2 สัปดาห์แห่งความไม่แน่นอนตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา อาจเป็นเพียงจังหวะสั้น ๆ ของความพยายามหาทางคลี่คลายสถานการณ์ตึงเครียดให้ได้ข้อยุติ แต่สำหรับชีวิตผู้คน นี่อาจเป็น 2 สัปดาห์ ที่พวกเขาต้องจมอยู่กับบาดแผลในใจ
การโจมตีจากฝ่ายกัมพูชา ที่เกิดขึ้นกับเป้าหมายพลเรือน กลุ่มเปราะบาง ทำให้หลายคนเผชิญหน้ากับความสูญเสียทั้งชีวิตของคนที่รัก และทรัพย์สิน บ้านเรือน ชาวบ้านนับแสนต้องทิ้งบ้านเรือนตัวเอง อพยพหนีภัย อาชีพที่ต้องทิ้งเพื่อเอาชีวิตรอด เด็ก ๆ ที่ไม่ได้ไปโรงเรียนเกือบครึ่งเดือน คือราคาที่ต้องแลกกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้น

จนถึงวันนี้หลายพื้นที่ ผู้คนได้กลับคืนบ้านเรือนของตัวเอง หลังการประชุม GBC ลงนามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเป็นทางการ แต่สำหรับ 2 สัปดาห์แห่งความหวาดผวาที่เพิ่งผ่านพ้นไป อะไรคือหลักประกันว่าชีวิตของผู้คนที่ชายแดน จะไม่ต้องเผชิญกับเรื่องเลวร้ายแบบนี้อีก…?
แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้องเผชิญกับความไม่สงบชายแดน แต่การปะทะรอบนี้ สำหรับ ยอด ลายตีเงิน ชาวพนมดงรัก จ.สุรินทร์ วัย 55 ปี สารภาพตามตรงว่า น่ากลัวจนเธอและครอบครัวต้องทิ้งบ้านเพื่ออพยพไปที่อื่น ต่อให้ได้กลับบ้าน ใจจริงก็ยังกังวลอยู่
“ถ้าเขายิงกันอีก ก็คงต้องมาใหม่ ผู้ใหญ่บ้านเขาก็ไม่ให้เราอยู่หรอก”
ยอด ลายตีเงิน

ปกติ ยอด และสามี ทำนา ปลูกมันสำปะหลัง และรับจ้างส่งวัสดุก่อสร้าง แต่การอพยพอย่างกะทันหันทำให้ทุกอย่างหยุดชะงัก ทั้งรายได้ และการดูแลไร่นา โดยเฉพาะนาข้าวที่เพิ่งลงมือปลูกไว้ก่อนเกิดเหตุ
“ไม่ได้กลับไปดูเลย ตอนนี้แห้งแล้ง ไม่ค่อยมีฝน ไม่ได้ใส่ปุ๋ย ไม่ได้ดูน้ำ หวังว่าให้ได้ผลผลิตแค่ครึ่งเดียวก็ยังดี เงินทุนที่กู้จาก ธ.ก.ส. มันก็ทบไปทบมาทุกปี แบกกันอยู่แบบนี้แหละ”
ยอด ลายตีเงิน
ความไม่แน่นอนของชีวิต ยังอยู่ในความรู้สึกของ วิษณุกร ขันโมลี ชาวตำบลโคกกลาง อ.พนมดงรัก ที่จากนี้คงต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ ๆ จึงจะสามารถกลับไปเปิดร้านขายของชำในหมู่บ้านได้ตามเดิม เพราะตอนนี้มองว่ายังไม่มีอะไรแน่นอน ที่ทำได้ คือกลับมาเปิดร้านเป็นช่วง ๆ ลูกค้าก็ไม่ค่อยมี เพราะชาวบ้านก็ยังกลัว ๆ กันอยู่

“แม้จะได้รับอนุญาตให้กลับเข้าบ้านในบางช่วงเวลา แต่ก็ยังไม่มั่นใจพอที่จะใช้ชีวิตได้ตามปกติ หลายครอบครัวยังคงใช้ชีวิตแบบ “ไป-กลับ” โดยเฉพาะผู้ชายที่ผลัดกันกลับมาเฝ้าบ้านช่วงกลางคืน ก่อนจะกลับไปนอนที่ศูนย์อพยพ”
“ร้านก็เปิด ๆ ปิด ๆ ของก็เติมไว้เฉย ๆ ขายได้ก็ขาย ขายไม่ได้ก็เก็บไว้ก่อน… มันเงียบมาก ไม่มีใครออกจากบ้าน 6 โมงเย็น ก็แทบไม่มีใครเดินแล้ว”
วิษณุกร ขันโมลี
เหตุปะทะทำให้กระทบต่อรายได้ของชาวบ้านแถบนี้ เพราะส่วนใหญ่มีรายได้หลักจากการกรีดยาง ถ้าออกไปกรีดยางไม่ได้ ก็แทบไม่มีรายได้ นั่นทำให้ไม่ค่อยมีมาซื้อของ
“อยากให้สถานการณ์มันดีขึ้น หยุดยิงกันจริง ๆ สักที จะได้กลับมาทำมาหากินเหมือนเดิม ไม่ต้องคอยระวังหรือหอบของเตรียมหนีตลอดเวลา”
วิษณุกร ขันโมลี

