ศรัทธาและความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนากำลังสั่นคลอนหนักขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งในระยะหลังปรากฏข่าวอื้อฉาวเกี่ยวกับเงื่อนงำความไม่โปร่งใส ทั้ง เงินวัด เงินบริจาค ซึ่งพัวพันบานปลายไปถึงการยักยอกเงิน ฟอกเงิน รวมเป็นทรัพย์สินจำนวนมหาศาล
แต่อีกด้านหนึ่งกลับปลุกให้ชาวพุทธเริ่มออกมาตั้งคำถามกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น และค้นหาสาเหตุ พร้อมแนวทางแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อป้องกันไม่ให้ ศรัทธา ถูกนำไปใช้หาผลประโยชน์ในอนาคต โดยเฉพาะกับกลไกการตรวจสอบ หรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องซึ่งยังมีช่องว่างช่องโหว่ เปิดให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชัน
ทั้งปัญหาการเงิน การบริหารจัดการวัด ไปจนถึงปมการทุจริตเงินบริจาค นำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ หรือแม้แต่พฤติกรรมส่วนตัวของพระบางรูปที่กลายเป็นข่าวฉาวซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหล่านี้ต่างเป็นเหตุผลที่สะท้อนปัญหาความไม่โปร่งใสในองค์กรศาสนา และเกิดรอยร้าวภายในวัด

แนวโน้มพระ–วัดเพิ่มขึ้น แต่คนศรัทธาลดลง
เมื่อศาสนาพุทธยังเติบโตทางกายภาพ แต่ห่างไกลในหัวใจของผู้คน
ตลอดช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2559 – 2568) ตัวเลขทางสถิติของศาสนาพุทธในประเทศไทยดูเหมือนจะ ขยายตัว อย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจาก สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ระบุว่า ประเทศไทยมีวัดทั่วประเทศเพิ่มจาก 40,610 แห่ง ในปี 2559 เป็น 44,488 แห่ง ในปี 2568
วัด ที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยเกือบ 400 แห่งต่อปี อาจสะท้อนถึงบทบาทของศาสนาพุทธที่ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างสังคมไทย ทั้งในเชิงศาสนาและวัฒนธรรม อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของวัดนี้ ไม่ได้หมายความว่า ชุมชน รอบวัดยังคงเข้มแข็งเช่นเดิม
ในหลายพื้นที่ วัดอาจเป็นเพียงสิ่งปลูกสร้างทางศาสนาโดยไม่มีบทบาทเชื่อมโยงกับผู้คนเหมือนในอดีต เพราะกิจกรรมทางศาสนา เช่น การบวชเรียน การฟังธรรม หรือการร่วมบุญ ถูกแทนที่ด้วยกิจกรรมรูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์ชีวิตเร่งรีบของคนเมือง ทำให้วัดกลายเป็นเพียง สถานที่ มากกว่า พื้นที่ทางจิตใจ บทบาทของศาสนาในฐานะศูนย์กลางชุมชนจึงค่อย ๆ จางหายไป
ขณะที่จำนวน พระภิกษุ ในประเทศไทยนั้น ถ้าวัดจากแค่ในช่วง 5 ปีหลัง ก็พบว่า เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดเช่นกัน จาก 205,563 รูป ในปี 2563 เพิ่มเป็น 256,219 รูป ในปี 2568
การเพิ่มขึ้นของพระสงฆ์ในยุคสมัยนี้ จึงถูกนำไปเปรียบเทียบถึงหลักการของการบวช สมฤทธิ์ ลือชัย นักวิชาการอิสระ อธิบายว่า ในอดีตการบวชก็เพื่อการมุ่งขัดเกลาจิตใจให้บริสุทธิ์ กำจัดกิเลสทั้งปวง เพื่อการบรรลุเป้าหมายสูงสุดคือ นิพพาน
นี่คือความหมายดั้งเดิมของคำว่า สมณะ หมายถึง ผู้เหน็ดเหนื่อยจากการบำเพ็ญเพียร อุทิศตนอย่างหนักในการฝึกฝนจิตใจ พร้อมที่จะสละแล้วซึ่งทางโลก เพื่อค้นหาความจริงสูงสุดของการหลุดพ้น

แต่ปัจจุบันนี้ ความหมายของการบวชอาจเป็นเพียงแค่ ทำตามประเพณี บนความเชื่อที่ว่า เพื่อทดแทนพระคุณพ่อแม่ หรืออาจมีวัตถุประสงค์อย่างอื่นแอบแฝง เช่น หลบหนีคดี หลีกหนีความยากจน หรือเพื่อยกสถานะทางสังคมของตนเอง
เมื่อตั้งต้นผิดวัตถุประสงค์ เจตนารมณ์ของการเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ จึงผิดเพี้ยนไปจากเป้าหมายดั้งเดิม
