“พระคืออาชีพ”
นี่ไม่ใช่ความเห็นที่ถูกเขียนจากจินตนาการ แต่ข้อความข้างต้นมาจากผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อประเด็นวิกฤตพระพุทธศาสนา จัดทำโดย นิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กรณีข่าวฉาวของพระสงฆ์ในปัจจุบัน
- ความศรัทธาของประชาชนต่อพระสงฆ์ ลดลง ร้อยละ 58.4
- ความศรัทธาต่อพุทธศาสนา ลดลง ร้อยละ 31.45
ประชาชนยังมองว่าสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนา เกิดจากพระสงฆ์จำนวนหนึ่งตัดไม่ขาดจากทางโลก ทำให้มีข่าวอื้อฉาวเป็นประจำ เช่น เสพยาบ้า ดื่มสุรา เล่นการพนัน ยุ่งสีกา
รองลงมาคือ หลงในลาภ ยศ สรรเสริญและตำแหน่งทางสงฆ์ หลงในวัตถุนิยมหรือบริโภคนิยม
นอกจากนี้ ความเห็นของประชาชนยังมองว่า พระสงฆ์จำนวนหนึ่งออกบวชเพราะเห็นว่า พระคืออาชีพหนึ่งที่สามารถสร้างรายได้ให้แก่ตนเองได้ ขณะเดียวกัน องค์กรที่ดูแลพระพุทธศาสนาก็อ่อนแอ ขาดประสิทธิภาพในการตรวจสอบป้องกัน
ข่าวอื้อฉาวในวงการผ้าเหลืองที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องทุจริตเงินวัดและพฤติกรรมนอกรีต เผยให้เห็นปัญหาที่ซุกอยู่ใต้กุฏิมานาน และ ได้สั่นคลอนความเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนชาวไทย จนกลายเป็นวิกฤตศรัทธาครั้งใหญ่ ถาโถมเข้าใส่สถาบันศาสนา

เกิดอะไรขึ้นกับผู้ทรงศีลเหล่านี้?
สงฆ์ใดสาวกศาสดา? ใต้อำนาจเงินตรา-สีกา-บรรดาศักดิ์
ทําไมพระจึงต้องสะสมเงินทอง
ทําไมพระยังมักมากในกาม
ทำไมพระลุ่มหลงมัวเมาในทางโลก
หากถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับพฤติกรรมสงฆ์ที่เสื่อมถอยลง สมฤทธิ์ ลือชัย นักวิชาการอิสระ ชวนมองปัญหาเหล่านี้ว่า ทั้งหลายทั้งปวงล้วนเป็นผลที่เกิดจากเหตุ ดังนั้น ต้องสืบย้อนกลับไปที่ต้นตอ เพื่อทำความเข้าใจเหตุของปัญหา
ความหมายดั้งเดิมของคำว่า “สมณะ” หมายถึง ผู้เหน็ดเหนื่อยจากการบำเพ็ญเพียร อุทิศตนอย่างหนักในการฝึกฝนจิตใจ พร้อมที่จะสละแล้วซึ่งทางโลก เพื่อค้นหาความจริงสูงสุดของการหลุดพ้น
หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ระหว่างสงฆ์ไทยยุคปัจจุบันกับสงฆ์ในสมัยพุทธกาล ข้อแตกต่างประการแรกสุด คือ ในอดีตนั้น อุดมการณ์หลักของการออกบวช คือ การมุ่งขัดเกลาจิตใจให้บริสุทธิ์ กำจัดกิเลสทั้งปวง เพื่อการบรรลุเป้าหมายสูงสุดคือ “นิพพาน”
ต่างจากยุคปัจจุบันที่ความหมายของการบวชอาจเป็นเพียงแค่การทำตามประเพณี บนความเชื่อที่ว่าเพื่อทดแทนพระคุณพ่อแม่ หรืออาจมีวัตถุประสงค์อย่างอื่นแอบแฝง เช่น หลบหนีคดี หลีกหนีความยากจน หรือเพื่อยกสถานะทางสังคมของตนเอง
