สถานการณ์ความขัดแย้ง ไทย-กัมพูชา เริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น ภายหลังที่ประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย -กัมพูชา ที่มาเลเซีย เห็นพ้องตามข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ในขณะที่ประชาชนยังคงเกาะติดความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด
หากย้อนกลับไปสำรวจท่าทีการเคลื่อนไหวของประชาชนในช่วงความขัดแย้งที่ผ่านมา จะพบว่าหลายคนออกมาแสดงความรักชาติ เรียกร้องให้ช่วยกันสนับสนุนกองทัพ หลายคนออกมารณรงค์ระดมความช่วยเหลือในรูปแบต่าง ๆ ทั้งสิ่งของอุปกรณ์ที่จำเป็นให้กับทหารและชาวบ้านที่ชายแดน หลายคนออมาทำคลิป ให้ข้อมูลชี้แจงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นต่อชาวโลกเป็นภาษาอังกฤษ หรือช่วยชี้แจง “ข่าปลอม” ที่ระบาดหนักรุนแรงในช่วงสถานการณ์คุกรุ่น บางคนเลยเถิดไปถึงขั้นด่าทอล้อเลียนกัมพูชาในมิติต่าง ๆ ที่เลยเถิดไปจากประเด็นพิพาทเรื่องเขตแดน
หลายคนนิยามตนเองเป็น “Active Citizen” หรือ “พลเมืองตื่นตัว” คือพลเมืองที่ไม่ได้เป็นแค่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเท่านั้น แต่ยังหมายถึงผู้ตระหนักรู้ในเหตุบ้านการณ์เมือง รับผิดชอบต่อสาธารณะ มีจิตอาสาและกระตือรือร้นที่ร่วมแก้ไขปัญหาสร้างความเปลี่ยนแปลง แม้จะไม่มีตำแหน่งหรือบทบาททางการเมืองการปกครองก็ตาม
จากข้อมูลของ Wisesight ที่ทำการรวบรวมผ่านเครื่องมือ Zocial Eye และวิเคราะห์โดย The Active พบว่า ตั้งแต่วันที่ 28 พ.ค. 2568 (เหตุการณ์ปะทะที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี) ถึง 7 ส.ค. 2568 โลกออนไลน์มีการพูดถึงสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา กว่า 5,709,371 ข้อความ และได้รับความสนใจ (ยอดกดดู ไลก์ แชร์ และคอมเมนต์รวมกัน) ทั้งหมด 1,158,092,721 เอ็นเกจเมนต์
โดยวันที่ได้รับยอดเอ็นเกจเมนต์สูงสุด คือวันที่ 24 ก.ค. 2568 ซึ่งคือวันที่มีเหตุการณ์ปะทะรุนแรงระหว่างทหารไทยและกัมพูชา โดยมียอดสูงถึง 141.94 ล้านเอ็นเกจเมนต์
ภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว พบว่าผู้คนบนโลกโซเชียลให้ความสนใจกับการพูดถึงสถานการณ์ความขัดแย้งเพิ่มสูงขึ้นจากช่วงก่อนหน้า โดยตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. เป็นต้นมา ในระยะเวลาเพียง 2 สัปดาห์ มียอดเอ็นเกจเมนต์คิดเป็นกว่า 70.54% เทียบกับยอดเอ็นเกจเมนต์ทั้งหมดที่มีมา ตั้งแต่วันที่ 28 พ.ค. 2568 (หรือรวม 10 สัปดาห์)
อย่างไรก็ตาม เนื้อหาการพูดถึงสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนมีความหลากหลาย ซึ่งอาจแบ่งออกได้เป็น 6 จัดประเภท ตามแต่ละเนื้อหาที่พูดถึง ดังนี้
1. เล่าสถานการณ์
เนื้อหาบอกเล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น รายงานเหตุการณ์การปะทะในบางจุด เช่น คลิปเปิดนาทีทหารไทยปะทะทหารกัมพูชา หรือคลิปสรุปเหตุการณ์ภาพใหญ่ในแต่ละวัน รวมถึงการบอกเล่าข้อความและความเป็นอยู่ของทหารแนวหน้า