“หันกลับมาถึงพระไทยในปัจจุบัน บวชเพื่อดับทุกข์ไหม ส่วนใหญ่ผมเชื่อได้เลยว่าไม่ได้บวชเพื่อการดับทุกข์ กลายเป็นว่าการบวชนั้นเป็นการไปหาโอกาส ไปแสวงโอกาสทางด้านสถานภาพทางสังคม สถานภาพทางเศรษฐกิจ จากคนธรรมดาสามัญ พอบวชปุ๊บ คุณได้เป็นพระ ได้รับการยกย่องนับถือ สถานะทางสังคมคุณเปลี่ยนทันที คุณโกนหัวคุณนุ่งผ้าเหลือง สถานะทางสังคมคุณเปลี่ยนทันที ต่อให้คุณไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ต่อให้คุณไม่มีความรู้ความสามารถอะไรก็ตาม สถานะนี้มันทําให้คุณสูงกว่าคนทั่วไป นี่คือวัฒนธรรมที่ถูกสร้างตอนหลัง”
สมฤทธิ์ ลือชัย
ในทางกลับกัน จำนวน สามเณร ซึ่งเป็นตัวแทนพุทธศาสนิกในรุ่นต่อไป กลับลดลงอย่างต่อเนื่อง จาก 59,587 รูป ในปี 2559 เหลือเพียง 33,924 รูปในปี 2566 ลดลงกว่า 40% ปรากฏการณ์นี้อาจกำลังสะท้อน การเปลี่ยนแปลงของค่านิยมคนรุ่นใหม่ เมื่อการบวชเรียนไม่ใช่ เส้นทางการศึกษา หรือ การฝึกตน ที่ได้รับความนิยมเหมือนในอดีต ซึ่งอาจมีส่วนสำคัญมากจาก
- ระบบการศึกษาแบบสมัยใหม่ที่เปิดโอกาสทางเลือกมากขึ้น
- ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและครอบครัว ที่ลดโอกาสการบวชระยะยาว
- ภาพลักษณ์ของพระสงฆ์ในสังคมที่ไม่ได้สร้างแรงบันดาลใจเท่าเดิม
เมื่อเรามีวัดเพิ่มเกือบ 4,000 แห่งในรอบกว่า 10 ปี มีพระภิกษุ เพิ่มขึ้นกว่า 50,000 รูป ในรอบ 5 ปีมานี้ แต่ในขณะเดียวกัน ความศรัทธา ที่ประชาชนมีต่อพระสงฆ์กลับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ตอกย้ำจากผลสำรวจ นิด้าโพล ที่เผยว่า ร้อยละ 58.4 ของผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 1,310 ตัวอย่างรู้สึกว่า ศรัทธาต่อพระสงฆ์ลดลง ในขณะที่ร้อยละ 68.55 ของประชาชนตัวอย่าง ยังบอกว่า ศรัทธาในศาสนาพุทธเท่าเดิม หรือนี้กำลังเป็นนัยที่บอกว่า ศาสนาพุทธอาจกำลังเผชิญ ภาวะศรัทธาถดถอย ในระดับปัจเจกบุคคลจริง ๆ
เมื่อผลโพลย้ำชัดถึงระดับตัวบุคคล ที่มีผลต่อวิกฤตศรัทธา เราลองมาดูกันต่อว่า อะไรทำให้ผู้คนศรัทธาต่อพระภิกษุลดลง เพราะหากไล่ย้อนดูข้อมูล ตลอดปี 2568 พบข่าวคราวการทุจริตคอร์รัปชันภายในแวดวงพระสงฆ์อย่างต่อเนื่อง หลายกรณีเริ่มเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ ลงโทษ เอาผิดในทางคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้อง และทั้งหมดล้วนมีจุดเริ่มต้นมากจากพระสงฆ์นั่นเอง
- พ.ค. 2568 พระธรรมวชิรานุวัตร (แย้ม กิตตินธโร) เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง ถูกดำเนินคดียักยอกเงินวัดกว่า 300 ล้านบาท และพบว่าได้โอนเงินให้สีกาคนสนิท ที่เป็นนายหน้าเว็บพนัน รวมกว่า 800 ล้านบาท
- มิ.ย.-ก.ค. 2568 พระเถระชั้นผู้ใหญ่หลายรูปต้องลาสิกขา หลังเกิดข่าวอื้อฉาวพัวพันกับการยักยอกเงินวัด และฟอกเงินร่วมกับสีกากอล์ฟ กลายเป็นข่าวสะเทือนวงการผ้าเหลืองครั้งใหญ่
- ส.ค. 2568 พระราชวิสุทธิประชานาถ (หลวงพ่ออลงกต) เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ พระซึ่งสังคมมีภาพจำในฐานะพระนักบุญของผู้ป่วยเอดส์ ก็ถูกดำเนินคดีทุจริตยักยอกเงินบริจาค และฟอกเงิน
- ก.ย. 2568 พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล เจ้าอาวาสวัดนาป่าพง จ.ปทุมธานี พระนักเทศน์ชื่อดัง เจ้าสำนัก พุทธวจน ถูกกล่าวหาเมื่อ 15 ก.ย. ว่า โอนเงินให้สีกาที่เยอรมนี กว่า 12.2 ล้านบาท และให้สีกาเป็นศูนย์กลางฟอกเงินวัด ซึ่งก่อนหน้านั้น ในปี 2562 ยังเคยมีประเด็นยักยอกเงินบริจาค 515 ล้านบาทแต่คดีถอนฟ้องภายหลัง

ที่หยิบยกมาเฉพาะเรื่องราวที่ปรากฏเป็นข่าวฉาวในคดียักยอกเงินวัด และปมสีกาเท่านั้น แต่เชื่อว่าได้สร้างความวิตกกังวลแก่พุทธศาสนิกชนในวงกว้าง เมื่อวัดที่เป็นสถานที่ขัดเกลาจิตใจ กลับกลายเป็นเป็นแหล่งทุจริต และพระสงฆ์ที่ควรเป็นแบบอย่างการยึดถือพระธรรมวินัยมาปฏิบัติจน กลับกลายเป็นผู้ก่อคดีเสียเอง