เมื่อตั้งต้นผิดวัตถุประสงค์เช่นนี้แล้ว เจตนารมณ์ของการเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์จึงผิดเพี้ยนไปจากเป้าหมายดั้งเดิม


“หันกลับมาดูพระไทยในปัจจุบัน เชื่อได้เลยว่าส่วนใหญ่ไม่ได้บวชเพื่อการดับทุกข์ กลายเป็นว่าการบวชนั้นเป็นการแสวงหาโอกาสสถานภาพทางสังคม-เศรษฐกิจ จากคนธรรมดาสามัญ เมื่อได้โกนหัวนุ่งผ้าเหลือง ก็ได้รับการยกย่องนับถือ สถานะทางสังคมคุณเปลี่ยนทันที
ต่อให้คุณไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ต่อให้คุณไม่มีความรู้ความสามารถอะไรก็ตาม สถานะนี้มันทําให้คุณสูงกว่าคนทั่วไป นี่คือวัฒนธรรมที่ถูกสร้างตอนหลัง”
สมฤทธิ์ ลือชัย นักวิชาการอิสระ
เมื่อการเป็นนักบวชนำมาสู่การยกสถานะให้กับผู้บวชแล้ว สิ่งที่ตามมาคือ ความเลื่อมใสศรัทธา ส่งผลในมุมกลับให้พระสงฆ์อัตตาพองโต ประกอบกับความเชื่อของชาวพุทธไทยส่วนใหญ่ที่เชื่อในเรื่องการสั่งสมบุญบารมีด้วยการบริจาคทาน ทำให้ทั้งพระและวัดต้องข้องเกี่ยวกับเรื่องเงินอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ในแง่นี้ บรรดาฆราวาสเองก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้พระสงฆ์ไขว้เขวไปจากเส้นทางการดับทุกข์ ผลก็คือ พระสงฆ์จำนวนไม่น้อยต้องเผชิญกับความท้าทายจากกิเลสทางโลก ซึ่งหากใจไม่แข็งพอ ก็อาจตกอยู่ใต้อำนาจของโลภะ หรือความอยากได้ใคร่มี และราคะ หรือความหลงใหลในกามคุณ
“อัตตา โลภะ ราคะ จึงเป็นตัวทําลายพระสงฆ์ไทยที่ไม่พร้อมที่จะดับทุกข์ เพราะฉะนั้นจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม เวลาเราด่าพระ อย่าลืมว่าเราก็เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างพระพวกนี้ขึ้นมา คือพระที่ไม่ดี”
สมฤทธิ์ ลือชัย นักวิชาการอิสระ
เพราะการสืบทอดพระพุทธศาสนาเป็นหน้าที่ของพุทธบริษัททั้ง 4 คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา ในการทำนุบำรุงพระศาสนา เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน เมื่อพระสงฆ์ตักเตือนสังคมได้ สังคมก็ต้องตักเตือนพระสงฆ์ได้ด้วยเช่นกัน
แต่ปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นในยุคโลกาภิวัตน์ คือ สภาพสังคมไทยที่เปลี่ยนแปลงไป จากในอดีตที่วัดกับชุมชนเคยมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด เมื่อความสัมพันธ์นี้ค่อย ๆ ถอยห่างจากกัน ทำให้การกำกับดูแลพฤติกรรมสงฆ์ด้วยกลไกของชุมชนค่อย ๆ หมดบทบาทลง
แม้กระทั่งพระผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยก็ไม่จำเป็นต้องออกบิณฑบาต ปฏิสัมพันธ์ระหว่างวัดกับชุมชนโดยรอบจึงเสื่อมคลายลง อีกทั้งวัดยังได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชูจากรัฐส่วนกลาง จึงไม่ต้องพึ่งพาอาหารและความช่วยเหลือจากชุมชน
