แม้ว่า ร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … (พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ) ที่คนไทยเฝ้ารอคอยมานาน 2 ปี ชะงักลงไปภายหลังการยุบสภา และต้องไปลุ้นหลังการเลือกตั้ง 2569 ว่า คณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะหยิบกฎหมายที่ผ่านการหลอมรวมมาจาก 7 ร่างนี้ขึ้นมาพิจารณหรือไม่ ?
แต่ดูเหมือนภาคประชาชนที่ขับเคลื่อนมาอย่างยาวนาน ยังคงมี “ความหวัง” ว่า รัฐบาลใหม่จะผลักดันกฎหมายนี้ให้เดินหน้าต่อไปได้ โดยในห้วงเวลาโค้งสุดท้ายก่อนยุบสภา อย่างน้อย ๆ มีเวทีเสวนา 3 เวที ที่เรียกได้ว่าเป็น “ซีรีส์กฎหมายอากาศสะอาด” ครอบคลุมทั้งมิติด้านสิทธิสิ่งแวดล้อมที่เป็นสิทธิมนุษยชนสากล กลุ่มเปราะบางภายใต้กฎหมาย และเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ เขี้ยวเล็บสำคัญที่ไม่ควรถูกตัดทิ้ง เพื่อสะท้อนความจำเป็นของการมีกฎหมายฉบับนี้บังคับใช้ นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไม ? รัฐบาลใหม่ ต้องกลับมาเอาจริงเอาจังเรื่องนี้
The Active สรุปมัดรวมสาระสำคัญทั้ง 3 เวที เพื่อหวังส่งต่อชุดความรู้ ความเข้าใจกับประชาชน และเป็นเครื่องมือสำหรับพรรคการเมือง ที่จะนำไปต่อยอดในการเสนอนโยบายเลือกตั้งนับจากนี้
ลมหายใจคือชีวิต : ปลดล็อกความเข้าใจผิด
ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด สู่มาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล
เวทีแรกจัดขึ้นที่ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2568 เป็นการปูพื้นให้เห็นว่าสิทธิอากาศสะอาดเป็นสิทธิมนุษยชนชนตามหลักสากล และรัฐมีหน้าที่ต้อบงทำให้สิทธินั้นเกิดขึ้นจริง

รศ.คนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม สมาคมเครือข่ายอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพ กล่าวว่า การยกร่างกฎหมายฉบับประชาชนเข้าชื่อ อาศัยองค์ความรู้จากงานวิจัยของภาควิชาการหลากหลายสาขา ทั้งกฎหมายสิ่งแวดล้อม กฎหมายสิทธิมนุษยชน กฎหมายภาษีอากรและการคลัง รวมถึงศาสตร์อื่น ๆ อาทิ เศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม การเงินการลงทุน เศรษฐศาสตร์ความยั่งยืน วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ตลอดจนนักการสื่อสาร ภาคประชาสังคม และเครือข่ายแรงงานที่ขับเคลื่อนประเด็นความเหลื่อมล้ำ โดยการยกร่างกฎหมายเมื่อ 6 ปีก่อนถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง เพราะเป็นเรื่องใหม่สำหรับประเทศไทย
คำว่า “อากาศสะอาด” ในเวลานั้นดูเหมือนเป็นเรื่องเพ้อฝัน ทั้งที่สังคมไทยกำลังเผชิญผลกระทบอย่างรุนแรงจากปัญหาฝุ่น PM2.5 รวมถึงมลพิษทางอากาศอื่น ๆ ทีมเครือข่ายอากาศสะอาดจึงจัดทำรายงานอย่างต่อเนื่องเสนอแก่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อยืนยันว่าประเด็นอากาศสะอาดไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน แต่เป็นปัญหาจริงที่กระทบสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน
รศ.คนึงนิจ ระบุว่า ระบบฐานข้อมูลและโครงสร้างของกฎหมายไทยเดิมมีปัญหาในตัวเอง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งควรปฏิรูประบบกฎหมาย หรือยกขึ้นเป็นวาระแห่งชาติ แม้จะมีการพูดถึงมาโดยตลอด แต่เมื่อถึงเวลาจริงกลับไม่มีการปฏิรูปหรือสังคายนาอย่างแท้จริง ส่งผลให้ปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบกฎหมายยังคงดำรงอยู่ในลักษณะต่างคนต่างทำ ขาดการบูรณาการ
บุคลิกของร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดภาคประชาชน จึงเป็นการเข้าไปแตะ “ฐานราก” ของโครงสร้างกฎหมายที่มีมาแต่เดิม แม้กฎหมายจะตกไปจากการยุบสภา แต่ยืนยันว่าการขับเคลื่อนกฎหมายจะไม่หยุดเดิน
สำหรับการเดินทางของร่างกฎหมาย เมื่อเสนอเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร มีพรรคการเมืองยื่นร่างประกอบรวมทั้งสิ้น 7 ฉบับ ก่อนจะผ่านกระบวนการพิจารณาและหลอมรวมเป็นร่างเดียวที่มีความสมบูรณ์ และผ่านการพิจารณาวาระ 2 และ 3 ของสภาผู้แทนราษฎร ส่งต่อไปยังวุฒิสภา
รศ.คนึงนิจ ย้ำว่า “สิทธิ” คือสารตั้งต้นสำคัญของร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ทุกฝ่ายจำเป็นต้องทำความเข้าใจให้ตรงกัน เพราะเมื่อกฎหมายกำหนดสิทธิแล้ว หน้าที่ของรัฐย่อมต้องตามมา โดยร่างกฎหมายฉบับนี้ได้บัญญัติเรื่องสิทธิไว้ในหมวดแรก หากรัฐไม่เข้าใจหลักการเรื่องสิทธิ ก็อาจทำให้การปฏิบัติหน้าที่ในหมวดอื่น ๆ คลาดเคลื่อนได้
“สิทธิ” เป็นเรื่องนามธรรม มองไม่เห็น และอาจเข้าใจได้ยาก แต่สิทธิในอากาศสะอาดถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ที่ไม่อาจแยกขาดออกจากสิทธิอื่น ๆ เช่น สิทธิในชีวิต สิทธิในสุขภาพ และสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดี รัฐมีหน้าที่ต้องเคารพ ปกป้อง และป้องกันการละเมิด ไม่ว่าจะมาจากรัฐเองหรือบุคคลที่สาม รวมถึงมีหน้าที่ทำให้สิทธินี้บรรลุผล ซึ่งถูกกำหนดไว้ในหมวดต่าง ๆ ของกฎหมาย ครอบคลุมถึงบทลงโทษ และมาตรการเปิดโอกาสให้เกิดการเปลี่ยนผ่านกระบวนการผลิตไปสู่ความเป็นมิตรกับอากาศสะอาด ผ่านกลไกให้รางวัลและแรงจูงใจ