และแน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เพิ่งเคยเกิดขึ้น การทุจริตคอร์รัปชันในวงการสงฆ์นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ หากย้อนกลับไปในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา จะพบว่ามีหลายคดีทุจริตคอร์รัปชัน ที่เกี่ยวข้องกับพระสงฆ์อย่างสม่ำเสมอ
- ปี 2556 หลวงปู่ เณรคำ ฉัตติโก ขอรับเงินบริจาคสร้างพระแก้วมรกต (จำลอง) โดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมศิลปากร สร้างสถานที่พักสงฆ์วัดป่าขันติธรรมโดยไม่ได้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นวัด และสร้างโรงพยาบาล โดยไม่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข โครงการทั้งหมดสร้างไม่แล้วเสร็จและเงินบริจาคก็ถูกนำไปซื้อทรัพย์สินส่วนตัว
- ปี 2557-2561 คดีเงินทอนวัด กระจายไปตามวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ พระสงฆ์และเจ้าหน้าที่ พศ. รัฐร่วมกันยักยอกงบประมาณวัดไปใช้ในทางมิชอบ นำไปสู่การดำเนินคดีพระชั้นผู้ใหญ่และเจ้าหน้าที่หลายราย มูลค่าความเสียหายกว่า 1,000 ล้านบาท พระพรหมเมธี อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศารามหนึ่งในผู้ต้องหาได้หลบหนีออกนอกประเทศ และเดินทางกลับมาต่อสู้คดีใน พ.ศ. 2568
- ปี 2559 พระเทพญาณมหามุนี หรือ พระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ถูกออกหมายจับในคดียักยอกฟอกเงินวัดจำนวนหลายร้อยล้านบาทร่วมกับลูกศิษย์ และร่วมกันรับของโจร
- ปี 2566 อดีตไวยาวัจกร (ผู้ที่ดูแลการเงินของวัด ทำกิจธุระแทนพระสงฆ์) ลูกศิษย์คนสนิทของ สมเด็จพระวันรัต อดีตเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ปลอมแปลงลายเซ็น โยกย้ายทรัพย์สินของวัดมาเป็นของตัวเองจำนวนมาก ในช่วงที่สมเด็จพระวันรัตอาพาธรักษาตัวที่ รพ.จุฬาฯ
- ปี 2566 พระอาจารย์คม อภิวโร หรือ พระวชิรญาณโกศล ทุจริตยักยอกเงินวัดป่าธรรมคีรี กว่า 180 ล้านบาท
‘พระสงฆ์’ ในดงเงินทองมหาศาล
ในแต่ละคดีที่เกิดขึ้น มูลค่าของเงินทุจริตมีมากถึงหลายร้อยล้านบาท สร้างความสงสัยให้ชาวพุทธว่า ทำไม ? วัดถึงร่ำรวยได้ขนาดนั้น แต่ก็ต้องย้ำว่านี่ไม่ใช่พฤติกรรมที่เกิดขึ้นกับพระส่วนใหญ่ และไม่ใช่ทุกวัดจะมีรายรับมหาศาลและเกิดกระบวนการทุจริตคอร์รัปชัน เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นในข่าวฉาว
เพราะจากการสำรวจโดย พศ.ในปี 2566 ประเทศไทยมีภิกษุหลายแสนรูป และวัดที่มีอีกหลักหมื่น ซึ่งมีทั้ง วัดพระอารามหลวง, วัดราษฎร์, วัดนิกายต่าง ๆ ซึ่งวัดขนาดใหญ่ วัดเล็ก วัดในเมือง วัดในชนบท วัดที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว วัดป่า ต่างมีการดำรงอยู่ มีค่าบูรณะ ค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน

โดยพื้นฐานแล้ว ภิกษุ-สามเณร มีรายรับประจำ หรือ นิตยภัต หมายถึง เงินค่าอาหารที่กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้ดำเนินงานจัดสรรตั้งงบประมาณ และเบิกจ่ายถวายเป็นประจำทุกเดือน จำนวนเงินขึ้นอยู่กับคุณสมบัติภิกษุ เช่น ตำแหน่ง สมณศักดิ์ เปรียญธรรม เช่น
- สมเด็จพระสังฆราช 34,200 บาท
- พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ชั้นตรี 2,200 บาท
- เลขานุการเจ้าคณะอําเภอ 2,200 บาท
- พระอธิการ (เจ้าอาวาสวัดราษฏร์ ที่ไม่เป็นพระครูสัญญาบัตร) 1,800 บาท
- เลขานุการเจ้าคณะตําบล 1,200 บาท
รวมทั้งยังมีเบี้ยกันดารเพิ่มเป็นพิเศษให้กับพระภิกษุบางพื้นที่ เช่น บางอำเภอในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ทุกอำเภอในจังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส และ สตูล
ผศ.สุรพศ ทวีศักดิ์ นักวิชาการด้านปรัชญาและศาสนา ยอมรับเลยว่า สิ่งนี้คือความน่าเป็นห่วงสำหรับรูปแบบการปกครองคณะสงฆ์ยุคนี้ เพราะระบบที่ใช้กันอยู่ถูกตั้งคำถามในทาง พระธรรมวินัย เพราะหากยึดแนวทางวินัยสงฆ์ คือ ห้ามพระรับเงิน รับทอง แต่รัฐกลับให้เงินนิตยภัต การให้พระมีเงินเดือนขัดธรรมวินัยไหม ?