นอกจากนี้ ยังมีการรายงานข่าวของต่างประเทศ เกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งของไทย-กัมพูชา โดยส่วนใหญ่เป็นข่าวในด้านที่เป็นประโยชน์หรือเป็นคุณต่อฝ่ายไทย เช่น ระบุว่า สื่อเกาหลีใต้ตั้งข้อสงสัยว่า ถ้าไทยเป็นฝ่ายยิงก่อน ไทยจะให้โรงเรียนเปิดให้เด็ก ๆ ไปโรงเรียนทำไม (อย่างไรก็ตาม เนื้อหาดังกล่าวไม่ได้มีการอ้างอิงที่มาแต่อย่างใด)
2. ตอบโต้ข่าวปลอม
ความพยายามตอบโต้เนื้อหาข้อมูลข่าวสาร เพื่อช่วงชิง “ความจริง” กลับมา เช่น การอัดคลิปอธิบายเหตุการณ์ โดยคลิปที่ได้รับความนิยมมักเป็นคลิปเด็กไทย สื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ จุดประสงค์เพื่อให้ประชาคมโลกได้รับรู้ โดยมีการขยายความว่าเป็นการตอบโต้-ตอกหน้าประเทศกัมพูชา
นอกจากคลิปสื่อสาร ยังมีการใช้วิธีการอื่น ๆ เช่น ไมยราพ (MAIYARAP) หรือ แชมป์-นครินทร์ จรูญวิทยา แรปเปอร์ชาวไทย ที่ได้แต่งเพลง TRUTH ระบุว่าแต่งเพื่อ “เป็นกระบอกเสียงแทนผู้บริสุทธิ์ที่ได้รับผลกระทบ และสื่อสารสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมาในฐานะประชาชนคนหนึ่ง”
รวมถึงมีการใช้ #TruthFromThailand จากทั้งประชาชน ดารา และบุคคลที่มีชื่อเสียง เช่น เจฟ-วรกมล ซาเตอร์ นักร้อง หรือ นุนิว-ชวรินทร์ เพริศพิริยะวงศ์ นักแสดง เพื่อกระจายเนื้อหาที่ระบุว่า เป็นความจริง (ผ่านการระบุอย่างชัดเจนว่าเนื้อหาเหล่านี้เป็น Truth หรือ Facts) เพื่อสื่อสารทั้งในและนอกประเทศ โดยเน้นไปที่ต่างประเทศเป็นหลัก เนื่องจากเนื้อหาบางส่วนมีการแปลเป็นภาษาอังกฤษและภาษาอื่น ๆ จุดประสงค์เพื่อให้ประเทศอื่น ๆ รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น
3. ชื่นชม – เสียใจ – สดุดี
เนื้อหาส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับทหาร มีการชื่นชมในความกล้าหาญในสมรภูมิรบ ขอบคุณที่สู้มาตลอดหลายวัน และให้กำลังใจทหารที่ต่อสู้เพื่อประเทศชาติและปกป้องอธิปไตย
เนื้อหาบางส่วนระบุการสดุดีทหารที่เสียชีวิตจากการปะทะ เน้นย้ำให้มีการจดจำ รวมถึงการบอกเล่าเรื่องราวของทหารบางนาย เช่น สิบเอกจิรายุ สิงห์อ้น ทหารสังกัดกองร้อยลาดตระเวนระยะไกล ที่เสียชีวิตจากการปะทะบริเวณปราสาทตาควาย เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2568
ในส่วนของภาคประชาชน มีการแสดงความเสียใจต่อผู้สูญเสีย ผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบ เช่น โพสต์ของ GMMTV
4. ประณาม
เน้นไปที่การประณามทั้งทหารและผู้นำในฝั่งกัมพูชา โดยเฉพาะเหตุการณ์การโจมตีโรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.สุรินทร์ มีการระบุว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ส่งผลให้มีประชาชนบางส่วนได้รับบาดเจ็บ และมีการใช้ #กัมพูชายิงก่อน และ #CambodiaOpenedFire เพื่อตอบโต้ข่าวปลอมและประณามกัมพูชาไปพร้อมกัน
5. เรียกร้อง – รณรงค์