“คำว่ารัฐไม่ใช่แค่ฝ่ายบริหารแต่รวมไปถึงฝ่ายนิติบัญญัติที่ร่างกฎหมายนี้อยู่ด้วย จึงอยากฝากถึงฝ่ายบริหารเมื่อกฎหมายนี้ออกแล้ว ต้องนำไปบังคับใช้ และฝ่ายตุลาการโปรดอย่าปิดเบือนหลักการทฤษฎีที่ถูกต้องตั้งแต่ขั้นตอนนี้ นั่นคือสิ่งที่รัฐพึงต้องทำ”
รศ.คนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม
รศ.คนึงนิจ ชี้ว่า ไม่ต้องการให้กฎหมายฉบับนี้กลายเป็น “กฎหมายฟอกเขียว” ให้กับใครก็ตามที่เข้ามาเกี่ยวข้องในกระบวนการออกกฎหมาย เพราะฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งเป็นต้นน้ำสามารถทำให้กฎหมายมีเขี้ยวเล็บ หรือกลายเป็นกฎหมายเป็ดง่อยก็ได้ จึงไม่ควรร่วมมือกับผู้ที่ทำให้กฎหมายเหลือเพียงหน้าปก แต่ไร้เนื้อหาสาระ หรือเป็นเพียงกฎหมายเชิงสัญลักษณ์ เพื่อให้มีชื่อว่ามีกฎหมายแล้วนำไปสู่การใช้งบประมาณและการทำงานเชิงอีเวนต์ ขณะที่ปัญหายังคงวนซ้ำและไม่ถูกแก้ไขที่ต้นทางหรือฐานรากของปัญหา ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง
“และขอพูดในฐานะนักวิชาการที่ผลักดันเรื่องนี้มาตลอดถ้าหากกฎหมายฉบับนี้จะออกมาเป็นเป็ดง่อย สู้ไม่ออกมาเป็นกฎหมายเลยจะดีกว่า เพราะจะกลายเป็นอาวุธที่ทำร้ายประชาชน แทนที่จะปกป้องประชาชน”
รศ.คนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม
สิทธิในอากาศสะอาด : จากกฎหมายสากลสู่พันธกิจของรัฐไทย
ร่มฉัตร วชิรรัตนากรกุล สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ อธิบายว่า ในทางกฎหมายสิทธิมนุษยชนสากล ตั้งแต่ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศทั้ง 9 ฉบับ ยังไม่มีฉบับใดกล่าวถึง “สิ่งแวดล้อม” โดยตรง อย่างไรก็ตาม สิทธิที่ถูกนำมาตีความเชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุดคือ กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR)
โดยจุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2021 เมื่อคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติรับรอง “สิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดี” ในฐานะสิทธิมนุษยชน และในปี 2022 ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้ให้การรับรองเป็นครั้งประวัติศาสตร์ โดยจากประเทศสมาชิก 193 ประเทศ มีถึง 161 ประเทศที่ลงคะแนนเห็นชอบโดยไม่มีประเทศใดคัดค้าน ในการรับรอง “สิทธิในการมีสิ่งแวดล้อมที่สะอาด ถูกสุขลักษณะ และยั่งยืน” แม้มติดังกล่าวจะไม่ใช่กฎหมายที่มีผลผูกพันโดยตรง แต่มีน้ำหนักทางการเมืองสูง และเชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ซึ่งถือเป็นความตกลงร่วมกันของประเทศสมาชิกสหประชาชาติ
พัฒนาการดังกล่าวส่งผลถึงการตีความของ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ซึ่งในช่วงปี 2022–2024 ได้มีข้อวินิจฉัยสำคัญเกี่ยวกับ “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” โดยชี้ว่า สิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดีเป็นสิทธิมนุษยชนสากล และหากรัฐไม่ดำเนินการให้สิทธินี้เกิดขึ้นจริง อาจถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ
สำหรับประเทศไทย ได้แสดงจุดยืนต่อเวทีระหว่างประเทศว่า สิทธิในสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นประเด็นสิทธิมนุษยชน และในระดับภูมิภาค อาเซียนก็มีการรับรองปฏิญญาว่าด้วยสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดี เมื่อ ต.ค. ที่ผ่านมา โดยเริ่มหยิบยกประเด็นสิทธิในสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน เช่น ฝุ่นควันและมลพิษในแม่น้ำโขง
“เมื่อเชื่อมโยงกับประเด็นอากาศสะอาดจะพบว่าเกี่ยวข้องโดยตรงกับสิทธิในชีวิต สุขภาพ น้ำ อาหาร ที่อยู่อาศัย และมาตรฐานการครองชีพที่เพียงพอ ซึ่งถูกรับรองอยู่แล้วในกติการะหว่างประเทศทั้ง ICCPR และ ICESCR โดยประเทศไทยเป็นภาคีทั้งสองฉบับ เท่ากับมีพันธกรณีต้องใช้ทรัพยากรของรัฐและงบประมาณเพื่อทำให้สิทธิเหล่านี้เกิดขึ้นจริง”
ร่มฉัตร วชิรรัตนากรกุล
พันธกรณีด้านสิทธิในอากาศสะอาดแบ่งออกเป็น 2 มิติ คือ
- ด้านกระบวนการ เช่น การเปิดเผยข้อมูลคุณภาพอากาศ การคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การมีส่วนร่วมของประชาชน และการเข้าถึงกระบวนการเยียวยาอย่างเป็นธรรม
- ด้านเนื้อหา คือ รัฐต้องไม่ละเมิดสิทธิ ต้องปกป้องประชาชนจากการละเมิดโดยบุคคลที่สาม โดยเฉพาะภาคธุรกิจ และต้องออกกฎหมาย นโยบาย และมาตรการที่ทำให้สิทธิในอากาศสะอาดเกิดขึ้นจริง โดยไม่ถอยหลังในระดับการคุ้มครอง