แต่หากลองค้นหามุมมองอีกด้านก็พอมีคำตอบถึงควมจำเป็น เพราะเมื่อยุคสมัยเปลี่ยน พระก็อาจจำเป็นต้องใช้เงิน ต้องรับเงิน แต่ขอบเขตของความจำเป็นกลับยังหาไม่เจอ
“พระโอนเงินให้สีกาเป็นสิบล้าน ร้อยล้าน ถ้ายึดกันตามตัวอักษรในพระธรรมวินัยจริง ๆ คือความผิด และน่าจะปาราชิกกันหมดแล้ว เพราะจากเงินแค่ 1 บาท หรือ 5 มาสก ตามพระธรรมวินัยก็บอกว่ารับไม่ได้ แต่แล้วตอนนี้พระรับเงินกันเป็นร้อยล้าน โอกาสที่จะทุจริตมันง่ายมาก ก็ไม่รู้ว่าพระที่เรากราบไหว้อยู่ปาราชิกกันไปหมดแล้วรึยัง นี่แค่เรื่องเงินนะ สิ่งเหล่านี้ล้วนก็มาจากระบบยศช้างขุนนางพระ มีสมณศักดิ์ ที่ทำให้พระลุ่มหลงกับอำนาจทั้งนั้น“
ผศ.สุรพศ ทวีศักดิ์
ข่าวคราวเรื่องเงินในวัด กำลังทำให้สังคมถามหาการตรวจสอบอย่างมาก ว่าแต่กลไกที่จะมาสนับสนุนเรื่องนี้มีหรือไม่ ? ซึ่ง นักวิชาการด้านปรัชญาและศาสนา อธิบายว่า ถ้าลองพิจารณาดูระบบตรวจสอบก็น่าจะมีอยู่ 2 แนวคิด หากเป็นเรื่องเงิน ก็มีระบบกฎหมายมาตรวจสอบได้ เช่น หากพบกรณีการฟอกเงิน การทุจริต ก็เป็นหน้าที่ของรัฐเข้ามาจัดการ เมื่อ พระพุทธศาสนาของเราไม่ได้แยกจากรัฐ ก็จะมีหน่วยงานของรัฐ เข้าไปดูแลการจัดระบบบัญชีวัดให้แยกชัดเจน อะไรคือเงินวัด เงินพระ
ส่วนอีกแนวคิด คือ การกลับไปที่หลักพระธรรมวินัย ซึ่งคณะสงฆ์ต้องไปคิดว่า เมื่อเราต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมสมัยใหม่ ถ้าจำเป็นต้องใช้เงินก็ต้องวางระบบให้ชัดเจน ว่า ขอบเขตการใช้เงินอยู่ตรงไหน ไม่ใช่พระมีบัญชีเงินฝากสิบล้าน ร้อยล้าน ใช้ได้อย่างไม่จำกัด ถือว่าขัดแย้งพระธรรมวินัย เดินหันหลังให้พระพุทธเจ้ามาไกลมาก
“ปัญหาของคณะสงฆ์ คือ ไม่สามารถใช้หลักพระธรรมวินัยมาดูแลกันเองได้ เลยต้องพึ่งพาให้รัฐเข้ามาจัดการ”
ผศ.สุรพศ ทวีศักดิ์

คำถามที่ตามมาคือ ถ้าไม่ให้รัฐจัดการเรื่องราวในวัด แล้วให้พระยึดแนวแบบของพระธรรมวินัยอย่างเดียว จะจัดการกันได้จริงหรือ ? ประเด็นนี้แม้จะดูยากในยุคสมัยนี้แต่ ผศ.สุรพศ ก็พยายามชี้ให้เห็นแบบอย่าง ของวัดที่มีแนวคิดแบบสังฆะ ก็จะมีระบบตรวจสอบกันเอง สร้างกติกากันเอง ยกตัวอย่าง พระที่เดินสายปฏิบัติเคร่งครัด อย่าง สายท่านพุทธทาส แห่งสวนโมกข์ ชัดเจนว่า ในสมัยท่านพุทธทาสนั้น พระสวนโมกข์ไม่ได้ประกอบพิธีกรรม พระมีแต่ปฏิบัติธรรม สอนธรรมะ ชาวพุทธจะเข้ามาฟังธรรม มาทำบุญเอง เงินทำบุญก็จะนำเข้ามูลนิธิ ถ้าพระมีกิจจำเป็นต้องใช้เงิน ก็ให้ไปเบิกกับมูลนิธิวัดตามที่จำเป็น นี่คือการยึดตามระบบตามพระธรรมวินัยมาปกครอง จัดการภายในวัด ซึ่งที่ผ่านมาก็มีวัดหลายแห่ง หลายสายที่ยังคงปฏิบัติอยู่แบบนี้ และก็อยู่กันได้จนปัจจุบัน ในขณะที่วัดอีกจำนวนไม่น้อยที่อยู่ภายใต้ระบบที่พระส่วนใหญ่เป็นพระราชาคณะ มีชั้นยศ มีสมณศักดิ์ต่าง ๆ ก็ไม่เห็นว่ากฎหมายสงฆ์ จะเอาอยู่
ปัญาหาใหญ่ที่ นักวิชาการด้านปรัชญาและศาสนา มองเห็น คือ ความย้อนแย้งระหว่างระบบที่พระพุทธเจ้าค้นพบและบัญญัติขึ้นเพื่อให้คณะสงฆ์ยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติ อย่าง พระธรรมวินัย กับ ระบบศักดินาพระ ที่เกิดขึ้นมาตาม พ.ร.บ.สงฆ์ ถือเป็นระบบอำนาจนิยม ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย มีกฎทำให้พระไม่สามารถตีความพุทธธรรม มาสนับสนุนคุณค่าสมัยใหม่ เช่น สิทธิเสรีภาพ ที่มหาเถรสมาคม มีประกาศออกมาเป็นทางการตั้งแต่ปี 2538 ห้ามภิกษุสามเณร แสงความคิดเห็น อภิปรายเสวนาสนับสนุนการต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพประชาชน นักวิชาการ จึงตั้งคำถามว่า ถ้ามีกฎห้ามแบบนี้แล้วคำสอนพระพุทธศาสนาจะไปเชื่อมโยงกับโลกสมัยใหม่ เชื่อมโยงกับความยุติธรรม ความเท่าเทียม ได้อย่างไร ?
