รัฐ – ทุน เปลี่ยนโจทย์ NGOs ไทย ?

“เห็นภาพนักพัฒนารุ่นเก๋า ผสมพันธุ์กับทุนยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมเกษตร 
เพื่ออนุรักษ์ป่าชุมชน บอกตรง ๆ ผมอยากอาเจียน”

ข้อความนี้ถูกโพสต์เผยแพร่ในเฟซบุ๊กส่วนตัวของ ผศ.ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ก่อน

ในฐานะของนักวิชาการที่เคลื่อนไหวประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม และสิทธิชุมชน ตัวหนังสือที่นำมาสื่อสารผ่านโซเซียลฯ ครั้งนี้ จึงกลายเป็นสารตั้งต้นของข้อถกเถียง เพียงแค่ข้ามคืน

“การรับทุนจากบรรษัทที่ผูกขาด ทำลายสิ่งแวดล้อม เอาเปรียบเกษตรกร ฯลฯ มาใช้ในกิจกรรมอนุรักษ์ มันคือการฟอกเขียวให้ทุน 
นี่ยังไม่พูดถึงเรื่องคาร์บอนเครดิตที่ซับซ้อนกว่านั้น”

 

เป็นอีกข้อความที่โพสต์ตามหลังเพียง 1 วัน และยังตามมาอีกหลาย ๆ โพสต์ แน่นอนว่า สำหรับผู้ที่ติดตามความเคลื่อนไหวในฟากฝั่งของภาคประชาชน น่าจะพออนุมานได้ถึงสิ่งที่ ผศ.ไชยณรงค์ ชวนจุดประเด็น

“นักพัฒนารุ่นเก๋า”

“รับทุน”

“บรรษัทผูกขาด”

“กิจกรรมอนุรักษ์”

“ฟอกเขียวให้ทุน”

นี่คือคำสำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้น และน่าจะเป็นจุดเชื่อมโยงที่ทำให้หลายคนประติดประต่อเรื่องราวของดรามานี้ ผ่านสิ่งที่นักวิชาการสายเคลื่อนไหว ยิงตรง และตั้งคำถามถึงบทบาท การทำงาน ของผู้ที่เรียกตัวเองว่า NGOs กับ การรับทุนสนับสนุนจากภาคเอกชน…?

ข้อสังเกตดังกล่าว นำไปสู่การถกเถียงแบบเปิดกว้าง มีทั้งแง่มุมที่เห็นสอดคล้อง ไปในทางเดียวกันกับฝั่งนักวิชาการ แต่อีกด้าน ก็มีความพยายามนำเสนออีกแง่มุมที่ต่างออกไป

ในฐานะของ NGOs รุ่นบุกเบิก เดโช ไชยทัพ นายกสมาคมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นคนหนึ่งที่อาจถูกพาดพิงในประเด็นนี้ เนื่องจากภาพมูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (ภาคเหนือ) ปรากฎการขับเคลื่อนโครงการป่าชุมชนในพื้นที่ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีโลโก้ของเอกชนยักษ์ใหญ่ร่วมด้วย ผ่านเพจมูลนิธิที่เอกชนรายนี้สนับสนุน

หลายความเห็นที่ถูกนำมาแลกเปลี่ยนในอีกมุมมอง ภายใต้โพสต์ที่ ผศ.ไชยณรงค์ อธิบายถึง Neo-liberalism หรือ เสรีนิยมใหม่ อธิบายถึงความกังวลที่นักกิจกรรมทางสังคม ต้องศึกษา ทำความเข้าใจ เพื่อให้เท่าทันความซับซ้อนของทุน ซึ่ง ผศ.ไชยณรงค์ ตั้งข้อสังเกตและเป็นห่วง การทำงานพัฒนาในยุคนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยความย้อนแย้ง มีการจับมือกับทุน นำวิธีการของทุน มาทำงานกับชุมชน โดยไม่มีชุดความคิดหรืออุดมการณ์ร่วม ว่า เป้าหมายของการทำงานพัฒนาคืออะไร ?