ร่มฉัตร ยังหยิบยกสิ่งที่ เดวิด อาร์. บอยด์ ผู้รายงานพิเศษด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมของสหประชาชาติ ที่เสนอแนวทางสำคัญ เช่น การติดตามคุณภาพอากาศอย่างเป็นระบบ การเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ การมีกฎหมายและแผนปฏิบัติการที่ชัดเจน และการบังคับใช้อย่างจริงจัง “การขาดมาตรฐาน หรือการมีมาตรฐานที่อ่อนแอ เท่ากับความล้มเหลวอย่างกว้างขวางของรัฐ ตามพันธะกรณีสิทธิมนุษยชน ผลลัพธ์คือความเสียหายที่รุนแรง ต่อสุขภาพของเด็กและประชาชน”
ร่มฉัตร ยังชี้ว่า ในมิติภาคธุรกิจ ไทยยังเป็นประเทศแรกในเอเชียที่จัดทำแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ซึ่งระบุชัดถึงการปรับปรุงกฎหมายและมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมและอากาศสะอาด พร้อมเชื่อมโยงกับ SDGs และการรับมือผลกระทบจากธุรกิจข้ามพรมแดน ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า “อากาศสะอาด” ไม่ใช่เพียงประเด็นสิ่งแวดล้อมหรือสุขภาพเท่านั้น แต่เป็น สิทธิมนุษยชน ที่รัฐมีหน้าที่ต้องคุ้มครอง ทำให้เกิดขึ้นจริง และไม่อาจเพิกเฉยได้อีกต่อไป

ชี้ช่องว่างกฎหมายสิ่งแวดล้อมไทย
สิทธิในอากาศสะอาดยังไม่ถูกเขียนเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน
ศยามล ไกยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ย้ำว่า การนำหลักสิทธิมนุษยชนมาปรับใช้ในบริบทประเทศไทยว่า ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ เป็นกฎหมายของทุกคน เพราะทุกคนล้วนได้รับผลกระทบจากการสูดดมฝุ่น PM2.5 กฎหมายฉบับนี้จึงเป็นการบูรณาการองค์ความรู้จากทุกศาสตร์เข้ามาอยู่ร่วมกัน
หากเปรียบเทียบกับ พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ซึ่งเป็นกฎหมายระดับชาติที่ทำหน้าที่กำหนด “มาตรฐานขั้นต่ำ” ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ถือเป็นการยกระดับมาตรฐานให้สูงขึ้น โดยเฉพาะในมิติของสิทธิประชาชน
ศยามล ย้อนให้เห็นว่า ในช่วงการผลักดันหลักสิทธิมนุษยชนเข้าไปในกฎหมายสิ่งแวดล้อมเมื่อปี 2535 มีความพยายามอย่างมาก แต่ในเวลานั้นยังไม่มีองค์ความรู้และการยอมรับเรื่อง “สิทธิในสิ่งแวดล้อม” อย่างชัดเจน ซึ่งองค์การสหประชาชาติเพิ่งรับรองสิทธิดังกล่าวอย่างเป็นทางการในปี 2564 ขณะนั้น สังคมไทยตื่นตัวเรื่องการตรวจสอบการพัฒนา จึงมีความพยายามผลักดัน “สิทธิชุมชน” เข้าไปในกฎหมาย แต่ถือเป็นเรื่องยากและไม่ประสบผลสำเร็จ ทำได้เพียงการเพิ่มสิทธิของปัจเจกบุคคลไว้ในหมวดทั่วไปของกฎหมายสิ่งแวดล้อม กระทั่งรัฐธรรมนูญปี 2540 จึงเริ่มมีการบัญญัติเรื่องสิทธิชุมชนอย่างชัดเจน
แม้สิทธิด้านสิ่งแวดล้อมจะเริ่มถูกหยิบยกขึ้นมาผลักดันตั้งแต่ช่วงนั้น แต่กลับถูกตัดออกไป เนื่องจากผู้กำหนดนโยบายในขณะนั้นอาจยังไม่ตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างเพียงพอ แม้แต่ในรัฐธรรมนูญปี 2550 และ 2560 ก็ยังไม่มีการบัญญัติเรื่องสิทธิในสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอย่างชัดแจ้ง จนกระทั่งมี พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ซึ่งเริ่มเปิดพื้นที่ให้กับ “สิทธิทางสุขภาพ” กสม. จึงนำ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติฯ มาใช้เป็นหลักในการอธิบายและเชื่อมโยงกับกฎหมายภายในประเทศ ควบคู่กับบทบัญญัติรัฐธรรมนูญในเรื่องสิทธิชุมชน และพบว่า ในการพิจารณาคดีของศาล มีการนำหลักสิทธิมนุษยชนเข้ามาประกอบการวินิจฉัยด้วย
กรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ยังชี้ว่า หากต้องการให้กฎหมายมีผลบังคับใช้อย่างแท้จริง จำเป็นต้องมีทั้งการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และมีกฎหมายลำดับรองรองรับอย่างชัดเจน
“จากการแลกเปลี่ยน กับ ผู้พิพากษาและอัยการ ว่า ศาลไม่สามารถทำได้กว่าที่กฎหมายกำหนด กฎหมายภายในประเทศจึงมีความสำคัญ และคิดว่าแนวรัฐธรรมนูญก็ต้องบัญญัติเรื่องสิทธิในสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ซึ่งแยกขาดจากกันไม่ได้”
ศยามล ไกยูรวงศ์
ศยามล ยังสะท้อนว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐจำนวนไม่น้อยยังขาดความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชน และมักอ้างว่ากฎหมายไม่ได้เขียนไว้รองรับ แม้ในกรณีที่มีการผลักดันให้จัดทำการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ กสม. ก็เรียกร้องให้เพิ่มการประเมินผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนเข้าไปด้วย แต่กลับถูกโต้แย้งว่ามีการประเมินผลกระทบทางสังคมอยู่แล้ว ทั้งที่ในความเป็นจริง การประเมินผลกระทบทางสังคมมักมองในภาพรวมเชิงสังคมวิทยา ขณะที่การประเมินด้านสิทธิมนุษยชนจะลงลึกไปถึงระดับบุคคล โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ซึ่งเป็นความแตกต่างที่สำคัญ
“การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม มีหลักอยู่ว่า มีบทบาทในการบริหารดูแล อย่างไร แต่ปัญหาสิ่งแวดล้อมให้รัฐทำโดยลำพังไม่สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นมลพิษทางอากาศ ทางน้ำ เท่าที่ตรวจสอบมาไม่สำเร็จ ตั้งแต่เรื่องโรงไฟฟ้า เมืองแร่ เขื่อนชลประทาน กระทั่งมลพิษจากโรงงานสถานประกอบการ แม้กระทั่งทรัพยากรธรรมชาติการจัดการไฟป่า เพราะบุคลากรของรัฐมีน้อยนิด งบประมาณมีจำกัด จำเป็นต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้”
ศยามล ไกยูรวงศ์
ศยามล เน้นย้ำว่า หัวใจสำคัญของการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมคือ “ฐานข้อมูล” ซึ่งร่างกฎหมายอากาศสะอาดจะทำให้เกิดการเปิดเผยข้อมูลคุณภาพอากาศอย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งกำหนดให้รัฐมีหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนและอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชน เพื่ออุดช่องว่างที่กฎหมายเดิมไม่สามารถตอบโจทย์ได้
นอกจากนี้ ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ยังให้ความสำคัญกับ “สิทธิในการมีส่วนร่วม” ผ่านการจัดตั้งคณะกรรมการระดับนโยบาย 4 ชุด ได้แก่ คณะกรรมการนโยบายเพื่ออากาศสะอาด คณะกรรมการกำกับดูแลเพื่ออากาศสะอาด คณะกรรมการวิชาการเพื่ออากาศสะอาด และคณะกรรมการเครื่องมือและมาตรการทางเศรษฐศาสตร์เพื่ออากาศสะอาด ในระดับจังหวัด จะมีนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นประธาน โดยมีข้าราชการ นักวิชาการ และภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม กรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ก็มองว่า โครงสร้างดังกล่าวจะช่วยถ่วงดุลการทำงานของระบบราชการ ซึ่งโดยธรรมชาติจำเป็นต้องปฏิบัติตามคำสั่งผู้บริหารระดับสูง การมีนักวิชาการและภาคประชาชนที่มีข้อมูลและองค์ความรู้ จะช่วยให้การบังคับใช้กฎหมายเกิดผลอย่างแท้จริง
สิทธิที่จะไม่ตายก่อนวัยอันควร : ปลดล็อกแนวคิดเรื่องกลุ่มเปราะบาง
ในร่าง พรบ. อากาศสะอาด
การผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของวุฒิสภา (สว.) นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการแก้ไขวิกฤตฝุ่นพิษ PM2.5 เพื่อสร้างความเป็นธรรมด้านสุขภาพให้กับทุกคนในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อถกเถียงในประเด็นสำคัญที่อาจกระทบต่อความเป็นธรรมในการปกป้องสิทธิที่จะไม่ต้องตายก่อนวัยอันควร นั่นคือ ความเข้าใจว่าใครบ้างคือ “กลุ่มเปราะบาง”
นิยามของความเปราะบางในบริบทเฉพาะของปัญหาภัยพิบัติจากมลพิษทางอากาศนั้น แตกต่างจากความเปราะบางในบริบทอื่น และเป็นหัวใจสำคัญของการออกแบบกฎหมายให้สามารถคุ้มครองประชาชนได้อย่างแท้จริง

นพ.วิรุฬ ลิ้มสวาท หัวหน้ากลุ่มวิจัยสังคมและสุขภาพ สำนักวิชาการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และผู้ร่วมก่อตั้งเครือข่ายอากาศสะอาด ประเทศไทย ย้ำถึงกรอบแนวคิดสากลที่ถูกนำมาใช้ในการออกแบบกฎหมายอากาศสะอาด ได้หยิบยกแนวคิดเรื่องความเปราะบางจากกรอบ “เซนได” (Sendai Framework) ซึ่งมีแนวคิดหนึ่งว่าด้วย สมการความเสี่ยง ที่ระบุว่า ความเสี่ยงประกอบด้วย ภัยคุกคาม × การรับสัมผัส × ความเปราะบาง
ดังนั้น ในสถานการณ์ฝุ่นพิษ คนที่มีการรับสัมผัสมากย่อมมีความเสี่ยงสูงขึ้น และหากเป็นคนที่มีความเปราะบางอยู่แล้ว ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อผลกระทบทางสุขภาพมากขึ้นไปอีก
ประเด็นถัดมาคือ ความเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบทางสุขภาพจากมลพิษทางอากาศ ซึ่งสังคมอาจคุ้นชินกับการมองเห็นผลกระทบต่อผู้ป่วยโรคต่าง ๆ อยู่แล้ว แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับ คนทำงานกลางแจ้ง กลับยังไม่ค่อยถูกพูดถึงมากนัก
นพ.วิรุฬ ระบุว่า ร่างกฎหมายอากาศสะอาดฉบับนี้ถือเป็นนวัตกรรมทางกฎหมายที่ผ่านการหลอมรวมจากทั้ง 7 ร่าง และได้เขียนประเด็นนี้ไว้ใน มาตรา 4 (นิยาม) แต่กลับมีความพยายามจะตัดเนื้อหาส่วนนี้ออก จนนำไปสู่การถกเถียงอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะการนิยามคำว่า กลุ่มเปราะบาง
ในร่างกฎหมาย ระบุว่า “กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับความเจ็บป่วย หรือได้รับอันตรายทางสุขภาพ หรือเนื่องจากมีสถานะสุขภาพทางด้านร่างกายภูมิต้านทานและความทนทานในการรับปริมาณสารพิษทางอากาศต่ำกว่าบุคคลทั่วไป เช่น เด็ก หญิงมีครรภ์ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเรื้อรัง ผู้ป่วยทางเดินหายใจ ผู้ที่ทำงานกลางแจ้ง”
