‘ดับไฟใต้’ ข้อท้าทาย การเมืองเปลี่ยนผ่าน

“ร่วมผลักดันกระบวนการสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยคำนึงถึงหลักการ ด้านสิทธิมนุษยชน การอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน รวมถึงทบทวน ภารกิจของหน่วยงานและการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคง

ข้อความนี้ปรากฏอยู่ในข้อที่ 5 ของ MOU ที่ ‘พรรคก้าวไกล’ ในฐานะผู้นำจัดตั้งรัฐบาล ชูเป็นอีกเป้าหมาย ที่ต้องการเข้ามาเปลี่ยนแปลง

‘ภารกิจดับไฟใต้’ รอบนี้ยังมี ‘พรรคประชาชาติ’ และน้องใหม่อย่าง ‘พรรคเป็นธรรม’ เข้ามาเป็นกำลังสำคัญ ในฐานะที่ถูกมองว่าเข้าใจพื้นที่ เคยทำงานใกล้ชิด เข้าใจปัญหาในพื้นที่ชายแดนใต้ไม่น้อยไปกว่าใคร

ภารกิจนี้ชัดเจนมากขึ้น เมื่อ 8 ว่าที่พรรคร่วมรัฐบาล จับมือกันตั้ง ‘คณะกรรมการประสานงานช่วงเปลี่ยนผ่าน’ แน่นอนว่าการสร้างสันติภาพในพื้นที่ชายแดนใต้ ถูกบรรจุเป็นหนึ่งในหลายประเด็นของคณะทำงานย่อยชุดนี้ด้วย

กระบวนการเริ่มต้นของการฟอร์มทีมรัฐบาลที่ใช้นโยบายเป็นตัวนำ ด้านหนึ่งถูกมองเป็นมิติใหม่ทางการเมือง จึงไม่แปลกที่แนวทางนี้จะถูกตั้งความหวังไว้สูงมากสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่ผู้คนซึ่งเผชิญกับปัญหาในพื้นที่อยากเห็น แต่ที่ตามมาคือการปรับเปลี่ยนที่ทุกคนเฝ้ารอจะเป็นไปได้ขนาดไหน…

หลอมรวมนโยบายดับไฟใต้

สิ่งที่ พรรคก้าวไกล เน้นย้ำถึงการปรับเปลี่ยนกระบวนการสร้างสันติภาพ ด้วย ‘หลักการ 3D’ ประกอบด้วย Democratization สร้างประชาธิปไตยทุกคนเท่ากัน Demilitarization เอาทหารออกจากการเมือง และ Decentralization การกระจายอำนาจ

ที่น่าสนใจคือ ไส้ในของแต่ละนโยบายของก้าวไกล สอดคล้องกับสิ่งที่พรรคเป็นธรรม นำเสนอ ซึ่งหลายนโยบาย เน้นไปที่การปรับเปลี่ยนโครงสร้างบริหารงานในพื้นที่ชายแดนใต้ นั่นทำให้กระทบต่อหน่วยงานความมั่นคงไปเต็ม ๆ เช่นกัน ทั้งการยกเลิกกฎหมายพิเศษทุกฉบับ, แก้ไขกฎหมายความมั่นคง, ถอนทหารออกจากพื้นที่, ยุบ ศอ.บต. และ กอ.รมน., ปฎิรูปกระบวนการยุติธรรม และ ปฎิรูปกองทัพ

ขยายความ คือ พรรคเป็นธรรม เสนอให้เอา กอ.รมน. ออกจากกระบวนการสันติภาพ และ ยกเลิก กอ.รมน. ยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ยกเลิกกฎอัยการศึก ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ทั้งเนื้อหา และขอบเขตการใช้งาน ไม่ให้ถูกใช้เป็นเครื่องมือละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน รวมทั้งสร้างกระบวนการสันติภาพที่ยึดประชาชนเป็นตัวตั้ง ให้ประชาชนมีส่วนร่วมภายใต้รัฐบาลพลเรือน ยึดโยงกับสภาผู้แทนราษฎร มีกระบวนการที่โปร่งใส สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ทุกฝ่าย