“ถ้าเราไปสร้างสิ่งที่เรียกว่าความสัมพันธ์เดิมที่วัดเป็นของชุมชน พระเป็นของชาวบ้าน ก็จะเกิดการดูแลซึ่งกันและกัน ควบคุมซึ่งกันและกัน
อย่างคําว่าคว่ำบาตร หมายความว่ากรณีที่พระเดินไปบิณฑบาต แล้วคนบ้านนี้ไม่อยู่ในศีลธรรม พระจะไม่รับบาตรจากคนนั้น เขาเรียกว่าคว่ำบาตร
นี่คือมาตรการตอบโต้กับคนในสังคมด้วยนักบวช ในขณะเดียวกัน นักบวชไม่ดี ชาวบ้านไม่ใส่บาตร ก็เป็นมาตรการเกิดขึ้นในโกสัมพี สมัยพุทธกาล”
สมฤทธิ์ ลือชัย นักวิชาการอิสระ

ทั้งนี้ แม้ความสัมพันธ์ของวัดกับชุมชนจะเหินห่างกันมากขึ้น แต่ขณะเดียวกัน โซเชียลมีเดียก็เข้ามามีบทบาทแทนที่ ดังเห็นได้จากหลายคดีที่ถูกเปิดโปงก็ล้วนขับเคลื่อนด้วยพลังของโซเชียลมีเดีย และนำมาสู่การจับกุมในที่สุด
นอกเหนือจากข้อเสนอของ สมฤทธิ์ ที่ต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดูแลติดตามพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของพระสงฆ์มากขึ้นแล้ว สังคมไทยเองก็ยังเรียกร้องให้องค์กรด้านศาสนาเข้ามาตรวจสอบเงินวัดให้เข้มข้นขึ้นด้วย โดยเฉพาะการออกระเบียบให้วัดต้องทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันการทุจริตอย่างที่เคยเป็นมา
อย่างไรก็ตาม สมฤทธิ์ ยังมองว่า การบวชด้วยเป้าหมายอื่น ถือเป็นจุดตั้งต้นที่ผิดตั้งแต่ก้าวแรก ดังนั้น หากจะแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ต้องเริ่มด้วยการฟื้นคืนอุดมการณ์หลักของการเป็นนักบวช นั่นคือ การบวชเพื่อศึกษาพระธรรม และพร้อมจะฝึกฝนตนเพื่อการดับทุกข์ ตามหลักปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ
จะหยอดตู้-ใส่ซอง เงิน-ทอง พระก็จับได้ ถ้าใจไร้โลภะ
“พระรวย ๆ”
คำถามที่ชาวพุทธมักได้ยินอยู่บ่อย ๆ คือ พระจับเงินได้ไหม แล้วทําไมเป็นนักบวชแล้วถึงต้องมีเงิน
“โย โภกฺขุ ชาตรูปํ รชตํ อุคฺคเณฺหยฺย วา อุคฺคณฺหาปเยฺย วา, นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํ”
(ภิกษุใด รับก็ดี ให้ผู้อื่นรับก็ดี ซึ่งเงินทอง ต้องอาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์)
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่มที่ 2 (หมวดนิสสัคคียปาจิตตีย์ ข้อที่ 18)
หากว่ากันตามหลักพระวินัยอย่างเคร่งครัด พระสงฆ์ย่อมไม่สามารถจับต้องเงินทองได้โดยตรง และถือเป็นอาบัติ เพราะอาจทำให้ลุ่มหลงไปในทางโลกได้ แต่สามารถรับสิ่งของได้เท่าที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค หรือที่เรียกว่าปัจจัย 4