โดยเฉพาะคำว่า “ผู้ที่ทำงานกลางแจ้ง” กลายเป็นประโยคที่มีการโต้แย้งอย่างรุนแรง มีผู้เสนอให้ตัดออก แม้ในการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วุฒิสภาล่าสุด ผู้เสนอถอดจะยอมถอยและขอแก้ไขเพียงเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่อาจวางใจได้ เนื่องจากคาดว่าจะมีการเสนอแก้ไขใหม่อีกครั้ง จากกรอบความเข้าใจแบบเดิม ๆ นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ต้องหยิบยกประเด็นความเปราะบางของผู้ทำงานกลางแจ้งขึ้นมาพูดถึงในเวลานี้
ขณะเดียวกัน มาตรา 7 ซึ่งกล่าวถึงสิทธิของกลุ่มเปราะบาง โดยระบุว่า กลุ่มเปราะบางจะต้องได้รับการดูแลโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ก็ถูกตั้งคำถามและโต้แย้งว่าอาจเป็นภาระต่อระบบสุขภาพ และเป็นภาระของรัฐหรือไม่
“เครือข่ายอากาศสะอาด โดยเฉพาะผม ยืนยันในเรื่องนี้ว่า การแพทย์ถ้าเราให้การดูแลตั้บแต่ต้น โดยที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย คนที่ได้รับผลกระทบ ในระดับต้นจะได้รับการดูแล ไม่ใช่ต้องเจ็บป่วยจนรุนแรง ต้องหยุดงาน ต้องเสียรายได้ ระบบบริการ ระบบสาธารณะสุขก็ต้องเสียรายได้จำนวนมาก”
นพ.วิรุฬ ลิ้มสวาท
อีกประเด็นหนึ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงคือ กองทุนอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพ ซึ่งถูกเข้าใจว่าเป็นการนำเงินของรัฐมาใช้เพิ่มเติม และกลายเป็นเหตุผลที่ถูกคัดค้าน ในอีกมุมหนึ่งก็มีการอ้างว่าเป็นภาระที่ไม่ควรตกอยู่กับรัฐ แต่เป็นภาระของภาคส่วนต่าง ๆ ที่ต้องจ่ายเงินเข้ากองทุน ทั้งที่ในความเป็นจริง กองทุนดังกล่าวจะถูกนำไปใช้เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของภาคธุรกิจให้ปรับตัวต่อมาตรการอากาศสะอาดด้วยเช่นกัน
รายได้ไม่แน่นอน – ไร้สวัสดิการ
ซ้ำเติมแรงงานกลางแจ้งเผชิญฝุ่นพิษ
ขณะที่ พูลทรัพย์ สวนเมือง ตุลาพันธุ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ บอกว่า มีคน 2 กลุ่มหลัก ๆ ที่เป็นแรงงานกลางแจ้ง คือ หาบเร่แผงลอย และกลุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ปกติในมิติรายงาน กลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มที่เปราะบางอยู่แล้ว เพราะไม่ได้รับสิทธิสวัสดิการ หรือเข้าถึงสิทธิสวัสดิการจากการทำงาน เช่น ประกันสังคม มีคนเข้าถึงน้อย

ขณะเดียวกันรายได้ไม่แน่นอน ต่างจากพนักงานบริษัท หรือพนักงานรายวันที่มีรายได้แน่นอน ทางมูลนิธิได้ทำการศึกษาผ่านการสัมภาษณ์กลุ่มผู้ค้าหาบเร่แผงลอย 500 คน ทำการสัมภาษณ์แบบกลุ่ม 14 ครั้ง ในประเด็นผลกระทบจากความร้อน แต่สิ่งที่พบจากการพูดคุยคือมีการสะท้อนเรื่อง “ฝุ่น” มาด้วย เพราะมีผลกระทบเชิงสุขภาพอย่างมาก ทั้งผื่นตามร่างกาย ระบบทางเดินหายใจ เลือดกำเดาไหล และพบว่า 54% ต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาล
“ลองนึกถึงภาพคนที่มีรายได้ไม่แน่นอน แล้วยังต้องไปโรงพยาบาล ไปหาหมอ วันนั้นก็ไม่ได้ขายของ และยังมีค่าใช้จ่าย แม้ว่าจะเป็นโรงพยาบาลรัฐ ก็มีค่าเดินทาง เท่ากับพวกเราที่ป่วย 1 วัน ก็เสียค่าใช้จ่าย เสียรายได้ 2 วัน และด้วยความที่ไม่มีเวลามาก ไม่มีรายได้มาก เมื่อเกิดผดผื่น ก็จะไปซื้อยาแก้คันมาใช้ จากการสัมภาษณ์ พบว่ายาแก้คันที่ใช้ตามท้องตลาดมีสารสเตียรอยด์ ตกใจมาก แต่ทางเลือกคืออะไร”
พูลทรัพย์ สวนเมือง ตุลาพันธุ์
อย่างการทำงานของแม่ค้า ต้องตื่นมาเตรียมของแต่เช้า แต่เดิมอากาศดีมาก แต่ทุกวันนี้ฝุ่นเริ่มมาแต่เช้า ความเปราะบางคือ “เขาเลือกไม่ได้” ที่จะไม่ไปขายของวันนี้ แม้ค่าฝุ่นจะเป็นสีเหลือง หรือสีแดง เพราะเราต้องมีรายได้ไปเลี้ยงครอบครัว เราพอรู้ว่ามันอันตราย แต่เราไม่มีทางเลือก ก็พยายามหาอุปกรณ์ เช่น หน้ากาก เพื่อป้องกันฝุ่น ก็เป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมา
“มันไม่ใช่แค่เรื่องของสุขภาพ แต่มันเป็นเรื่องเศรษฐกิจด้วย มันเป็นภาระ ปัญหารุนแรง และมีผลกระทบทำให้เขาเสียค่าใช้จ่ายเยอะ มันต้องมีคนรับผิดชอบเหมือนกัน ตกใจว่าในร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ จะเอาคนทำงานกลางแจ้งออก ไม่รู้ว่าคิดจากอะไร ที่เห็นว่าคนทำงานกลางแจ้งไม่ควรจะอยู่ในนี้”
พูลทรัพย์ สวนเมือง ตุลาพันธุ์
สอดคล้องกับ อนุกูล ราชกุณา ผู้ประสานงานเครือข่ายสหภาพไรเดอร์ มองว่า ปัญหาที่แรงงานไรเดอร์เผชิญอยู่ในปัจจุบันมีอย่างน้อย 2 ชั้น
ชั้นแรก คือ การที่แพลตฟอร์มไม่ดูแลไรเดอร์อย่างที่ควร ทั้งในด้านการคุ้มครองสวัสดิภาพและความปลอดภัยในการทำงาน โดยบริษัทแพลตฟอร์มมักปัดความรับผิดชอบมาโดยตลอด ด้วยการอ้างว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับไรเดอร์ ทำให้แรงงานกลุ่มนี้ตกอยู่ในสภาพ “เป็นแค่คนส่งของ เป็นคนที่ใช้แล้วทิ้ง”

ภาพที่สะท้อนปัญหาชัดเจน คือข่าวการเสียชีวิตของไรเดอร์บนท้องถนน ซึ่งมีต้นตอมาจากสภาพการทำงานที่ถูกขูดรีดอย่างหนัก ไม่มีการคุ้มครองชั่วโมงการทำงานตามกฎหมาย และยังเผชิญความเสี่ยงจากการถูกลดค่าตอบแทนโดยแพลตฟอร์มได้ทุกเมื่อ
