเป็นประจำ โดยเฉพาะวันพุธกับวันเสาร์จะมากเป็นพิเศษ

แม้รายได้จะลดลง 10-20 เท่าตัว แต่เขายืนยันว่าไม่คิดจะเลิกขายในตอนนี้ “อยากให้สถานการณ์กลับมาเหมือนเดิมครับ เพราะตอนนี้มันกระทบหนัก ถ้ายังเปิดไม่ได้ก็คงต้องมองหาทางอื่น”

นิวัฒน์ที่บอกว่า “ลูกค้ากัมพูชาก็ยังโทรมาถามครับว่าสถานการณ์เป็นไงบ้าง เขาก็เป็นห่วงเรา เราก็เป็นห่วงเขา เพราะเป็นลูกค้าเจ้าประจำกัน”

ไม่ไกลจากตลาดสดช่องจอม พบว่าโครงสร้างคอนกรีตเปลือยที่ยังไม่แล้วเสร็จ ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางความเงียบ เป็นโครงการอาคารพาณิชย์ที่เคยถูกออกแบบให้รองรับร้านค้าชายแดน โดยมีเป้าหมายยกระดับตลาดท้องถิ่นให้กลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ของจังหวัด

แต่ภาพฝันก็ต้องหยุดชะงักลงพร้อม ๆ และการถอนตัวของแรงงานก่อสร้างชาวกัมพูชา หลังความตึงเครียดบนแนวชายแดนปะทุรุนแรง

อาคารเหล่านี้จึงไม่ได้เป็นเพียงสิ่งปลูกสร้างที่หยุดนิ่ง แต่ยังสะท้อน “ต้นทุนความไม่แน่นอน” ของพื้นที่เศรษฐกิจชายแดน ซึ่งต้องเผชิญกับความเสี่ยง นอกเหนือการควบคุมของชาวบ้านและผู้ประกอบการ

ลูกค้าหาย รายได้ลดลงทันที 30%

พลัฏฐ์ โชติอัครธรรศ ผู้บริหารหนุ่มจากบริษัท เดอะวัน ซุปเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด ร้านค้าส่งของใช้และสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ใน จ.สุรินทร์ เล่าว่า แม้ธุรกิจค้าส่งของเขาจะไม่ได้พึ่งพาตลาดกัมพูชาโดยตรง แต่แรงสั่นสะเทือนจากเหตุการณ์ชายแดนก็ทำให้ยอดขายตกลงทันตา

“ก่อนหน้านี้ลูกค้าฝั่งกัมพูชาจะข้ามมาเดินซื้อของเป็นประจำ บางคนมาไลฟ์สดขายของกันในร้านผมเลย แล้วซื้อกลับไปขายต่อ แต่ตั้งแต่เกิดเหตุปะทะช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ลูกค้าหายไปเกือบหมด ยอดขายหายไปทันทีประมาณ 30% ต้องอาศัยคนในพื้นที่ที่ยังพอมีรายได้ หรือพวกที่มาซื้อของไปบริจาคช่วยบ้างเล็กน้อย”

พลัฏฐ์ อธิบายว่า ร้านค้ารายย่อยตามแนวชายแดนไทย – กัมพูชา คือฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจพื้นที่ หลายร้านทำงานแบบ “เงินหมุนวันต่อวัน” มีทุนไม่มาก หากขาดรายรับเพียงไม่กี่วัน ธุรกิจก็อาจหยุดชะงัก “บางร้านทุนหมุนแค่หลักหมื่น พอของขายไม่ได้ เขาก็ต้องหยุดซื้อ ต้องเปลี่ยนอาชีพ หรือหาอย่างอื่นทำเพื่อเอาตัวรอด ผลกระทบจึงเป็นลูกโซ่

ผู้ประกอบการชะลอสั่งสินค้ามาขาย

รัฐวิทย์ อังคสกุลเกียรติ ประธานหอการค้าจังหวัดศรีสะเกษ บอกว่าคนจะมองหอการค้าว่ากังวลแต่เเรื่องเศรษฐกิจ แต่ในความเป็นจริง ผู้ประกอบการในพื้นที่เข้าใจดีว่า “เศรษฐกิจเดินไม่ได้ หากประเทศไม่มั่นคง”