เรียกร้องให้รัฐบาลหรือหน่วยงานรัฐแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา เช่น ผศ.นพ. ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ระบุ รัฐบาลแก้ปัญหาล่าช้า ชี้ ต้องเร่งร้องเรียนระดับโลกทั้งคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) รวมถึงศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ฟ้องกัมพูชาละเมิด ผิดอนุสัญญาออตตาวา (Ottawa Treaty) หรือ กัน จอมพลัง เรียกร้องตำรวจ ออกจับคนกัมพูชาผิดกฎหมายในไทยตอบโต้การโจมตีพลเรือนของทหารกัมพูชา
ไม่ใช่แค่การส่งเสียงเรียกร้องถึงรัฐ แต่ยังมีการเรียกร้องถึงประชาชนและคนในสังคม เช่น เล่าสถานการณ์ความกลัวของชาวกัมพูชาในไทย ที่ไม่กล้าออกจากห้องมาซื้อข้าวเพราะกลัวโดนททำร้าย ตามมาด้วยการเรียกร้องอย่าทำร้ายกลุ่มคนเหล่านี้ เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องกับการปะทะ หรือคลิปชาวกัมพูชาในไทยขอร้องอย่าทำร้ายคนกัมพูชา
ในระดับที่ใหญ่ขึ้น มีการเรียกร้องยุติสงคราม เช่น การยกคำพูดของ พล.ต.ณัฎฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 ที่ให้สัมภาษณ์กับไทยรัฐว่า “ไม่อยากให้มีการปะทะ เพราะการที่ทหารตาย 1 นาย มันไม่ใช่เรื่องสนุก เพราะทหาร 1 คน ต้องมีลูกเมีย พ่อแม่ คนอยู่ข้างหลังอีกหลายคน” สะท้อนให้เห็นความคิดของทหารในอีกมุมหนึ่งนอกเหนือจากการปกป้องอธิปไตยที่ต้องแลกด้วยชีวิต
6. ช่วยเหลือ
ส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบคลิปวิดีโอ เนื้อหาเกี่ยวข้องกับการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือทั้งฝั่งทหารไทย และประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เช่น
- บุ๋ม ปนัดดา สร้างบังเกอร์ 11 ขุด มูลค่า 2.5 ล้านบาท
- ชาวบ้านทำอาหารหรือซื้อของ แจกทหารแนวหน้า
- ช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการโจมตี ทั้งจากบริจาคข้าวและน้ำ หรือการลงพื้นที่ช่วยเหลือ
รวมถึงการเยี่ยมทหารที่สูญเสียอวัยวะจากการเหยียบกับระเบิด ซึ่งเป็นหนึ่งในการสร้างขวัญกำลังใจเช่นกัน

“Active Citizen” หรือ “พลเมืองผู้ตื่นตัว” ปรากฏตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ในโลกออนไลน์ตลอดระยะเวลาที่มีความขัดกันทางอาวุธในชายแดนไทย-กัมพูชา มีทั้งชาวเน็ต อินฟลูเอนเซอร์ (influencer) รวมถึงเพจและแอคเคาต์ที่มีผู้ติดตามจำนวนมากในแพลตฟอร์มดิจิทัล ต่างกระตือรือร้นในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารและความคิดเห็นต่อการสู้รบไทย-กัมพูชา ส่งต่อข้อมูลจากกองทัพพร้อมทั้งแปลออกเป็นหลายภาษาเพื่อสื่อสารกับนานาชาติ
อีกจำนวนหนึ่งออกมาสนับสนุนกองทัพยกระดับการสู้รบ หลายคนสะใจกับการเสียชีวิตของทหารฝ่ายตรงข้าม ไปจนถึงทำภาพเอไอเพื่อโจมตีผู้นำกัมพูชาและปล่อยเฟคนิวส์ หรือแม้แต่ร้านค้าออนไลน์จำนวนมากใช้โอกาสนี้โฆษณาร้านบริการและสินค้าของตนเอง เช่น การนำภาพ บุน รานี ภริยาฮุน เซ็น มาล้อเลียนเพื่อโฆษณาเลเซอร์ลบรอยสักคิ้ว
ปรากฎการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อกองทัพบกเชิญชวนให้ประชาชนติดแฮชแท็ก #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด ตั้งแต่วันที่ 5 มิ.ย. 2568 และเข้มข้นขึ้นเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 หลังเกิดการยิงปะทะระหว่าง 2 ฝ่าย และกองทัพภาคที่ 2 เชิญชวนให้ประชาชนโพสต์ข้อความและที่ติดแฮชแท็ก #กัมพูชายิงก่อน และ #CambodiaOpenedfire กลายเป็นปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารที่นำโดยกองทัพและชาวเน็ต
ปรากฎการณ์นี้ไม่ต่างไปจากปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารทางฝั่งกัมพูชาที่สำนักข่าวออนไลน์และอินฟลูเอนเซอร์ รณรงค์ติดแฮชแท็ก #ThaiFightFirst #ThaiOpenedFire #ThailandOpenFire #ThailandOpenedFire และ #ThailandStartedTheWar
ทำความรู้จัก Active Citizens – พลเมืองผู้ตื่นตัว
พลเมืองผู้ตื่นตัว หรือ Active Citizens นั้น เป็นพลเมืองประเภทหนึ่งของพลเมืองตามแนวคิดทฤษฎีพลเมืองที่สังคมประชาธิปไตยต้องการ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภทได้แก่
- พลเมืองผู้มีความรู้ (Informed Citizens) พลเมืองเหล่านี้มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับวิธีการทำงานของรัฐบาล ประเด็นสำคัญที่สังคมกำลังเผชิญ และหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตย มีความรู้เกี่ยวกับมุมมองที่หลากหลายและสามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีวิจารณญาณ
- พลเมืองผู้ตื่นตัว (Active Citizens) พลเมืองผู้กระตือรือร้นที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการประชาธิปไตย ไม่เพียงลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง แต่ยังเข้าร่วมการอภิปรายสาธารณะ ติดต่อเจ้าหน้าที่รัฐหรือผู้แทนราษฎร และอาจลงสมัครรับเลือกตั้งด้วย ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อระบอบประชาธิปไตยให้ดำเนินไปได้
- พลเมืองผู้มีความรับผิดชอบ (Responsible Citizens) พลเมืองผู้มีความรับผิดชอบยึดมั่นในหลักนิติธรรม เคารพสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น และมีส่วนร่วมในประโยชน์ส่วนรวม เข้าใจว่าการกระทำของตนเองว่ามีผลต่อสังคม คำนึงถึงผู้อื่นในชุมชน
ปองขวัญ สวัสดิภักดิ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงกระแสการปรากฏตัวของพลเมืองผู้มีความรู้ ในช่วงเวลานี้ว่า
“โดยปรกติ active citizen มีนัยยะเกี่ยวกับการเมืองภายในประเทศมากกว่า คือประชาชนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวม มีส่วนร่วมในการรักษาพื้นที่สาธารณะและชุมชน เข้าร่วมในกระบวนการต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อการกำหนดนโยบายของภาครัฐ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ การช่วยเหลือคนในชุมชน หรือต่อต้านการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือคุกคามในชุมชนของตัวเอง
จะเห็นได้ว่าคำคำนี้มักไม่ได้ถูกใช้ในบริบทปัญหาระหว่างประเทศ แต่สามารถตีความอย่างกว้างว่า สถานการณ์ระหว่างประเทศที่ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ในชุมชนของตัวเองให้คนภายนอกได้รับรู้ ก็อาจจะเรียกว่า active citizen ได้ แต่หากเกินไปถึงการรณรงค์ให้เกิดความเกลียดชัง น่าจะอยู่นอกเหนือจากคำนิยามคำนี้ไป”
ในขณะที่ผู้ตื่นตัวทางการเมืองพยายามเกาะติดสถานการณ์และพยายามช่วยเหลือผู้ที่ประสบภัยจากเหตุปะทะชายแดน ก็ไม่เกิดการนิยามและตีตราคนอีกจำนวนหนึ่งว่า เป็น “ไทยเฉย” ไปจนถึง “คนไทยหัวใจเขมร” ซึ่ง ปองขวัญ สวัสดิภักดิ์ อธิบายปรากฎการณ์นี้ว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วไปเพราะ ภาวะที่กลุ่มหรือประเทศกำลังเผชิญหน้ากับความขัดแย้งกับกลุ่มอื่น ๆ มักจะทำให้สมาชิกภายในกลุ่มมีความเหนียวแน่นเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น สิ่งที่มาพร้อมกับความเหนียวแน่นก็คือ กลไกในการจัดกลุ่มว่า ใครคือสมาชิกที่จะช่วยให้กลุ่มรอด หรือที่เรียกว่า “in-group loyalty” หากแต่ประเทศหรือกลุ่มที่มีความเหนียวแน่นมาก ก็จะยอมรับความเห็นต่างได้น้อยลง
เช่นเดียวกับ อัครพงษ์ ค่ำคูณ อดีตคณบดีวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่อธิบายว่า
“การนิยามหรือตีตราเช่นนี้เป็นการแบ่งว่าใครเป็นพวกเดียวกัน ใครอยู่คนละพวก ส่วนหนึ่งก็เพื่อยืนยันความคิดความเชื่อของตนเอง ว่ามีคนจำนวนหนึ่งเห็นด้วยกับตน และเมื่อเวลาเกิดข้อขัดแย้งกันจะสามารถหาพรรคพวก หาข้อสนับสนุนได้
แม้ว่าการแบ่งกลุ่มเช่นนี้ จะยากมากหากพิจารณาว่ากลุ่มไหนมีจำนวนมากกว่ากัน แต่มันง่ายต่อการแสวงหาการยอมรับ สร้างตัวตนในโลกออนไลน์ สามารถสร้างฐานความนิยมชมชอบจากคนจำนวนมากได้ เห็นได้จากอินฟลูเอนเซอร์บางคน เพจบางเพจ อาศัยสถานการณ์ความขัดแย้งนี้โจมตีสร้างความเกลียดชังประเทศคู่ขัดแย้ง เพื่อเพิ่มยอดผู้ติดตาม
แม้เนื้อหาที่นำเสนอมานั้นจะไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริงหรือความเป็นเหตุเป็นผล แต่เป็นเรื่องของความเชื่อความรู้สึกล้วน ๆ และเป็นไปเพื่อหาประโยชน์ โดยใช้กระแสชาตินิยมเป็นโอกาสสร้างตัว สร้างรายได้
ขณะเดียวกันการตีตราคนอื่นว่าเป็น “คนไทยหัวใจเขมร” ก็เป็นการด้อยค่าฝ่ายที่ไม่ใช่พวกเดียวกัน และทำลายความน่าเชื่อถือของบุคคลนั้น แม้ว่าบางคนที่ถูกตีตราจะเป็นนักวิชาการหรือนักให้ความเห็นทางการเมือง ที่พยายามนำเสนอหลักฐานและทางออกเพื่อสันติภาพ”
สำหรับ “ไทยเฉย” นั้น อัครพงษ์ กล่าวว่าเป็นเรื่องที่น่าศึกษาว่าที่เขาเฉย เขาเฉยเพราะอะไร ปัจจัยอะไรที่ทำให้คนกลุ่มนี้ไม่แสดงออก มีอุดมการณ์แนวคิดอย่างไรบ้าง และสังคมต้องการอะไรจากคนกลุ่มนี้
กรณีพิพาทเรื่องเขตแดน ที่ล้ำเส้นไปขัดแย้งเรื่องอื่น
โดยพื้นฐานการปฏิบัติตัวของประชาชนในภาวะสงครามและในภาวะ ความขัดกันทางอาวุธ (Armed conflict – ความขัดแย้งระหว่างกองทัพซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธที่มีการจัดตั้งและโครงสร้างการบังคับบัญชาที่ชัดเจน) นั้น รัฐจะขอความร่วมมือกับประชาชนไม่หูเบา มีวิจารณญาณ และไม่ป่าวประกาศข่าวลือที่ได้ยินมา เพราะไม่เพียงจะสร้างข่าวลือให้เกิดความตื่นตระหนก เสียขวัญกำลังใจ ยังอาจนำไปสู่การเปิดเผยความลับของทางราชการ หรือขยายความขัดแย้งให้รุนแรงและเป็นวงกว้างมากขึ้น
หากแต่ในยุคสมัยที่ประชาชนล้วนใช้เครื่องมือสื่อสารออนไลน์ ชาวเน็ตผู้ตื่นตัวทางการเมืองจำนวนมากพยายามนำเสนอคอนเทนต์ในโลกออนไลน์ รายงานสถานการณ์ความคืบหน้าการสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชา บางคนสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษให้ชาวโลกรับรู้สถานการณ์ บางคนจับผิดเฟคนิวส์ แสดงทัศนคติจากข่าวสารที่ได้รับรู้มาอีกที บางคนเรียกร้องให้ใครผู้อื่นแสดงความคิดเห็นหรือแสดงจุดยืนหรือที่เรียกว่า “call out”
มีคอนเทนต์จำนวนมากที่ถูกนำเสนอที่แม้ว่าจะไม่ใช่ข้อเท็จจริง แต่ก็เป็นไวรัลในโซเชียลมีเดียของทั้งกัมพูชาและไทย เช่น
- เล่าประวัติศาสตร์สงครามไทย-กัมพูชา และพิธีปฐมกรรมพระยาละแวกของสมเด็จพระนเรศวร
- นำภาพฝูงแร้งกำลังบินบนท้องฟ้า แล้วบรรยายว่าเป็นแร้งที่มากินซากร่างของทหารฝ่ายตรงข้ามที่เสียชีวิตจากการสู้รบ
- ทำภาพเอไอของสมเด็จฮุน เซน รักษาตัวในโรงพยาบาล และภาพความสัมพันธ์เชิงชู้สาวของสมเด็จฮุน เซน กับ พล.ท.หญิงมาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมของกัมพูชา
- เสนอภาพเครื่องบินกองทัพไทยโปรยสารเคมีสีชมพู อ้างเป็นก๊าซพิษสังหารชาวกัมพูชา
รวมทั้งปฏิกิริยาต่างๆ ที่ถูกนำมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์ เช่น
- การเผา กระทืบธงชาติประเทศที่เป็นคู่ขัดแย้ง
- ประกาศจะทำร้ายร่างกายแรงงานข้ามชาติที่มาจากประเทศคู่ขัดแย้ง
- พิธีฌาปนกิจศพหุ่นจำลองสมเด็จฮุน เซน กับ พล.ท.หญิงมาลี โสเจียตา โดยชาวบ้านและพระสงฆ์ อ. ด่านช้าง จ. สุพรรณบุรี
จากปรากฎการณ์ดังกล่าว อัครพงษ์ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ในโลกโซเชียลขณะนี้ทำราวกับว่า การสู้รบการปะทะด้วยอาวุธเป็นความบันเทิงเสมือนรายการเรียลลิตี้โชว์ อยากเห็นว่าทหารประจำการกี่จุด อยากเห็นการสู้รบ เหมือนเชียร์มวย ทั้ง ๆ ที่มันคือการฆ่าแกงกัน และเป็นเรื่องยุทธการในการรบที่ไม่ควรนำมาเผยแพร่
และเป็นที่น่าสังเกตว่าบางเพจได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ เป็นปากเป็นเสียงให้กับกองทัพ บางเพจนำเสนอประเด็นแบบออร์แกนิค อีกทั้งความขัดแย้งนี้เริ่มต้นจากประเด็นปัญหาเส้นเขตแดน ซึ่งก็ต้องแก้ไขปัญหาที่เขตแดน ไม่ใช่ไปโจมตีกันเรื่องอื่น ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับความขัดแย้งในครั้งนี้ และตลอดระยะเวลาที่เกิดความขัดแย้งนี้ ประชาชนที่ตามข้อมูลข่าสาร กลับยังไม่ได้เห็นการนำเอกสารแผนที่ทหารมากางและอธิบายเพื่อให้ประชาชนรับทราบข้อเท็จจริงเรื่องเส้นเขตแดนที่เป็นต้นตอของปัญหา
