เมื่อใดที่มีคนจากไป เมื่อนั้นย่อมทิ้งไว้ซึ่งความเศร้าโศกอาลัยของคนที่ยังอยู่ พิธีไว้อาลัยเป็นทั้งเครื่องมือของมนุษยชาติใช้ในการบรรเทาความเสียใจ และเป็นพื้นที่ให้คนที่ยังต้องอยู่ต่อไปได้รำลึกถึง ทำบางสิ่งให้ผู้ตายเป็นครั้งสุดท้าย
แม้เราจะโศกเศร้าเมื่อมีคนตายเพียงใด แต่พิธีกรรมการไว้อาลัยไม่จำเป็นต้องทำด้วยความหมองหม่นหรือแสดงออกถึงความเจ็บปวดเสมอไป หลายวัฒนธรรมเลือกแสดงออกด้วยความรื่นเริง บันเทิงใจ และเต็มไปด้วยสีสันที่ไม่ใช่แค่ขาว-ดำเท่านั้น
The Active ชวนสำรวจ พิธีไว้อาลัย จากหลายแห่งทั่วโลก ตั้งแต่ขบวนแห่ศพแจ๊สใน นิวออร์ลีนส์ สหรัฐอเมริกา ที่ผู้คนพากันร้องเล่น เต้นรำ อาลัยพร้อมเสียงทรัมเป็ต หรือแท่นบูชาดอกดาวเรืองและขบวนพาเรดความตายในสีสันสดใสที่ เม็กซิโก หรือศิลปะหีบศพในกานา ที่ช่วยยืนยันคุณค่าและความฝันของผู้วายชนม์ กระทั่ง พิธีศพที่ร่างคนตายกลายเป็นงานกินเลี้ยงเฉลิมฉลองบนฟากฟ้าของนกแร้งใน ทิเบต
ท่ามกลางความตายที่เหมือนกลายเป็นจุดสิ้นสุด แต่หลายวัฒนธรรมเลือกมองความตายด้วยสายตาที่ต่างออกไป ผู้คนต่างร้องเพลง เต้นระบำ ยิ้มรับทักทายกับความตายอย่างเป็นมิตร การเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่เป็นไปเพื่อขอบคุณชีวิตที่เคยงดงาม
แม็กซิโก : พาเหรดภูติผีสีสดใส (Día de los Muertos)
ปี 2017 ค่ายหนังอย่างสตูดิโอ Pixar Animation Studios ร่วมกับ Walt Disney Pictures ได้ออกฉายภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง Coco (2017) เรื่องราวของ มิเกล เด็กชายชาวเม็กซิกันและการพบเจอกับวิญญาณบรรพบุรุษในช่วงวันเฉลิมฉลองแห่งความตาย หรือ ดิอาส เด โลส มูเอโตส (Día de los Muertos) ประเพณีเก่าแก่ของแม็กซิโก
ดิอาส เด โลส มูเอโตส หรือ เทศกาลวันแห่งความตาย (Day of the Dead) เป็นประเพณีท้องถิ่นประจำปีของแม็กซิโก ที่จะจัดขึ้นทุกวันที่ 1-2 พ.ย. ของทุกปี
ผู้คนจะแต่งกายด้วชุดสีสันสดใส แต่งหน้าเป็นโครงกระดูก ประดับประดาบ้านเรือน ด้วยการตั้งแท่นบูชา (ofrenda) ประดับด้วยเทียน ดอกดาวเรือง (marigold) รูปถ่าย และอาหารที่ผู้ตายชอบ มีการทำขนม หัวกะโหลกน้ำตาล (calaveras de azúcar) แจกจ่าย เพื่อรอต้อนรับดวงวิญญาณของบรรพบุรุษหรือผู้ตายที่กำลังเดินทางกลับมาเยี่ยมบ้าน เพราะเชื่อว่าแม้พวกเขาจะตายจากไปในโลกแห่งนี้ แต่ยังคงมีชีวิตอยู่ในอีกโลกหนึ่ง

(ภาพ : afar.com)
ชาวแม็กซิกันเชื่อว่า ดิอาส เด โลส มูเอโตส คือ วันแห่งการรำลึกถึงความรัก ความทรงจำ และสายสัมพันธ์ของคนในครอบครัวที่ไม่มีวันแยกจากกันแม้ความตาย ตราบใดที่ยังมีคนคอยระลึกและมีความทรงจำต่อพวกเขาอยู่
สำหรับในแม็กซิโกแล้ว เทศกาลนี้มีต้นกำเนิดยาวนานกว่าพันปี โดยเชื่อว่ามาจากความเชื่อของชนพื้นเมือง เช่น ชาวแอซเท็ก (Aztec) มายา (Maya) มิกซ์เท็ก (Mixtec) และ ซาโปเท็ก (Zapotec) ที่เชื่อว่า ความตายไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นการเปลี่นยนผ่านจากภพหนึ่งไปอีกภพหนึ่ง
