สำรวจพุทธแบบเกาหลี : ศาสนาปรับตัวอย่างไร เมื่อคนไร้ศรัทธา ?

วิกฤตทางศาสนา ล้วนเป็นส่วนประกอบหนึ่งทางประวัติศาสตร์ของแต่ประเทศเสมอ หลายปัจจัยซับซ้อน ทั้งการเมือง การปกครอง การทูต การค้า กระทั่งความคิด และจิตใจของคนในชาติ ยากจะสรุปได้ด้วยสาเหตุเดียว

แต่บ่อยครั้ง ที่เหตุเหล่านั้นกลับมีที่มาจาก สถาบันทางศาสนา เสียเอง ความหลากหลายทางแนวคิดและการปฏิบัติ ก่อเกิดเป็นนิกายแยกย่อย การเปลี่ยนผ่านทางศาสนา กลายเป็นจุดพลิกผันในหน้าประวัติศาสตร์การเติบโตของหลายชาติ หนึ่งใน คือ เกาหลี

The Active ชวนเข้าห้องเรียนประวัติศาสตร์ ไปกับ ผศ.ถาปกรณ์ กำเนิดศิริ หัวหน้าสาขาวิชาเกาหลีศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อพาเราเดินทางย้อนไปเกือบ 1,700 ปี กับความเป็นมาของ พุทธศาสนาในเกาหลี ตั้งแต่ยุค 3 อาณาจักร (Three Kingdoms Period) กระทั่งการเข้ามาของลัทธิขงจื๊อจากจีน ที่ยังคงส่งผลต่ออิทธิพลทางความคิดของคนในชาติจนถึงทุกวันนี้

ผศ.ถาปกรณ์ กำเนิดศิริ หัวหน้าสาขาวิชาเกาหลีศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ความขัดแย้งทางแนวคิด นำมาสู่การถือกำเนิดนิกายใหม่อย่าง พุทธศาสนาแบบวอน (Won Buddhism) จนถึงวันนี้ ที่อยู่ ๆ วัดก็กลายเป็นการท่องเที่ยวฮีลใจอย่างโครงการ Temple stay ที่เกิดได้จากความร่วมมือระหว่างศาสนาและรัฐบาลเกาหลี

ทุกสิ่งในธรรมชาติล้วนไม่เคยหยุดนิ่ง หากปรับตัว ยืดหยุ่น พร้อมจะเปลี่ยนผ่านจากสิ่งหนึ่งสู่สิ่งหนึ่งได้ สิ่งนั้นยอมดำรงอยู่ในสังคมได้อย่างเนียบเนียนและเป็นหนึ่งเดียว

พุทธศาสนาในสังคมเกาหลี อาจเป็นอีกบทเรียนหนึ่ง ที่ทำให้เห็นถึงการพยายามปรับตัวของสถาบันศาสนาให้เข้ากับสังคมสมัยใหม่ เพื่ออยู่ร่วมกับสังคมที่จิตใจผู้คนกำลังเปลี่ยนไปตลอดเวลา ดังเช่นทุกวันนี้

1,700 ปี พุทธศาสนาเกาหลี : การเดินทางผ่านยุค 3 อาณาจักร

หากว่ากันตามทามไลน์ประวัติศาสตร์ พุทธศาสนาเข้ามาในประเทศเกาหลีมาแล้วยาวนานกว่า 1,700 ปี มีการเปลี่ยนผ่านสลับบทบาทกันไปกับศาสนาจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างจีนด้วยปัจจัยทั้งภายในและระหว่างประเทศ

การจะทำความเข้าใจถึงความเป็นมาอย่างถ่องแท้นั้น จำเป็นต้องย้อนไปถึงช่วงเวลาสำคัญทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยุค 3 อาณาจักร (Three Kingdoms Period) ในเกาหลีเสียก่อน

ผศ.ถาปกรณ์ อธิบายให้เราฟังอย่างออกรสว่า หากย้อนไปราว 57 ปีก่อนคริสตกาล แผ่นดินบนคาบสมุทรเกาหลี ถูกแบ่งออกเป็น 3 รัฐ คือ อาณาจักร คือ โกกูรยอ (Goguryeo) (เกาหลีเหนือในปัจจุบัน) แพกเจ (Baekje) และ ชิลลา (Silla)