ในศูนย์พักพิงชั่วคราวแห่งหนึ่งของ จ.ศรีสะเกษ กิ่งกมล ตาลหอม ชาวบ้านเสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ ยังเป็นอีกคนที่ต้องยอมรับสภาพกับความไม่แน่นอนในชีวิตหลังจากนี้
ช่วงที่ผ่านมา เธอ คือเกษตรกรคนหนึ่งทั้งเลี้ยงวัว ปลูกข้าว กรีดยาง แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ทุกอย่างต้องยุติลง
“ยางก็กรีดไม่ได้ ต้องฟังเสียงปืนไปด้วย วัวก็ขายไม่ได้เพราะไม่มีคนซื้อ ข้าวก็ใส่ปุ๋ยไม่ได้ ปล่อยทิ้งไว้ มันก็เสียหมด รายได้ก็บ่มี”
กิ่งกมล ตาลหอม
ในสายตาของเธอ ความหวังที่จะกลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติ คือ ทั้ง 2 ประเทศต้องคุยกันให้เข้าใจ เพราะคนที่ลำบาก คือชาวบ้านตาดำ ๆ ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งอะไรเลย
นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวของเสียงสะท้อนที่ The Active รับฟังจากชาวบ้านในช่วงเวลาที่พวกเขายังอยู่ในศูนย์พักพิงฯ หลายคนสะท้อนตรงกันว่าการเอาชีวิตรอดปลอดภัยคือความจำเป็นในช่วงวิกฤตที่เกิดขึ้น แต่เมื่อทุกอย่างเริ่มคลี่คลาย การสร้างความมั่นใจให้กับชาวบ้าน เพื่อได้กลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ กลายเป็นสิ่งที่หลายคนต้องการมากกว่า
ถ้าย้อนดูข้อมูลจะพบว่า เหตุปะทะชายแดนรอบนี้ ทำให้ผู้คนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างอกสั่นขวัญแขวนเกือบ 2 แสนคน ซึ่งถือเป็นยอดสูงสุดในวันที่ 29 ก.ค. 68 ชาวบ้านต้องหนีภัยการปะทะ โจมตีตลอดแนว 7 จังหวัดชายแดน ไปอยู่ภายในศูนย์พักพิงฯ

