โรงไฟฟ้าบูรพาฯ : ถามหา ‘สิทธิชุมชน’ เมื่อการพัฒนายังมองไม่เห็นผู้คนในสมการ ?

“ไม่เคยมีใครมาบอกอะไรเราเลย ว่าเสาส่งไฟฟ้าแรงสูงจะมาลงกลางที่ดินของเรา อยู่ ๆ มีหนังสือมาฉบับหนึ่งบอกให้ไปประชุมเราก็ไป ไปนั่งฟังเขา แต่เขาไม่ได้มารับฟังความคิดเห็นนะ เขาบอกว่ามาสรุปความเห็นให้เราฟัง ซึ่งเราไม่รู้เลยว่าเขาไปสำรวจตอนไหน ถามใคร”

ถ้อยคำจาก สุปราณี ศรีสวัสดิ์ ชาวบ้านที่จะได้รับผลกระทบจากการวางแนวสายส่งไฟฟ้าแรงสูง หาก โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ ก่อตั้งขึ้นในพื้นที่ ต.เขาหินซ้อน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา ได้สำเร็จ เธอบอกเล่าถึงกระบวนการรับฟังความเห็น ที่ดูราวกับว่าการมีส่วนร่วมของชุมชนนั้นไม่ถูกให้ความสำคัญอย่างแท้จริง

สุปราณี ศรีสวัสดิ์ (ภาพ : ศศิพร คุ้มเมือง)

โรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ เดิมมีชื่อว่า โรงไฟฟ้าถ่านเขาหินซ้อน โดยมีเจ้าของโครงการคือ บริษัทเนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) (National Power supply) หรือ NPS กำลังผลิตติดตั้ง 600 เมกะวัตต์ เป็น 1 ใน 4 โรงไฟฟ้าที่ชนะการประมูลรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตเอกชนรายใหญ่ (IPP) ครั้งที่ 2 ในปี 2550 ตามแผน PDP2007 อย่างไรก็ตามโครงการนี้ยังไม่ได้ดำเนินการต่ออย่างเป็นรูปเป็นร่างเพราะชุมชนเดินหน้าคัดค้านมาโดยตลอด

กระทั่งเมื่อปี 2562 โครงการถูกเปลี่ยนชื่อเป็น โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ เปลี่ยนจากการใช้เชื้อเพลิงถ่านหินเป็นก๊าซ ภายใต้ผู้ถือหุ้น 2 ราย ได้แก่ NSP ถือหุ้นสัดส่วน 65% และ บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นสัดส่วน 35%

JustPow แพลตฟอร์มสื่อสารประเด็นเรื่องพลังงานของไทย ซึ่งเป็นการรวมตัวกันขององค์กรที่ทำงานด้านข้อมูล องค์ความรู้ การสื่อสารในด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ระบุว่า เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2562 โครงการดังกล่าวดำเนินการเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement: PPA) กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยมีกำลังการผลิตตามสัญญาที่จะขายไฟเข้าสู่ระบบ 540 เมกะวัตต์ และได้เซ็นสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นเวลา 25 ปี เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2562 และเช่นเดิมชุมชนท้องถิ่นก็ยังคงเดินหน้าคัดค้านอย่างต่อเนื่อง

ที่มา: https://burapa-power.justpow.co/wp-content/uploads/2025/10/map.png 

เหตุผลของกับยับยั้งการเกิดขึ้นของโรงไฟฟ้ามีอยู่มากมาย ตั้งแต่เรื่องใหญ่ระดับมหภาคที่เน้นย้ำกันอยู่เสมออย่างเรื่องกำลังการผลิตไฟฟ้าที่มีอยู่ในระบบนั้นมากกว่าความต้องการใช้จริง อีกทั้งจากรายงาน EIA ยังพบว่า โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ ต้องใช้น้ำจำนวนมาก อาจทำให้ขาดแคลนและนำไปสู่ภาวะการแย่งชิงทรัพยากรในพื้นที่ด้วย