แต่ในมุมมองของ เดโช ก็พยายามให้เหตุผลเพื่อแก้ไขข้อจำกัดของ Neo-liberalism ผ่านหลากหลายแนวคิด จนสุดท้ายให้ข้อสรุปว่า

ไม่มีแนวคิดเดียวที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ทั้งหมด แต่การผสมผสานแนวคิดเหล่านี้เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างสมดุลระหว่างเสรีภาพทางเศรษฐกิจ และความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม นับเป็นแนวทางที่มีแนวโน้มจะช่วยแก้ไขข้อจำกัดของ Neo-liberalism ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น”

ความคิดเห็นของ เดโช ไชยทัพ (อ่านเพิ่มในคอมเมนต์ใต้โพสต์นี้)

แม้เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของวิวาทะที่เกิดขึ้นระหว่าง นักวิชาการสายเคลื่อนไหว กับ NGOs รุ่นใหญ่ แต่ก็สร้างแรงกระเพื่อมให้บทสนทนานี้ไม่น้อย…สรุปแล้ว NGOs กับการรับทุนสนับสนุนจากเอกชน ควรมีจุดสมดุลอยู่ตรงไหน ? หรือ ที่ทำไป คือ สิ่งต้องห้ามที่ไม่ควรเกิดขึ้นในวงการนี้

มูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (ภาคเหนือ) ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กรณีเป็นส่วนหนึ่งของงานสมัชชาป่าชุมชน ที่ อ.อมก๋อย ออกมาชี้แจงเจตนารมณ์ พร้อมยืนยันว่า การมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ รวมถึงภาคเอกชน ในการสนับสนุนกิจกรรมสาธารณะ สามารถเกิดขึ้นได้ หากยึดถือหลักการโปร่งใส เคารพอิสระทางเนื้อหา และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของภาคประชาสังคม และชุมชนในพื้นที่ พร้อมทั้งเชื่อว่า พื้นที่แลกเปลี่ยนเช่นนี้จะยังคงมีความหมาย หากทุกภาคส่วนยึดมั่นในเป้าหมายร่วมกัน คือ การเสริมสร้างสิทธิชุมชน ความเป็นธรรม และความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ

แต่สำหรับบางองค์กร อาจเลือกที่จะเว้นระยะห่างกับเอกชน นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับ BIOTHAI หรือ มูลนิธิชีววิถี ซึ่งได้แชร์บทเรียนนี้ผ่านโซเซียลฯ เช่นกัน ในโพสต์ดังกล่าวระบุว่า ในช่วงปีใหม่เมื่อหลายปีก่อน ฝ่ายสื่อสารองค์กรของเอกชนยักษ์ใหญ่ ได้นำอาหารสำเร็จรูป และอาหารแช่แข็งมาให้ ด้วยความเกรงใจจึงรับเอาไว้ แต่ก็ได้แลกเปลี่ยนกับชุดกระเช้าที่มีข้าวสาร อาหารอินทรีย์ ปลอดสารเคมีที่ผลิตจากเกษตรกรรายย่อยมอบคืนไปให้ในคราวเดียวกัน พร้อมถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐาน

“คุณมีอาหารสำเร็จรูปและแช่แข็งที่ผลิตจากโรงงานของคุณ แต่เรามีอาหารอินทรีย์ชั้นดีที่มาจากเครือข่ายเกษตรกรรายย่อยที่เราทำงานด้วย พวกเราต้องการแสดงออกให้เห็นว่า เราไม่ต้องการรับของกำนัลใด ๆ นี่เป็นแค่การแลกเปลี่ยน และกระเช้าปีใหม่ 2 กระเช้านั้น ชี้ให้เห็นความแตกต่างของ 2 องค์กร แน่นอนว่าเราภูมิใจในวิถีการผลิตที่มาจากเกษตรกรรมเชิงนิเวศ และความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมของผู้ผลิต และผู้บริโภคซึ่งแตกต่างจากวิถีของคุณ”

BIOTHAI

BIOTHAI ยังย้ำว่า จำเป็นต้องแสดงออกโดยตรงเพื่อขอมีระยะห่าง ในฐานะองค์กรอิสระที่ตรวจสอบการทำงานของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีการดำเนินธุรกิจที่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรและสิ่งแวดล้อม

“แม้เป็นองค์กรเล็ก ๆ แต่เรามีศักดิ์ศรีของเรา
เราขอทำหน้าที่อย่างมีศักดิ์ศรี และเคารพตัวเอง”

BIOTHAI

ก่อนหน้านั้น คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) ภาคอีสาน ได้ออกแถลงการณ์ หยุดทบทวน บทบาทนักพัฒนาเอกชนกับการกินรวบทุนผูกขาด โดยย้ำจุดยืน ว่า ขอยืนหยัดเคียงข้างนักปกป้องสิทธิมนุษยชนทุกคนที่กำลังถูกฟ้องร้อง คุกคาม และถูกทำให้กลายเป็นอาชญากร เพียงเพราะเขาปกป้องทรัพยากรของสาธารณะจากทุนผูกขาด โดยขอให้เพื่อนร่วมอุดมการณ์ทุกคน ได้พิจารณาด้วยสติ และสำนึกต่อหลักการประชาธิปไตยฐานราก สิทธิมนุษยชน และความเท่าเทียมเป็นธรรม รวมทั้งต่อความรับผิดชอบขบวนการเคลื่อนไหวภาคประชาชนที่เราได้ร่วมสร้างมาด้วยกัน 