ระหว่างการสู้รบเพื่อยึดครอบดินแดนของแต่ละฝ่าย ศาสนาจากประเทศเพื่อนบ้านเริ่มเผยแพร่เข้ามาในเกาหลี ทั้งจากความต้องการพึ่งพิงทางใจของประชาชนเอง รวมถึงยุทธศาสตร์ทางการเมือง

3 อาณาจักรบนคาบสมุทรเกาหลี

ขอพาแวะไปประเทศเพื่อนบ้านอย่าง จีน ก่อน หากใครเคยดูเรื่อง ไซอิ๋ว จะเห็นการเดินทางของพระถังซัมจั๋ง ที่เพียรพยายามเดินทางไปอินเดียเพื่อนำพระไตรปิฏก คัมภีร์พระพุทธศาสนากลับมาศึกษา และแปลเป็นภาษาจีน 

ต่อมา จีนจึงกลายเป็นสะพานเชื่อม ส่งต่อพระพุทธศาสนามายังเกาหลีใน ช่วง ค.ศ. 342 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อาณาจักรทั้ง 3 บนคาบสมุทรเกาหลี ต่างรับเอาพุทธศาสนาเข้ามา และมีความรุ่งเรืองอย่างมากในภูมิภาค

ท้ายที่สุด ซิลลา สามารถเอาชนะ 2 อาณาจักรที่เหลือได้ มหากาพย์สามก๊กเกาหลีล่มสลายและสิ้นสุดลง เข้าสู่ยุค ซิลลารวมชาติ (Unified Silla) คาบสมุทรเกาหลีรวมเป็นหนึ่งเดียว แต่ยังคงถือพุทธศาสนาเป็นหลักเช่นเดิม กระทั่งเมื่อซิลลาหมดยุคลง ก็กำเกิดอาณาจักรใหม่ คือ โครยอ (Goryeo)

ในช่วงเวลาของอาณาจักร โครยอ (ค.ศ. 918–1392) พุทธศาสนายังคงเฟื่องฟูอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งอาณาจักรล่มสลาย (ค.ศ. 1392) และเข้าสู่ยุคใหม่ คือ ราชวงศ์โชซอน (Joseon) ที่เริ่มรับเอาศาสนาแบบจีนเข้ามา

“หลายคนอาจคุ้นชื่อ โชซอน (Joseon) จากซีรีส์เกาหลี เพราะมักถูกใช้เป็นฉากหลังทางประวัติศาสตร์ โชซอนเริ่มให้ความสำคัญกับอุดมการณ์ทางการเมืองและศาสนาแบบลัทธิขงจื๊อที่รับอิทธิพลมาจากจีน และยกให้เป็นแกนหลักของรัฐ แทนที่จะเป็นพระพุทธศาสนาเหมือนยุคก่อนหน้า”

ผศ.ถาปกรณ์ กำเนิดศิริ

ขงจื๊อใหม่ : จากพุทธศาสนาสู่ปรัชญาจีนในเกาหลี

ประเทศเกาหลี ที่ตั้งอยู่ในเอเชียตะวันออก ภูมิภาคที่ในสมัยโบราณฝรั่งมักเรียกว่าดินแดนแห่งนี้ว่า ตะวันออกไกล (Far East) ด้วยสายตาของชาวยุโรป

ปัจจุบัน เราใช้คำว่า เอเชียตะวันออก (East Asia) แทนที่ มีประเทศสำคัญ ๆ อย่าง จีน ญี่ปุ่น และเกาหลี 3 ประเทศที่มีบทบาทสูงในหน้าประวัติศาสตร์ การเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม

ที่ต้องเกริ่นมาเช่นนี้ เพราะในบรรดาประเทศเหล่านี้ทั้งหมด จีนถือเป็นศูนย์กลางอารยธรรมเก่าแก่ที่สั่งสมองค์ความรู้และระบบความคิดมาอย่างยาวนาน ปรัชญาจีน (Chinese Philosophy) จึงกลายเป็นรากฐานทางวัฒนธรรมของทุกประเทศทั่วภูมิภาค โดยเฉพาะลัทธิขงจี๊อ หรือ ลัทธิเต๋า ที่ไม่ได้มีอิทธิพลเพียงแค่ในจีน แต่ส่งต่อมายังเกาหลี (และดินแดนอื่นในเอเชียตะวันออกด้วย)

เดิมทีปรัชญาขงจื๊อเน้นเรื่อง จริยศาสตร์ (Ethics) เป็นไปเพื่อวางรากฐานความสัมพันธ์ของคนในสังคม เช่น ความกตัญญู ความจงรักภักดี ความซื่อสัตย์ และความเมตตา เพื่อกำหนดกรอบศีลธรรมอันดีในสังคม