ส่วน พรรคประชาชาติ ก็ต้องยอมรับว่า บุคลากรของพรรคหลายคน อยู่กับปัญหาชายแดนใต้ และมีประสบการณ์ในพื้นที่มายาวนาน อย่าง วันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรค และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรค ที่เคยเป็นถึงอดีตเลขาฯ ศอ.บต. และว่าที่ ส.ส.ที่ได้ของพรรค ก็มาจากพื้นที่ชายแดนใต้มากที่สุด ถึง 7 เขต โดยสิ่งที่ประชาชาติ เน้น คือ นโยบายส่งเสริมสังคมพหุวัฒนธรรม, กระจายงบประมาณ กระจายอำนาจ, ป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน, และแก้ปัญหาภาคใต้ ลดความเหลื่อมล้ำ

นโยบายดับไฟใต้ของทั้ง 3 พรรคถูกนำมาหลอมรวมเป็น  MOU ของ 8 พรรคร่วมรัฐบาล ในข้อที่ 5 หากดูในเนื้อหาสาระจะพบว่า การสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืนเน้นหลักการสิทธิมนุษยชน คือ สิ่งที่ทั้ง 3 พรรคเน้นย้ำ, การสร้างสังคมพหุวัฒนธรรม การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน คือ แนวทางหลักของพรรคประชาชาติ, การทบทวนภารกิจหน่วยงานความมั่นคง แน่นอนว่า เป็นสิ่งที่ พรรคก้าวไกล และ เป็นธรรม ชูธงมาตลอด

นั่นทำให้หลายฝ่าย มองว่า แนวทางการแก้ปัญหาความไม่สงบชายแดนใต้ของว่าที่รัฐบาลใหม่ อาจถือเป็นมิติใหม่ ที่เข้ามาปรับเปลี่ยนกระบวนการต่าง ๆ ซึ่งยึดโยงการแก้ปัญหาชายแดนใต้มานานเกือบ 20 ปี

‘เป็นธรรม’ กับวาระ ‘มนุษยธรรมนำการเมือง’ และ ‘สันติภาพกินได้’

ในเวลานี้นอกจากพรรคก้าวไกล หนึ่งพรรคน้องใหม่ อย่าง เป็นธรรม ก็กำลังถูกสังคมจับตา โดย เฉพาะ ‘กัณวีร์ สืบแสง’ เลขาธิการพรรคเป็นธรรม ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อหนึ่งเดียวของพรรค จากบทบาทที่เขาเคยผ่านสนามการทำงานด้านสิทธิมนุษยชนยาวนาน 12 ปี ใน 8 ประเทศ ช่วยเหลือผู้ลี้ภัยในพื้นที่ประสบภัยมากกว่า 10 ล้านคน ในบทบาทของผู้แทน สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) เมื่อช่วงปี 2552-2564 กัณวีร์ ยังเป็นประธานมูลนิธิสิทธิเพื่อสันติภาพ ตกผลึกแนวคิดที่ต้องการกลับมาช่วยประเทศไทย โดยยึดหลักการ ‘มนุษยธรรมนำการเมือง’ และ ‘สันติภาพกินได้’

กัณวีร์ สืบแสง เลขาธิการพรรคเป็นธรรม

สำหรับกัณวีร์แล้ว นโยบายดับไฟใต้ในมุมมองของเขา แม้ดูสุดโต่งด้วยข้อเสนอ การพาทหารกลับบ้าน ทำให้ชายแดนใต้ปราศจากด่าน แต่จริง ๆ แล้วพรรคเป็นธรรม ต้องการสร้าง 3 เสาหลักให้ได้ก่อน คือ