“พอระบบไม่ไปกับโลกภายนอก ในขณะที่โลกภายในวัด ก็ไม่มีวัฒนธรรมความเป็นประชาธิปไตย มันมีอำนาจผูกขาด เจ้าอาวาสมีอำนาจผูกขาด พระลูกวัดไม่กล้าตรวจสอบเจ้าอาวาส นำไปสู่การเกิดกิเลสหลายอย่างที่เกิดขึ้นภายในรั้ววัดภายใต้ระบบแบบนี้ นี่คือความไม่เป็นสังฆะ ไม่เป็นเอกภาพ จึงมีแต่วัดสร้างใหม่ สำนักสงฆ์เกิดใหม่ ที่ต้องการแยกตัวออกมา นั่นก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้เกิดวัด และสำนักสงฆ์ขึ้นมากมายในรอบหลายปีมานี้ คำถามคือ คุณจะสร้างวัด สร้างสำนักสงฆ์ ที่พักสงฆ์ไปเพื่ออะไร มันก็เป็นเรื่องตัวใครตัวมัน ไม่มีวัฒนธรรมความเป็นส่วนรวม ทุกคนก็เลยอยากแยกตัวไปสร้างบารมี การสร้างวัดก็เป็นที่มาทางหนึ่งของการขอรับบุญ ขอรับบริจาค และแน่นอนว่า อาจเต็มไปด้วยการแสวงหาผลประโยชน์“
ผศ.สุรพศ ทวีศักดิ์
เงินทำบุญ-บริจาค รายรับที่ยากต่อการตรวจสอบ
นอกจากนี้วัดยังมีรายได้จากการทำบุญ แม้ว่าเป็นรายรับที่ไม่แน่นอนก็ตาม แต่มีจำนวนมาก และหลายรูปแบบ เช่น รับบริจาคเงินซ่อมแซมโบสถ์ หรือ ศาสนสถาน การสร้างเครื่องบูชา เช่น พระพุทธรูป พระเครื่อง วัตถุบูชา ทอดกฐิน ผ้าป่า งานบวช พิธีฝังลูกนิมิต งานศพ กิจกรรมต่าง ๆ เช่น ค่ายธรรมะ ค่าเช่าที่ดิน
สำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ระบุว่าในปี 2561 พบว่า ชาวพุทธ (อายุ 13 ปีขึ้นไป) รวม 54,355,598 คน บริจาคเงินโดยเฉลี่ย 827 บาท/คน/ปี ประมาณการบริจาคเงินให้พุทธศาสนาราว ๆ 36,141 ล้านบาท/ปี
การเข้าวัดทำบุญ ผ่านตู้บริจาค การถวายสังฆทาน แม้บริจาคเงินในจำนวนไม่มากนักต่อครั้ง แต่มีความต่อเนื่องและสม่ำเสมอ หรือมีลักษณะรวมกลุ่มกันในงานบุญหรืองานประเพณีสำคัญ
แม้แต่ในช่วงโควิด-19 สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) สำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคทั่วประเทศในช่วงเดือนตุลาคม 2563 ถึงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2563 พบว่า พุทธศาสนิกชนเกือบครึ่ง ยังคงเดินทางไปทำบุญในระดับเท่าเดิม จุดมุ่งหมายหลักคือ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ ขอโชคลาภ และเรื่องงาน โดยค่าใช้จ่ายต่อครั้งส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 100 – 200 บาท และรูปแบบการทำบุญที่นิยมคือ การหยอดตู้บริจาค และถวายสังฆทาน
จากผลการสำรวจครั้งนั้น สนค. ประเมินว่า กิจกรรมทำบุญและความเชื่อสร้างเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้มากถึง 10,800 ล้านบาท/ปี หรือคิดเป็น 0.36% ของมูลค่าการท่องเที่ยวรวมของไทยในปี 2562
ตัวเลขดังกล่าวถือเป็นมูลค่าที่มีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจระดับชาติ ทั้งยังมีศักยภาพต่อยอดเป็นสินค้าบริการด้านศาสนา – วัฒนธรรม หากมีการบริหารจัดการและประชาสัมพันธ์อย่างเหมาะสม โดยต้องคำนึงถึงความอ่อนไหวของประเด็นศาสนา และบริบทท้องถิ่นเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง

นอกจากเงินทำบุญที่มีเข้ามามหาศาลแล้ว วัดทุกแห่งที่ขึ้นทะเบียนกับ พศ. จะได้รับเงินอุดหนุนจากภาครัฐ โดยวัดจะต้องเขียนโครงการและงบประมาณขอ พศ. อนุมัติเงินสนุบสนุน และจากการสำรวจ พบว่าในช่วงระหว่างปี 2556-2562 มีตัวเลขรวมกันถึง 24,409 ล้านบาท หรือคิดเป็นค่าเฉลี่ย 3,000 ล้านบาทต่อปี โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
- ปี 2556 : 2,773 ล้านบาท
- ปี 2557 : 2,964 ล้านบาท
- ปี 2558 : 2,830 ล้านบาท
- ปี 2559 : 4,707 ล้านบาท
- ปี 2560 : 4,671 ล้านบาท
- ปี 2561 : 2,226 ล้านบาท
- ปี 2562 : 4,238 ล้านบาท
‘บัญชีวัด’ การจัดระเบียบที่ยังมีปัญหา
เมื่อเริ่มเข้าใจช่องทางการได้มาซึ่งรายได้ของวัดในปัจจุบันกันแล้ว สิ่งที่ต้องถามต่อ คือ แล้วเงินรายรับมหาศาลที่ไหลเข้าวัดทุกวัน ทำอย่างไรจึงจะจัดระเบียบ ไปสู่การตรวจสอบให้ถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสมกับกิจการทางศาสนาบ้าง หนึ่งในเครื่องมือที่ต้องผลักดันให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม คือ การจัดการด้วยการทำ บัญชีวัด