ต่อมา มีแนวคิดจากบางกลุ่มเชื่อว่าหลัก จริยศาสตร์ อย่างเดียวคงไม่เพียงพอในสังคม จึงเกิดกระแส ขงจื๊อใหม่ (Neo-Confucianism) ขึ้น โดยใช้รากฐานความคิดของขงจื๊อเดิม แต่มีการเพิ่มแนวคิดเรื่องอภิปรัชญา (Metaphysics) เพื่อให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น และกลายเป็นรากฐานของวัฒนธรรมและการปกครองเกาหลีในยุคสมัยนั้น

นักวิชาการด้านเกาหลีศึกษา ยังอธิบายถึงสิ่งที่เรียกว่า อภิปรัชญา (Metaphysics) ให้เข้าใจอย่างง่ายว่า Meta หมายถึง เหนือ หรือเลยออกไป ส่วน physic หมายถึง สิ่งทางกายภาพ ดังนั้น Metaphysics จึงหมายถึงสิ่งที่เราเห็นทางกายภาพ อาจมีสิ่งที่มากไปกว่านั้น กล่าวให้ง่ายคือ สิ่งที่ตาเห็นอาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมด

“สมมุติว่าเรามองเห็นน้ำ ถ้าเรามองด้วยตา มันก็เป็นแค่ของเหลวใส ๆ ใช่ไหม แต่ลึกลงไปกว่านั้นมันมีส่วนประกอบของ H2O หรือหากเปรียบกับมนุษย์ เมื่อมองให้ลึกลงไปกว่ารูปร่างกายที่ตาเห็น ในนั้นมันมีทั้ง เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ หรือที่เราเรียกว่า ขันธ์ 5”

ผศ.ถาปกรณ์ กำเนิดศิริ

แนวคิดของขงจื๊อใหม่ จึงหวนกลับมาสอดประสานกับพุทธปรัชญาอย่างลึกซึ้ง เพราะครอบคลุมทั้งมิติทางจริยศาสตร์ (Ethics) และมิติทางอภิปรัชญา (Metaphysics)

แม้แนวคิดของปรัชญาจีนจะเข้ามาในเกาหลีตั้งแต่สมัยโกกูรยอแล้ว แต่เฟื่องฟูที่สุดในสมัย ราชวงศ์โชซอน (ค.ศ. 1392–1897) ที่นำแนวคิดแบบขงจื๊อใหม่ ทั้งอุดมการณ์ทางจริยธรรม ศีลธรรม รวมถึงอุดมการณ์ทางการเมืองมาใช้ ทำให้กลายเป็น รัฐขงจื๊อ อย่างเต็มรูปแบบ

“ตลอดช่วงเวลายาวนาน พระพุทธศาสนาในเกาหลีจะมีช่วงโดดเด่นบ้าง เบาบางลงบ้าง สลับกันไปมาตลอดหน้าประวัติศาตร์ ทำให้เห็นว่า พระพุทธศาสนาอยู่คู่กับประเทศเกาหลีมาโดยตลอด เพียงแค่แปรเปลี่ยนไปตามพลวัตโลกเท่านั้น”

ผศ.ถาปกรณ์ กำเนิดศิริ

จาก ‘คีโย’ สู่ ‘เซน’ – เมื่อศาสนาปะทะความคิด จะเรียนตำราหรือว่าเน้นปฏิบัติ ?

ประเทศเกาหลี ก็เหมือนกับอีกหลายประเทศทั่วโลก ที่มีความขัดแย้งกันเองภายในเรื่องแนวคิดทางศาสนา ศาสนาพุทธกลุ่มแรกที่แพร่จากจีนเข้ามาในเกาหลีเรียกว่านิกาย  คีโย (Kyo) มีแนวคิด การศึกษาตามตัวบท (Textual Buddhism) หรือเรียกได้ว่า เน้นเรียนตามตำราให้ความสำคัญกับการอ่าน การตีความ และการอภิปรายเชิงปรัชญา (Philosophical discussions) ตัวอย่าง นิกายที่สังกัดกลุ่มนี้ เช่น นิกายอวตัมสกะ (Huayan) นิกายเทียนไถ (Tiantai/ Tendai) และนิกายโยคาจาระ เป็นต้น