แม้เวลานี้แทบทุกพื้นที่ทยอยกลับบ้านกันแล้ว แต่ยังไม่มีใครรู้เลยว่าอนาคตของชาวบ้านถูกแขวนไว้กับอะไร เพราะสำหรับบางคน การหนีตาย เพื่อเอาตัวรอด อาจไม่ใช่เพียงการย้ายที่นอน แต่คือการแลกกับอะไรหลาย ๆ อย่าง โดย The Active สรุปไว้เบื้องต้น ดังนี้
ความมั่นคงในชีวิต
- บ้านและทรัพย์สิน — บ้านเรือนถูกทิ้งไว้โดยไม่รู้ชะตา บางหลังได้รับความเสียหายจากระเบิด
- พื้นที่ทำกิน — นาข้าว สวนยาง สวนมัน ปศุสัตว์ต้องปล่อยทิ้ง สูญเสียรายได้
- ความไม่ปลอดภัย — บ้านที่เคยเป็นที่พึ่งกลายเป็นพื้นที่เสี่ยงตาย
ความไม่แน่นอนและความหวาดระแวง
- ไม่รู้ว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อแค่ไหน — ทำให้วางแผนชีวิตไม่ได้ว่าจะอยู่ศูนย์อพยพกี่วัน
- ข่าวลือและข้อมูลที่สับสน — ทำให้เกิดความตื่นตระหนก
- ความไม่ไว้วางใจต่อรัฐ — ไม่แน่ใจว่าฝ่ายไหนควบคุมสถานการณ์ได้จริง หรือจะปกป้องประชาชนได้เพียงพอ
ต้นทุนทางเศรษฐกิจและสังคม
- รายได้ — เกษตรกร ค้าขาย และแทบทุกอาชีพ ถูกตัดขาดจากงาน
- ค่าใช้จ่ายแฝง — ค่าน้ำมันเดินทาง ค่ายา ค่าอาหารที่ต้องซื้อเพิ่มจากที่ศูนย์พักพิงฯ แจก
ผลกระทบต่อสุขภาพกายและจิต
- สุขภาพกาย — ความไม่สะอาด การอยู่อย่างแออัด เสี่ยงโรคระบาด ภายในศูนย์พักพิงฯ
- สุขภาพจิต — ความเครียดสะสมจากเหตุปะทะ สงครามข่าวสาร ข้อมูลเท็จ การจากบ้าน สูญเสียทรัพย์สิน คนที่รัก
- เด็กและผู้สูงอายุ — อาจเกิดภาวะซึมเศร้า หวาดผวา กลายเป็นบาดแผลในใจ โดยเฉพาะเด็กเล็ก
ลมหายใจชายแดน กับการเริ่มต้นใหม่(อีกครั้ง) ?
แม้ในภาวะที่เหตุการณ์เริ่มคลี่คลาย แต่การกลับบ้านรอบนี้ของหลาย ๆ คน อาจจะต่างจากเดิมหรือไม่ ? เมื่อยังอยู่ท่ามกลางความรู้สึกกังวล ไม่ปลอดภัย ในมุมมองของนักวิชาการในพื้นที่ จตุพร ดอนโสม คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์ ในฐานะผู้ที่เคยศึกษาวิจัยเรื่อง “ปฏิบัติการในชุมชนชายแดนรัฐจัดตั้งบนพื้นที่ชายแดนไทยกัมพูชา” วิเคราะห์ว่า ความรู้สึกผ่อนคลายเกิดขึ้นทันทีหลังทราบบทสรุปในระดับรัฐทั้ง 2 ฝ่ายได้ข้อสรุปร่วมกัน แต่ความไม่ปลอดภัยยังคงอยู่ ที่สำคัญการอยู่แบบเดิมอาจไม่เต็มร้อย
โดยอธิบายว่า ที่ผ่านมาชาวบ้านอยู่กันแบบพี่น้อง หรือเป็นเครือญาติกันจริง ๆ พวกเขาเป็นกลุ่มชาติพันธ์เดียวกันแม้ภายหลังจะมีความหลากหลายมากขึ้น มีการแต่งงานข้ามรัฐ และทำมาหากินร่วมกันในพื้นที่ ไม่เว้นแม้แต่พื้นที่พิพาท
“ไทยและเขมร เขารู้วิธีเลี่ยง ๆ จากกฎเกณฑ์ของรัฐทั้ง 2 ประเทศ นี่คือชีวิตจริง ๆ ของคนในพื้นที่”
จตุพร ดอนโสม
สำหรับเหตุการณ์ตึงเครียดรอบนี้ จตุพร ยอมรับว่า ชาวบ้านในพื้นที่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดขึ้นจากอะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร แม้แต่วันที่ต้องอพยพ สถานการณ์นี้ทำให้เราเห็นอำนาจของรัฐที่แผ่ขยายมายังชายแดน ขณะที่อำนาจของท้องถิ่นแผ่วลง แต่คนที่สูญเสีย หรือแพ้จากเหตุการณ์รอบนี้ คือ ชาวบ้านของทั้ง 2 ฝั่ง
ชีวิตคนชายแดนหยุดชะงัก! เมื่อมีคำสั่ง ‘ปิดด่าน’
“โศกนาฏกรรมในครัวเรือน” คือคำนิยามที่ จตุพร มองเห็นจากสถานการณ์ชายแดนที่เกิดขึ้น ทั้งความสัมพันธ์ของชาวบ้านทั้ง 2 ฝั่ง จากที่เคยมีต้นทุนร่วมกันมาตั้งแต่อดีต ทั้งวัฒนธรรม การค้า และโครงสร้างพื้นฐานหลาย ๆ อย่าง ที่ร่วมกันพัฒนาในนาม “หมู่บ้านคู่ขนาน” เป็นความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดนตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา
“สิ่งที่น่ากังวลมากกว่า คือ กระแสสังคมคลั่งชาติ ความเกลียดชัง ความรุนแรงที่มีต่อแรงงาน ไม่ว่าจะฝ่ายไทยหรือกัมพูชา ความรู้สึกเหล่านี้ต่างหาก ที่เป็นสิ่งที่น่ากลัว และมีผลต่อความสัมพันธ์ของคนชายแดน มากกว่าความรู้สึกที่พวกเขาเองมีต่อกัน”
จตุพร ดอนโสม
ถึงตรงนี้…ผู้คนตามแนวชายแดนยังคงเฝ้ารอวันที่พวกเขาจะได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ โดยไม่ต้องเก็บกระเป๋าหนีภัยทุกครั้งที่ความตึงเครียดกลับมาเยือน
เหตุปะทะอาจมีต้นตอมาจากการเมือง การตีตรงเส้นแบ่งเขตแดน แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือ ชีวิตจริง ของผู้คนที่ต้องแลก และสูญเสียทุกอย่างไปกับความไม่แน่นอน การแก้ปัญหาที่แท้จริงจึงอาจไม่ได้อยู่เพียงบนโต๊ะเจรจา หรือแนวทางทางการทหาร แต่คือการมองเห็น และให้ความสำคัญกับเสียงเล็ก ๆ ของคนชายแดน ที่อยากให้ความสงบสุขกลับมา และไม่ต้องกลัวว่าพรุ่งนี้ หรือวันไหน ๆ พวกเขาจะต้องอพยพ ทิ้งบ้านกันอีก