“เวลามีคนมาสัมภาษณ์หอการค้า มักจะเน้นเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจว่าเสียหายมากน้อยแค่ไหน แต่ภาพที่ออกไปกลับไม่สะท้อนว่า เอกชนเองก็ห่วงเรื่องความมั่นคง เพราะมันคือฐานสำคัญของเศรษฐกิจเช่นกัน”

สำหรับ พื้นที่ชายแดนที่สำคัญของศรีสะเกษมี 2 แห่ง ได้แก่

            ด่านช่องสะงำ อำเภอภูสิงห์ เป็นด่านถาวรที่ใช้ในการขนส่งสินค้านำเข้าและส่งออกระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยเฉพาะสินค้าประเภทอุปโภคบริโภค เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำผลไม้ สบู่ ยาสีฟัน และเครื่องจักรทางการเกษตร มูลค่าการค้าชายแดนที่ด่านแห่งนี้อยู่ระหว่าง 1,500 – 1,900 ล้านบาทต่อปี

          บริเวณผามออีแดง ซึ่งเคยเป็นทางขึ้นปราสาทเขาพระวิหาร และจุดท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากทั้งคนไทยและต่างชาติ แต่หลังจากเหตุพิพาทเมื่อปี 2554 ทางขึ้นปราสาทถูกปิดจนถึงปัจจุบัน

ล่าสุด แม้เหตุการณ์ปะทะจะเกิดขึ้นบริเวณใกล้เขาพระวิหาร แต่ ด่านช่องสะงำ ซึ่งเป็นจุดผ่านสินค้า ยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง  แต่ก็มีการสั่งระงับการสัญจรชั่วคราว

“แม้ด่านจะยังปลอดภัย ไม่มีการปะทะโดยตรง แต่ความไม่แน่นอนทำให้ไม่สามารถดำเนินการค้าชายแดนได้ตามปกติ สินค้าหลายประเภทเป็นสเปกเฉพาะของตลาดกัมพูชา พอรู้ว่าตลาดฝั่งโน้นมีปัญหา ผู้ประกอบการก็เริ่มชะลอการสั่งซื้อ”

อย่างไรก็ตาม หากจะมองผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ชัดเจนขึ้น ต้องเปรียบเทียบกับภาวะปกติ ซึ่งจะพบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมากและผลกระทบครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งก่อน

เศรษฐกิจชายแดนเพิ่งฟื้นตัวจากโควิด

วิรัตน์ เศรษฐวิพัฒนชัย ประธานหอการค้าจังหวัดสุรินทร์ เล่าถึงบรรยากาศการค้าขายชายแดนไทย–กัมพูชาในอดีต โดยเฉพาะในช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 ว่าเป็นช่วงที่เศรษฐกิจชายแดนคึกคักอย่างมาก

“ก่อนโควิด ชายแดนสุรินทร์ โดยเฉพาะบริเวณด่านช่องจอม มีรถทะเบียนกัมพูชาเข้ามาจำนวนมาก คนจากฝั่งโน้นเดินทางเข้ามาเพื่อรักษาพยาบาล ซื้อสินค้า และท่องเที่ยว ภาคบริการฝั่งไทยเติบโตขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งโรงพยาบาล คลินิกทันตกรรม ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า รวมถึงธุรกิจอพาร์ตเมนต์ที่ผุดขึ้นมาเพื่อต้อนรับลูกค้าต่างชาติ”

การจับจ่ายใช้สอยของชาวกัมพูชาไม่เพียงจำกัดแค่สินค้าทั่วไป แต่ยังรวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภคและเครื่องใช้ไฟฟ้า มีการติดป้ายภาษากัมพูชาในหลายร้านค้า และว่าจ้างแรงงานจากฝั่งกัมพูชามาช่วยให้บริการ รองรับลูกค้าชาวต่างชาติอย่างจริงจัง

“ขับรถไปตามถนนก็เห็นทะเบียนกัมพูชาเต็มไปหมด สินค้าจากฝั่งไทย ไม่ว่าจะเป็นของใช้หรืออาหารสด ต่างก็ได้รับความนิยมมาก”

ภายหลังการระบาดของโควิด-19 นายวิรัตน์ระบุว่า แม้สถานการณ์จะเริ่มคลี่คลาย แต่การค้าชายแดนก็ยังไม่ฟื้นกลับมาเต็มที่