ตามมาด้วย แถลงการณ์ คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน ( กป.อพช. )  ที่เน้นย้ำ ไม่สนับสนุนการเข้าร่วม หรือรับทุนจากองค์กรธุรกิจที่ไม่เคารพสิทธิชุมชนและสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะกับบริษัทที่เป็นคู่กรณีการฟ้องร้องทางคดีกับชาวบ้าน และชุมชนที่ทำหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งฐานทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และปกป้องไว้ซึ่งความหลากหลายของระบบนิเวศในทุกภูมิภาคของประเทศไทย

จากปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น อาจถึงเวลาแล้วหรือไม่ ? ที่ NGOs ไทย ต้องปรับตัวบนความท้าทายโลกยุคใหม่ หรือยังมีอะไรที่ต้องทบทวน เพื่อการให้การทำงานนับจากนี้เดินหน้าต่อไปได้

NGOs ‘มืออาชีพ’ ไม่ร่วมกับทุนที่ไม่เคารพสิทธิชุมชน-สิทธิมนุษยชน

ในบทบาทของประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) สมบูรณ์ คำแหง เป็นคนหนึ่งที่ขอมองประเด็น NGOs รับทุนสนับสนุนจากเอกชน อย่างเข้าใจ โดยยอมรับว่า ปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นข้อเท็จจริง ช่วยกระตุกให้องค์กรพัฒนาเอกชนกันเองด้วย  

 สมบูรณ์ คำแหง ประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.)

โดยในเชิงหลักการ อยากทำความเข้าใจกับสังคม ว่า การต่อสู้ของ NGOs หรือ นักพัฒนาเอกชน แม้กระทั่งองค์กรชุมชนที่ออกมาปกป้องสิทธิชุมชน ปกป้องเรื่องฐานทรัพยากรที่อาจจะกระทบกับพวกเขา ในหลายกรณีคิดว่า โครงการนโยบายของภาครัฐ-เอกชน ก็จะหนีไม่พ้นในเรื่องของกลุ่มทุนใหญ่ หรือทุนผูกขาด เอาแค่ในสถานการณ์ปัจจุบันก็เกิดขึ้นกับกลุ่มทุน ทั้งทุนในประเทศ และทุนต่างชาติ 

หลายกรณีมักเป็นเรื่องของสิทธิมนุษยชนกับธุรกิจ ซึ่งก็จะเป็นประเด็นใหญ่ ไม่ใช่แค่ประเทศไทย แต่เป็นประเด็นใหญ่ของโลกใบนี้ด้วย นั่นหมายความว่า นักพัฒนาเอกชนเองก็แสดงออกอย่างตรงไปตรงมาจากกรณีนี้ กับกลุ่มทุนที่ไม่เคารพสิทธิชุมชน สิทธิมนุษยชน นี่เป็นหลักการใหญ่ที่ต้องชัดเจนในจุดยืน

เมื่อเกิดปรากฏการณ์ไปร่วมไม้ร่วมมือกับกลุ่มทุน ที่เราวิพากษ์วิจารณ์อยู่ก็เลยกลายเป็นประเด็นตั้งคำถามกลับมาในหมู่พวกเรา NGOs ว่า ตกลงยังไงกันแน่ หลายประเด็นจะเห็นว่าเราเองก็มีท่าทีชัดเจนมากกับกลุ่มทุนเหล่านั้น เหตุการณ์นี้ก็เลยกลายเป็นว่า ทำให้สังคมเกิดความสนใจ และตั้งคำถาม

“ผมคิดว่าอุดมการณ์ อุดมคติของ NGOs จะมีความเป็นอิสระในการทำงานสูงมาก เพราะฉะนั้นถ้าเป็น NGOs ที่ยึดบนหลักการนี้จริง ๆ เขาไม่ได้สนใจเรื่องของแหล่งทุน หมายถึงว่า จะมีแหล่งทุน หรือไม่มีแหล่งทุนก็แล้วแต่ จุดยืนเรื่องของการพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสิทธิชุมชนฐานทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน นี่คือหลักการใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานรัฐ นักการเมือง หรือกลุ่มทุนอะไรก็แล้วแต่ ถ้าคุณดำเนินการขับเคลื่อนกิจกรรม นโยบายที่กระทบ หรือไม่เคารพต่อสิทธิชุมชน ผมคิดว่า NGOs ที่เป็นมืออาชีพเขายืนยันในหลักการนี้ชัดเจน”  

สมบูรณ์ คำแหง

NGOs จับมือกับใครก็ได้ แต่ต้องไม่ละเมิดสิทธิ!