ต่อมาเกิดการแพร่หลายของอีกแนวทาง คือ เซน (Zen) ชื่อที่คนไทยอย่างเราคุ้นเคย โดย ผศ.ถาปกรณ์ แอบให้เกร็ดเล็กน้อยกับเราว่า แม้คำว่า เซน จะเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่จริง ๆ แล้ว เซน มีต้นกำเนิดมาจากอินเดีย

ในอินเดีย จะถูกเรียกว่า ธยาน (Dhyana) หมายถึง การเพ่งสมาธิ เมื่อแพร่เข้าสู่จีนถูกเรียกว่า ชาน (Chan) พอมาถึงเกาหลีเรียกว่า ซอน (Seon) และเมื่อไปถึงญี่ปุ่นจึงกลายเป็น เซน (Zen) 

แล้วคำว่า เซน ก็ถูกเผยแพร่สู่โลกตะวันตก และถูกนำมาใช้ในฐานะคำสากลจนถึงทุกวันนี้

สิ่งที่น่าสนใจคือ นิกายเซน ตั้งคำถามต่อแนวทางแบบคีโย ว่าแแนวทางการศึกษาแบบเน้นตำรานั้น อาจไม่ใช่แแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา แต่ควรสอนให้คนนำความรู้จากตำราไปใช้ในชีวิตจริงต่างหาก

“เซนตั้งคำถามว่า พุทธศาสนาแรกเริ่มไม่เคยสอนให้อ่านตำรา หรือวิเคราะห์ปรัชญามากเท่านี้ จึงควรจะเอาสิ่งที่อ่านในตำรามาทำให้เป็นประสบการณ์ ทำให้สิ่งนั้นปรากฏในความรู้สึกของคุณเองต่างหาก”

ผศ.ถาปกรณ์ กำเนิดศิริ

เซน เน้นว่า “การเรียนรู้จากตำราเป็นเพียงแนวทาง แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือประสบการณ์ตรงที่เกิดจากการปฏิบัติ” ตัวบทหรือคำสอนในคัมภีร์ จำเป็นต้องถูกแปรเปลี่ยนจาก textual ให้กลายเป็น experiential หรือจาก ตัวหนังสือ ไปสู่ ประสบการณ์จริง

“เหมือนเราเรียนวิชาเคมี เห็นน้ำในกาเดือด เราก็ได้แต่รู้ว่าน้ำมันร้อนเพราะตำราเขียนไว้ใช่ไหม แต่ถ้าคุณอยากรู้ว่าความร้อนแท้จริงแล้วมันเป็นอย่างไร คุณก็ต้องเอานิ้วจุ่มลงไป เหมือนคำในศาสนาพุทธเรียกว่า ปัจจัตตังเวทิตัพโพธิ วิญญูหิติ หรือ คุณทำเอง ก็จะรู้เอง

“หรือแม้แต่คำสอนในพุทธศาสนาที่ว่า สรรพสิ่งเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงได้ คนเรียนแค่ตำราอาจบอกว่าเข้าใจแล้ว ก็แค่นั้นแล้วจบ แต่ถ้าในเชิงประสบการณ์ ให้ลองนึกว่าถ้าเรานั่งอยู่ในห้องแล้วมีครูเดินเข้ามา ตอนนั้นเรากลายเป็นนักเรียน แต่ถ้าแม่เดินมา เราก็กลายสภาพเป็นลูก ความที่เราเป็นนักเรียนตลอดไปมันไม่จริงอีกแล้ว เพราะพุทธศาสนาสอนว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกมันพึ่งพิงอยู่กับสิ่งอื่น คือ ความเป็นฉันมันเกิดขึ้นเพราะมีเธอ ความเป็นเธอมันเกิดขึ้นเพราะมีฉัน มันไม่มีอะไรที่เป็นนิรันดร์ตลอดไป”

ผศ.ถาปกรณ์ กำเนิดศิริ

ความขัดแย้งทางศาสนาที่เกิดขึ้นในช่วงนี้จึงเป็นเรื่องการปะทะทางแนวคิด ฝ่ายคีโยมองว่า การอ่านจากคัมภีร์ตำรา คือ หลักสำคัญ ในขณะที่ฝ่ายเซน มองว่า การปฏิบัติต่างหากคือหัวใจที่แท้จริง ทั้งหมดนี้สะท้อนไปสู่ปัญหา แนวคิดว่าด้วยการบรรลุธรรม (Soteriology) ความเห็นที่แตกต่างนี้ก่อให้เกิดการถกเถียงยืดเยื้อในแวดวงสงฆ์เกาหลีในช่วงเวลานั้น