“หลังโควิด จำนวนลูกค้าชาวกัมพูชากลับมาแค่ประมาณ 50–60% ของช่วงก่อนหน้านั้น ยังไม่ฟื้นเต็มร้อย”

จากหลังโควิดเริ่มคึกคักสู่เงียบงัน

กระทั่ง เกิดเหตุความตึงเครียดบริเวณชายแดนในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา บรรยากาศการค้าขายที่เริ่มฟื้นตัวก็ค่อย ๆ เงียบลงอีกครั้ง

“รอบนี้หนักเลยครับ หายไปเกือบ 100% ทั้งกลุ่มลูกค้าและรถขนส่ง ทุกอย่างหยุดหมดแบบกะทันหัน”

ผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบดังกล่าวส่งตรงมายังภาคธุรกิจอย่างหนัก โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการในเขตด่านชายแดน เช่น ตำบลด่าน ช่องจอม และอำเภอกาบเชิง ที่เคยเป็นศูนย์กลางการค้าชายแดน

“กลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด คือผู้ประกอบการที่ขายส่งสินค้าอุปโภคบริโภคไปกัมพูชา กับกลุ่มเกษตรกรที่ส่งออกไก่สด – ซึ่งปกติสุรินทร์ส่งไก่ไปฝั่งโน้นถึงเดือนละ 700,000 ตัว แต่ตอนนี้ทุกอย่างหยุดหมด”

ไม่มีใครหลีกหนีผลกระทบได้

วิรัตน์ย้ำว่า หากเปรียบเทียบระหว่าง 4 จังหวัดชายแดนภาคอีสานตอนล่าง ได้แก่ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี จังหวัดสุรินทร์ถือว่ามีมูลค่าการค้าชายแดนสูงที่สุด

“เรามีศักยภาพสูงสุดในด้านการค้าชายแดน แต่เมื่อเกิดสถานการณ์แบบนี้ ไม่ว่าจะรายย่อยหรือรายใหญ่ก็ได้รับผลกระทบ เพียงแต่อาจต่างกันในระดับความรุนแรง รายใหญ่พอจะประคองได้บ้าง แต่รายย่อยจำนวนมากได้รับผลเต็ม ๆ”

 “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” เปลี่ยนโฉมชายแดน

เมื่อย้อนกลับไปในช่วงที่มีนโยบาย “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” วิรัตน์บอกว่า เป็นช่วงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจชายแดนอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะการยกระดับด่านช่องจอมจากด่านชั่วคราวเป็นด่านถาวร พร้อมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างถนนและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ

“เมื่อก่อนทางเข้าช่องจอมเป็นถนนลูกรัง เข้าออกลำบาก แต่พอเปิดด่านถาวร มีการสร้างถนนเชื่อมต่อ ระบบโลจิสติกส์ก็ดีขึ้นมาก ทำให้ค้าขายคล่องตัว ผู้คนเดินทางสะดวก ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศก็เอื้อต่อเศรษฐกิจโดยตรง”

สินค้าไทยเป็นที่นิยมในกัมพูชา ทั้งในแง่คุณภาพและความเชื่อมั่น ส่งผลให้เศรษฐกิจในตัวเมืองสุรินทร์เติบโตตามมาอย่างต่อเนื่อง

อยากให้กลับมาเหมือนเดิม

ท้ายที่สุด วิรัตน์สะท้อนว่า ในฐานะผู้ประกอบการที่อยู่ในพื้นที่มานาน เขาอยากเห็นสถานการณ์กลับมาเป็นปกติโดยเร็ว ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเลขเศรษฐกิจเท่านั้น แต่เพราะ “เศรษฐกิจชายแดน” คือหัวใจของคนในพื้นที่จำนวนมาก

“จังหวัดที่มีพรมแดนติดประเทศเพื่อนบ้าน ย่อมมีความได้เปรียบทางการค้า แต่ถ้าด่านปิด หรือความตึงเครียดยืดเยื้อ มันไม่ใช่แค่ค้าขายหยุด แต่ส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจทั้งจังหวัดเลยครับ”

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Author

Alternative Text
AUTHOR

วชิร​วิทย์​ เลิศบำรุงชัย

ผู้สื่อข่าวสาธารณสุข ThaiPBS