ในทางปฏิบัติยุคปัจจุบัน เพื่อให้พระสงฆ์สามารถใช้จ่ายในทางที่เป็นประโยชน์ต่อวัด และส่วนรวมได้ จึงจำเป็นต้องมี ไวยาวัจกร หรือฆราวาสผู้ช่วยดูแลการเงินแทนพระสงฆ์

เงินทั้งหลายที่ผู้มีจิตศรัทธาถวายให้นั้น ต้องฝากไว้กับไวยาวัจกร หรือในบัญชีของวัด เพื่อนำไปใช้ในกิจการของวัด เช่น บำรุงซ่อมแซมอาคาร หรือการจัดงานบุญต่าง ๆ แต่ไม่ใช่เพื่อการใช้จ่ายส่วนตัวของสงฆ์
กฎของมหาเถรสมาคม กำหนดว่า การแต่งตั้งไวยาวัจกรของวัดใด ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าอาวาสวัดนั้น ก่อนจะผ่านการอนุมัติจากเจ้าคณะอำเภอ เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยให้พระภิกษุสงฆ์ไม่ต้องอาบัติในการรับเงินทอง รวมถึงเป็นผู้ช่วยจัดการธุรกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินเงินทองได้ทั้งหมด
“หากพระภิกษุสงฆ์ มี ไวยาวัจกรประจำวัดและเคร่งครัดในเรื่องเงินทองตามพระธรรมวินัยนี้ บทบาทของไวยาวัจกรจะมีส่วนช่วยบรรเทาปัญหาการทุจริตยักยอกเงินวัดของพระภิกษุได้ดีขึ้น“
รศ.ดนัย ปรีชาเพิ่มประสิทธิ์ อาจารย์สาขาวิชาปรัชญา คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ให้ความเห็น
ด้วยความพยายามแก้ไขปัญหาทุจริตในวงการสงฆ์ หลังมีข่าวพระภิกษุหลายรูปยักยอกเงินวัดมาใช้ส่วนตัว และบางวัดกลายเป็นแหล่งฟอกเงิน หน่วยงานภาครัฐหลายแห่งจึงได้เข้ามามีส่วนร่วม และเพิ่มมาตรการตรวจสอบบัญชีวัดเข้มข้นมากขึ้น
มหาเถรสมาคม ได้สั่งการให้ทุกวัดจัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ส่งให้กับ พศ. และยังได้ร่วมมือกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เข้าตรวจสอบการเงินวัด บัญชีส่วนบุคคลได้ และเตรียมออกกฎกระทรวงห้ามวัดถือเงินสดเกิน 100,000 บาท
ปัญหาด้านกฎหมายและข้อปฏิบัติที่เกี่ยวข้องทรัพย์สินวัด
- พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505
- กฎกระทรวงศึกษาธิการ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2511) ออกตามความใน พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505
- กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 18 พ.ศ. 2536 ว่าด้วยการแต่งตั้งและถอดถอน ไวยาวัจกร
- ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1, 147 ว่าด้วยเจ้าพนักงาน
- มติมหาเถรสมาคม ที่ 495/2568 (20 มิถุนายน 2568)
- มติมหาเถรสมาคม ที่ 620/2568 (30 กรกฎาคม 2568)
- มติมหาเถรสมาคม ที่ 650/2568 (13 สิงหาคม 2568)
- ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 110 – 136 ว่าด้วยมูลนิธิ
ด้วยกฎหมายและข้อปฏิบัติต่าง ๆ ได้กำหนดสถานะ วัดเป็นนิติบุคคล เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรประเภทองค์กรทางศาสนา เจ้าอาวาสและไวยาวัจกรเป็นเจ้าหน้าที่
แม้จะมีกฎหมายกำหนดสถานะภิกษุสงฆ์อย่างชัดเจน แต่ ภิกษุสงฆ์ก็ยังคงอยู่เหนือการควบคุมตรวจสอบหน่วยงานภาครัฐที่ทำหน้าที่ป้องกันแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน เพราะเจ้าอาวาส เป็นเจ้าหน้าที่ ตาม พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และประมวลกฎหมายอาญา ไวยาวัจกรเป็นเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญา แต่ทั้ง 2 ตำแหน่งนี้ กลับไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตาม พ.ร.ป. ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561

ดังนั้น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จึงไม่สามารถเข้าตรวจสอบหรือวินิจฉัยเพื่อปราบปรามทุจริตได้ เพราะไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตาม พ.ร.ป. ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 หรือไม่ได้เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือข้าราชการ
อีกทั้ง สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ก็ไม่สามารถตรวจสอบหรือดำเนินการกับวัดได้ เพราะ ปปง.สามารถตรวจสอบได้เฉพาะมูลนิธิของวัดเท่านั้น ซึ่งตามกฎหมาย มูลนิธิของวัดต้องส่งผลการปฏิบัติงาน งบดุลและบัญชีรายรับ-รายจ่ายในรอบปี ให้กระทรวงมหาดไทย และกรมสรรพากร เพื่อตรวจสอบ