มากไปกว่านั้น การเป็นสมณเพศย่อมไม่ควรรู้สึกยินดีหรือยินยอมที่จะเก็บทรัพย์สินใด ๆ ไว้เพื่อตนเอง เช่น การมีบัญชีธนาคารส่วนตัว หรือมีทรัพย์สินในนามของตนเอง
แต่หากพิจารณาตามสภาพความเป็นจริงของยุคสมัย อาจเป็นเรื่องยากที่นักบวชโดยทั่วไปจะใช้ชีวิตอยู่ในโลกปัจจุบันได้โดยไม่ข้องแวะกับเรื่องเงินทอง
“ผมไม่เห็นด้วยกับวินัยเรื่องพระไม่จับเงิน เงินก็เป็นแค่วัตถุ เมื่อพระจับหินจับดินได้ ก็จับเงินได้ ไม่เห็นเป็นไร จับไม่จับ ไม่ผิดไม่บาป บาปอยู่ที่นี่ (ใจ) ต่อให้ไม่จับ แต่เห็นเงินแล้วอยากได้ อันนั้นบาปกว่า”
สมฤทธิ์ ลือชัย นักวิชาการอิสระ
ในทางปฏิบัติยุคปัจจุบัน เพื่อให้พระสงฆ์สามารถใช้จ่ายในทางที่เป็นประโยชน์ต่อวัดและส่วนรวมได้ จึงจำเป็นต้องมี “ไวยาวัจกร” หรือฆราวาสผู้ช่วยดูแลการเงินแทนพระสงฆ์ โดยกฎของมหาเถรสมาคม กำหนดว่าการแต่งตั้งไวยาวัจกรของวัดใด ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าอาวาสวัดนั้น ก่อนจะผ่านการอนุมัติจากเจ้าคณะอำเภอ เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยให้พระภิกษุสงฆ์ไม่ต้องอาบัติในการรับเงินทอง รวมถึงเป็นผู้ช่วยจัดการธุรกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินเงินทองได้ทั้งหมด
เงินทั้งหลายที่ผู้มีจิตศรัทธาถวายให้นั้น จึงต้องฝากไว้กับไวยาวัจกร หรือในบัญชีของวัด เพื่อนำไปใช้ในกิจการของวัด เช่น บำรุงซ่อมแซมอาคาร หรือการจัดงานบุญต่าง ๆ แต่ไม่ใช่เพื่อการใช้จ่ายส่วนตัวของสงฆ์
รศ.ดนัย ปรีชาเพิ่มประสิทธิ์ อาจารย์สาขาวิชาปรัชญา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นว่า หากพระภิกษุสงฆ์ มี ไวยาวัจกรประจำวัดและเคร่งครัดในเรื่องเงินทองตามพระธรรมวินัยนี้ บทบาทของไวยาวัจกรจะมีส่วนช่วยบรรเทาปัญหาการทุจริตยักยอกเงินวัดของพระภิกษุได้ดีขึ้น

จากแรงกดดันของสังคมไทยที่เรียกร้องให้มีการตรวจสอบทรัพย์สินของวัดและพระสงฆ์ เพิ่มบทลงโทษที่รุนแรงขึ้น เพื่อฟื้นศรัทธาของชาวพุทธกลับคืนมา ทำให้หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและองค์กรศาสนา เร่งหามาตรการปรับปรุงแก้ไขกฎเกณฑ์ที่ล้าสมัย ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคมและวงการสงฆ์
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้แสดงความห่วงใยต่อปัญหาที่เกิดขึ้นจากพฤติกรรมสงฆ์ ทำให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น (สุชาติ ตันเจริญ) ออกมายืนยันว่า รัฐบาลจะเร่งพิจารณาแนวทางแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะประเด็นการลงโทษพระที่ประพฤติผิดวินัย และการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัดให้เกิดความโปร่งใส