  • ยกระดับการทำงานให้เป็นวาระสันติภาพให้ได้ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ยังไม่มีความจริงใจรัฐบาลไทยที่จะยกปัญหาในพื้นที่ปาตานีมาพูดคุยในระดับชาติ ที่ผ่านมาก็ใช้แต่หน่วยงานความมั่นคง ทำให้การแก้ปัญหาสันติภาพชายแดนใต้ไม่ยั่งยืน สันติภาพที่เกิดอย่างแท้จริง จึงควรนำโดยภาคประชาชน ต้องให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจริง ๆ มาบอก พร้อมทั้งเสนอ พ.ร.บ.สร้างสันติภาพ ,พ.ร.ก.ให้ความคุ้มครองฝ่ายเจรจา BRN ให้เข้ามาเจรจาในประเทศไทย เพราะการแก้ปัญหาความขัดแย้งจำเป็นต้องเจรจากันในพื้นที่

  • สิทธิเสรีภาพในการแสดงออก ม.113 ,116, 215 เป็นกฎหมายที่ปิดปากให้พี่น้องประชาชนไม่มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก พี่น้องในปาตานี โดนจับกุมคุมขังมานาน นอกจากนี้ยังมี พ.ร.บ.ความมั่นคง พ.ร.ก. ฉุกเฉิน กฎอัยการศึก ที่สามารถควบคุมคนได้ 37 วันอย่างต่อเนื่อง โดยที่ไม่ต้องขอหมายศาล การปิดปากพี่น้องประชาชนเหล่านี้ต้องจบไป คำพูดด้ามขวานทองจะหายไป เพราะรัฐปิดเอาไว้ไม่มีพื้นที่ให้ผู้คนได้แสดงความคิดเห็น

  • ปฏิรูประบบราชการ กอ.รมน., ศอ.บต. การยุบ กอ.รมน. คือ เอาโครงสร้างทหารออก เพราะทหารมีโครงสร้างอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องสวมหมวก กอ.รมน. 

‘จัดการตัวเอง’ ไม่ใช่ ‘แบ่งแยกดินแดน’

แล้วสันติภาพปาตานีจะไปสุดทางตรงไหน กัณวีร์ ตอบชัดว่า สุดทางตรงที่ ‘จังหวัดจัดการตัวเอง’ ที่ไม่ใช่การแบ่งแยกดินแดน สันติภาพ คือ สิทธิเสรีภาพในการพูดคุยการแสดงออกของผู้คน ถ้าอยากพูดการแบ่งแยกให้พูดไป แต่คนที่ตัดสินใจคือประชาชนในพื้นที่ 3-4 ล้านคน ไม่ใช่แกนนำการพูดคุย พร้อมทั้งต้องเน้นการกระจายอำนาจ ผ่านกระบวนการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด เหมือนเอารูปแบบการปกครองมหานคร ลงไปอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ด้วยนั่นเอง

“กว่าจะมาเป็น MOU เราพูดคุย ถกเถียงกันอย่างเข้มข้น จนวินาทีสุดท้ายก่อนการประกาศ MOU พรรคร่วม ก็ยังเจรจากันต่ออีกประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง และมี 2-3 ประเด็นที่ทุกพรรคพยายามแสดงความคิดเห็น ตกแต่งกันจนเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย อย่างของ พรรคเป็นธรรม พูดถึงแต่ สันติภาพปาตานีเท่านั้น เพราะแสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ต่าง ๆ แต่ใน MOU ไม่มีคำว่าปาตานี ใช้คำว่าสันติภาพชายแดนใต้ สุดท้ายเราก็ต้องถอยคนละก้าวไม่ให้ทะลุเพดาน แต่ละพรรคก็มีความเคี่ยว ถึงขั้นพูดกันว่า ถ้าคุณไม่ทำอย่างนี้ ผมจะขอสงวนสิทธิ์ และไม่ลงนาม

กัณวีร์ สืบแสง

MOU ที่ระบุถึงทิศทางการแก้ปัญหาชายแดนใต้ ด้วยรูปแบบ และวิธีใหม่ ๆ จึงไม่แปลกที่จะถูกจับตาจากภาคประชาชนในพื้นที่ เพราะสิ่งที่ปรากฎใน MOU พรรคร่วมรัฐบาล ข้อที่ 5 ย้ำชัดถึงการสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืน

สลายอำนาจทับซ้อน ยุติต้นตอปัญหา

ในฐานะตัวแทนคนรุ่นใหม่ ‘อานัส พงศ์ประเสริฐ’ นายกสมาคม The Looker มองว่า แม้ MOU เป็นเรื่องใหม่ แต่สำหรับคนในพื้นที่ มีทั้งคาดหวัง และไม่ได้คาดหวังอะไร

อานัส พงศ์ประเสริฐ” นายกสมาคม The Looker

แต่อย่างน้อยก็มีกรอบนโยบายกว้าง ๆ เพื่อไว้เป็นพันธะสัญญา ซึ่งถ้าเทียบกับความพยายามแก้ไขปัญหาของรัฐบาลที่ผ่านมาหลายยุค ต้องยอมรับว่า นโยบายแก้ปัญหาความไม่สงบ และการสร้างสันติภาพชายแดนใต้ ที่ปรากฎใน  MOU มองเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้น แต่หลายเรื่องก็อาจต้องใช้เวลา โดยเฉพาะประเด็นโครงสร้างอำนาจ และเรื่องความมั่นคง ที่ถูกมองว่าเป็นอำนาจซ้อนทับกัน ถึงอย่างไรก็ยังอยู่ในความคาดหวัง ต้องไปให้ถึงการปรับเปลี่ยน เพราะถือเป็นต้นตอของปัญหา

“โครงสร้างอำนาจที่อยู่ในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น กอ.รมน. และ ศอ.บต. อยู่ในพื้นที่มานาน ถ้ามองต้องว่าปรับเปลี่ยน ยุบ ยกเลิก ก็เชื่อว่าน่าจะต้องเป็นไปตามขั้นตอน หากนโยบายเหล่านี้ถูกนำไปใช้จริงไม่ว่าจะเป็นที่พรรคก้าวไกลเสนอ หรือ พรรคเป็นธรรมเสนอ ก็มองว่า เป็นอำนาจที่ซ้อนทับซ้อนกันจริง ๆ ดังนั้นบทบาทของรัฐบาลใหม่ ต้องทำให้การปรับเปลี่ยนนี้เป็นไปได้ เพราถือเป็นใจกลางปัญหา อยู่ที่ว่ากระบวนการลดทอนอำนาจของหน่วยงานในพื้นที่จะเป็นแบบไหน ซึ่งในฐานะประชาชน ก็ยังมองไม่เห็นภาพ แต่ที่รู้คือตอนนี้หลายอย่างผิดสเตปไปหมด ไม่ใช่แค่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้เท่านั้น หากทุกพื้นที่ทั่วประเทศสามารถปรับเปลี่ยนอำนาจทับซ้อนที่เกิดขึ้นได้ ก็จะถือเป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีของทั้งประเทศ”

อานัส พงศ์ประเสริฐ

งานความมั่นคง ไม่ใช่ทุกเรื่องของกระบวนการสร้างสันติภาพ  

สอดคล้องกับ ‘สมใจ ชูชาติ’ รองประธานสภาประชาสังคมชายแดนใต้ คาดหวังกับรัฐบาลใหม่ น่าจะช่วยปรับเปลี่ยนอะไรหลาย ๆ อย่าง ในพื้นที่ชายแดนใต้ ที่ฝังรากลึกมานานได้ เพราะนอกจากปรับเรื่องโครงสร้างอำนาจแล้ว ก็อยากเห็นการสร้างกลไกใหม่ ๆ เกิดขึ้น ที่สำคัญหน่วยงานความมั่นคงเองก็ต้องปรับบทบาท หน้าที่ ทำในสิ่งที่จำเป็นต้องทำ และต้องสร้างการมีส่วนร่วมประชาชนให้เกิดขึ้นได้จริงด้วย

สมใจ ชูชาติ รองประธานสภาประชาสังคมชายแดนใต้

“รัฐบาลต้องเป็นตัวหลักการแก้ปัญหา แต่ต้องเอาคนในพื้นที่เป็นตัวรอง ขยับขับเคลื่อนเพื่อให้เดินไปข้างหน้าจริง ๆ เปลี่ยนจากของเดิมที่ทำมานานให้ดีขึ้น ไม่ใช่ใช้แบบเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ต้องมองบางเรื่องให้เป็นระบบโครงสร้าง ถ้ามองที่นโยบายถูกสั่งการจากบนลงล่าง ก็ต้องปรับเปลี่ยนเพราะที่ผ่านมานโยบายที่หวังจะแก้ปัญหากลับทำให้ประชาชนเดือดร้อน ถ้าจะแก้จริง ๆ รัฐบาลต้องเอาประชาชนในพื้นที่เป็นหลัก แล้วมาทำโมเดลไปปรับแก้ให้สอดคล้องกับนโยบายที่จะทำ อย่างเรื่องเรื่องพหุวัฒนธรรม ที่อยากแก้ไขปัญหา ก็ต้องให้หน่วยงานวัฒนธรรมในพื้นที่รับผิดชอบ อาศัยความร่วมมือของผู้นำศาสนา ทั้งพระ และอิหม่าม มาทำงานร่วมกัน ไม่ใช่ทุกเรื่องด้านพหุวัฒนธรรมแต่กลับให้หน่วยงานความมั่นคงทำทั้งหมด อย่างในเรื่องการดูแลรักษาความปลอดภัยทหารก็รับไป อยากให้แค่หน้างานของตัวเอง งานพัฒนาต่าง ๆ ก็ให้คนที่อื่นที่เหมาะสมทำจะดีกว่า แต่ตอนนี้ทหารทำทุกเรื่องบางครั้งก็ไม่ตอบโจทย์”   

สมใจ ชูชาติ

เกือบครบ 2 ทศวรรษของเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนใต้ สิ่งที่รัฐทำคือเติมโครงสร้างการบริหารงานเฉพาะในพื้นที่ แต่การแก้ปัญหาแทบไม่เกิดรูปธรรม เช่นเดียวกับงบประมาณ มหาศาลที่ถูกทุ่มลงไปด้วย

ปรับโครงสร้างอำนาจ ด่านหินรัฐบาลใหม่

แม้นโยบายแก้ไขปัญหาของว่าที่รัฐบาลใหม่ จึงถูกคาดหวัง แต่ก็ยังมีข้อท้าทาย ในมุมมองของ ‘รศ.เอกรินทร์ ต่วนศิริ’ จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เพราะหากตั้งรัฐบาลได้แล้ว ในทางปฏิบัติจะเดินหน้าเปลี่ยนแปลงให้เป็นไปตาม MOU ได้ด้วยกระบวนใด โดยเฉพาะการใช้การเมืองนำการทหาร หรือแม้แต่ความพยายามปรับเปลี่ยนโครงสร้าง ไปจนถึงการยกเลิก กอ.รมน. และ ศอ.บต.

รศ.เอกรินทร์ ต่วนศิริ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

“แน่นอน 3 จังหวัด ต้องเผชิญกับหน่วยงานความมั่นคง และราชการที่ฝังรากลึกมา 20 ปี พอดำเนินการ ก็เลยไม่ง่าย เพราะมีคนเสียประโยชน์เยอะ อาจเจอการต่อต้าน กลายเป็นข้อท้าทายอย่างมาก จึงต้องมานั่งคลี่ลำดับปัญหา เช่น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต้องขอสภาฯ ให้พิจารณา ต้องรายงานผลต่อสภาฯ หรือไม่ หรือจะยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้วทำกฎหมายใหม่ขึ้นเพื่อให้กฎหมายนั้น ครอบคลุมบทลงโทษเจ้าหน้าที่ที่กระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชน เพราะที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ไม่มีความผิดใน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อาจทำให้เกิดการละเมิด ได้ อย่าง ศอ.บต. หรือ หน่วยงานราชการส่วนภูมิภาคที่ทำในลักษณะพิเศษ ระเบียบราชการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น จึงจำเป็นต้องคุยว่าจะปรับเปลี่ยนอย่างไร”

รศ.เอกรินทร์ ต่วนศิริ

นักรัฐศาสตร์ ยังเชื่อว่า แนวทางแก้ปัญหาความไม่สงบ ที่ปรากฎใน MOU ข้อ 5 น่าจะมีส่วนช่วยสร้างความเชื่อมั่น ให้กับฝั่งคู่ขัดแย้ง กลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐ อย่างกลุ่ม BRN ได้ไม่น้อย เพราะเป็นประเด็นที่สอดคล้องกับข้อเสนอ และความพยายามหาทางออกด้วยกระบวนการเจรจาสันติภาพอย่างยั่งยืนที่เกิดขึ้นมาตลอดช่วงหลายปีมานี้

“นโยบายพรรคการเมืองจำเป็นต้องหาทางเพื่อเป็นสะพาน สร้างการพูดคุยได้จริง ถ้าดูจาก ข้อ 5 ใน MOU ก็เชื่อว่าทางฝั่ง BRN ก็คงคิดไม่ต่างกัน ทั้งกระบวนการสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืน การเคารพหลักสิทธิมนุษยชน การใช้กฎหมายก็ต้องคำนึงผลกระทบด้านการละเมิดสิทธิประชาชน มองอย่างไรก็เป็นเป้าหมายร่วมกันของทุกฝ่ายรวมทั้งกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐ ดังนั้นสิ่งที่เป็นจุดตัดสำคัญ คือคณะทำงานที่จะตั้งโต๊ะพูดคุย เจรจาสันติภาพกัน ถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะที่ผ่านมานำโดยทหาร ซึ่งทหารคือคู่ขัดแย้ง ยังไงก็คุยกันลำบาก แต่ถ้านำด้วยการเมืองกระบวนการสันติภาพน่าจะเดินไปได้เร็วขึ้น พูดคุยกันง่ายมากขึ้น เพิ่มโอกาสการพูดคุยที่มีคุณภาพตามไปด้วย แต่ที่น่าเป็นห่วงคือสถานการณ์การจัดตั้งรัฐบาลที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ก็สะท้อนให้เห็นภาพสำคัญ และถือเป็นสิ่งที่กลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐก็จับตาการตั้งรัฐบาลของไทยไม่น้อย ว่าจะเคารพเสียงข้างมากตามหลักประชาธิปไตยหรือไม่ เพราะหากตั้งรัฐบาลโดยไม่เคารพเสียงส่วนใหญ่ ก็อาจกระทบความเชื่อมั่นของการพูดคุยสันภาพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

รศ.เอกรินทร์ ต่วนศิริ

2 ทศวรรษ ของความรุนแรงในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย ทางวัฒนธรรม เชื่อชาติ ศาสนา ทำให้ความไม่สงบชายแดนใต้ ถูกนำไปถอดบทเรียนเพื่อหาทางออกกันมาตลอด แต่รูปธรรมการแก้ปัญหา ยังคงเป็นคำถาม

ทิศทางการแก้ปัญหาใหม่ ๆ ที่แหวกแนวไปจากเดิม จึงมาพร้อมความหวังของผู้คน… สันติภาพอย่างยั่งยืน จะเดินไปถึงจุดหมายปลายทางได้หรือไม่ คือ บทพิสูจน์ฝีมือรัฐบาลใหม่

Author

Alternative Text
AUTHOR

บุศย์สิรินทร์ ยิ่งเกียรติกุล

เรียนจบสายวิทย์-สังคมฯ-บริหารรัฐกิจฯ ทำงานไม่ตรงสาย และกลายเป็น "เป็ด" โดยไม่รู้ตัว สนใจการเมือง จิตวิทยาเด็ก วิธีคิดการมองสังคม และรักการสัมภาษณ์ผู้คน