ประธาน กป.อพช. ย้ำว่า ที่ระบุมาทั้งหมดนั้นไม่ได้หมายความว่า NGOs จะทำงานร่วมกับรัฐ และภาคธุรกิจไม่ได้ แต่กำลังพูดถึงรัฐ เอกชน ที่จะต้องเคารพสิทธิชุมชน สิทธิมนุษยชน ฐานทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมด้วย

ในส่วนหน่วยงานรัฐท้องถิ่นในหลายกรณี ก็ทำงานร่วมกัน แต่ภาพในทางสาธารณะ อาจไม่ค่อยเห็นเท่าไร ว่ามี NGOs ที่ทำงานกับผู้ว่าราชการจังหวัดได้ กับนายอำเภอ หรือกับท้องถิ่น นายก อบจ.ได้ คิดว่าลักษณะแบบนี้ จริง ๆ มันมีรูปธรรมทั่วประเทศที่มีการทำงานร่วมกัน หรือแม้แต่การทำงานกับภาคธุรกิจเอง หากมีความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม ก็เป็นสิ่งที่ NGOs แต่ละกลุ่ม แต่ละองค์กรแต่ละเครือข่าย จะต้องเลือกที่จะทำงานกับภาคธุรกิจนั้น 

“ผมคิดว่าเราไม่ได้ปฏิเสธถึงกับขนาดว่าไม่ทำงานร่วมกับใคร แต่ว่าเราต้องเลือกทำงานร่วมกับคนที่เขาเคารพสิทธิชุมชน สิทธิมนุษยชน เคารพเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก ผมคิดว่าก็ต้องเข้าใจจุดยืนอันนี้”

สมบูรณ์ คำแหง

มองโอกาส ทบทวน เรียนรู้ สร้างความเข้าใจร่วมกันในสังคม 

สมบูรณ์ ยังมองกรณีที่เกิดขึ้น เป็นโอกาสของการได้กลับมาทบทวน และ NGOs แต่ละองค์กร แต่ละเครือข่ายที่ทำงานขับเคลื่อนประเด็นปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องสิทธิมนุษยชนในทุกภูมิภาคของประเทศไทย ก็น่าจะรับทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี จึงน่าจะเป็นโอกาส ที่จะได้กลับมาพิจารณาเรื่องของอุดมการณ์ อุดมคติของตนเองในแต่ละกลุ่มองค์กร ว่ามีจุดยืนต่อการทำงานต่อสังคมอย่างไร 

“เชื่อว่าน่าจะนำไปสู่โอกาสที่ดี การวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงสร้างสรรค์ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น อันนี้คิดว่าเป็นเรื่องที่ดี  แต่ขออย่าฉวยโอกาสตีเหมารวม ว่า ตกลง NGOs ในประเทศไทยกำลังเปลี่ยนไปหรืออย่างไร ซึ่งอาจจะไม่เป็นธรรมนัก”

สมบูรณ์ คำแหง

ประธาน กป.อพช. ฝากให้สังคมเปิดใจ ทำความเข้าใจ เพราะเอาเข้าจริง NGOs ก็ไม่ได้เป็นมนุษย์ที่วิเศษวิโสอะไร เป็นมนุษย์ธรรมดา เพียงแต่เป็นกลุ่มคนที่มีอุดมการณ์​ มีอุดมคติอีกแบบหนึ่ง ที่เขาอุทิศตัว อุทิศตนเพื่อทำงานให้กับสาธารณะ ไม่ยึดติด ผูกโยงการเมือง หรือกลุ่มชนใด กลุ่มชนหนึ่ง นี่คือหลักการใหญ่ของ NGOs ที่สามารถดำรงตนขับเคลื่อนงานสังคม งานสาธารณะอยู่ได้ถึงปัจจุบัน

ทบทวนจุดยืน NGOs

สฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระ ก็ให้มุมมองต่อเรื่องนี้ โดยเห็นว่า NGOs มีหลากหลายรูปแบบ บางกลุ่ม บางประเภท เรียกว่า NGOs เขียวเข้ม ถือว่า เป็นองค์กรที่มีจุดยืนชัดเจน ด้วยการทำงานในฝั่งของการวิพากษ์วิจารณ์ เน้นตรวจสอบการทำงานขององค์กรรัฐ เอกชน โดยไม่มีนโยบายรับทุนสนับสนุนจากหน่วยงานที่ตัวเองตรวจสอบ หรือวิจารณ์อย่างชัดเจน

สฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระ

ส่วน NGOs เขียวอ่อน ก็อาจไม่ขัดข้องที่ไปรับเงินสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐ เอกชน แต่การรับเงินก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า นำไปสู่การแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ช่วยไปปรับปรุงการทำงานของเอกชนนั้น ๆ ที่เป็นปัญหาให้ดีขึ้น แต่ประเด็นสำคัญ คือ NGOs ต้องใส่ใจภาพลักษณ์ของตัวเอง องค์กร NGOs ต้องไม่ถูกมอง ถูกครหาในสิ่งที่ผิดเพี้ยนไปจากประโยชน์สาธารณะ ไม่ควรมี NGOs ไหนที่ถูกซื้อ หรือยอมขายวิญญาณให้กับทุน

ดังนั้นแนวทางที่เห็นว่าสามารถนำมาย้ำเตือน และปรับใช้กับการทำงานของ NGOs ในยุคนี้ได้ จึงประกอบด้วย 

  1. หากมีกิจกรรมที่ชัดเจนว่าต้องรับเงินอุดหนุน เงินช่วยเหลือ หรือ จำเป็นต้องไปจับมือเป็นภาคีร่วมกับเอกชน ก็ต้องชัดเจนว่า เป็นกิจกรรมที่เข้าไปช่วยปรับปรุงชีวิต ความเป็นอยู่ให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ช่วยให้การแก้ปัญหาต่าง ๆ ดีขึ้น และทำให้เอกชนเจ้านั้น แสดงความรับผิดชอบต่อการแก้ไขปัญหานั้น ๆ ได้มากขึ้น


    โดยนำประสบการณ์การทำงานของ NGOs ที่รับการสนับสนุน เข้าไปมีส่วนช่วยเพื่อแก้ไขปัญหา ก็เชื่อว่า การรับเงินสนับสนุนในรูปแบบนี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร และหากมีข้อครหา ก็จะมีเหตุผลเพียงพอที่สามารถใช้อธิบายได้ว่าทำไปเพื่ออะไร

  2. กรณีที่เป็นกิจกรรมที่ตัวองค์กรมีความเชี่ยวชาญ แต่เอกชนที่ไปจับมือทำงานด้วย กลับมีชื่อเสียงในด้านลบ ถูกครหาในบางเรื่อง หรือไม่ถูกให้ความเชื่อมั่นในแวดวงประชาสังคม ไม่มีใครเชื่อว่าเอกชนเจ้านี้ จะปรับตัวหรือพัฒนาในประเด็นที่ถูกครหาให้ดีขึ้นได้จริง กรณีแบบนี้ NGOs ก็ต้องคิดให้หนัก เพราะต่อให้เชื่อว่า หากเข้าไปรับการสนับสนุน หรือเข้าไปร่วมมือด้วยเจตนาดี แต่ก็ต้องพิสูจน์ ต้องอธิบายอย่างหนัก ว่า จะช่วยแก้ปัญหานั้น ๆ ได้อย่างไร ที่ไม่ทำให้ถูกมองว่าไปช่วยฟอกขาวให้กับเอกชน ดังนั้นชื่อเสีย และชื่อเสียของเอกชนเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณา 

  3. กรณีกิจรรมที่ NGOs ไปเข้าร่วม ไปรับเงินมาแต่ไม่เกี่ยวของกับการแก้ปัญหาจริง ๆ สิ่งนี้ต้องคิดให้หนัก ๆ เช่น กิจกรรมสร้างภาพ กิจกรรม CSR ประชาสัมพันธ์ ทำแล้วก็จบ ๆ ไป ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับปัญหาที่ถูกจับตา แบบนี้ NGOs ควรหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด

จัดวางสมดุล NGOs – กลุ่มทุน วัดผลงานเพื่อสาธารณะ

แต่ในยุคสมัยที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแทบทุกมิติการขับเคลื่อนการทำงาน แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ NGOs ต้องปรับตัวเช่นกัน การจะรับเงินสนับสนุนในยุคนี้ จึงควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าเป็นไปในลักษณะไหน ? NGOs ได้วางจุดสมดุลไว้อย่างไร ? 