ฉะนั้น แทนที่จะเอาแต่ไว้ทุกข์หรือจมอยู่กับความโศกเศร้าเสียใจ จึงขอเลือกที่จะระลึกถึงผู้ล่วงลับด้วยการเฉลิมฉลองชีวิตแทน แสดงให้เห็นว่า
“นี่คือการยอมรับการสูญเสียและอยู่ร่วมกับความตาย
อย่างเป็นมิตรและมีความสุข”
ปัจจุบัน ทุกต้นเดือนพฤศจิกายนของทุกปี แทบทุกเมืองจะจัดขบวนพาเหรดแห่ไปทั่วประเทศ โดยเฉพาะขบวนพาเหรดขนาดใหญ่ ใน Mexico City กลายเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วจากโลก ที่ใช้เวลาเตรียมกว่า 1 ปี และมีอาสาสมัครกว่า 1,200 คน
ตอนนี้ นอกจากเทศกาล ดิอาส เด โลส มูเอโตส จะกลายเป็นตัวแทนวัฒธรรมป็อปที่ช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวของแม็กซิโกแล้ว ยังทำหน้าที่เป็นเครื่องแสดงอัตลักษณ์ของชาติ และการต่อต้าน-เรียกร้องเชิงสัญลักษณ์ของหลายกลุ่มในประเทศ เช่น กลุ่มคนพื้นเมือง (Indigenous groups) ที่ใช้เทศกาลนี้ในการรำลึกถึงบรรพบุรุษ และเรียกร้องสิทธิในที่ดินและวัฒนธรรม
ในขณะที่กลุ่ม LGBTQ+ จะจัดขบวนพาเรด พร้อมสร้างแท่นบูชาให้ผู้เสียชีวิตจากเหยื่อความรุนแรง หรือผู้ติดเชื้อ HIV/AIDS เพื่อยืนยันว่า พวกเขาจะไม่ถูกลืมเลือน
รวมถึง กลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนที่เลือกใช้หัวกะโหลกและแท่นบูชา เป็นสัญลักษณ์ในการรำลึกถึงเหยื่อจากเหตุอาชญากรรมทางการเมือง และไว้ทุกข์ให้กับผู้คนอีกจำนวนมากที่ต้องตกอยู่ในเงามืดของสังคมด้วย
นิวออร์ลีนส์ สหรัฐอเมริกา : เต้นรำบนความตายในจังหวะแจ็ส (Jazz Funeral)
พิธีศพที่เราคุ้นเคยอาจมีแต่ความโศกเศร้าเสียใจ แต่ไม่ใช่กับ ขบวนศพแจ๊ส (jazz funeral หรือ funeral with music) เมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐหลุยเซียนา สหรัฐอเมริกา ที่แม้เริ่มต้นด้วยเสียงครวญแห่งความโศกเศร้า และกลับจบลงด้วยเสียงห้วเราะและความสนุกสนาน
เมื่อมีคนตาย พิธีศพจะเริ่มตั้งแต่การเดินขบวนเคลื่อนย้ายศพจากบ้านผู้เสียชีวิต หรือโบสถ์เพื่อไปยังสุสาน ระหว่างนี้ วงดนตรีจะเริ่มเล่นบทเพลงที่มีจังหวะช้า บนท่วงทำนองที่เศร้า และศักดิ์สิทธิ์ (บางครั้งเป็นเพลงสวดยาว) เช่น Nearer My God to Thee
จากนั้น เมื่อศพเคลื่อนมาถึงจุดฝัง และเริ่มปล่อยร่างแล้ว ขบวนแห่จะเริ่มเคลื่อนตัวกลับซึ่งในเวลานี้เอง วงดนตรีจะเปลี่ยนไปบรรเลงเพลงในจังหวะที่เร็วและรื่นเริง
ผู้คนที่เดินตามหลังวงดนตรี (เพื่อนฝูงและครอบครัว) จะร่วมร้องเพลง เต้นรำไปด้วยกันอย่างสนุกสนาน เพราะถือว่า นี่เป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองให้แก่ชีวิต

(ภาพ : silkstreetjazz.co.uk)
ขบวนศพแจ๊ส (jazz funeral) เชื่อว่าเกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วง ปลายศตวรรษที่ 19 โดยเฉพาะในชุมชนคนผิวดำชาวแอฟริกัน-อเมริกัน โดยรับอิทธิพลจากวัฒนธรรมวงแตร และวงดนตรีเดินขบวนแบบกองทัพ รวมถึงวัฒนนธรรมแอฟริกัน-ยูโรก้า วงเต้นรำวงกลมหรือ ริงชาวต์ (ring shout) ในชุมชนทาสและคนผิวดำ