ส่วนทางด้าน ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ ในฐานะที่ปรึกษามหาเถรสมาคม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 21 ก.ค. 68 ว่าที่ประชุมมหาเถรสมาคมได้มีมติเห็นชอบร่างแก้ไขเพิ่มเติมกฎมหาเถรสมาคม พ.ศ. 2521 ว่าด้วยการลง นิคหกรรม หรือการวินิจฉัยตัดสินโทษพระภิกษุที่กระทำผิดพระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม พ.ศ. 2538 ว่าด้วยการให้พระภิกษุสละสมณเพศ

ศ.พิเศษ ธงทอง ระบุว่า สาเหตุที่ต้องแก้ไข เนื่องจากกฎเดิมต้องอาศัยทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสารเป็นสำคัญ โดยเฉพาะความผิดฐานเสพเมถุน ซึ่งยากต่อการหาพยานหลักฐานที่แน่ชัด และต้องใช้เวลานานกว่าจะปรากฏผล
แต่ในยุคปัจจุบันสามารถพิสูจน์ได้จากคลิปวิดีโอ และเข้าถึงข้อมูลจากโทรศัพท์ได้ไม่ยาก หากปรากฏหลักฐานความผิดร้ายแรง สามารถพิจารณาให้ปาราชิกได้ภายในเวลาไม่เกิน 10 วัน
ต่อมา วันที่ 30 ก.ค. 68 ที่ประชุมมหาเถรสมาคม มีมติเห็นชอบให้วัดทั่วประเทศแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัด พร้อมทั้งมีการควบคุมดูแลจากผู้ทรงคุณวุฒิ ตัวแทนภาคประชาชนในชุมชน และไวยาวัจกร เป็นกรรมการและเลขานุการ
นอกจากนี้ ให้ใช้ระบบบัญชีวัดของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การบริหารจัดการการเงินของวัดเป็นไปอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ
พร้อมกันนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ปรับเปลี่ยนชื่อหน่วยงานจาก “ศูนย์ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและส่งเสริมพระธรรมวินัย” เป็น “ศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา” เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจมากขึ้น โดยตำรวจสอบสวนกลางยังคงเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการ และรับแจ้งเบาะแสพฤติกรรมไม่เหมาะสมของพระสงฆ์
การขยับตัวของหลายหน่วยงาน ทั้งองค์กรด้านศาสนาและผู้บังคับใช้กฎหมาย แม้จะเป็นทิศทางที่ดีในการปกป้องพระพุทธศาสนาไม่ให้เสื่อมเสียมากไปกว่าเดิม แต่ทั้งหมดนี้ก็ยังอาจเรียกได้ว่าเป็นปฏิบัติการเชิงตั้งรับ หรือเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
เช่นเดียวกับการตั้ง “พระวินยาธิการ” หรือที่เรียกกันว่า “ตำรวจพระ” ซึ่งทำหน้าที่เสมือนตำรวจในวงการสงฆ์ โดยเป็นพระภิกษุที่ได้รับแต่งตั้งจากมหาเถรสมาคม ให้ทำหน้าที่ดูแล ตรวจตรา และกำกับพฤติกรรมของพระภิกษุสามเณรในพื้นที่ต่าง ๆ ให้อยู่ในกรอบพระธรรมวินัย