“ก่อนอื่นต้องกลับไปดูจุดยืนของตัวเอง รวมถึงภารกิจ NGOs ไม่ว่าแบบไหน ต่างองค์กร ต่างมีที่ทางของตัวเอง การมีอยู่ของ NGOs ถือว่าจำเป็น และถูกต้องแล้ว ดังนั้นต้องวางจุดยืนให้ชัดกับการทำงานร่วมกับเอกชน ยกตัวอย่าง คงไม่มีใครคาดหวังว่า กรีนพีช จะไปจับมือกับบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ เพื่อทำอะไรสักอยาง เพราะในฐานะที่เป็นองค์กรตรวจสอบ ดังนั้นการหาทุนสนับสนุนการทำงานของตัวเอง ก็ต้องวางเส้นแบ่ง ตั้งกำแพงไว้ให้ชัด เพราะหากเป็นฝั่งวิพากษ์อย่างเดียว อยู่ดี ๆ จะไปรับเงินองค์กรที่เข้าไปตรวจสอบ ก็จะถูกกล่าวหาแน่นอน และจะทำให้สูญเสียความน่าเชื่อถือในทันทีเช่นกัน” 

สฤณี อาชวานันทกุล

อีกด้านถ้ามี NGOs ที่ไม่ได้วางจุดยืนไว้ชัดเจนมากนักกับการทำงานตรวจสอบ หรือ บางองค์กรแม้เคยเป็น NGOs ที่วางจุดยืนตรวจสอบ แต่ในยุคนี้ก็เปลี่ยนความคิด หันไปให้โอกาสจับมือเป็นพันธมิตรกับภาคเอกชน ภาคธุรกิจเพื่อทำงาน ก็ต้องตอบให้ได้ว่าที่ทำไปเพื่อประโยชน์สาธารณะหรือไม่ ทำแล้ว จะทำให้สถานการณ์โดยรวมดีขึ้นอย่างไร

ยกตัวอย่าง องค์กรด้านสิทธิแรงงาน ที่ทำงานในพื้นที่หนึ่งมายาวนาน ตอนนี้จับมือกับบริษัทผลิตอาหารทะเลรายใหญ่ เพื่อดูแลแรงงานในห่วงโซ่อุปทานให้ดีขึ้น โดยบริษัทก็ประกาศชัดเจนเลยว่า จับมือกับ NGOs เพื่อร่วมกันทำงาน ประกาศตัวชี้วัด หรือ KPI ให้ชัดเจน เพื่อร่วมกันทำงานป้องกันไม่ให้นำไปสู่การละเมิดสิทธิแรงงาน

หรือกรณีของบริษัทเอกชนที่ถูกกล่าวหาว่าทำลายป่า แต่มี NGOs ประกาศไปร่วมมือทำงานด้วย โดยนำเอาระบบไปตรวจสอบประเทศเพื่อนบ้านในประเด็นการรับซื้อผลผลิตที่มาจากการเผาจริงหรือไม่ การนำเอาองค์ความรู้ด้านเกษตรยั่งยืนไปช่วยสนับสนุนให้เลิกเผา หากเป็นโครงการในลักษณะนี้ สังคมก็อาจยอมรับได้กับการไปรับเงินสนับสนุน เมื่อปลายทางคนมองว่า การจับมือเป็นพันธมิตรกันคือส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาที่ไม่ใช่การฟอกขาว สังคมก็จะรับได้ ยกเว้นเสียแต่ว่า เอกชนบางเจ้า แม้พยายามปรับปรุงการทำงาน ปรับปรุงตัวเอง แต่ชื่อเสียงที่ผ่านมาพัวพันกับปัญหาสิ่งแวดล้อมมากเกินไป ดังนั้นการเอาชื่อเสียงของ NGOs ไปทำงานร่วมกันกับเขา อันนี้ก็ต้องยอมรับว่าจะนำมาซึ่งชื่อเสีย มากกว่าชื่อเสียง

ถึงตรงนี้ สฤณี ย้ำว่า ความน่าเชื่อถือของ NGOs เป็นเรื่องความชัดเจน โปร่งใส ในที่นี้ คือ ต้องโปร่งใสตั้งแต่การอธิบายพันธกิจ และจุดยืนของตัวเอง แล้วค่อยไปถึงการพิจารณากิจกรรมที่รณรงค์ หรือ เลือกทำ เพราะหากรับเงินสนับสนุนจากเอกชน แน่นอนว่าต้องอธิบายให้ชัดเจน หากเป็นกิจกรรมที่รับเงิน โดยผ่านการคิดและประเมินดูแล้วว่ามีประโยชน์มากกว่าโทษ สังคมก็น่าจะเข้าใจ พร้อมทั้งการกำหนดเป้าหมาย KPI ให้ชัดเจน กิจกรรมนี้ที่รับเงินมาจะนำไปสู่อะไร ไม่นำไปสู่การฟอกเขียว ฟอกขาว ก็ต้องดูให้ชัดเจน