และเมื่อดนตรีแจ็สเริ่มพัฒนาในนิวออร์ลีนส์ ดนตรีของขบวนศพก็เปลี่ยนรูปแบบเป็นบลาสแบนด์ เสียงดนตรีที่มีทั้งการร้องเพลงสวดช้า (dirge) ไปจนถึงจังหวะ ฮึกเหิม หลังจากวางศพเสร็จ
การจัดขบวนศพแจ็สนี้ จะไม่ได้โฟกัสที่ความโศกเศร้าเมื่อมีคนตาย แต่เน้นที่การรำลึกถึง ชีวิตของผู้ตายและเฉลิมฉลองชีวิตนั้น โดยใช้ดนตรีเป็นเครื่องบำบัดคลายความเศร้าและสร้างความหวังใหม่ ถือเป็นสัญลักษณ์ว่ากำลังส่งผู้ตายขึ้นสวรรค์ด้วยเสียงดนตรี

(ภาพ : neworleans.com)
ปัจจุบัน ขบวนศพแจ๊ส ไม่ได้ทำหน้าที่แค่เป็นพิธีไว้อาลัยเท่านั้น แต่ยังมีความหมายเชิงสังคมที่การแสดงถึงความเป็นหนึ่งใจเดียวกันของชุมชนชาวผิวสี เพราะที่ผ่านมา พวกเขาต้องต่อสู้กับความตายที่ถูกมองข้ามจากสังคมมาอย่างยาวนานด้วย
กานา : หีบศพแห่งความฝัน (Fantasy Coffins)
สำหรับชาวกานาแล้ว เชื่อว่า ความตายไม่ใช่จุดสุดท้ายของชีวิต แต่เป็นประตูบานหนึ่งของชีวิตสู่การเดินทางครั้งใหม่ วิญญาณของผู้ล่วงลับจะยังคงดำเนินต่อไปในอีกโลกหนึ่ง
“เมื่อใดที่มีใครสักคนต้องออกเดินทางไกล คนที่ยังมีชีวิตอยู่จึงต้องช่วยกันส่งพวกเขาด้วยความภาคภูมิใจยินดี”
ด้วยแนวคิดเหล่านี้ ชาวกานาเลือกจะส่งวิญญาณผู้ตายผ่านหีบศพ
Fantasy Coffins หรือ ชื่อพื้นเมืองว่า Abebuu adekai (ภาษา Twi ของกานา แปลว่า หีบแห่งเรื่องเล่า) คือ หีบศพของชาวกานาที่มันไม่ได้ทำหน้าที่แค่บรรจุร่างของผู้วายชนม์เท่านั้น แต่เป็นเหมือนงานศิลปะที่ทำหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวของผู้ตาย ไม่ว่าจะเป็นรูปเครื่องบิน (นักบิน) ปลา (ชาวประมง) รองเท้า (คนขายรองเท้า) หรือเป็นรูปลักษณ์ของสิ่งใดก็ตามที่แสดงถึงบุคลิก ความใฝ่ฝัน หรือสถานะของผู้ตายได้

(ภาพ : apnews.com)
และสำหรับชาวกานาบางคนที่ยังไม่เสียชีวิต มีจำนวนไม่น้อยที่มีการสั่งทำหีบศพไว้ล่วงหน้าสำหรับพิธีศพของตนเอง เพื่อเป็นเครื่องสะท้อนตัวตนและบอกเล่าถึงสิ่งที่ตนเองรักจวบจนช่วงสุดท้ายของชีวิต
เห็นได้ว่าหีบศพของชาวกานาไม่ได้ถูกมองว่าเป็นสิ่งแสดงถึงความเศร้าโศก แต่หีบแต่ละใบจึงเปรียบเสมือนชีวประวัติในรูปแบบโลงศพ รูปร่างและสีสันที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาบนโลงดูเหมือนกำลังย้ำเตือนความทรงจำให้กับผู้ยังมีชีวิตอยู่ ว่าตัวตนและเรื่องราวของพวกเขามีคุณค่าเพียงใด และเรื่องราวของของพวกเขาจะยังคงอยู่ในใจตลอดไป แม้ร่างกายจะดับสูญแล้วก็ตาม

(ภาพ : apnews.com)
ปัจจุบันนี้ Fantasy Coffins ยังคงถูกสร้างอยู่ โดยเฉพาะในหมู่บ้านรอบกรุงแอคครา (Accra) เมืองหลวงของประเทศกานา หีบบางใบถูกใช้จริงในพิธีศพ และอีกหลายใบกลายเป็นผลงานศิลปะร่วมสมัยที่ถูกจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ระดับโลก เช่น British Museum Brooklyn Museum และ Musée Dapper ในฝรั่งเศส
แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนไป ความหมายของหีบศพก็เปลี่ยนตามยุคสมัย จากเดิมที่ Fantasy Coffins เป็นเพียงหีบศพสำหรับหัวหน้าเผ่าหรือคนชั้นสูงเท่านั้น ปัจจุบันกลายเป็นงานศิลปะที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้
และจากหีบที่ทำเพื่อบรรจุศพเพื่อฝังในสุสาน ก็แปรรูปกลายเป็นงานสะสมทางศิลปะที่สะท้อนวิถีชีวิตของคนกานาในโลกสมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี ทำให้ปัจจุบัน หีบศพมีรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น บางใบถูกออกแบบเป็นรูปขวดโค้ก หรือรองเท้าไนกี้ สะท้อนความเชื่อดั้งเดิมที่อยู่คู่กับวัฒนธรรมร่วมสมัย

(ภาพ : apnews.com)
แต่ไม่ว่าเปลี่ยนไปอย่างไร Fantasy Coffins ยังคงสะท้อนแก่นแท้เติมของการให้ความหมายเรื่องความตาย ว่าคือการให้เกียรติแก่เรื่องราวของผู้ล่วงลับ และเฉลิมฉลองความทรงจำที่ไม่เคยตายไปจากใจของผู้ที่ยังคงอยู่ต่างหาก
ทิเบต : Sky Burial เฉลิมฉลองบนฟากฟ้า เมื่อร่างกายเป็นทานสุดท้ายให้แร้ง
บนที่ราบสูงทิเบต ในสภาพภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยภูเขาหิน และอุณหภูมิเย็นต่ำ ผืนดินที่แข็งทำให้ไม่อาจขุดหลุมฝังศพได้ และฟืนไม้ที่ใช้ในการเผาก็มีอยู่อย่างจำกัด เมื่อมีคนตาย การจัดการศพจึงถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับพื้นที่ปรัชญาในการดำเนินชีวิตที่พิเศษออกไป
พิธี Sky Burial หรือ พิธีศพกลางฟากฟ้า มีชื่อเรียกในภาษาทิเบตว่า Jha-tor (แปลว่า การให้ทานแก่สัตว์ปีก) เกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินราบสูงในทิเบตมายาวนานหลายศตวรรษ ด้วยปัจจัยทางภูมิศาสตร์ การ “มอบร่างกายให้ฟากฟ้า” จึงเป็นทางเลือกในการจัดการศพของชาวทิเบตที่เป็นไปได้ นอกจากจะสอดคล้องกับภูมิปัญญาท้องถิ่นแล้ว ยังทำให้ช่วยเห็นสัจธรรมและความตายที่แท้จริงอีกด้วย
ตามประเพณี หลังผู้ตายหมดลมหายใจ ครอบครัวจะเก็บร่างไว้ 3-5 วันเพื่อทำพิธีส่งดวงวิญญาณสู่ภพใหม่ ก่อนร่างไร้ลมหายใจนั้นจะถูกพันธนาการด้วยผ้าขาวและนำขึ้นไปยังยอดเขา หรือสถานที่เรียกว่า ชาร์เนล กราวด์ (charnel ground) พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สงวนไว้เฉพาะการประกอบพิธีศพ
บนที่แห่งนั้น จะมีผู้เชี่ยวชาญที่เรียกว่า โรกีอาปา (Rogyapa) หรือ ผู้ทำลายร่าง ทำหน้าที่เฉือนหนัง ตัดกล้ามเนื้อกับเส้นเอ็น เพื่อให้ แร้งสีน้ำตาลหิมาลัย (Humalayan giffon) กินได้ง่ายขึ้น จากนั้น โรกีอาปา จะต้องใช้ค้อนทุบกระดูกที่หลุดล่อนจากเนื้อ แล้วบดผสมเข้ากับ ซามา (tsama) เพื่อให้นกแร้งไม่บินหนีไปเสียก่อนที่จะกินศพหมดทั้งร่าง

(ภาพ : reurinkjan)
แร้งทิเบตขนาดใหญ่มหึมาจะลงมาโฉบกินศพอย่างรวดเร็ว จากนั้นจะบินทะยานสูงขึ้นไปยังยอดเขาสมกับเป็นงานศพบนฟากฟ้า เสมือนว่าได้ส่งร่างของมนุษย์กลับคืนสู่ธรรมชาติอีกครั้งหนึ่ง
ชาวทิเบตเชื่อว่า หากร่างใดที่นกแร้งมากินจนหมด ถือว่าเป็นลางดี เพราะหมายถึงผู้ตายได้หลุดพ้นจากกรรม และวิญญาณกำลังเดินทางอย่างราบรื่น แต่หากนกแร้งไม่มา หรือกินแล้วเหลือซากไว้ มักถูกตีความว่า วิญญาณยังไม่สงบ ยังมีพันธะทางกรรมที่ต้องชำระ
นอกจากเรื่องของลักษณะทางกายภาพของภูมิประเทศแล้ว แนวคิดนี้ยังสอดรับกับรากของศรัทธาแห่งพุทธศาสนานิกายวัชรยาน ที่มองว่าร่างกายเป็นเพียง เปลือกว่าง เมื่อวิญญาณจากไปแล้ว ร่างจึงไม่มีความหมาย หรือสิ่งใดให้ต้องยึดถืออีกต่อไป
การปล่อยให้นกแร้งมากินจึงเท่ากับเป็น การให้ทานขั้นสุดท้าย ที่ผู้ตายมอบให้สิ่งมีชีวิตอื่นก่อนจะออกจากภพนี้อย่างสมบูรณ์

(ภาพ : chinatripedia.com)
แม้ในปัจจุบันพิธี Sky Burial จะเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ก็ยังคงปฏิบัติอยู่ในบางพื้นที่ของทิเบต โดยเฉพาะบริเวณรอบเมือง ลาซา (Lhasa) ซึ่งมีศาสนสถานสำคัญ เช่น Ganden Monastery, Drigung Til Monastery และ Sera Monastery ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบพิธีได้ตามกฎหมาย เนื่องจากเป็นศูนย์กลางทางศาสนาและสถานที่ฝึกปฏิบัติของพระภิกษุสายวัชรยาน
อย่างไรก็ตาม พิธีกรรมหลังความตายที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวทิเบตนี้ยังเป็นที่ต้องตาต้องใจของนักท่องเที่ยว ชาวจีนจำนวนไม่น้อยพากันซื้อทัวร์เพื่อมาดูพิธีเฉลิมฉลองนี้ ทำให้ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของคนในพื้นที่ ที่รู้สึกเหมือนพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์และต้องการความเคารพอย่างสูงสุดนี้กำลังถูกก้าวล่วง
และในขณะเดียวกัน จำนวนนกแร้งตามธรรมชาติก็กำลังลดจำนวนลงจากผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาเมือง ทำให้พิธีกรรมนี้ค่อย ๆ ลดน้อยลงตามไปด้วย
Sky Burial ไม่ได้เป็นพิธีกรรมของความโหดร้ายหรือไร้มนุษยธรรม แต่กำลังสะท้อนบทเรียนแห่งความไม่เที่ยงในเนื้อหนังมังสาของมนุษย์ ทำให้คนที่ยังอยู่เรียนรู้การปล่อยวาง และช่วยเข้าใจความตายอย่างสงบมากยิ่งขึ้นด้วย
เพราะชาวทิเบตเชื่อว่า ความตายไม่ใช่การสูญเสีย แต่คือการคืนสู่ธรรมชาติ นี่จึงเป็นวิถีที่งดงามที่สุดในการจากลา เพราะสะท้อนทั้ง เมตตา และ สัจธรรม ในเวลาเดียวกัน
ถึงตรงนี้ ความตาย และ พิธีการไว้อาลัย ในแต่ละวัฒนธรรมถูกให้ความหมายและจัดการในรูปแบบแตกต่างกัน หลายพื้นที่ไม่ได้แสดงออกด้วยความโศกเศร้า หม่นหมอง แต่กลับเต็มไปด้วยความสนุกสนาน รื่นเริง
ทั้งหมดนี้่สะท้อนถึงคุณค่าและการให้ความหมายต่อความตาย ที่ไม่ได้มองความตายว่าเป็นจุดสิ้นสุด แต่กลับหมายถึงสัญลักษณ์ของการมีชีวิตที่ควรค่าแก่การเฉลิมฉลอง เพื่อให้ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ได้ตั้งใจใช้ชีวิตอย่างดี และมีความหมายให้มากที่สุด
 