และด้วยปริมาณวัดที่มีหลายหมื่นแห่งทั่วประเทศ ทำให้ พศ. ไม่สามารถดูแลกำกับได้ทั่วถึง ซึ่งแต่ละวัดต่างเกี่ยวข้องกับเงินสดจำนวนมากทั้งเงินบริจาค ค่าเช่าที่ งานศพ งานบวช งานกฐินผ้าป่า ค่าเช่าวัตถุมงคล ที่ยากต่อการตรวจสอบ และบางวัดยังขาดระบบการจัดการการเงินที่รัดกุมเข้มงวด และไม่ได้เปิดเผย ข้อมูลสู่สาธารณะ ด้วยเหตุปัจจัยเหล่านี้ทำให้บัญชีวัดตรวจสอบได้ยาก
เจ้าอาวาสเอง บางวัดก็ไม่ชำนาญในการจัดทำบัญชีการเงิน เพราะบัญชีเป็นงานที่ต้องการความรู้และรายละเอียดสูง ทำให้บัญชีวัดไม่ได้มาตรฐาน และเจ้าอาวาสอาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เป็นช่องโหว่ให้มิจฉาชีพฉวยโอกาสแสวงหาผลประโยชน์จากวัด หรือการที่เจ้าอาวาสมอบหมายให้ผู้อื่นหรือไวยาวัจกรทำแทน ก็อาจทำให้ถูกหลอกลวงหรือยักยอกได้ง่าย
พุทธศาสนิกชนเองเมื่อบริจาคเงินทำบุญไปแล้ว ก็เห็นว่าได้บุญแล้ว ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบว่า วัดจัดการเงินอย่างไร ภิกษุสงฆ์จะนำเงินปัจจัยไปทำอะไรก็เป็นเรื่องของพระท่าน
ปรับระเบียบคุมเข้มบัญชีวัด
แม้สำนักพุทธฯ จะกำชับให้วัดส่งรายงานบัญชีวัด แต่พบว่าไม่ใช่ทุกวัดจะส่งรายงานบัญชีวัดให้ตรวจสอบ เช่น ใน พ.ศ.2558 ที่มีวัดไม่น้อยกว่า 44,488 แห่ง แต่ พศ. ได้รับรายงานทางการเงินไม่ถึง 20,000 แห่ง หรือไม่ถึงร้อยละ 50 อีกทั้งทาง พศ. ยังขาดการตรวจสอบรายงานที่ส่งมา หรือตรวจสอบไม่ละเอียด
ภายหลังที่พบเหตุทุจริตหลายครั้งในปี 2568 พศ. จึงเตรียมออกกฎกระทรวงห้ามวัดถือเงินสดเกิน 100,000 บาท และเพื่อให้ทุกวัดทำบัญชีและรายงานการเงินต่อ พศ.

มหาเถรสมาคม ได้สั่งการให้ทุกวัดจัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ส่งให้กับ พศ. ตรวจสอบ ตามมติมหาเถรสมาคม ที่ 495/2568 (20 มิ.ย. 2568) ซึ่งมีข้อกำหนดข้อปฏิบัติดังนี้
- เปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารที่มีสำนักงานตั้งอยู่ในเขตจังหวัดที่วัดตั้งอยู่เท่านั้น
- ชื่อบัญชีเงินฝากธนาคารของวัดต้องใช้ชื่อ “เงินของวัด……….” หรือ “วัด……..” เท่านั้น ห้ามมีคำว่าโดย…….. (บุคคลใดบุคคลหนึ่ง) ต่อท้ายชื่อวัด
- ระบุชื่อผู้มีอำนาจลงนามถอนเงินหรือสั่งจ่ายเช็คจากบัญชีวัดอย่างน้อยสาม รูป/คน ประกอบด้วย
- 1. เจ้าอาวาส 2. ไวยาวัจกร 3. บุคคลที่เจ้าอาวาสเห็นสมควร
- ผู้มีอำนาจลงนามถอนเงินหรือสั่งจ่ายเช็ค ต้องมีจำนวนสองในสามรูป/คน และต้องมีเจ้าอาวาสลงนามด้วยทุกครั้ง
- ใช้ใบถอนเงินของธนาคารและสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารเท่านั้น
- ต้องจัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย และบันทึกบัญชีทุกครั้งที่มีรายรับ-รายจ่าย สรุปเป็นรายเดือน และรวบรวมบัญชีเดือนมกราคม-ธันวาคม ส่งสำนักพุทธฯ หรือ สำนักพุทธฯ จังหวัด ภายในวันที่ 20 มกราคมของปีถัดไป
- สำเนาเอกสารบัญชีทุกฉบับ เอกสารหลักฐานประกอบรายรับ – รายจ่าย ให้เก็บไว้ที่วัด เพื่อรับการตรวจสอบ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย
- จัดทำรายงานเงินคงเหลือของวัด โดยจัดทำ ณ วันสุดท้ายของเดือน ทุกเดือน โดยให้รายงานทั้งเงินสด เช็ค และเงินฝากธนาคารที่เป็นบัญชีของวัดทุกบัญชี ที่ชื่อบัญชีเป็นชื่อของวัด และรวบรวมส่งสำนักงานพุทธฯ หรือ สำนักพุทธฯ จังหวัด ภายในวันที่ 20 มกราคมของปีถัดไป โดยสำเนาเอกสารไว้ที่วัดด้วยทุกฉบับ
- ใช้ระบบบัญชีมาตรฐานของสำนักงาน พศ. ในการบันทึกบัญชีของวัด หรือให้วัดพิจารณาได้ตามความเหมาะสมของวัด
- พิจารณาใช้ระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) มาใช้สำหรับรองรับข้อมูลการรับบริจาคตามความเหมาะสมของวัด ซึ่งวันที่ 15 ส.ค. 2568 กรมสรรพากรได้ขอความร่วมมือให้การทำบุญเปลี่ยนเป็นระบบ e-donation ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2569 เป็นต้นไป
- เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ กำกับ กำชับ ติดตาม และดูแลเจ้าอาวาสในเขตปกครอง อย่างเคร่งครัด หากไม่ปฏิบัติตาม มีความผิดฐานละเมิดจริยาพระสังฆาธิการและมีโทษได้
- สำนักงาน พศ. กำหนดแบบบัญชีรายรับ-รายจ่าย และรายงานเงินคงเหลือของวัด ให้คำแนะนำแก่วัดในการจัดทำบัญชีและรายงานเงินคงเหลือ
- กำกับ ดูแล ประสานงานกับหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบ เช่น สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานตรวจสอบภายในระดับจังหวัด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เป็นต้น เพื่อทำการตรวจสอบบัญชี เอกสารหลักฐาน และรายงานการตรวจสอบให้มหาเถรสมาคมทราบ

จากมติมหาเถรสมาคม ทำให้หน่วยงานภาครัฐหลายแห่งได้เข้ามามีส่วนร่วมและเพิ่มมาตรการตรวจสอบบัญชีวัดเข้มข้นมากขึ้น หลังจากนั้นมหาเถรสมาคม ก็ได้มีมติอีกครั้ง โดยให้ความสำคัญกับพระอารามหลวง และวัดที่มีศาสนสมบัติจำนวนมาก ตามมติมหาเถรสมาคม ที่ 620/2568 (30 ก.ค. 2568)
- พระอารามหลวง และวัดที่มีศาสนสมบัติจำนวนมาก ให้เจ้าอาวาสแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารศาสนสมบัติของวัด มีเจ้าอาวาส เป็นประธานกรรมการ
- เจ้าอาวาสอาจพิจารณาแต่งตั้งให้รองเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส หรือพระภิกษุอื่น เป็นกรรมการ
- ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินหรือบัญชี อย่างน้อย 1 คน เป็นกรรมการ
- ผู้แทนชุมชนซึ่งแต่งตั้งโดยเจ้าอาวาส
- ไวยาวัจกร เป็นกรรมการและเลขานุการ
โดยกำหนดให้คณะกรรมการชุดนี้ มีวาระการดำรงตำแหน่ง คราวละ 2 ปี
- บัญชีธนาคารที่เป็นบัญชีส่วนบุคคลนั้น เจ้าหน้าที่รัฐสามารถขอความร่วมมือตรวจสอบได้เฉพาะในกรณีเจ้าของบัญชียินยอม ยกเว้นกรณีที่มีการกระทำความผิดทางอาญา เจ้าหน้าที่ของรัฐมีอำนาจ ตรวจสอบหรืออายัดบัญชี
พัฒนาเทคโนโลยีและกลไกหนุนเสริม สร้างมาตรฐานบัญชีวัด
จากสถานการณ์ที่เจ้าหน้าที่รัฐเข้าตรวจสอบบัญชีการเงินวัด ได้เกิดข้อขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับภิกษุสงฆ์ จนทำให้มหาเถรสมาคม มีมติที่ 650/2568 (13 ส.ค. 2568) กำหนดมาตรการให้หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติต่อพระภิกษุสามเณรด้วยความสุภาพละมุนละม่อม ในการดำเนินการลงพื้นที่ ต้องมีการประสานงานกับ พศ. ล่วงหน้า แจ้งวัตถุประสงค์ และขอบเขตอย่างชัดเจน พร้อมทั้งจัดให้มีคู่มือและแนวปฏิบัติร่วมกัน ระหว่าง พศ. หน่วยงานด้านความมั่นคง และ สตช.
เพื่อแก้ไขปัญหาเจ้าอาวาสขาดความรู้ในการทำบัญชี และเพื่อให้บัญชีแต่ละวัดมีมาตรฐานเหมือนกัน สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ จึงได้ร่วมจัดโครงการถวายความรู้ เรื่องการจัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย และการจัดการทรัพย์สินของวัดอย่างเร่งด่วน พยายามนำความรู้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้จัดการการเงินและบัญชีวัด
หากแต่การจัดอบรมถวายความรู้ ยังไม่เพียงพอต่อการทำบัญชีวัด เพราะการทำบัญชีเป็นงานวิชาชีพที่มีรายละเอียดสูง จำเป็นต้องการกลไกหนุนเสริมอื่น ๆ แต่พอเมื่ออบรมเสร็จกลับปล่อยให้เจ้าอาวาสกลับไปจัดการกันเอง กลายเป็นภาระหนักที่หลวงลุง หลวงตา เจ้าอาวาสต้องแบกรับกับความรู้และข้อบังคับใหม่จนนำไปสู่โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นแล้ว
ดังกรณี พระครูวิสุทธิ์วรญาณ อดีตเจ้าอาวาสวัดแม่โจ้ จ.เชียงใหม่ เครียดจัดเพราะต้องทำบัญชีวัด ทั้ง ๆ ที่ทำไม่เป็น แม้ผ่านอบรมมาแล้วก็ยังทำไม่เป็น ไม่มีใครช่วย ส่งผลให้เครียดจนนอนไม่หลับมาหลายคืน ต้องฉันยานอนหลับ แต่ก็ยังคงนอนไม่หลับ สุดท้ายตัดสินใจผูกคอมรณภาพ เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2568
วิกฤตศรัทธาในวันนี้…อาจไม่ใช่เพราะ “พุทธศาสนาเสื่อม” แต่เพราะ “คน” ที่หลงลืมแก่นแท้ของศาสนา เมื่อความโปร่งใสในวัดถูกตั้งคำถาม ศีลธรรมของผู้แทนธรรมกำลังสั่นคลอน เราในฐานะพุทธศาสนิกชน จะปล่อยให้ศรัทธาที่หล่อเลี้ยงใจผู้คนถูกกัดกร่อนไปอีกนานแค่ไหน ?
นี่จึงเป็นช่วงเวลาเหมาะสมที่ชาวพุทธทุกคน ทั้งคณะสงฆ์ และฆราวาสต้องร่วมกัน “ชำระศาสนา” วางแนวทางที่ชัดเจน ให้พุทธศาสนายังอยู่ในกรอบความเชื่อ ศรัทธา และกลับมายืนหยัดเป็นที่ยึดเหนี่ยวใจให้กับผู้คนอีกครั้ง