“ถ้าถามว่า NGOs ไม่ควรรับเงินทุกกรณี ทุกเรื่องเลยไหม ส่วนตัวเองมองว่า ไม่ควรเป็นแบบนั้น…ต้องเล็งเห็นที่ผลทางสังคมที่ตามมา ต้องเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ไม่ใช่การเอาประสบการณ์ เอาความรู้ มาใช้แค่การทำ CSR แล้วจบ…”

สฤณี อาชวานันทกุล ทิ้งท้าย

ทบทวน NGOs คือใคร ?  

ThaiNGO.ORG ให้ข้อมูลว่า NGOs ย่อมาจากคำว่า Non Governmental Organizations แปลตรงตัว คือ องค์กรที่ไม่ใช่องค์กรของรัฐ และรู้จักกันในอีกหลากหลายชื่อ เช่น องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร, องค์กรสาธารณะประโยชน์, องค์กรพัฒนาเอกชน เป็นองค์กรที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากแหล่งเงินทุนทั้งจากภายนอกและภายในประเทศ ที่มีระเบียบวาระ การกำหนดทิศทางและนโยบายขององค์กรเพื่อมุ่งบริการสาธารณะประโยชน์โดยไม่แสวงหาผลกำไร (ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่มาทำงานตรงนี้ จะไม่ได้รับค่าตอบแทน เพียงแต่ค่าตอบแทน ก็จะขึ้นอยู่กับการบริหารของแต่ละองค์กร ซึ่งจะมีนโยบายแตกต่างกันออกไป)

ความหมายของ NGOs นั้น ค่อนข้างกว้าง และครอบคลุมองค์กรเกือบทั้งหมดที่ทำหน้าที่เพื่อสาธารณะประโยชน์ และงานพัฒนาในทุก ๆ ด้านของสังคม มีการศึกษาที่ชื่อ The International Classification of Development NGOs จำแนกประเภท NGOs เป็นกลุ่มต่าง ๆ ตามรูปแบบกิจกรรม อุดมการณ์และเป้าหมายขององค์กร ไว้ดังนี้

  1. กลุ่มวัฒนธรรมและการฟื้นฟูที่เกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรม

  2. กลุ่มที่ทำงานด้านการศึกษาและงานวิจัย

  3. กลุ่มที่ทำงานด้านสุขภาพอนามัย

  4. กลุ่มที่ทำงานด้านสังคมสงเคราะห์

  5. กลุ่มที่ทำงานด้านสิ่งแวดล้อม

  6. กลุ่มที่ทำงานด้านการพัฒนาและการเคหะ

  7. กลุ่มที่ทำงานด้านกฎหมาย สิทธิมนุษยชนและการเมือง

  8. กลุ่มที่ทำงานด้านการเชื่อมประสานและการส่งเสริมอาสาสมัคร เช่นองค์กรเครือข่าย องค์กรข้อมูลข่าวสาร

  9. กลุ่มที่ทำงานด้านกิจกรรมระหว่างประเทศ

  10. กลุ่มที่ทำงานด้านศาสนา

  11. สมาคมต่าง ๆ 

NGOs ในประเทศไทยมีบทบาทในสังคมมายาวนานกว่า 40 – 50 ปี มีทั้งที่เป็นกลุ่มบุคคล และองค์กร ซึ่งรวมไปถึงมูลนิธิ หรือหน่วยงานเอกชนต่าง ๆ ที่ทำงานด้านการพัฒนา หากให้ยกตัวอย่างองค์กร NGOs ที่รู้จักของประเทศไทย ก็เช่น สภากาชาดไทย (สภากาชาด ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 26 เม.ย. ตั้งแต่ในยุค ร.ศ. 112 หรือ พ.ศ. 2436 นั่นเอง) 

เพื่อให้เห็นภาพ เคยมีคนจัดกลุ่มประเภทของ NGOs ไทยไว้ ประกอบด้วย

  • เป็นองค์กรเล็ก ๆ และไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแต่อย่างใด อาจเป็นโครงการที่ตั้งขึ้นมาเฉพาะกิจเท่านั้น คนที่ทำงานในองค์กรเหล่านี้ บางคนอาจมาจากภาครัฐบาลหรือภาคธุรกิจ เพื่อต้องการที่จะช่วยเหลือสังคม เช่น กลุ่มอนุรักษ์ต่าง ๆ, ชมรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ที่มีอยู่ในหลายพื้นที่ หลายจังหวัด คนเหล่านี้ส่วนมากจะทำด้วยใจรัก เสียสละทั้งแรงกายและแรงเงิน