และแน่นอนว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องของ มลพิษ ซึ่งท้ายที่สุดชาวบ้านในชุมชนโดยรอบต้องเป็นผู้แบกรับปัญหาที่จะส่งผลกระทบต่อพืชผลทางการเกษตรและคุณภาพชีวิตไว้อย่างไม่ยินดี

อีกหนึ่งประเด็นที่อาจเป็นปัญหาใหญ่เช่นกัน คือ การลิดรอนสิทธิในที่ดินทำกินของชุมชน ดังคำบอกเล่าของ สุปราณี ที่กล่าวถึงไปในตอนต้น กรณีของเธอรวมถึงชาวบ้านอีกหลายคนที่กำลังสบตากับปัญหาเดียวกัน นั้นคือเรื่องราวของการตั้งเสาสายส่งไฟฟ้าแรงสูงพาดผ่านที่ดิน

หากแต่มองให้ลึกกว่านั้นนี่คือภาพสะท้อนของการพัฒนารูปแบบเดิม ๆ ที่เอารัฐและทุนนำหน้าสิทธิของคนในพื้นที่ สิทธิชุมชน อันเป็นหนึ่งในหลักการสำคัญของสิทธิมนุษยชนเสียด้วยซ้ำ

ถ้อยคำจากผู้ถูกรอนสิทธิ

เขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าที่กำหนดมีความยาวของสายส่งไฟฟ้า 14.18 กิโลเมตร และความกว้าง 60 เมตร ผ่านท้องที่จำนวน 4 ตำบล 2 อำเภอ ของจังหวัดฉะเชิงเทรา ส่งผลให้พื้นที่ทำกินของประชาชนอาจได้รับผลกระทบจากการถูกลิดรอนสิทธิในที่ดินทำกินกว่า 531.75 ไร่ โดยสุปราณีเป็นหนึ่งในประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการสร้างสายส่งไฟฟ้าครั้งนี้

(ภาพ : ศศิพร คุ้มเมือง)

สุปราณีเปิดฉากเริ่มต้นเล่าให้ฟังก่อนว่า ที่ดินของเธอเป็นมรดกตกทอดมาจากพ่อแม่ ก่อนหน้านี้เธอทำงานรับจ้างอยู่ที่กรุงเทพฯ รายได้ที่หามาได้เกือบทั้งหมดก็เอามาใช้ปรับปรุงพื้นที่ของตัวเองให้เหมาะสมกับการเพาะปลูก หรือกิจการอื่นใดที่เธอและลูก ๆ อยากทำหลังจากที่สุปราณีเข้าวัยเกษียณ 

ปัจจุบัน สุปราณี เกษียณอายุ หยุดทำงานรับจ้างที่กรุงเทพฯ กลับมาทำอาชีพเพาะปลูกที่ภูมิลำเนาตั้งแต่ปี 2565 ขณะนี้พื้นที่ส่วนใหญ่บนที่ดินใช้ปลูกต้นยูคาลิปตัส พื้นที่บางส่วนปลูกมันสำปะหลัง รายได้ต่อ 1 ไร่ของยูคาลิปตัสอยู่ที่ไร่ละ 20,000-25,000 บาท 3 ปีตัดหนึ่งครั้ง เธอเล่าให้ฟังอีกด้วยว่าหากบำรุงดี ๆ อีกสามปีถัดไปสามารถตัดได้อีกเป็น 10 ครั้ง 

เมื่อกล่าวถึงสายส่งไฟฟ้าแรงสูงที่จะต้องพาดผ่านที่ดิน มีเสาสูงใหญ่มาตั้งอยู่กลางพื้นที่ทำกิน สุปราณี เล่าว่า เสาที่จะเอามาลงโดนมันสำปะหลังไปเพียงเล็กน้อย นอกนั้นโดนยูคาลิปตัสทั้งหมดซึ่งเป็นรายได้หลักขณะนี้ วันหนึ่งหากโครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์จะเอาที่ดินของเธอไปใช้สอยจริง ๆ ก็ไม่มีสิทธิทำอะไรได้ แม้ว่าโฉนดอยู่กับมือก็ตาม 