ชั้นที่สอง คือ กรณีที่แรงงานกลางแจ้งกำลังจะถูกตัดออกจากร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ซึ่งยิ่งซ้ำเติมปัญหาเดิมที่ไรเดอร์ต้องเผชิญ เพราะในขณะที่ทำงานหนักอยู่แล้ว กลับไม่ได้รับความคุ้มครองและความเป็นธรรมจากภาครัฐ
“เขาใช้ทั้งร่างกาย เวลาทั้งชีวิต เพื่อวิ่งงานท่ามกลางมลพิษ แต่รัฐกลับตัดออก หรือคนบางกลุ่มพยายามจะค้าน ผมมองว่าเป็นอะไรที่น่าตกใจ เพราะเขาถูกซ้ำเติมมาแล้ว ดังนั้นสภาพการทำงานที่หนักหนา เราอยู่ในยุคคนใช้แล้วทิ้ง รัฐไม่ดูแลคนทำงาน แถมยังทิ้งไว้ข้างหลัง ไม่ดูแลปล่อยให้เป็นเครื่องมือที่ถูกขูดรีดจากผู้ประกอบการ”
อนุกูล ราชกุณา
อนุกูล ยังยกตัวอย่างจากประสบการณ์การทำงานด้านส่งเสริมสุขภาพไรเดอร์ โดยชักชวนแรงงานเข้ารับการตรวจสุขภาพ และพบกรณีหนึ่งที่ไรเดอร์มีภาวะ “ปอดรั่ว” โดยเจ้าตัวไม่เคยรู้มาก่อน เนื่องจากไม่มีเวลาหรือโอกาสดูแลสุขภาพของตนเอง สะท้อนให้เห็นว่าสภาพการทำงานของไรเดอร์มีความหนักหน่วง และยังซ้ำเติมปัญหาทางเศรษฐกิจ เมื่อค่าตอบแทนต่อรอบถูกปรับลดโดยไม่แจ้งล่วงหน้า รวมถึงการเพิ่มงานพ่วงในลักษณะสอดไส้ ซึ่งเป็นการเอาเปรียบแรงงานไรเดอร์ในระบบอย่างเป็นวงกว้าง
อากาศเดียวกัน แต่ความเสี่ยงไม่เท่ากัน
วิจัยเปิดชีวิตไรเดอร์ใต้ฝุ่นพิษ
อดิสรณ์ เลิศสินทรัพย์ทวี ผู้อำนวยการ Internet Education & Research Lab สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) เผยว่า จากการทำวิจัยผ่านการตั้งสมมติฐานว่า อากาศที่เรากำลังหายใจเป็นอากาศเดียวกันหรือไม่ เพราะมีหลายหน่วยงานที่รายงานว่าคุณภาพอากาศในแต่ละวันเป็นอย่างไร โดยเฉพาะในกลุ่มแรงงานกลางแจ้งอย่างไรเดอร์ ทีมวิจัยจึงเกาะติดการทำงานของไรเดอร์ โดยติดเซนเซอร์ขนาดเล็กไว้ที่หมวกกันน็อก เป็นระยะเวลา 7 เดือน กลุ่มตัวอย่างในกรุงเทพมหานครและเชียงใหม่ จำนวน 10 คน
ผลวิจัยที่น่าสนใจคือ พบว่า ไรเดอร์สูดอากาศแตกต่างจากคนที่ทำงานในห้องแอร์ ในช่วงเวลาเดียวกันพวกเขาสูดฝุ่นมากกว่าหลายเท่า เกินค่ามาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ และได้นำข้อมูลมาเชื่อมโยงกับสุขภาพ โดยใช้ปริมาณฝุ่นร่วมกับระยะเวลาในการสัมผัส พบว่าทุกคนมีความเสี่ยงทั้งหมดสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ยอมรับได้
ขณะเดียวกัน ทีมวิจัยพยายามสื่อสารกับกลุ่มไรเดอร์ว่า อากาศที่สูดดมเข้าไปทุกวันเป็นอันตราย จำเป็นต้องหาอุปกรณ์ป้องกัน และควรหยุดไปตรวจสุขภาพบ้าง แต่หลายคนสะท้อนว่าไม่สามารถหยุดทำงานได้ เพราะไม่มีเงินเดือนประจำ และยังมีภาระค่าใช้จ่าย
สำหรับอาการที่พบ ในช่วงที่ค่าฝุ่นสูงจะเห็นได้ว่า มีอาการคันตา มีผื่น ซึ่งแต่ละคนจะมีอาการแตกต่างกันไปตามระดับความรุนแรงของฝุ่นในแต่ละเดือน
“เสนอให้หยุดงานบ้าง เพื่อให้ได้ลดความเสี่ยง แต่ไม่สามารถทำได้ เพราะมีความกดดันเรื่องการทำงาน และรายได้ ทำให้ข้อเสนอไม่ใครทำได้ เมืองไทยชูอุตสาหกรรมสตรีทฟู้ด แต่กลับพบว่าคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมเหล่านี้กลับไม่ได้รับความคุ้มครอง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้า หวังให้งานวิจัยที่นำเป็นกระบอกเสียงเล็ก ๆ นำไปต่อยอดให้เกิดประโยชน์กับกลุ่มเปราะบางแรงงานกลางแจ้ง”
อดิสรณ์ เลิศสินทรัพย์ทวี
ทำไม ? เราต้องมีเครื่องมือเศรษฐศาสตร์
และกองทุนใน ร่าง พรบ.อากาศสะอาด
Brown Bag & Econ-KU Break Talk หัวข้อ “ทำไม ? เราต้องมีเครื่องมือเศรษฐศาสตร์และกองทุนในร่าง พรบ.อากาศสะอาด” เจาะหัวใจสำคัญ ที่จะทำให้สิทธิเกิดขึ้นจริง เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 2568

รศ.ขนิษฐา แต้มบุญเลิศชัย อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า ปัญหามลพิษทางอากาศเป็นปัญหาใหญ่ทั้งในประเทศไทยและระดับโลก มีงานศึกษาในรายงาน Global Burden of Disease และงานของ Lancet Commission ในปี 2019 พบว่า การเสียชีวิตจากมลพิษทั้งหมดทั่วโลกมีประมาณ 9 ล้านคน เป็นการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรที่เกิดจากมลพิษ โดยในจำนวนนี้เป็นการเสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศในสัดส่วนที่สูงมากถึงประมาณ 7 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งแหล่งมลพิษทางอากาศสำคัญคือฝุ่น PM2.5
รศ.ขนิษฐา บอกอีกว่า ปัญหามลพิษทางอากาศทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีข้อมูลว่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา จำนวนผู้เสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว นอกจากการเสียชีวิตแล้ว ยังพบการเจ็บป่วยจำนวนมาก ซึ่งในมุมเศรษฐศาสตร์ส่งผลให้เกิดการสูญเสียแรงงานที่ควรมีสุขภาพแข็งแรง ต้องแบกรับค่ารักษาพยาบาล ทำงานไม่ได้ และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม
รวมถึงประเด็น “ความเหลื่อมล้ำ” ในการป้องกันตนเองจากอากาศเป็นพิษ เนื่องจากผู้ที่สามารถปกป้องตนเองได้มักเป็นผู้ที่มีฐานะ ขณะที่ผู้มีรายได้น้อยกลับเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษมากกว่า และขาดโอกาสในการเข้าถึงการรักษาพยาบาล ดังนั้น ปัญหามลพิษทางอากาศจึงเป็นปัญหาทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และความเท่าเทียม
“มลพิษทางอากาศเกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยแบ่งเป็น ภาคอุตสาหกรรม คมนาคม ป่าไม้ เกษตรกรรม เมือง มลพิษข้ามแดน ซึ่งมีความแตกต่างกัน ดังนั้นการจะแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ การบูรณาการจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเราไม่สามารถแก้ที่ส่วนใดส่วนหนึ่งได้”
รศ.ขนิษฐา แต้มบุญเลิศชัย
รศ.ขนิษฐา ชี้ว่า ในมุมมองทางเศรษฐศาสตร์ ปัญหามลพิษทางอากาศเกิดจากโครงสร้างแรงจูงใจที่ไม่เอื้อต่อการเกิดอากาศสะอาด หรือ “แรงจูงใจด้านราคาที่บิดเบือนในตลาด” กล่าวคือ ราคาสินค้าที่ก่อมลพิษที่ผู้บริโภคจ่ายจริงต่ำกว่าต้นทุนที่แท้จริงต่อสังคมอย่างมาก เมื่อราคาสินค้าที่ก่อมลพิษถูกกว่าความเป็นจริง ผู้คนจึงใช้มากขึ้น ส่งผลให้เกิดการปล่อยมลพิษในระดับที่สูงเกินกว่าที่สังคมต้องการ
“เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์มีบทบาทสำคัญในการปรับแรงจูงใจให้ถูกต้อง โดยเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ในร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ นับว่ามีความเหมาะสมและครบถ้วน มีทั้งมาตรการเชิงลงโทษ (Sticks) และมาตรการเชิงสนับสนุน (Carrots) ตามแบบอย่างที่ดีในต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ”
รศ.ขนิษฐา แต้มบุญเลิศชัย
รศ.ขนิษฐา ยังชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของ “กองทุนอากาศสะอาด” ซึ่งเป็นกลไกทางการเงินที่จำเป็นในร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ หมวด 7 โดยกองทุนดังกล่าวจะมีแหล่งเงินจากภาษี ค่าธรรมเนียม ค่าชดเชยความเสียหาย และแหล่งอื่น ๆ ที่สามารถนำมาใช้ได้อย่างทันท่วงที เนื่องจากหากต้องรอใช้งบประมาณประจำปีอาจใช้เวลานานถึง 1 ปี หรือจำเป็นต้องใช้งบกลางซึ่งอาจไปกระทบการใช้งบประมาณในด้านอื่น เช่น กรณีต้องจัดหาอุปกรณ์แก้ไขปัญหาไฟป่า กองทุนจะช่วยให้สามารถดึงเงินมาใช้ได้ทันต่อสถานการณ์
“สิทธิในการสูดอากาศสะอาดควรอยู่ประชาชน”
คือสิ่งที่ รศ.อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อาจารย์ประจำคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เน้นย้ำ พร้อมขยายความว่า “ผู้ปล่อยมลพิษไม่มีสิทธิปล่อย และจากการกำหนดสิทธินี้ ทำให้หลักผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Polluter Pays Principle) จึงตามมาโดยตรง” นอกจากประเด็นเรื่องสิทธิแล้ว ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ยังตั้งอยู่บนแนวคิดเรื่องความเป็นธรรมด้านสิ่งแวดล้อม
รศ.อดิศร์ ระบุว่า ประเทศไทยไม่ได้มีแต่ผู้ประกอบการที่ทำลายสิ่งแวดล้อม ตรงกันข้าม ยังมีผู้ประกอบการจำนวนมากที่มีกระบวนการผลิตที่สะอาด มีมาตรฐาน และพยายามปรับตัว อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการกลุ่มนี้ต้องแบกรับต้นทุนที่สูงกว่าและกลับประสบปัญหาในการแข่งขัน ขณะที่ผู้ประกอบการที่ปล่อยมลพิษกลับมีต้นทุนต่ำกว่าและได้เปรียบทางการแข่งขัน
“คำถามคือเหตุใดระบบเศรษฐกิจจึงเอื้อประโยชน์ให้ผู้ที่ปล่อยมลพิษ และทำให้ผู้ที่พยายามทำดีต้องเสียเปรียบ เครื่องมืออย่างภาษีและค่าธรรมเนียมเพื่ออากาศสะอาดจึงถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มต้นทุนให้กับผู้ประกอบการที่ทำให้อากาศสกปรก ให้ใกล้เคียงกับผู้ประกอบการส่งเสริมให้อากาศสะอาด เพื่อสร้างความเท่าเทียมกันในการแข่งขัน”
รศ.อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา
รศ.อดิศร์ ยังชี้ให้เห็นว่า กองทุนอากาศสะอาด ในร่าง พ.ร.บ. มีความสำคัญอย่างมาก เพราะจะเป็นกลไกในการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยที่ปล่อยมลพิษให้สามารถปรับตัวและเปลี่ยนผ่านไปสู่การผลิตที่มุ่งสู่อากาศสะอาดได้ โดยรวบรวมตัวอย่าง “เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์เพื่อสิ่งแวดล้อม” ที่ประเทศไทยใช้ในปัจจุบัน เพื่อย้ำให้ผู้มีหน้าที่พิจารณากฎหมายเห็นว่า เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ไม่ใช่เรื่องใหม่ ได้แก่
- กรมสรรพสามิต จัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันตามปริมาณการปล่อยคาร์บอน (รายได้แผ่นดิน)
- กรมสรรพสามิต จัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์ตามประสิทธิภาพการสันดาปของเครื่องยนต์ (รายได้แผ่นดิน)
- องค์การจัดการน้ำเสีย เรียกเก็บค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสียตามค่ามลพิษของน้ำเสีย (รายได้ อบจ.)
- กรุงเทพมหานคร เรียกเก็บค่าธรรมเนียมเก็บขยะตามการแยกขยะ
- กระทรวงอุตสาหกรรม กำหนดราคาอ้อยเผาให้ต่ำกว่าอ้อยไม่เผา
- องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก มีระบบซื้อขายคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจ
- กรมทรัพยากรน้ำบาดาล เรียกเก็บค่าธรรมเนียมน้ำบาดาลตามพื้นที่ในเขตวิกฤตการณ์น้ำบาดาล (นำเข้ากองทุนน้ำบาดาล)
- ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดประเภทบริษัทจดทะเบียนตามการปล่อยมลพิษ

รศ.อดิศร์ ย้ำว่า เงินที่จัดเก็บเข้ากองทุนอากาศสะอาดไม่ได้สูญหายไปไหน แต่ถูกนำกลับมาช่วยเหลือผู้ประกอบการให้เกิดการปรับตัว เงินจะหมุนเวียนในระบบและช่วยสร้างความเป็นธรรม โดยเฉพาะต่อผู้ประกอบการรายย่อย เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อทำร้ายภาคธุรกิจ แต่เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมสีเขียว
พร้อมตั้งคำถามต่อข้อเสนอที่ให้ใช้งบประมาณแผ่นดินว่า เหตุใดประชาชนที่ไม่ได้ก่อมลพิษจึงต้องเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่าย อีกทั้งการใช้งบจากกองทุนสิ่งแวดล้อมก็มีข้อจำกัด โดยในปัจจุบันสามารถขอรับงบประมาณได้เพียงปีละประมาณ 200 ล้านบาทเท่านั้น และการของบเพิ่มเติมจากกระทรวงการคลังย่อมก่อให้เกิดการเสียโอกาสจากงบประมาณในด้านอื่น
ขณะที่ สฤณี อาชวานันทกุล หัวหน้าทีมวิจัย แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย เห็นว่า เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการสร้างเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) การใช้เฉพาะมาตรการเชิงสนับสนุน (Carrots) โดยเปิดโอกาสให้ผู้ปล่อยมลพิษ โดยเฉพาะรายใหญ่ เลือกทำหรือไม่ทำตามความสมัครใจนั้นไม่เพียงพอที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนผ่านอย่างแท้จริง
“ได้อ่านแถลงการณ์ของ ภาคเอกชนร่วม 3 สถาบัน หรือ กกร. รู้สึกผิดหวัง เพราะจริง ๆ กกร.พยายามออกแบบเสนอนโยบาย ออกพิมพ์เขียวสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว ทำให้เกิดความย้อนแย้งว่า กกร.ส่งเสริมให้รับบาลสร้างเศรษฐกิจสีเขียว แต่ตัวเองกลับมีท่าทีต่อต้านกลไกทางเศรษฐศาสตร์ที่จำเป็น”
สฤณี อาชวานันทกุล
สฤณี ระบุว่า มาตรการเชิงลงโทษ (Sticks) จะช่วยสร้างมาตรฐานขั้นต่ำ (Baseline) และความคาดหวังร่วมกันในระบบเศรษฐกิจ โดยกำหนดระดับการปล่อยมลพิษที่ยอมรับได้และบทลงโทษเมื่อปล่อยเกินมาตรฐาน ซึ่งจะช่วยสร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียม รายได้จากภาษีหรือค่าธรรมเนียมเพื่ออากาศสะอาดควรถูกนำไปสนับสนุนกลุ่มผู้ก่อมลพิษที่มีกำลังในการปรับตัวต่ำ ซึ่งสอดคล้องกับหลักความเป็นธรรมและความยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อม
“มาตราที่กำหนดให้สถาบันการเงินร่วมรับผิดทางแพ่ง ในร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ มีความเหมาะสม เพราะไม่ได้เขียนเพียงให้สถาบันการเงินต้องรับผิดโดยอัตโนมัติ แต่กำหนดเงื่อนไขชัดเจนว่าสถาบันการเงินจะไม่ต้องรับผิดหากสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีระบบประเมินความเสี่ยงด้านมลพิษทางอากาศและมีการปฏิบัติตามระบบดังกล่าว ซึ่งสอดคล้องกับแนวปฏิบัติที่ธนาคารไทยจำนวนมากดำเนินการอยู่แล้วและสอดคล้องกับแนวปฏิบัติในระดับสากล”
สฤณี อาชวานันทกุล
ถึงตรงนี้ รศ.วิษณุ อรรถวานิช อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และผู้ร่วมก่อตั้งเครือข่ายอากาศสะอาดประเทศไทย ในฐานะผู้ดำเนินการเสวนา ได้สรุปความเห็นจากวิทยากรว่า “เครื่องมือและมาตรการทางเศรษฐศาสตร์” ในร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … ฉบับที่ผ่านวาระที่ 2 ของสภาผู้แทนราษฎร มีความเหมาะสมและครบถ้วน ไม่ควรตัดเครื่องมือใดออก
รศ.วิษณุ ยังระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่คณะกรรมาธิการวุฒิสภา เสนอให้ตัด “ระบบฝากไว้ได้คืน” ออกทั้งหมด (ส่วนที่ 5 มาตรา 175–176) ซึ่งจะทำให้การแก้ปัญหามลพิษทางอากาศไม่ครบวงจรตลอดวัฏจักรของสินค้า โดยเฉพาะเมื่อสินค้าที่ใช้แล้วกลายเป็นขยะ เช่น ถังสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ซึ่งมักจบลงด้วยการนำไปเผาทิ้งและก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ ส่งผลให้ประชาชนเจ็บป่วยและเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
นอกจากนี้ รศ.วิษณุ ยังเห็นว่า “สถาบันการเงิน” ควรแสดงความรับผิดชอบหากธุรกรรมทางการเงิน เช่น การปล่อยสินเชื่อให้ภาคธุรกิจ ก่อให้เกิดปัญหามลพิษทางอากาศ โดยในปัจจุบันสถาบันการเงินจำนวนมากให้ความสำคัญกับประเด็นนี้อยู่แล้ว และในอนาคต สถาบันการเงินที่ไม่คำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมจะดำเนินธุรกิจได้ยากขึ้น เนื่องจากนักลงทุนและลูกค้าจะเลือกสถาบันการเงินที่มีมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม การกำหนดบทบาทของสถาบันการเงินไว้ในร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดจึงเป็นกลไกกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันในการยกระดับมาตรฐานการปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ
รศ.วิษณุ สรุปทิ้งท้ายว่า ข้อมูลเชิงวิชาการจากเวทีนี้จะเป็นข้อมูลสำคัญให้พรรคการเมืองทุกพรรคนำไปพิจารณาบรรจุเรื่องการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศและการผลักดันร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ เป็นนโยบายหลักในการหาเสียง รวมถึงช่วยให้ข้อมูลแก่ประชาชนในการใช้ประกอบการตัดสินใจเลือกตั้ง เพื่อเลือกพรรคการเมืองที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพของประชาชนอย่างแท้จริง
พร้อมทั้งหวังว่าข้อมูลดังกล่าวจะส่งสัญญาณไปยังสมาชิกวุฒิสภ าให้คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนไทยมากกว่าผลประโยชน์ของธุรกิจที่ก่อมลพิษทางอากาศ