แต่ข้อจำกัดก็คือ ตำรวจพระไม่มีอำนาจในการจับกุมหรือลงโทษใด ๆ ทำได้เพียงว่ากล่าว ตักเตือน หรือรายงาน หากพบพระประพฤติผิดวินัย และยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า ตำรวจพระไม่มีประสิทธิภาพ เพราะเกรงใจระบบอุปถัมภ์ภายในคณะสงฆ์เอง
“ผมไม่เห็นด้วยกับตำรวจพระ คําถามก็คือใครลจะเป็นตํารวจพระ แล้วถ้าตํารวจพระเหลิงอํานาจ ใครจะคุมตํารวจพระ ตํารวจพระก็จะกลายเป็นกลุ่มอํานาจใหม่ในองค์กรสงฆ์อีก แล้วก็จะมีกลุ่มผลประโยชน์ซ้อนในกลุ่มนี้ คือถ้าใครใกล้ชิดตํารวจพระก็อาจจะไม่โดนจับ คุณจะไปเชื่อมั่นได้ยังไงว่าตํารวจพระมันจะเป็นตํารวจพระที่ดี”
สมฤทธิ์ ลือชัย นักวิชาการอิสระ
ผลักฆราวาสออกจากสงฆ์: เมื่ออำนาจศาสนจักร อิงแอบอำนาจรัฐ
ปัญหาความเสื่อมถอยของพฤติกรรมสงฆ์ ทั้งการทุจริตเงินวัด การมัวเมาในกาม หรือการหลงใหลในลาภยศสรรเสริญ หลายครั้งมักถูกสังคมมองว่าเป็นพฤติกรรมส่วนตัวของพระบางรูป แต่หากมองลึกไปกว่านั้น จะเห็นว่านี่ไม่ใช่แค่ปัญหาเชิงปัจเจกเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวพันกับโครงสร้างของสถาบันสงฆ์ด้วยเช่นกัน
ความหย่อนยานและการผิดวินัยร้ายแรงของสงฆ์ เป็นปัญหาที่สั่งสมมาช้านาน แต่ภายใต้โครงสร้างการปกครองของคณะสงฆ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ก็เป็นเรื่องยากที่ฆราวาสจะเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงกิจการสงฆ์
หากย้อนอดีต เมื่อครั้งที่มีการปฏิรูปการปกครองสงฆ์ครั้งใหญ่ สมัยรัชกาลที่ 5 อำนาจของศาสนจักรถูกผนวกเข้ากับกลไกรัฐสมัยใหม่อย่างเต็มรูปแบบ สถาบันสงฆ์ถูกจัดระเบียบใหม่ให้มีลักษณะรวมศูนย์อำนาจ เช่นเดียวกับสายการบังคับบัญชาแบบราชการ ส่งผลให้ศาสนาถูกผูกโยงกับโครงสร้างรัฐอย่างแน่นหนามากขึ้น
ในหนังสือที่ชื่อ “สถาบันสงฆ์กับสังคมไทย” ปี 2527 พระราชวรมุนี หรือ ประยุทธ์ ปยุตฺโต ได้อภิปรายในหัวข้อ “ศาสนจักรกับอาณาจักร: ความสัมพันธ์ระหว่างคณะสงฆ์กับอำนาจการเมือง” ระบุว่า การที่รัฐเข้ามาควบคุมหรือใช้ระบบอุปถัมภ์กับคณะสงฆ์ เพราะรัฐต้องการฐานสนับสนุนจากประชาชน แต่เมื่อใดก็ตามที่คณะสงฆ์พึ่งพิงรัฐมากเกินไปและออกห่างจากประชาชน ย่อมนำความเสื่อมมาสู่รัฐเองด้วย

พระราชวรมุนี ระบุอีกว่า เมื่อคณะสงฆ์หวังพึ่งรัฐ โดยไม่เอาใจใส่ประชาชน ไม่นานคณะสงฆ์ก็จะหมดความหมายต่อประชาชน แล้วก็หมดความหมายต่อรัฐในที่สุด
ในแง่ความสัมพันธ์ทางด้านอื่นก็เช่นกัน พระราชวรมุนี มองว่า พระสงฆ์มีหน้าที่นำพาให้ประชาชนมีความเจริญงอกงามในทางศีลธรรม แต่หน้าที่นี้จะไม่มีทางสำเร็จได้ ตราบใดที่ยังไม่สามารถทำให้ผู้ปกครองประพฤติธรรม เพราะหากผู้ปกครองไม่เป็นธรรม ก็ไม่อาจทำให้สังคมนั้นสงบสุข