ต่อมา โบโจ ชินุน (Bojo Jinul, 1158–1210) พระรูปสำคัญในสมัยราชวงศ์โครยอ เสนอว่า ทั้งสองฝ่ายต่างก็ถูกในแบบของตน แต่หากยึดเพียงด้านใดด้านหนึ่งก็ไม่สมบูรณ์ และเสนอว่าให้ประสานทั้งสองด้าน คือการเรียรู้จากตำราเพื่อเข้าใจหลักธรรม และนำไปสู่การปฏิบัติจริง

โบโจ ชินุน (Bojo Jinul, 1158–1210)
พระรูปสำคัญในสมัยราชวงศ์โครยอ (ที่มา : bubryunsa)

“เหมือนเราเอาหินไปทับหญ้า แล้วคิดว่าหญ้าต้องตายแน่ แต่ปรากฏว่าพอยกหินขึ้น วัชพืชก็งอกใหม่ สิ่งนี้เปรียบได้กับการลงมือปฏิบัติที่ไร้ประโยชน์เพราะไม่มีความรู้ แต่การอ่านตำราอย่างเดียว เอาแต่วิเคราะห์ปรัชญาแล้วไม่ปฏิบัติก็ไม่ต่างจากการคาดเดา ถ้าเราเชื่อว่าน้ำจากงูคือพิษ แต่ถ้าเราไม่ทดลองเอาน้ำนั้นมาฉีดใส่ตัวจริงแล้วเจ็บ ก็ไม่มีวันรู้แน่ชัดได้หรอกว่ามันคือพิษ”

ผศ.ถาปกรณ์ กำเนิดศิริ

สุดท้ายแล้ว ทั้ง 2 ด้าน จึงนำมาสู่ทฤษฎีทางปรัชญาพุทธที่เรียกว่า Sudden Awakening and Gradual Cultivation หรือ การตื่นรู้ฉับพลัน และการบ่มเพาะอย่างค่อยเป็นค่อยไป นั่นคือ การเข้าใจสัจธรรมอย่างแจ่มแจ้ง (Sudden Awakening) จากนั้นจึงนำสิ่งที่รู้ไปฝึกฝนและปฏิบัติในชีวิตจริง (gradual cultivation) 

แนวคิดนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ต่อแนวคิดปรัชญาพุทธของเกาหลี เพราะถือเป็นการเชื่อมสะพานระหว่างสายคีโย และสายเซน ข้อเสนอของโบโจ ชินุน ในครั้งนั้นก็กระตุ้นให้เกิดการถกเถียง และกลายเป็นรากฐานของพระพุทธศาสนาในเกาหลีในปัจจุบัน

“ศาสนาในเกาหลีไม่เคยหยุดนิ่ง แต่เต็มไปด้วย dynamic ผ่านการเดินทางทางความคิด การขัดแย้ง และพัฒนาการจนกลายเป็นประเทศเกาหลีที่เราเห็นได้อย่างทุกวันนี้ และเป็นรากฐานให้ในยุคต่อมา พุทธศาสนาพัฒนาไปสู่การมี กิจกรรมทางสังคม (social activity) มากขึ้นด้วย”

ผศ.ถาปกรณ์ กำเนิดศิริ

เมื่อเกาหลียุคใหม่ ไม่มีศาสนา ? สู่ กำเนิด ‘พุทธศาสนานิกายวอน’ (Won Buddhism)

เกาหลียุคศตวรรษที่ 17–18 ถือว่าเป็น ช่วงรอยต่อ ที่ศาสนาพุทธเองไม่ได้รุ่งเรืองเหมือนสมัยโครยออีกแล้ว มีการเข้ามาของขงจื๊อใหม่ที่กลายเป็นอุดมการณ์หลักของชาติ ขณะเดียวกันก็มีแรงกดดันจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นภัยคุกคามจากญี่ปุ่น จีน การเข้ามาของมิชชันนารีฝั่งตะวันตก รวมถึงเกิดกลุ่มแนวคิดต่อต้าน

ในช่วงเวลานี้เอง พุทธศาสนาในเกาหลีจำเป็นต้องปรับตัว เกิดสิ่งที่เรียกว่า กิจกรรมทางสังคม (social activity) ในบริบทพุทธศาสนาและศาสนาพื้นถิ่น (indigenous religions) เน้นการทำงานและช่วยเหลือผู้คนโดยตรงมากกว่าจะพูดแต่เรื่องปรัชญาอันลึกซึ้งแบบที่ชาวบ้านทั่วไปไม่เข้าใจ เป็นการทำให้ศาสนาเน้นการช่วยเหลือและทำงานเพื่อสังคมมากยิ่งขึ้น

จนกระทั่งในยุคสมัยปัจจุบัน ที่ดูเหมือนศาสนาจะไม่ตอบโจทย์ในชีวิตจริงอีกต่อไป หนุ่มสาวรุ่นใหม่บอกว่าตนเอง ไม่มีศาสนา

“เราเคยไปถามคนเกาหลีว่าเวลาพี่พวกเขาตอบว่า ไม่มีศาสนา มันหมายถึงอะไรกันแน่ เขาตอบว่า เพราะ concept ของการมีชีวิตที่ดี (good life) ของเขา ไม่จำเป็นศาสนามาเกี่ยวข้องเลย เขาจึงไม่จำเป็นต้องมีศาสนาก็ได้”

ผศ.ถาปกรณ์ กำเนิดศิริ

อีกตัวอย่างที่ให้ภาพชัดขึ้น เพราะในยุคสมัยนี้สัมพันธ์กับเทคโนโลยี ตื่นเช้ามาก็ดูมือถือ กินข้าวก็มีเครื่องชงกาแฟ ไปทำงานก็ขึ้นรถไฟฟ้า ทำงานก็เปิดคอมพิวเตอร์ ใช้อินเทอร์เน็ต กลับบ้านก็เปิดทีวีดู ชีวิตประจำวันทั้งหมดมันตอบสนองได้ด้วยเทคโนโลยีแล้วโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีกิจกรรมทางศาสนาใด ๆ เลย

ถ้าคอนเซปต์การมีชีวิตที่ดีของคนรุ่นใหม่ คือ การมีบ้าน มีรถ มีครอบครัว พวกเขาก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องมีศาสนาอยู่ในชีวิตประจำวัน ศาสนาจึงไม่จำเป็นและเป็นส่วนเกิน

แต่ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องอันตราย หากปล่อยต่อไปแบบนี้สังคมอาจมีปัญหา จึงเกิดแนวคิดทางศาสนาใหม่ ๆ หรือที่เรียกว่า กลุ่มเคลื่อนไหวทางศาสนาใหม่ (New Religious Movement)

หากศาสนาเอาแต่คุยเรื่องปรัชญา ชาวบ้านที่ไหนจะคุยด้วย ศาสนาก็จะถูกกันออกจากสังคมในที่สุด กลุ่มเคลื่อนไหวทางศาสนาใหม่จึงมีความคิดว่า แนวคิดทางพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว แต่ควรปรับให้นำมาใช้จริง (practical) ได้ด้วย จึงมีการนำหลักคิดมาลดทอนความซับซ้อน ทำให้เข้าใจง่าย (simplify) และมีความสัมพันธ์สังคมให้มากขึ้น กระทั้งเชเกิดเป็นพุทธศาสนานิกายวอน (Won Buddhism)”

ผศ.ถาปกรณ์ กำเนิดศิริ

Won Buddhism (ที่มา : Won Institute)

พุทธศาสนานิกายวอน (Won Buddism) คือ หนึ่งในหลาย ๆ นิกายที่เกิดขึ้นใหม่ มีการนำ แนวคิดทางจริยธรรม (ethics) มาประยุกต์ใหม่ให้เข้ากับสังคมให้มากขึ้น ทำให้คนรุ่นใหม่เริ่มรู้สึกว่า ศาสนาแบบใหม่นี้เข้าใจง่ายกว่าที่เคย

ตัวอย่างหนึ่งคือเรื่องการศึกษา นิกายวอน มีแนวคิดว่า Education for All หรือ การศึกษาเพื่อทุกคน (ไม่ใช่เฉพาะชนชั้นบน) จึงตั้ง มหาวิทยาลัยวอนกวัง (Wonkwang University) ที่ให้ประชาชนทุกคนได้เข้าเรียน ไม่ว่าเชื้อชาติศาสนาใด เพราะเชื่อในหลักการว่ามนุษย์ทุกคนเท่าเทียม รวมถึงโรงพยาบาลด้วย

Wonkwang University (ที่มา : Wonkwang University)

“สิ่งนี้สะท้อนถึงหลักพุทธมหายานของเกาหลี ที่เชื่อว่าทุกคนล้วนเท่าเทียม ไม่ว่าจะยากดีมีจน เพศหญิงชาย หรือแม้แต่สัตว์อย่างช้างม้าวัวควาย ทุกคนต่างมีศักยภาพในการบรรลุธรรม หรือที่เรียกว่า พุทธภาวะ (Buddha-Nature)”

ผศ.ถาปกรณ์ กำเนิดศิริ

ไม่เพียงแค่ในเกาหลี แต่กปรากฏการณ์ทางศาสนาลักษณะนี้ ยังเกิดในไต้หวันด้วย เช่น ฉือจี้ ที่ใช้แนวคิดเรื่อง Socail Activity เช่นกัน

“ผมเคยไปที่โรงพยาบาลของเขา ที่นั่นมีภิกษุณีมาเล่นเปียโน มาแจกน้ำให้ผู้ป่วยและผู้ดูแล ผมลองถามเขาว่าเป็นนักบวชไม่ใช่หรือ มาทำอย่างนี้ได้อย่างไร เขาตอบว่า สิ่งที่ทำไม่เกี่ยวกับการเป็นนักบวชเลย แต่มันคือการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ต่างหาก และนี่ต่างหากคือหัวใจของพระพุทธศาสนา

ผศ.ถาปกรณ์ กำเนิดศิริ

สิ่งที่ ผศ.ถาปกรณ์ เล่ายิ่งชี้ให้เห็นว่า พัฒนาการของพุทธศาสนาแต่ละครั้ง ไม่ได้มาจากปัจจัยภายนอกประเทศอย่างเดียว แต่มาจากวิถีชีวิต และความรู้สึกนึกคิดของคนภายในชาติด้วย

การแปรเปลี่ยน ปรับตัว จนเกิดสิ่งใหม่ เป็นเหมือนวิวัฒนาการอันดีที่ทำให้พุทธศาสนาดำรงอยู่ได้อย่างสอดคล้องกับสังคมที่ทั้งผู้คนและศาสนาต่างต้องพึ่งพาอาศัยกัน

Temple Stay : เมื่อวัดกลางป่า กลายมาเป็นรีสอร์ทฮีลใจ

การเดินทางของพุทธศาสนาเกาหลีที่ยาวนานเกือบ 2 พันปี เกิดการเปลี่ยนผ่านต่อเนื่อง จนกระทั่งวันนี้ กระแสหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อย คือ temple stay ที่กำลังกลายเป็น movement ใหม่ของพุทธศาสนาเกาหลี

Temple stay หรือ โครงการพำนักในวัดพุทธของเกาหลี เปิดให้ผู้คนทั่วไปได้เข้ามาเรียนรู้อยู่อาศัย และได้ใช้ชีวิตในวิถีแห่งสงฆ์ ฝึกปฏิบัติ และเรียนรู้พระธรรมในช่วงเวลาสั้น ๆ เพื่อให้ได้พักใจและเรียนรู้ศาสนาไปพร้อมกัน

โครงการนี้ มีจุดเริ่มต้นเพื่อรองรับฟุตบอลโลกในปี ค.ศ. 2002 (2002 FIFA Korea–Japan World Cup) ที่เกาหลีใต้-ญี่ปุ่น เป็นเจ้าภาพร่วมกัน จนกระทั่งวันนี้ ที่กลายเป็นโครงการถาวร และมีวัดเข้าร่วมมากกว่า 100 แห่ง

หากมองให้ลึกลงไปแล้ว โครงการ Temple Stay ของเกาหลีถือเป็น new movement ของศาสนา เพราะในสังคมปัจจุบัน ผู้คนต่างทำงานหนัก เครียด และมักหาทางผ่อนคลาย นอกจากวิถีทางโลกอื่น ๆ แล้ว ศาสนาก็ควรต้องทำหน้าที่ในการเยียวยาจิตใจหรือ spiritual healing ได้ด้วย

“เกาหลีมีวัดสวย ๆ ตามป่าเขามาก เลยมีโปรแกรมเปิดให้คนมาพักผ่อน ระหว่างนั้นสอดแทรกคำสอนของศาสนาไปพร้อมกันด้วย”

ผศ.ถาปกรณ์ กำเนิดศิริ

แทนที่จะเปิดตำราหนา ๆ ซึ่งคนทั่วไปไม่ค่อยอยากอ่าน แต่พระในวัด Temple Stay กลับเลือกจะพาผู้เข้าร่วม ไปใช้ชีวิตจริง ในวัด ทั้งการนั่งสมาธิ ทำวัตรเช้า กินอาหารแบบสงฆ์ หรือแม้แต่พาเดินชมสวนผัก

พระจะพาผู้เข้าพักไปเก็บผักในสวนมาทำอาหาร ผักที่ไม่สวย โดนหนอนเจาะบ้าง โดนแมลงกินบ้าง คนก็จะเริ่มตั้งคำถามเมื่อได้ผักที่ไม่เป็นดั่งใจ

นี่จึงเป็นจังหวะดีในการสอดแทรกธรรมะผ่านการปฏิบัติ เพื่อเข้าใจว่า โลกมันก็เป็นเช่นนี้ ต้นไม้ก็เกิดของมัน สัตว์อื่นก็แทะกินไปบ้าง หน้าที่ของมนุษย์คือเข้าใจมันในแบบที่มันเป็น ไม่ใช่ทำตัวเป็นเจ้าผู้ครองโลก

“พอคุณเดินเข้าไปในสวนแล้วคิดว่าผักต้องสวย พริกต้องสมบูรณ์ คุณก็ทุกข์ทันที ทุกข์ที่เกิดจากพยายามบังคับให้ทุกสิ่งเป็นดั่งใจ การสอนแบบนี้จะทำให้คนเข้าใจผ่านประสบการณ์มากกว่าตำราพระพุทธศาสนา”

ผศ.ถาปกรณ์ กำเนิดศิริ

Temple Stay จึงเป็นทั้ง การเยียวยาจิตใจ และ การเรียนรู้ โดยที่ศาสนากับสังคมเกื้อกูลกัน ที่น่าสนใจคือ รัฐเองก็มองว่าโครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของการโปรโมท K-Culture ด้านการท่องเที่ยวที่ช่วยเผยแพร่วัฒนธรรมเกาหลีในมิติศาสนา

“รัฐก็ชอบ เพราะมันทำให้ศาสนากลายเป็นวัฒนธรรม วัดก็ชอบ เพราะมันทำให้คนเข้าใจศาสนาได้ง่ายขึ้น คนไม่ต้องเจอแต่ตำราเรียนหนา ๆ ที่ใครเห็นก็เบื่อ แต่พอได้อยู่ในสถานการณ์จริง ความเข้าใจจะเกิดขึ้นได้เอง แม้อาจไม่ได้มีใครบรรลุธรรมได้จากสิ่งนี้ แต่อย่างน้อย ผู้คนจะเข้าใจว่าสมาธิคืออะไร โลกมันเป็นเช่นไร เราไปบังคับโลกไม่ได้ สิ่งนี้นี่เองที่ทำให้เขาสัมผัสธรรมมะได้จริง ๆ” 

ผศ.ถาปกรณ์ กำเนิดศิริ ทิ้งท้าย

ผศ.ถาปกรณ์ กำเนิดศิริ หัวหน้าสาขาวิชาเกาหลีศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

เมื่อลองมองย้อนกลับไปยังเส้นทางของพุทธศาสนาในเกาหลี จะเห็นได้ว่าทั้ง ความรุ่งเรือง ไปจนถึงความถดถอยของศาสนา ไม่เคยเกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว แต่สัมพันธ์กับการเมือง การปกครอง และความคิดของสังคมในช่วงนั้น ๆ เสมอ

ย้อนกลับมาที่สังคมบ้านเราในวันนี้ วิกฤตวงการพุทธศาสนาไทย ไม่เพียงสะท้อนปัญหาของตัวสถาบัน แต่ยังสะท้อนถึงการที่เราจะเลือกปรับตัวอย่างไรต่อความเปลี่ยนแปลงนั้น

การเรียนรู้จากพุทธศาสนาในเกาหลี จึงถือเป็นคำเตือนสำคัญ ว่า หากเราไม่ยอมรับความจริง ไม่ปรับสมดุลระหว่าง ศาสนากับสังคม อนาคตพุทธศาสนาในบ้านเราอาจเหลือเพียงชื่อ แต่ขาดความหมายที่แท้จริงต่อผู้คนก็ได้

Author

Alternative Text
AUTHOR

ปุณยอาภา ศรีคิรินทร์

บุญคุณต้องทดแทน มนต์แคนต้องแก่นคูน