“พวกที่จะทำโรงไฟฟ้าเขาก็เป็นคนอธิบายให้ฟัง บอกว่าเขามาเอาแค่พื้นที่ โฉนดก็ยังเป็นของเรา แต่ถามว่าถ้าเกิดวันข้างหน้าเรานึกอยากจะขาย มีใครบ้างที่จะมาเอา ในความรู้สึกของเราแค่รู้ว่าเราโดนอย่างนี้ก็เสียความรู้สึกมาก คิดอยู่ซ้ำๆ ว่าเราจะต้องเสียพื้นที่ตรงนี้ไป”

สุปราณี ศรีสวัสดิ์ 


สุปราณี ศรีสวัสดิ์ (ภาพ : ศศิพร คุ้มเมือง)

สำหรับ สุปราณี ช่วงเวลาที่ควรได้พักหลังจากส่งลูกเรียนจบและกลับมาใช้ชีวิตอย่างสงบในบ้านของตนเอง กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความไม่แน่นอน ในวัย 61 ปี หลังจากเกษียณจากการเป็นลูกจ้างและหวังจะตั้งหลักบนที่ดินซึ่งพ่อแม่ส่งต่อมาให้ เธอกลับต้องเผชิญกับโครงการที่เข้ามาพาดผ่านกลางพื้นที่ทำกินเพียง 1 ปีหลังจากได้กลับบ้าน

ที่ดินผืนนี้เป็นผลของการเก็บหอมรอมริบตลอดชีวิตแรงงาน ที่เธอต้องขวนขวายภายใต้สังคมที่ไม่ได้ใส่ใจกับผู้ เคย เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากนัก นี่จึงเป็นหลักประกันความมั่นคงในบั้นปลายของ สุปราณี แต่การวางแนวสายส่งไฟฟ้าแรงสูงทำให้ความตั้งใจสะดุดลง พร้อม ๆ กับความรู้สึกสูญเสียที่ยากจะประเมินค่าได้ ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสภาพจิตใจ

ความหวังที่จะได้หลุดพ้นจากชีวิตลูกจ้างและใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีบนผืนดินของตนเองค่อย ๆ พังทลายลง พร้อมคำถามที่ไม่อาจหาคำตอบได้ว่าหลังจากนี้เธอจะเหลืออะไรให้ยึดเหนี่ยวอีกบ้าง

“ใจหนึ่งก็นึกนะว่าอยากให้พวกคนใหญ่คนโต ผู้บริหารทั้งหลาย มาสูญเสียอย่างเราบ้าง มาบอกให้เราเสียสละเพื่อส่วนรวม คุณสร้างโรงไฟฟ้าขึ้นมาเราก็เสียค่าไฟแพงเหมือนกับคนอื่นเขาอยู่ดี แถมยังต้องมาเสียที่ดินให้อีก จะมาใช้คำว่าให้เราเสียสละเพื่อส่วนรวมไม่ได้ แล้วเราเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาจะให้เราเสียสละอะไรขนาดนั้น ผลประโยชน์ก็ไปกองอยู่กับคนกระจุกเดียว”

สุปราณี ศรีสวัสดิ์ 

‘พิธีกรรม’ รับฟังความคิดเห็น

ก่อนหน้านี้ สุปราณี รวมถึงชาวบ้านคนอื่น ๆ ไม่เคยได้รับรู้ข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับการวางแนวสายส่งไฟฟ้ามาก่อน จนกระทั่งได้รับหนังสือเชิญประชุมทางไปรษณีย์จากการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) ซึ่งเป็นจดหมายเชิญให้เข้าร่วมประชุมวันที่ 26 เมษายน 2566 นับเป็นครั้งแรกที่รับรู้ถึงโครงการดังกล่าว 

ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบได้รับจดหมายในเวลาไล่เลี่ยกัน และเข้าร่วมประชุมด้วยความเข้าใจว่าการประชุมจะเปิดโอกาสให้ชาวบ้านได้สะท้อนความคิดเห็นต่อการสร้างโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ และผลกระทบต่อที่ดินทำกินจากการปักเสาสายส่งไฟฟ้าแรงสูง อย่างไรก็ตามการประชุมกลับไม่เป็นไปดังคิด เมื่อใจความสำคัญคือการชี้แจงรายละเอียดที่ถูกกำหนดไว้แล้ว และมีการพูดถึงประเด็นเรื่องค่าชดเชย ทั้งที่ยังไม่เคยมีการสอบถามความเห็นของผู้ได้รับผลกระทบก่อนว่ายินยอมหรือไม่

“ไม่เคยมีใครมาบอกอะไรเราเลย ว่าเสาจะมาลงกลางที่ดินของเรา อยู่ๆ มีหนังสือมาฉบับหนึ่งบอกให้ไปประชุมเราก็ไป ไปนั่งฟังเขา แต่เขาไม่ได้มารับฟังความคิดเห็นนะเขาบอกว่ามา สรุปความเห็น ให้เราฟัง ซึ่งเราไม่รู้เลยว่าเขาไปสำรวจตอนไหน ถามใคร ป้าเลยยกมือขึ้นแล้วพูดว่า คุณยังไม่ได้ถามความคิดเห็นของเราเลยว่าเราเห็นด้วยหรือไม่ วันนั้นมีชาวบ้านลุกขึ้นค้านหลายคนก็เลยรวมตัวกันลงชื่อไม่เห็นด้วย

สุปราณี ศรีสวัสดิ์ 

เสาปักแนวเขตสายส่งไฟฟ้าแรงสูงในที่ดินชาวบ้าน (ภาพ : ศศิพร คุ้มเมือง)

หลังจากนั้นชาวบ้านในเขตพื้นที่ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการวางแนวสายส่งไฟฟ้าเดินหน้ายื่นหนังสือคัดค้านอย่างต่อเนื่อง กระทั่งล่าสุดได้รวมกลุ่มกันยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนโครงข่ายระบบสายส่งไฟฟ้า

วีรวัฒน์ อบโอ ทนายความด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน ผู้เป็นทนายให้กับคดีนี้ยังย้ำว่า ชาวบ้านอยากใช้กระบวนการทางศาล หรือกระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือหนึ่งในการต่อสู้ในสิ่งที่แสดงออกมาตลอดว่า เขาไม่ต้องการสายส่งไฟฟ้าเส้นนี้

“เรื่องนี้สิ่งที่ต้องไฮไลต์เลยคือมันขาดกระบวนการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจของชุมชน ในการกำหนดทิศทางการวางแนวสายส่ง ตอนคุณวางแผนว่าอยากจะวางสายส่งจากจุดเอไปจุดบีไม่มีชาวบ้านในสมการเลย ชาวบ้านเข้ามาหลังจากที่คุณขีดเส้นกันเสร็จแล้ว แล้วก็อ้างว่านี่คือกระบวนการการมีส่วนร่วม ซึ่งผมมองว่ามันไม่ถูกต้อง กระบวนการการมีส่วนร่วมต้องเริ่มก่อนที่คุณจะขีดเอไปบี แล้วถามชาวบ้านว่าเห็นควรอย่างไร จะเอาหรือไม่เอา หรือมีแนวทางอื่นๆ อย่างไรบ้าง ให้ชาวบ้านเสนอมา ซึ่งมันควรจะเป็นอย่างนี้ เรื่องกระบวนการการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจนี่คืออยู่ในรัฐธรรมนูญเลย”

วีรวัฒน์ อบโอ

วีรวัฒน์ ยังระบุถึงความคืบหน้าว่า คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาชั้นต้นของศาลปกครองระยอง ผู้ถูกฟ้องคือ กฟผ. ได้ยื่นคำให้การหรือคำโต้แย้งคำฟ้องของฝ่ายชาวบ้าน นอกจากนั้นยังไม่ได้มีการนัดหมายฟังคำพิพากษาหรือขอเอกสารอะไรเพิ่มเติม

นอกจากนี้ยังมีอีกตัวละครหนึ่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยก็คือ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ซึ่งมีบทบาทอนุมัติ อนุญาต เห็นชอบแนวสายส่งไฟฟ้า โดย วีรวัฒน์ อธิบายว่า กฟผ. จะประกาศแนวสายส่งไฟฟ้าก็ต่อเมื่อ กกพ. รับรองและประกาศในราชกิจจานุเบกษาว่ามีการขอก่อสร้างสายส่งไฟฟ้า กกพ. จึงมีส่วนตรวจสอบกลั่นกรองเหมือนกันว่าสายส่งไฟฟ้านั้นเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ดังนั้นการที่มีคำสั่งรับรองแนวสายส่งที่เชื่อว่าไม่ถูกต้อง จึงได้ดำเนินการฟ้องพ่วงไปด้วยในฐานะที่เป็นหน่วยงานผู้มีบทบาทในการกำกับดูแลเช่นนี้

วีรวัฒน์ อบโอ ทนายความด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน
(ภาพ : ศศิพร คุ้มเมือง)

ความยาก อุปสรรคของการฟ้องร้องคดี

“ศาลสามารถบอกได้ว่านี่คือการเอื้อประโยชน์ทางด้านพลังงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ”

วีรวัฒน์ เปิดประเด็นให้ขบคิดได้ว่า หากมองว่านี่เป็นการทำเพื่อประโยชน์สาธารณะ แล้วประโยชน์ของชาวบ้านนั้นจะถูกละเลยอย่างไรก็ได้หรือ ?

“เรามองว่าชาวบ้านเองก็ไม่ได้ใช้ไฟขนาดนั้นที่จะต้องมีสายส่งไฟฟ้า หรือจะต้องผลิตไฟฟ้า ไฟฟ้าส่วนใหญ่ของภาคตะวันออก รู้อยู่ว่าป้อนไปที่ภาคอุตสาหกรรม แล้วอีกอย่างการรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนมันก็เหมือนเป็นการค้าขายไปในตัว แล้วพอเป็นการค้าขายระหว่างรัฐกับเอกชนคนที่เดือดร้อนก็ดันเป็นประชาชนที่จะต้องเสียสละที่ดินของตัวเอง เพื่อให้กิจการของทั้งสององค์กรบรรลุข้อตกลง” 

วีรวัฒน์ อบโอ

นอกจากนี้เขายังตั้งข้อสังเกตไว้ด้วยว่า พ.ร.บ.การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ให้อำนาจกับ กฟผ. อย่างมากในการที่จะเดินสายส่งเข้าไปในที่ดินของใครก็ได้ ให้อำนาจในการสำรวจปักเสาในที่ดิน แต่ชาวบ้านกลับไม่อยู่ในขั้นตอนสำรวจ

“เราก็พยายามสู้ ถ้าจะอ้างเรื่องผลประโยชน์สาธารณะคุณจะต้องคำนึงถึงผู้เสียสละก่อน ทั้งคนที่ต้องเสียสละที่ดินให้ และอื่น ๆ คุณต้องคำนึงถึงบุคคลเหล่านี้ด้วยว่าเขายินยอมหรือไม่ก่อนที่จะไปพูดถึงเรื่องประโยชน์สาธารณะ แล้วประโยชน์สาธารณะที่คุณว่า จริง ๆ แล้วรัฐและประชาชนได้ประโยชน์จริงหรือไม่ นี่ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง”

วีรวัฒน์ อบโอ


(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์/Thai News Pix)

การรอนสิทธิที่ดิน เป็นราวกับการเอามีดมาปักลงบนอกแล้วมีดเล่มนั้นยังคาอยู่ จะทำอะไรกับมีดนั้นก็ไม่ได้ ดึงออกก็ไม่ได้ ชาวบ้านยังคงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ยังคงถือโฉนดอยู่ แต่สิทธิในการใช้ประโยชน์กลับถูกจำกัดลงแบบมัดมือชก หากมีการตั้งเสาสายส่งไฟฟ้าในอนาคต บริเวณนั้นจะไม่สามารถใช้สอยอะไรได้เลย หากจะปลูกบ้านอยู่ใกล้ ปลูกต้นไม้ หรือจะเข้าไปทำกิจกรรมใด ๆ ก็ต้องแบกรับความเสี่ยงภัยเอง

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าปลายทางจะเป็นเช่นไร การลุกขึ้นมาใช้สิทธิของชาวบ้านอย่างน้อยยังสามารถทำให้การดำเนินการบางอย่างถูกชะลอหรือถูกตรวจสอบไปในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แทนที่โครงการขนาดใหญ่ที่ละเลยเสียงผู้คนจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ผมมองว่าอย่างน้อยเราก็ได้สะท้อนให้เห็นว่ากฎหมายมีปัญหา แนวคิดเรื่องการจัดการพลังงาน แนวคิดเรื่องสิทธิชุมชนก็มีปัญหา จากการที่มองข้ามการมีส่วนร่วมของชาวบ้าน ฉะนั้นการที่ลุกขึ้นมาสู้แบบนี้ก็สะท้อนแล้วว่าต้องกลับมาทบทวนเรื่องพลังงาน ว่าจริง ๆ แล้วบ้านเราต้องการพลังงานขนาดนั้นจริงเหรอ ต้องการขนาดที่จะต้องแสวงหาและรอนสิทธิชาวบ้านแบบนี้ แล้วมันมีการจัดการแบบอื่นอีกไหมที่เป็นธรรม”

วีรวัฒน์ อบโอ

(ภาพ : ภานุมาศ สงวนวงษ์/Thai News Pix)

การลิดรอนสิทธิชุมชน คือการลดทอนสิทธิมนุษยชน

เมื่อโครงการพลังงานถูกอธิบายด้วยตัวเลขกำลังผลิต เมกะวัตต์ และสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว สิ่งที่มักเลือนหายไปจากสมการคือชีวิตของผู้คนที่ต้องอยู่ร่วมกับโครงสร้างเหล่านั้นในทุกวัน ตั้งแต่ที่ดินทำกิน แหล่งน้ำที่หล่อเลี้ยงชุมชน ไปจนถึงความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยในบ้านของตนเอง 

ดังนั้นการพัฒนาในลักษณะนี้นอกจากจะเป็นประเด็นด้านพลังงานหรือสิ่งแวดล้อมโดยตรง ยังเป็นคำถามที่ตรงไปยังหลักการพื้นฐานของสิทธิมนุษยชน สิทธิในการมีส่วนร่วม สิทธิในทรัพยากร และสิทธิในการดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี

โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ จึงไม่ใช่ข้อถกเถียงใหม่ในสังคมไทย หากเป็นอีกครั้งที่คานงัดระหว่าง การพัฒนา กับ สิทธิของชุมชน ถูกทำให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านที่ดินทำกินของชาวบ้าน ผ่านแนวสายส่งไฟฟ้าแรงสูง และผ่านเสียงของผู้คน ที่ยืนยันว่าพวกเขาควรมีสิทธิที่จะรู้ คิด และตัดสินใจในสิ่งที่จะเกิดขึ้นบนผืนดินของตนเอง


  • เรื่อง : ศศิพร คุ้มเมือง



Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active