ประเด็นสำคัญที่พระราชวรมุนีเน้นย้ำคือ พระสงฆ์จะต้องมีการศึกษา มีความรู้ จึงจะสามารถเป็นผู้นำให้กับสังคมได้ โดยเฉพาะสามเณร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนชนบทห่างไกล ควรได้รับโอกาสในการศึกษามากยิ่งขึ้น
สมณศักดิ์: ติดยศพระ ละทางธรรม
ปัจจุบันแม้ประเทศไทยจะไม่ใช่รัฐศาสนา แต่ก็อยู่ในสถานะรัฐกึ่งศาสนา ข้อเสนอเพิ่มเติมของ สมฤทธิ์ คือ ศาสนาควรเป็นอิสระจากรัฐ ปลอดจากอํานาจแทรกแซงทางการเมือง หรือเรียกว่าเป็น “รัฐฆราวาส” และในรัฐธรรมนูญไม่ควรบัญญัติให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจําชาติ เพราะศาสนาเป็นเรื่องของปัจเจก
ขณะเดียวกัน ในวงการสงฆ์เองก็มีปัญหาเรื่องสมณศักดิ์ที่มีข้อกังขามานาน ไม่ว่าจะเป็นหลักเกณฑ์การพิจารณาจากสายสัมพันธ์ทางการเมืองหรือระบบอุปถัมภ์ มากกว่าคุณงามความดี อีกทั้งอาจเป็นช่องทางแสวงหาผลประโยชน์ นำไปสู่การทุจริตหรือการใช้อำนาจในทางที่ผิด ซึ่งทำให้กระทบต่อภาพลักษณ์ของสถาบันสงฆ์และความเชื่อมั่นของพุทธศาสนิกชน
การจัดให้มีลำดับชั้นยศหรือสมณศักดิ์ ยังส่งผลให้พระจำนวนหนึ่งยึดติดอยู่ในลาภยศสรรเสริญ มากกว่าการมุ่งปฏิบัติธรรมเพื่อการหลุดพ้น
สมฤทธิ์ ให้มุมมองว่า ในสมัยพุทธกาลนั้นนักบวชแต่ละคนแม้จะมาจากชนชั้นวรรณะต่างกัน แต่เมื่อเข้าสู่เส้นทางนักบวชแล้ว ทุกคนล้วนมีสถานะเท่ากัน เพื่อสลายอัตตาและลดความเป็นตัวตนของสมณะ
“ในหมู่สงฆ์กันเอง มีการสร้างสิ่งที่เรียกว่า วัฒนธรรมประดิษฐ์ใหม่ มีสูงต่ำด้วยศักดิ์ เรียกว่าสมณศักดิ์ ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ได้สอน เพราะสิ่งเดียวที่จะเคารพกันได้ก็คือ การบวชก่อนกับบวชทีหลัง แล้วสมณศักดิ์มาได้ยังไง มันผิดมาตั้งแต่นี้แล้ว พอผิดมันก็ผิดมาเรื่อย ๆ จนทุกวันนี้มีคนบอกว่าแก้ไขไม่ได้หรอก แต่มันต้องแก้ไขได้สิ เพราะไม่ได้เป็นคําสั่งของศาสดา”
สมฤทธิ์ ลือชัย นักวิชาการอิสระ
การแต่งตั้งสมณศักดิ์ของสงฆ์อาจไม่ต่างอะไรจากลำดับขั้นที่ถอดแบบมาจากระบบราชการ ซึ่งยังมีข้อครหาเรื่องการใช้เงินซื้อตำแหน่งเพื่อแลกกับผลประโยชน์ต่างตอบแทน
อีกทั้งตำแหน่งสมณศักดิ์ก็ไม่อาจเป็นหลักประกันได้ว่า พระสงฆ์เหล่านั้นจะมีคุณธรรมจริงหรือไม่ ดังเช่นพระชั้นผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยที่ตกเป็นข่าวอื้อฉาวตลอดช่วงที่ผ่านมา
นี่จึงเป็นจุดเสื่อมอีกด้านหนึ่งที่สังคมตั้งข้อสงสัย และเรียกร้องให้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลง
แยกวัดออกจากสถาบัน ให้พระ-ชุมชนใกล้กัน
เมื่อวงการสงฆ์เดินมาถึงจุดที่น่าสิ้นหวังอย่างถึงที่สุดในยุคสมัยนี้ คำถามที่เกิดขึ้นอยู่เนือง ๆ คือ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเราจะยังสามารถกราบไหว้พระสงฆ์ได้อย่างสนิทใจหรือไม่
วิจักขณ์ พานิช นักวิชาการอิสระด้านปรัชญาศาสนา ให้สัมภาษณ์กับ Decode ถึงประเด็นที่ว่า ทำอย่างไรพุทธศาสนาในประเทศไทยจึงจะเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจให้กับชาวพุทธได้อย่างยั่งยืน
วิจักขณ์ มองว่า โจทย์ใหญ่ในขณะนี้คือ พระที่คนไทยเราเห็นแล้วรู้สึกเชื่อมั่น ศรัทธา น่ากราบไหว้ ควรจะมีลักษณะอย่างไร ดังนั้น ต้องย้อนกลับไปพิจารณาที่หลักพระธรรมวินัยเป็นจุดตั้งต้นว่า จะตีความอย่างไรให้สอดคล้องกับบริบทสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
ข้อเสนอของ วิจักขณ์ ยังสอดคล้องกับ สมฤทธิ์ คือมองว่าต้องดึงพระสงฆ์ออกจากความเป็นสถาบัน แล้วให้กลับมามีบทบาทสัมพันธ์เชื่อมโยงกับเพื่อนมนุษย์และชุมชนมากขึ้น
ที่สำคัญ ต้องคืนอำนาจการทำนุบำรุงพุทธศาสนาให้แก่พุทธบริษัททั้ง 4 แทนการใช้อำนาจรัฐควบคุม
หากมองในภาพกว้าง พุทธศาสนาก็ไม่ได้มีเพียงรูปแบบเดียว ดังนั้นจึงไม่ควรผูกขาดความเป็นพุทธเถรวาทแบบไทยเท่านั้น แต่ต้องเปิดใจยอมรับในวิถีพุทธที่หลากหลาย เพื่อให้คนแต่ละกลุ่มสามารถเข้าถึงการหลุดพ้นตามแนวทางที่ตนเองเลือกได้
อย่างเช่น วิถีมหายาน ที่มุ่งเน้นการหลุดพ้นของเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งปวงไปด้วยกัน มากกว่าการหลุดพ้นในระดับปัจเจกหรือตัวเราเอง รวมถึงวิถีพุทธแบบวัชรยาน ที่มีแนวทางการเข้าถึงจิตวิญญาณและธรรมชาติในแบบที่แตกต่างหลากหลายกันไป
ทั้งหลายเหล่านี้มีเป้าหมายสำคัญคือ ทำอย่างไรให้คำสอนเรื่องการหลุดพ้นของพระพุทธเจ้าเข้าถึงผู้คนได้กว้างขวางที่สุด โดยไม่ถอยห่างออกจากสังคม หรือหลุดลอยออกจากความเป็นจริงในทางโลก
สุดท้ายแล้ว วิกฤตศรัทธาที่สั่นคลอนพระพุทธศาสนาอาจไม่ใช่เพียงเรื่องของพระที่เสื่อม แต่คือภาพสะท้อนของสังคมทั้งระบบที่หลงลืมแก่นแท้ของศาสนาไปพร้อมกัน
“พระ” กลายเป็น “อาชีพ”
“ศาสนา” กลายเป็น “ระบบ”
หากสังคมไทยยังอยากเห็นพระพุทธศาสนาอยู่รอดอย่างมีความหมาย ณ เวลานี้จึงเป็นเวลาที่ทุกฝ่ายต้องหันกลับมาทบทวน ไม่ใช่เพียงถามว่า “พระแบบไหนที่ควรกราบไหว้” แต่ต้องกล้าถามต่อว่า “เรากำลังเป็นชาวพุทธแบบไหน” ด้วยเช่นกัน
เพราะการจะทำนุบำรุงศาสนาให้ยั่งยืน ก็เป็นหน้าที่ของพุทธบริษัท 4 ที่จะต้องช่วยกันประคับประคองให้มั่นคงตามบริบทของแต่ละยุคสมัย