“รักชาติ” แค่ไหน แค่ไหนเรียก “คลั่งชาติ”
ในช่วงเวลาของการปลุกกระแสชาตินิยม ประชาชนผู้ตื่นตัวทางการเมืองจำนวนมากแสดงออกถึงความรักชาติในรูปแบบและระดับที่แตกต่างกันออกไป นอกเหนือจากโลกออนไลน์แล้ว ยังมีการชุมนุมประท้วงที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเมื่อวันที่ 2 ส.ค. 2568 โดย “กลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยไทย” ซึ่งมีจุดประสงค์หนึ่งคือแสดงจุดยืนปกป้องอธิปไตย ไม่ยอมให้ไทยเสียดินแดน
ขณะเดียวกัน ปฏิกิริยาของประชาชนชาวไทยจำนวนหนึ่งต่อการขัดกันทางอาวุธก็รุนแรงมากจนพาลไปถึงแรงงานชาวกัมพูชาในหลายพื้นที่ เช่น จ.สมุทรปราการ จ.ระยอง กรุงเทพฯ เขตมีนบุรี ที่ห่างไกลจากบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา แรงงานชาวกัมพูชาถูกชาวไทยด่าทอ ข่มขู่ ก่อกวนในที่ทำงานและที่พัก เอาหินปาบ้าน ตบหน้า รุมกระทืบ ทำให้แรงงานชาวกัมพูชาหลายคนตกอยู่ในความหวาดกลัว ไม่กล้าให้ลูกไปโรงเรียนเพราะกลัวจะไม่ปลอดภัย และทยอยกลับประเทศอย่างต่อเนื่อง
ปฏิกิริยาของคนไทยต่อชาวกัมพูชาในเวลานี้ บ้างมองว่าเป็นแสดงออกถึงความรักชาติ บ้างมองว่าเป็นความคลั่งชาติ แต่สำหรับความแตกต่างระหว่าง “ความรักชาติ” กับ “ความคลั่งชาติ” นั้น อัครพงศ์ อธิบายว่า
“ความรักชาติ คือความปรารถนาดีต่อชาติให้ชาติเจริญยิ่งขึ้น อยู่ในประชาคมโลกได้อย่างสง่างาม หากแต่ความคลั่งชาตินั้น ความคลั่งมันหมายถึง ความขาดสติสัมปชัญญะ ซึ่งนำไปสู่ความรุนแรง เช่นการด้อยค่า การทำร้ายร่างกายผู้อื่น ดังจะเห็นได้จากข่าวและโซเชียลมีเดีย ที่คนไทยไปตบ ไปรุมกระทืบแรงงานกัมพูชา
คนกลุ่มนี้ไม่ใช่ชาตินิยม ไม่ใช่คนรักชาติ ไม่ใช่พลเมืองตื่นตัวทางการเมือง แต่เป็นอันธพาล เป็นพวกนิยมความรุนแรง ที่อาศัยจังหวะอารมณ์ทางสังคมและความเกลียดชัง แล้วอ้างความรักชาติสร้างความชอบธรรม ในการใช้ความรุนแรงและหาเหยื่อรายอื่น”
ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจไทยต้องพึ่งพาแรงงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้านในหลายภาคส่วน ซึ่งแรงงานชาวกัมพูชามีจำนวนมากเป็นอันดับ 2 รองจากแรงงานเมียนมาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กิจการแปรรูปพืชผลทางการเกษตร ประมง ก่อสร้าง ปศุสัตว์ และบริการ ที่ไทยต้องพึ่งพาแรงงานจากกัมพูชา
และจากสถิติสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว เดือน มิ.ย. 2568 พบว่าแรงงานชาวกัมพูชา จำนวน
- 182,963 คน เป็นแรงงานนำเข้าตามข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทย กับ รัฐบาลกัมพูชา
- 33,055 คน เป็นแรงงานที่เข้ามาในลักษณะไป-กลับ หรือตามฤดูกาล
- 195,549 คน เป็นแรงงานที่ต่ออายุและได้รับอนุญาตทํางาน ตามมติ ครม.
- 108,160 คน เป็นแรงงานที่จดทะเบียนสถานะไม่ถูกกฎหมาย ได้รับอนุญาตทํางานตามมติ ครม.
ทางออกและการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า
ที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างชาวบ้านบริเวณชายแดนของทั้ง 2 ประเทศ เป็นไปด้วยดี อัครพงศ์ กล่าวว่า
“อันที่จริงแล้วชาวบ้านตามชายแดนไทย-กัมพูชา รู้จักมักคุ้นไปมาหาสู่กันเสมอ ซื้อ-ขายสินค้ากัน ไปจนถึงทำบุญทอดผ้าป่าทอดกฐินร่วมกันที่วัดของทั้ง 2 ประเทศ เป็นความสัมพันธ์เหนือเส้นเขตแดนที่ชาวบ้านไม่ได้มีความเกลียดชัง หากแต่ความเกลียดชังกลับไปเกิดขึ้นกับคนในพื้นที่อื่นที่ไกลออกไป”
แม้ภาพรวมความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ ไทย-กัมพูชา จะมีลักษณะ “ทั้งรักทั้งชัง” ปองขวัญ กล่าวถึงสาเหตุนี้ว่า เนื่องมาจากความทรงจำทางประวัติศาสตร์ที่เป็นเรื่องใหญ่ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในหลาย ๆ กรณีมีผลอย่างมากต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แม้ว่าจะไม่ถึงระดับความขัดแย้งโดยใช้กำลังทางทหาร อย่างเช่น กรณีจีน-ญี่ปุ่น หรือ ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ แต่ประเทศที่มีความทรงจำทางประวัติศาสตร์ที่ขัดแย้งกันย่อมนำไปสู่การสนับสนุนการใช้กำลังที่มากกว่า
การจะแก้ปัญหานี้อาจจะต้องเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงเรื่องเล่าเดิมที่มีอยู่ ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลายาวนานมาก และอาจจะไม่เห็นผลในเจเนอเรชั่นเดียว แน่นอนว่าสิ่งนี้เราทำฝ่ายเดียวไม่ได้ แต่จะต้องเป็นความพยายามของหลายฝ่ายร่วมกัน
หากแต่การแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระยะเร่งด่วนเฉพาะหน้านี้ ปองขวัญ เสนอว่ารัฐบาลและกองทัพควรนำเสนอข่าวและอธิบายสถานการณ์ความคืบหน้าให้บ่อยและต่อเนื่อง จัดทำ press briefing และแถลงข่าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ให้ตรงกัน
เพราะคำอธิบายที่สม่ำเสมอจะช่วยชะลอความตื่นตระหนกของประชาชน ที่มาจากโซเชียลมีเดียได้ เป็นการแก้ปัญหาด้วยการเติมเต็มความไม่รู้ของประชาชนว่าเกิดอะไรขึ้น และรับข้อมูลในโซเชียลมีเดียเหล่านั้น ดังนั้นรัฐจึงต้องร่วมมือกับสื่อเป็นหลัก เน้นการนำเสนอข่าวที่มีลักษณะปลุกเร้าอารมณ์ที่น้อยลง
อย่างไรก็ตามเงื่อนไขของสื่อในปัจจุบัน ทำให้การเสนอข่าวที่ไม่ปลุกเร้าอารมณ์เป็นไปได้ยากเพราะเหตุผล 2 ประการ คือ
- สื่อในฐานะธุรกิจต้องการยอด engagement ดังนั้นการทำข่าวที่มีลักษณะปลุกเร้าอารมณ์จึงจำเป็นต่อธุรกิจ แม้ว่าอาจจะไม่ได้ตรงกับหลักการของการเป็นสื่อเท่าที่ควร
- ในสภาวะขัดแย้ง เป็นไปได้ยากมากที่ประชาชนจะแยกออกว่า ความขัดแย้งนั้นเป็นความขัดแย้งในระดับรัฐหรือประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับประชาชนจำนวนหนึ่งของทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ทั้งรักทั้งชังและไม่ลงรอยกันจากการปลูกฝังผ่านสื่อ โซเชียลมีเดียและตำราเรียน การจะแยกประเด็นให้ได้นั้น สื่อจะต้องทำงานหนักอย่างยิ่งและจำเป็นต้องให้นักวิชาการ และนักให้ความเห็นทางการเมือง (political commentator) เข้ามามีส่วนร่วมด้วย
จังหวะนี้เป็นโอกาสที่ดีที่ทุกภาคส่วนจะได้กลับมาสำรวจและทบทวนทุกความเคลื่อนไหวของตนเองในช่วงเวลาที่ผ่านมา เพื่อเดินหน้าฝ่าความขัดแย้งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงและยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่าย ๆ
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- ทำไมจึงไม่ควรใช้คำว่า “สงคราม” ?
- เจาะทฤษฎีการเมือง ‘ชาตินิยม’ ไม่เท่ากับ ‘รักชาติ’ ?
- ปากคำชาวบ้าน ความสัมพันธ์ไร้เส้นเขตแดน ไทย-กัมพูชา
- หวั่นปะทะยืดเยื้อ! กระทบ”สัมพันธ์-ต้นทุนทางสังคม”คนชายแดนไทย-กัมพูชา
- ลมหายใจที่ชายแดน ชีวิตเริ่มต้นใหม่(อีกครั้ง) แต่จะเหมือนเดิมไหม ?
- ความสูญเสียจากสงคราม ต้นทุนที่ต้องจ่าย