  • เป็นโครงการ หรือกลุ่ม ชมรม แต่เป็นกลุ่มที่ใหญ่กว่ากลุ่มแรก มีเจ้าหน้าที่ประจำ บางแห่งอาจขออาสาสมัครจากที่อื่นมาช่วยโดยไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทน หรือจ่ายให้บางส่วน เช่น การขออาสาสมัครจากมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคมมาช่วย หรือบางหน่วยงานก็มีอาสาสมัครจากต่างประเทศ มาช่วยทำงานให้โดยไม่รับค่าตอบแทน แต่ระยะเวลามักไม่นานนัก

  • เป็นองค์กรที่พัฒนามาจากกลุ่มที่ 1 และ 2 มีเจ้าหน้าที่ประจำมากขึ้น มีโครงการมากกว่า 1 โครงการ มีงบประมาณที่ได้จากการเสนอโครงการ และได้งบประมาณมาสนับสนุนการทำงาน มีทั้งได้รับจากภาครัฐ เช่น จากกองทุนสิ่งแวดล้อม, กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน นอกนั้นก็แหล่งทุนจากต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันนี้หาแหล่งสนับสนุนยากขึ้น เพราะหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนหลายแห่งจะหันไปช่วยประเทศที่พัฒนาน้อยกว่าประเทศไทยมากขึ้น เช่น กัมพูชา, ลาว, เวียดนาม เป็นต้น 

  • เป็นองค์กรที่คนของรัฐ หรือหน่วยงานของรัฐจัดตั้งขึ้น ซึ่งมีทั้งที่ตั้งเป็นโครงการ เป็นชมรม และที่จดทะเบียนเป็นทางการเป็นมูลนิธิ หรือสมาคม และที่ตั้งขององค์กรเหล่านี้มักอยู่ในหน่วยงานของรัฐนั่นเอง รวมทั้งบางครั้งก็จัดสรรเงินจากหน่วยงานรัฐนั้นมาให้ทำงาน คนของรัฐ ซึ่งส่วนมากมีตำแหน่งสูง ๆ จะเข้ามาสวมหมวกอีกใบ เช่น เป็นประธานมูลนิธิ เป็นนายกสมาคม จะอาศัยชื่อเสียงหรือตำแหน่งหน้าที่การงานที่ทำอยู่เป็นเครดิตขอทุนจากต่างประเทศบ้าง จากองค์กรระหว่างประเทศ ที่มีตั้งอยู่ในและนอกประเทศบ้าง มาทำโครงการเฉพาะกิจ อาจมีการจ้างเจ้าหน้าที่มาทำงานเฉพาะโครงการตามระยะเวลาของโครงการที่ได้รับเงินสนับสนุนมา 

  • องค์กรระหว่างประเทศ หรือ INGO องค์กรเหล่านี้มักมีองค์กรแม่อยู่ที่ประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น กรีนพีซ (Green Peace)

NGOs จึงมีหน้าที่การทำงานหลากหลายหน้าที่ ตามแต่แนวทาง และวิสัยทัศน์ที่แต่ละองค์กรมองเห็น หรือตามแต่ละประเด็นที่องค์กรนั้น ๆ ขับเคลื่อน ซึ่งจะออกมาในรูปแบบของการระดมชาวบ้านเพื่อลุกขึ้นมาต่อต้านความไม่ชอบธรรมบางอย่าง การทำงานวิจัย การทำข่าว การทำสื่อ หรืออื่น ๆ อีกมากมาย โดยทำหน้าที่เป็นเสมือนตัวแทนพลังอำนาจของประชาชน เพื่อเข้ามาคานอำนาจ และตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล และองค์กรธุรกิจ ให้เป็นไปอย่างชอบธรรม รวมถึงเป็นกระบอกเสียงให้กับภาคประชาชน ออกมาร้องเรียนสิทธิของตนเอง และความไม่เป็นธรรม เพื่อสาธารณะประโยชน์ด้วยเช่นกัน  

Author

Alternative Text
AUTHOR

ทัศนีย์ ประกอบบุญ

นักข่าวสายลุย เกาะติดประเด็นแล้วไม่มีปล่อย รักการเดินทาง หลงรักศิลปะบนรองเท้า และชอบร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจ