‘ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง’ : บันทึกความจริง บนคราบน้ำตา ณ พรมแดนไทย-กัมพูชา

ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง (Boundary, 2013) ภาพยนตร์สารคดีว่าด้วยเรื่องปมขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ในอดีตที่พัวพันกับหลายเหตุการณ์สำคัญ โดยมีจุดเริ่มต้นจากการชุมนุมเสื้อเหลือง-เสื้อแดง กระทั่งนำไปสู่กรณี เขาพระวิหาร ที่นับเป็นอีกหนึ่งปมความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ครั้งใหญ่ในหน้าประวัติศาสตร์ไทย 

แม้ผ่านมากว่าทศวรรษแต่ปมความขัดแย้งชายแดนของ 2 ประเทศนี้ ยังคงคุกรุ่น และทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่องจนในช่วงเวลานี้

The Active ชวนสนทนากับ นนทวัฒน์ นำเบญจกุล ผู้กำกับภาพยนตร์สารคดีฟ้าต่ำแผ่นดินสูง ในช่วงเวลาเดียวกับที่เขายังคงเดินสายฉายหนังเรื่องนี้ที่ จ.เชียงใหม่ ตลอดกว่าสิบปีมานี้หนังได้ถูกนำไปฉายทั้งในไทย กัมพูชา และอีกหลายประเทศทั่วโลก สร้างข้อถกเถียงมากมายไม่มีทีท่าจะสิ้นสุด

นนทวัฒน์ พาย้อนไปเมื่อ 15 ปีก่อน (ราวปี 2553) วันที่เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มเมืองกรุงคนหนึ่ง ที่ไม่เคยสนใจประเด็นทางสังคมหรือการเมืองใด ๆ กระทั่งเหตุความขัดแย้งระหว่างเสื้อเหลือง-แดง ทวีความรุนแรงมากขึ้น เขาจึงมองว่าเรื่องสังคม การเมืองไม่ได้ไกลตัวอีกต่อไป

“ก่อนหน้านั้น เราเป็นเด็กชนชั้นกลางคนหนึ่งที่ไม่ได้สนใจเหตุบ้านการเมืองอะไรเลย เรียกได้ว่า ignorance เลยก็ว่าได้ กระทั่งมีเหตุการณ์ทางการเมือง ม็อบเสื้อเหลือง-แดง ชุมนุมประท้วง ปิดถนน สถานการณ์รุนแรงขึ้น จนกระทั่งประกาศเคอร์ฟิว เราจำได้แม่นว่าตอนนั้น เทย์เลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift) ต้องยังเลิกคอนเสิร์ตในไทย”

นนทวัฒน์ นำเบญจกุล

ในเวลานั้น เขายอมรับว่า สิ่งที่กระทบความรู้สึกมากที่สุด คือ คนรอบตัวเริ่มแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจน บางคนเชียร์เหลือง บางคนเชียร์แดง เวลามีสถานการณ์บางอย่างเกิดขึ้น จะมีข้อมูล 2 ชุดออกมาตีกันเสมอ มันทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่กับสังคมไทย ?

“จากวันนั้น เราก็หันมาสนใจการเมืองมากขึ้น เริ่มค่อย ๆ ศึกษาที่มาที่ไป กระทั่ง พฤษภาคม ปี 53 เกิดเหตุการณ์การสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ มีคนตายเกือบร้อย และบาดเจ็บนับพัน เราสะเทือนใจมาก แต่ที่ตกใจกว่านั้นคือ เพื่อนเราหลายคนกลับรู้สึกสะใจ ยินดีกับการสูญเสีย โดยสถานการณ์ตอนนั้น แทบทำให้เรารู้สึกไม่ต่างจากตอนนี้ ที่เราเห็นคนไทยเชียร์ให้ไปฆ่าเขมร หรือแม้กระทั่งเปิดเฟซบุ๊กขึ้นมาจะมีข้อมูล 2 ชุด คือ คนไทยพูดอย่าง คนเขมรพูดอีกอย่างหนึ่ง”

นนทวัฒน์ นำเบญจกุล

This image has an empty alt attribute; its file name is Unknown-2.jpg

นนทวัฒน์ นำเบญจกุล ผู้กำกับภาพยนตร์สารคดี ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง (Boundary, 2013)

ด้วยความคลางแคลงสงสัย ไม่เข้าใจนี้ เป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ให้ นนทวัฒน์ อยากจะหาคำตอบให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนคู่ความขัดแย้งนี้ แต่ยังไม่ได้มีแผนการชัดเจน จนกระทั่งได้พบกับใครบางคนที่พาเขาออกจากเมืองกรุง แล้วเห็นโลกอีกใบ

“ตอนนั้นเรายังเป็นเด็ก อาชีพเราคือรับจ้างถ่ายภาพนิ่ง ถ่ายวิดีโอเบื้องหลังกองถ่าย ยังไม่เคยทำหนังยาวด้วยซ้ำ แต่เรื่องพวกนี้มันยังคิดค้างในใจเราอยู่ตลอด จนกระทั่งวันที่ได้เจอกับ อ๊อด

นนทวัฒน์ นำเบญจกุล

พลทหารอ๊อด

นนทวัฒน์ ยังพาออกเดินทางจากสี่แยกราชประสงค์ มุ่งสู่ชายแดนไทย-กัมพูชา จ.ศรีษะเกษ บ้านเกิดของ อ๊อด

อ๊อดไม่ใช่ดารา ไม่ใช่นักแสดงที่ปรากฏตัวบนฉากภาพยนตร์ แต่เขากลับมีชีวิตจริงที่อยู่บนหน้าฉากแห่งความขัดแย้ง ทั้งเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ และพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาที่เกิดการปะทะกันบ่อยครั้ง

“เราเจออ๊อดโดยบังเอิญในกองถ่าย เขามารับจ็อบเป็นฝ่ายศิลป์ ทำหน้าที่ทั่วไปในกองถ่าย ปีนต้นไม้ ลากดอกบัว ติดนู่น ติดนี่ อ๊อดเป็นหนึ่งในแรงงานที่ถูกเกณฑ์กันมาทำงานทั้งหมู่บ้าน”

นนทวัฒน์ นำเบญจกุล

พลทหารอ๊อด

อ๊อด มีบ้านเกิดอยู่ที่ จ.ศรีสะเกษ ครอบครัวที่ยากจนทำให้อ๊อดต้องบวชเรียนเป็นเณร เรียนจนจบประโยค 2 ก็สึกมาเพื่อเป็นทหาร ต่อมาถูกส่งไปที่ โต๊ะโม๊ะ จ.นราธิวาส ซึ่งเขาก็ยินดีเพื่อแลกกับสวัสดิการรักษาพยาบาลฟรีทั้งครอบครัว

ก่อนปลดประจำการ อ๊อดถูกส่งเข้ามากรุงเทพฯ เป็นทหารแนวหน้าในเหตุการณ์สลายการชุมชน ปี 53

“ตอนนั้น อ๊อดเพิ่งปลดประจำการทหารมา เราคุยกับอ๊อดแล้วพบว่าเรื่องเล่าของอ๊อดมันต่างจากที่เราเคยหาอ่านมาจากอินเทอร์เน็ตมาก เขาคือคนที่เจอจริงปะทะจริง มีความรู้สึกนึกคิดจริง ๆ สำหรับเรามันเป็นบทสนทนาที่น่าตื่นเต้นมาก เราถามเขาว่า รู้สึกอย่างไรกับการเป็นทหารแล้วต้องไปสลายการชุมนุม ในสนามที่มีเสื้อแดงตายเยอะมาก อ๊อดตอบว่าเขาไม่อยากทำเลย เพราะคนที่บ้านเกิด (จ.ศรีสะเกษ) ก็เป็นเสื้อแดงทั้งหมู่บ้าน จังหวะนั้นมันทำให้เราเข้าใจขึ้นมาทันที ว่าเวลาเราอ่าน เราดูอะไร มันมีเขา มีเรา มันมีเส้นแบ่งขาว-ดำ ชัดเจนมาก แต่เมื่อมองถึงความเห็นมนุษย์แล้ว มันมีรายละเอียดอีกมาก เราจึงขอตามไปถ่ายสารคดีที่บ้านเกิดอ๊อด แน่นอนว่า เขาตอบตกลง”

นนทวัฒน์ นำเบญจกุล

นนทวัฒน์ พร้อมทีมงานเพียงแค่ 3 คน ติดตามอ็อดไปกินอยู่กับชาวบ้านที่ บ้านเสลา อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ห่างจากชายแดนไทย-กัมพูชา เพียง 40 นาที

ทีมงานปักหลักถ่ายทำอยู่ที่บ้านเสลาได้เพียงแค่ 2 สัปดาห์ ในเดือน เม.ย. 54 ก็มีเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ กรณีเขาพระวิหาร

“ก่อนหน้านี้ เราไม่เคยสนใจประเด็นชายแดนมาก่อน แต่ครั้งนี้ เรื่องเสื้อเหลือง-แดง มันพัวพันกับกรณีเขาพระวิหาร ท้ายที่สุดก็เลยเถิดบานปลายไปถึงเรื่องระหว่างประเทศ บ้านเกิดของอ๊อดที่ อำเภอขุขันธ์ กลายเป็น Red zone”

นนทวัฒน์ นำเบญจกุล

ท่ามกลางความขัดแย้ง 2 สมรภูมิ ชีวิตของอ๊อดคือตัวแทนของชาวบ้านอีกจำนวนมาก ที่กลายเป็นผลพวงแห่งความขัดแย้งที่ตนเองไม่ได้ก่อ

การปะทะครั้งนั้น มีทหารกัมพูชา ตาย 6 ศพ ทหารไทยปลอดภัย

และนี่คือเรื่องราวปฐมบทของสารคดีว่าด้วยเรื่องราวความขัดแย้ง กรณีปราสาทพระวิหาร ระหว่างชายแดนไทย-กัมพูชา

ที่ชื่อว่า “ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง” (Boundary)

จากเหลือง-แดง สู่ปมปะทะเขาพระวิหาร : บาดแผลสงครามที่ไม่เคยจางหาย

แม้จุดเริ่มต้นของการถ่ายทำจะมาจากปมความขัดแย้งทางการเมืองของเสื้อเหลือง-เสื้อแดง แต่ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ยังมีความขัดแย้งที่คาบเกี่ยวกัน คือ กรณีเขาพระวิหาร

มีการเจรจาทางการทูตระหว่างไทย-กัมพูชา มาตั้งแต่ปี 2501-2502 แต่กลับยืดเยื้อหาข้อสรุปไม่ได้ กระทั่งในปี 2505 ศาลโลกมีคำตัดสินว่า “ตัวปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในดินแดนของกัมพูชา” ไทยต้องถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ตัวปราสาททั้งหมด ข้อพิพาทเรื่องอธิปไตยเหนือตัวปราสาทจึงสิ้นสุดลง

45 ปี หลังคำตัดสิน (พ.ศ. 2551) รัฐบาลกัมพูชาเสนอขอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกต่อ UNESCO และไดัรับการรับรองบริเวณรอบตัวปราสาท ซึ่งยังเป็นพื้นที่ทับซ้อน จนกลายเป็นจุดตึงเครียด ไทยส่งกำลังทหารเข้าไปในพื้นที่โดยรอบเพื่อแสดงสิทธิในเขตทับซ้อน จนเกิดการปะทะระหว่างทหารไทยและกัมพูชา

เหตุการณ์นี้ ได้รับความสนใจจากประชาชนอีกครั้ง เนื่องจากเป็นช่วงเวลาหลังการเกิดรัฐประหาร 19 ก.ย. 49 สังคมไทยแบ่งขั้วทางการเมือง เสื้อเหลือง-เสื้อแดง อย่างชัดเจน การสนับสนุนเขาพระวิหาร จึงกลายเป็นประเด็นที่ถูกหยิบมาเชื่อมโยงความขัดแย้งในประเทศ

หากเราเพียงอ่านข่าวสารบ้านเมือง เราอาจรับรู้เพียงเท่านี้ แต่ นนทวัฒน์ ได้พาเราไปถึงสถานที่จริง ดินแดนที่เป็นผลพวงแห่งความขัดแย้งและเศษซากแห่งสงคราม

“ตอนนั้นเป็นช่วงปี 54 หลังเหตุปะทะ เราเริ่มต้นจาการไปดูศูนย์พักพิงผู้อพยพที่เป็นโรงเรียน เราเห็นแต่ผู้เฒ่าผู้แก่นั่งอยู่ที่เสื่อน่าหดหู่ใจมาก เลยอยากเห็นว่าหมู่บ้านที่เขาอพยพจากมาเจอกับอะไรบ้าง จึงเริ่มออกเดินทาง”

นนทวัฒน์ นำเบญจกุล

นนทวัฒน์ เดินทางไปยังหมู่บ้านหนึ่ง ใกล้ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ ที่กลายเป็นหมู่บ้านร้าง

หลังคาและฝาบ้านเต็มไปด้วยเศษกระสุน และร่องรอยจากจรวด BM 21 ตอนนี้แทบไม่มีชาวบ้านอยู่ที่นี่อีกแล้ว ทิ้งไว้แต่เพียงความเงียบเชียบท่ามกลางซากปรักหักพัง และสุนัขไม่กี่ตัว ทหารในพื้นที่เล่าว่า ก่อนหน้าที่ชาวบ้านจะอพยพ ก็มีคนเสียชีวิตไปแล้ว น่าจะยิงมากจาฝั่ง เขื่อนตาเกาว์

“ตอนก่อนที่ผมจะเข้าไปในหมู่บ้านนั้น ผมคิดว่ามันน่าตื่นเต้นนะที่ได้ไปอยู่ในพื้นที่สงคราม แต่พอไปอยู่ตรงนั้นจริง ๆ มันไม่สนุกเลย มีแต่ความเศร้า ความหดหู่ พวกเขาต้องได้รับผลกระทบจากสิ่งที่เขาไม่เคยได้ก่อ ผมเคยเข้าไปอยู่ในวงกินข้าวของพวกเขา ถามเรื่องเหตุการณ์บ้านเมือง ชาวบ้านแทบทุกคนสนใจการเมือง รู้เรื่องมากกว่าเพื่อน ๆ เราใน กทม.เสียอีก จนคำถามเราดูไร้เดียงสาไปเลย ทุกอย่างที่เขาพูดมันเป็นบทสนทนาที่จริงมาก เพราะมันเกี่ยวกับชีวิตเขาโดยตรง แต่เขากลับไม่เคยได้เลือกอะไรเลย”

นนทวัฒน์ นำเบญจกุล

สำหรับเขาแล้วในตอนนั้น คือ ช่วงเวลาที่ไม่มีการปะทะ พวกเขาดูมีความสุขกันจริง ๆ อยู่กันแบบเรียบง่าย รับจ้างทำนา จับกบเขียดกินกันไป บ้านก็ไม่มีรั้ว ลูกหลานบ้านใครเดินเข้าออกได้ทั่วไปหมด รู้จักกันทั้งหมู่บ้าน คนฝั่งกัมพูชา ก็ข้ามไป-ข้ามมา ทำมาค้าขาย หากิน ใช้ชีวิตด้วยกันเป็นปกติ

ภาพที่ผมเห็นตอนนั้นผ่านมา 15 ปีแล้ว ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ที่นั่นเป็นอย่างไร แต่ผมว่าการปะทะครั้งนี้โหดกว่า กินพื้นที่บริเวณกว้างกว่ามาก มีการเคลมกันเรื่องวัฒนธรรมที่บ่มเพาะกันมาหลายปี แต่ไม่ว่าตอนนั้น หรือตอนนี้ พวกเขายังคงเป็นชาวบ้านในพื้นที่ที่รอรับผลกระทบโดยตรง ใช้ชีวีตแต่ละวันโดยไม่รู้ว่ากระสุนจะตกใส่หัวเมื่อไหร่”

นนทวัฒน์ นำเบญจกุล

โธมัส – Don’t Thai to me

ในช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา ระส่ำระสายอย่างถึงที่สุด ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง ไม่ได้เล่าเรื่องราวด้วยสายตาที่มองจากฝั่งประเทศไทยเท่านั้น แต่ นนทวัฒน์ ยังข้ามชายแดนไปยังฝั่งกัมพูชา เพื่อฟังเสียงและเรื่องราวของอีกฝ่าย

“ตอนนั้นเราถ่ายทำเรื่องราวจากฝั่งไทยไปแล้ว แต่คิดว่าฝั่งกัมพูชาควรได้มีพื้นที่ด้วย จึงคิดว่าอยากลองข้ามฝั่งไปชายแดนกัมพูชา แต่ในเวลานั้นสถานการณ์ตึงเครียดมาก มีข่าวออกมาว่ามีกลุ่มคนไทยลองข้ามฝั่งไป สุดท้ายก็ติดคุกที่เขมร โดนแมงสาปแทะ ทุกคนที่นี่กลัวมาก ไม่มีใครกล้าพาเราเข้าไป สุดท้าย เราก็หาคนพาข้ามฝั่งไปกัมพูชาไม่ได้เลย”

นนทวัฒน์ นำเบญจกุล

การเดินทางข้ามชายแดนของ นนทวัฒน์ จึงถูกพักไว้ก่อน เขาถ่ายทำสารคดีเสร็จในดราฟแรก และเดินทางออกจาก จ.ศรีษะเกษ เพื่อกลับกรุงเทพฯ สารคดีดราฟแรกถูกตัดต่อเสร็จสรรพเพื่อส่งไปขอทุนที่ปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ และที่นั่นเอง ที่ทำให้เขาเจอกับฟันเฟืองคนสำคัญ

“เราได้ไป Work Shop ที่ปูซาน แล้วเจอกับ เดวี ชู (Davy Chou) ผู้กำกับชาว ฝรั่งเศส-กัมพูชา พ่อแม่เขาคือผู้อพยพมาจากกัมพูชาสมัยเขมรแดง และเขากำลังทำหนังเกี่ยวกับเขมรพอดี จากวันนั้นเรากลายเป็นเพื่อนกัน เวลาผ่านไปกว่า 2 ปี เดวี ส่งข่าวมาบอกว่าเขาไปฉายหนังที่นิวยอร์ค แล้วได้เจอชาวกัมพูชาคนหนึ่ง ที่มีบ้านเกิดที่จังหวัดเขาพระวิหารพอดี และคิดว่าอาจจะช่วยเราได้”

นนทวัฒน์ นำเบญจกุล

จากการช่วยเหลือของ เดวี ชู ทำให้ นนทวัฒน์ ได้เจอ คนกลาง ที่จะพาเข้าเขตแดนอันตราย ที่เป็นเหมือนแดนต้องห้ามสำหรับคนไทย

“ชาวกัมพูชาที่เดวีแนะนำยินดีจะช่วยให้เราข้ามไปฝั่งกัมพูชา เพราะเขาอยากให้คนไทยได้รู้ว่า คนไทยทำอะไรกับพวกเขาไว้บ้าง แต่มันเป็นเรื่องอันตรายมากในการเข้าพื้นที่นั้น หากเรายังมี identity ว่าเป็นคนไทย เขาเขียนบทให้เราต้องสวบบทบาทเป็นคน Chinese – Americans และเป็นนักศึกษาจากนิวยอร์ค มาที่นี่เพื่อทำวิทยานิพนธ์เรื่องเขาพระวิหาร และแน่นอน เราต้องเปลี่ยนชื่อจาก นนทว้ฒน์ เป็น โธมัส

นนทวัฒน์ นำเบญจกุล

นั่นจึงเป็นครั้งแรกที่ทำให้ นนทวัฒน์ รู้สึกว่าการเป็น คนไทย ในกัมพูชา เป็นปัญหา เพราะเมื่อต้องแฝงตัวเข้าไปในกัมพูชาด้วยสถานะอื่นที่ไม่ใช่คนไทยแล้ว ทุกอย่างก็ง่ายไปหมด ทุกคนน่ารักกับเขามาก และพร้อมจะเล่าทุกอย่างให้เราฟัง ว่าคนไทยทำอะไรกับเขาไว้บ้าง ?

“เราแฝงตัวอยู่ที่นั่นประมาณ 1 สัปดาห์ เจอซุ้มทหารไทย ก็ต้องแกล้งเป็นฟังไม่รู้เรื่อง มีคนเขมรถามเหมือนกันว่าเราเป็นชาติอะไร ทำไมเหมือนคนไทยจัง วินาทีนั้น ทำให้เรารู้สึกไม่ปลอดภัยมากเหมือนกัน มันคือสถานการณ์คาบเกี่ยวความเป็นความตาย แต่สุดท้ายก็ได้ถ่ายทำ สัมภาษณ์กลับมา เราถามเรื่องเขตดินแดนปักหมุดกับทหารกัมพูชา โดยลองเปิดคลิปที่คนไทยพูดถึงเรื่องนี้ให้เขาฟัง เขาฟังแล้วก็ขึ้น เถียงด่าคนไทยด้วยถ้อยคำรุนแรงเต็มไปหมด ไทยด่าอะไรเขาไว้ เขาก็ด่ากลับหมด เหมือนเป็นการคุยเรื่องเดียวกันด้วยเรื่องเล่าคนละชุด

นนทวัฒน์ นำเบญจกุล

เรื่องเล่าราโชมอน – หมุดเดินได้ ที่เขตแดนไทย-กัมพูชา

ข้อพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชา ดำเนินยาวนาน ผู้คน 2 ประเทศไม่เพียงแต่เติบโตมากับแผนที่คนละฉบับ แต่ยังเติบโตมากับเรื่องเล่าคนละชุด ความเข้าใจเรื่องประวัติศาสตร์และเขตแดนจึงไม่เหมือนกันเสียทีเดียว

ปัญหาเรื่องเขตแดน ถูกจุดประกายอีกครั้ง หลังกัมพูชายืนขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก เมื่อไทยยืนยันสิทธิเขตแดนตาม สันปันน้ำ ของเทือกเขาพนมดงรัก แต่กัมพูชากลับผายมือยอมรับที่แผนที่เก่าแก่ที่แนบมากับสัญญาสมัยอาณานิคมฝรั่งเศส

นนทวัฒน์ พาเราไปฟังเสียงจากคนทั้ง 2 ฝั่ง ว่าด้วยเรื่อง หมุดเขตแดน วาทกรรมเรื่องเล่าจากทั้ง 2 ฝ่ายที่เจ็บลึก กัดกินจิตใจคน 2 ชาติมาอย่างยาวนาน ที่ทำให้เห็นว่า นี่ไม่ใช่เป็นเพียงความขัดแย้งบนผืนแผนที่ แต่เป็นการต่อสู้กันบนความทรงจำด้วย

ณ ด่านพรมแดนช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ

ต่อไปนี้ คือ เสียงสนทนาของชาวบ้านชาวไทย ที่เล่าอย่างออกรสด้วยภาษาไทยปนเขมร

ตอนฝรั่งเศสกับเวียดนามแบ่งดินแดนกัน เขาให้เราถอยตรงภูเขานี่แหละ เรายึดตั้งแต่ตอนนั้นมา มีหลัก (หมุดเขตแดน) เรียบร้อย จะเป็นประเทศเขมรที่ได้ที่ไหน แต่ตอนเขมรแดงอพยพมาที่นี่ หลัก (หมุดเขตแดน) นี้ก็เดินได้ เพราะมันอยู่ตรงตะเข็บชายแดน ใช้แค่ 10-20 คนก็ยกออกได้แล้ว พวกเขมรมันมาทั้งกองร้อย จะยกหลักออกไปไม่ได้เชียวหรือ ?

ณ โอดอร์ เมียนเจย (Oddar Meanchey) ด่านชายแดนกัมพูชา-ไทย

ต่อไปนี้ คือ เสียงสนทนาจากทหารกัมพูชา

พวกมัน (ทหารไทย) ย้ายหลักเขตนั้นไปนานแล้ว ย้ายไปตอนที่เราไม่ทันตั้งตัว เราประมาทเพราะตอนนั้นคิดว่าประเทศเรากำลังสงบสุขและไม่มีระเบิด ไทยเอาหลักเขตมาปักบนภูเขาของเรา พวกมันเป็นคนย้ายหลักเขตแน่นอน ก่อนหน้ามันไม่ได้อยู่ใกล้เราขนาดนี้ พวกมันบอกว่า วัดเป็นของเรา แต่แผ่นดินเป็นของเขา ใจร้ายจริง ๆ เอาหลักเขตมาปักในที่คนอื่นได้

หลักเขตเดิมเคยอยู่ใกล้หมู่บ้านรูน ตอนนี้หลักเขตย้ายมาอยู่ข้างที่ดินยายผา ในอนาคตปราสาทตาฮอยต้องหายไปแน่ ๆ หลักเขตไม่เคยเดินไปฝั่งไทย แต่มันเดินมาทางฝั่งเรา มุ่งไปทางเสียมเรียบโดยที่เราทำอะไรไม่ได้เลย พวกคนไทยสร้างถนนรุกมาในที่ของเรา ไม่ใช่แค่ทีละนิดนะ แต่เยอะเลยหละ หลักเขตก็ย้ายไปจนสุดภูเขา จะหาที่ทำใจสักหน่อยไม่ได้เลย

ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง (2556) เข้าฉายที่กัมพูชาอย่างเป็นทางการ ในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกัมพูชา

ด้วยบทสนทนาเดียวกันบนความจริงคนละชุด ที่ว่าด้วย หมุดเขตแดน ที่เหมือนจะเดินได้อยู่เรื่อย ๆ คงไม่สามารถสรุปได้ว่าความจริงของใครนั้นเป็น ของจริง แต่แสดงถึงประสบการณ์ของคนแนวชายแดน และวาทกรรมที่ส่งต่อกันมาเรื่อย ๆ จากคน 2 ชาติ ที่ไม่มีทีท่าจะจบลงได้อย่างง่าย ๆ

“เมื่อฟ้าลดตัวลงตำ่ลงมา แล้วแผ่นดินจะสูงขึ้น สูงพอจะได้ยินเสียงคนด้านล่างสักที”

ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง จึงเป็นภาพสะท้อนจากความขัดแย้งของไทย-กัมพูชา และผลพวงของสงครามที่กระทบกับคนทั้ง 2 ฝั่ง ที่เกิดขึ้นไปทั่วหัวระแหง โดยเฉพาะชาวบ้านในพื้นที่

ความสัมพันธ์ของพวกเขาจากที่เป็นเพื่อนบ้านไปมาหาสู่ ทำมาค้าขายกันเป็นปกติ แต่ข้อพิพาทในพื้นที่ กลับกลายเป็นชนวนเหตุปะทะ เส้นสมมุติบนผืนแผนที่กลายเป็นรอยปริแตกของความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ฝ่าย ผสมปนเปด้วยเรื่องเล่าและวาทกรรมโจมตีกันที่ฝังรากลึกมายาวนานหลายสิบปี

กระทั่งวันนี้ แม้เพียงแค่จะมนุษย์สักคนจะก้าวข้ามเขตแดนไป อาจกลายเป็นสิ่งที่ต้องแลกด้วยชีวิต

แม้เวลาผ่านมากว่า 15 ปีแล้ว สถานการณ์ความขัดแย้งในพื้นที่ยังคงดำเนินต่อไป และทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะทั้งท่าทีของรัฐในเวลานี้ที่สังคมต่างตั้งคำถาม รวมถึงในโลกออนไลน์ที่เต็มไปด้วยกระแสชาตินิยม ที่ยังมีผู้คนบางส่วนที่เชียร์ให้มีสงคราม ในขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่จากทั้ง 2 ฝั่งกำลังได้รับผลกระทบจากสิ่งที่ตนเองไม่เคยได้เลือก

หากผู้ออกนโยบาย หรือผู้คนจากส่วนกลางของทั้ง 2 ฝั่งมองลงมาให้เห็นถึงชีวิตของชาวบ้านข้างล่าง ที่ต้องเจอกับความสูญเสีย เราทั้ง 2 อาจเข้าใกล้สิ่งที่เรียกว่า สันติภาพระหว่างชายแดน ได้มากกว่านี้

“วันแรกที่เราเริ่มถ่ายทำสารคดีนี้ เราเป็นแค่เด็กเมืองที่ไม่รู้อะไรเลย แต่ตลอด 3 ปีของการถ่ายทำ เราพูดคุยกับผู้คน เราเห็นสถานที่จริง เราเห็นความพังพินาศจากสงคราม วันนี้มันทำให้เราเห็นภาพของความขัดแย้ง ชนชั้น และเขตแดน ที่ล้วนมาจากส่วนกลางหรือคนบนยอดควบคุมอยู่ แต่คนที่ได้รับผลกระทบมันคือชาวบ้าน คนที่อาศัยอยู่บนผืนดินด้านล่างไม่ว่าจากทั้งฝั่งไทยหรือกัมพูชา”

เราไม่เคยมองว่าพวกเขาเป็นคนตัวเล็กตัวน้อย พวกเขาคือคนเหมือนกับเรา แต่ถูกโครงสร้างของรัฐฟรีซไว้ให้ใช้ชีวิตเพื่อรองรับคนส่วนกลาง ชีวิตพวกเขาแทบไม่มีโอกาสรวยได้เลย ทำนาก็ต้องกู้ ลูกหลานเกิดมาก็ไม่มีเงินไปโรงเรียน ต้องบวชเรียนฟรีที่วัด โตขึ้นหน่อยก็บวชเป็นพระ พอถึงอายุก็ต้องมาเกณฑ์ทหาร แล้วก็ต้องมาเสี่ยงชีวิตแบบนี้”

นนทวัฒน์ นำเบญจกุล

“วันสุดท้ายที่ถ่ายทำเสร็จ เรายืนอยู่บนเขาพระวิหารด้วยความรู้สึกโล่งใจ บนนั้นมันสวยมาก เหมือนกับอยู่บนสรวงสวรรค์ และสูงมาก สูงจนเสียเราเห็นขอบฟ้าอยู่ตำ่กว่าเท้าที่เรายืนเสียอีก นาทีนั้นทำให้เรารู้สึกว่า หากฟ้าลดตัวต่ำลงมา แผ่นดินคงก็จะสูงขึ้น และเมื่อทั้งสองอยู่ใกล้กันมากขึ้น เสียงของคนข้างล่างบนผืนดินคงจะได้ยินไปถึงคนข้างบนเสียที

ผู้กำกับ ทิ้งท้าย

นี่จึงกลายเป็นที่มาของชื่อภาพยนตร์สารคดี ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง โดย นนทวัฒน์ นำเบญจกุล

Author

Alternative Text
AUTHOR

ปุณยอาภา ศรีคิรินทร์

บุญคุณต้องทดแทน มนต์แคนต้องแก่นคูน