เด็ก…กำลังถูกทำให้ลืม ‘หนังสือ’ ในโลกที่ผู้ใหญ่มุ่งทำแต่สงคราม

การอ่านสร้างชาติ

อาจไม่ใช่วลีที่เกินจริง เมื่อเด็กคนหนึ่งเกิดมาจะรู้จักกับสภาพแวดล้อม นอกเหนือจากผัสสะทั้ง 5 ของเขาแล้ว ก็มีเพียงสื่ออย่าง หนังสือ ที่จะช่วยให้พวกเขามองเห็นความเป็นไปในสังคม รู้จักความคิดของผู้อื่น ตลอดจนมองเห็น อนาคต ของตัวเองที่ซ่อนอยู่ในตัวอักษรแห่งความเป็นไปได้เหล่านั้น

ทว่า ข้อมูลจาก สสส. ชี้ว่า เด็กแรกเกิดจนถึง 3 ขวบ จำนวนกว่า 1.1 ล้านครัวเรือน มีหนังสือนิทานในบ้านไม่ถึง 3 เล่ม ขณะที่ข้อมูลเมื่อปี 2562 จากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ร่วมกับ องค์การยูนิเซฟ พบว่า เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีราว 34% หรือ 1 ใน 3 มีหนังสือสำหรับเด็กอย่างน้อย 3 เล่มที่บ้าน ซึ่งลดลงจากจำนวน 41% ในปี 2558 โดยในจำนวนเหล่านี้ประมาณ 65% เป็นเด็กที่อยู่ในครอบครัวร่ำรวยและมีเพียง 14% ที่อยู่ในครัวเรือนยากจน

ข้อมูลเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า การเข้าถึงหนังสือหรือสื่อสำหรับเด็กที่มีคุณภาพสักเล่มนั้นเป็นเรื่องยากสำหรับครอบครัวฐานะยากจน และจะยิ่งทำให้ความเหลื่อมล้ำนั้นห่างมากขึ้นไปอีก เมื่อหนังสือเหล่านี้เป็นเสมือนขั้นบันไดช่วยพาเด็กยกระดับทักษะ และพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเองได้ในวัยที่เติบโตขึ้น

การรู้หนังสือไม่ใช่แค่การทำให้เด็กฉลาด แต่ยังทำให้พวกเขามีจินตนาการ มีความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ไขปัญหา มีความฉลาดทางอารมณ์อันสืบเนื่องมาจากการมีคลังภาษาเพื่ออธิบายความรู้สึกนึกคิดของตัวเองได้ ตลอดจนยังช่วยให้เขา มีทุนทักษะกว้างขวางกว่าการที่ไม่มีหนังสือคู่กาย

“ประเทศไทยจะไปได้ไกลกว่าที่เราจะจินตนาการได้
หากเราลงทุนในเด็กและเยาวชนมากพอ”

เชื่อเหลือเกินว่า การลงทุนสำหรับเด็ก คงไม่ใช่การทุ่มเม็ดเงินมากมาย และไม่ใช่นโยบายที่ซับซ้อนเกินกำลังรัฐบาลใด ๆ แต่สิ่งที่ สุดใจ พรหมเกิด ประธานมูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน หวังให้เกิดขึ้น คือ ความกล้าหาญทางนโยบาย และจิตใจที่คิดถึงอนาคตของชาติมากพอ การจัดสรรหนังสืออย่างน้อย 3 เล่มต่อครัวเรือน และการอ่านหนังสือให้เด็กฟังอย่างน้อยวันละ 15 นาทีจะสร้างประโยชน์ให้กับชาติไปตราบนานเท่านาน

สุดใจ พรหมเกิด ประธานมูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

ในโลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง สงคราม และวิกฤตที่ผันผวน เราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้เยาวชนด้วยพลังการอ่านอย่างสร้างสรรค์ The Active ชวนสำรวจสถานการณ์การเรียนรู้ทักษะการอ่าน สู่ข้อเรียกร้องสวัสดิการเพื่อเด็กเล็ก ที่จริง ๆ แล้วก็เป็นไปเพื่อเราทุกคนในสังคม

แนวทางการดูแลจิตใจและเลี้ยงดูเด็กในภาวะสงคราม

“ในทุกสมรภูมิความขัดแย้ง ใครเป็นฝ่ายชนะไม่สำคัญ
เพราะผู้แพ้ตลอดกาลคือเด็กและเยาวชน”

การปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา กระทบต่อผู้คนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความรุนแรงของอาวุธสงครามส่งผลให้ต้องอพยพผู้คนในพื้นที่เสี่ยงกว่า 300,000 คน เด็กจำนวนมากที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งเหล่านี้ กลับต้องรับผลจากการปิดชายแดนและโรงเรียน บางครอบครัวไม่สามารถติดต่อญาติที่อยู่ข้ามพรมแดนได้ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นไม่เพียงทำลายความปลอดภัยทางกาย แต่ยังกระทบต่อพัฒนาการทางสมองและจิตใจของเด็กโดยตรง

มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน จึงเผยแพร่หนังสือ ปลูกกล้ากลางไฟ เพื่อสะท้อนผลกระทบของสงครามและเหตุการณ์รุนแรง โดยอ้างถึงรายงานของยูนิเซฟ ปี 2567 ที่ระบุว่า มีเด็กกว่า 52 ล้านคนทั่วโลก ต้องหลุดออกจากระบบการศึกษา เพราะความขัดแย้งและสงคราม

ในประเทศไทย โดยเฉพาะพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ โรงเรียนเคยถูกสั่งปิดมากกว่า 400 ครั้ง การหยุดเรียนต่อเนื่องและการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย ส่งผลโดยตรงต่อทักษะด้านภาษา การอ่านเขียน และความคิดสร้างสรรค์ ล้วนเป็นทักษะพื้นฐานที่เป็นตัวกำหนดเส้นทางชีวิตของเด็กหลังสงคราม แต่คำถามสำคัญคือ แล้วใครที่จะต้องเยียวยาผลกระทบที่เด็กไม่ได้เป็นคนก่อ ?

แม้จะยังหาคำตอบไม่ได้ อย่างน้อยชุมชนและครอบครัวต้องเป็นตาข่ายชั้นแรกในการโอบอุ้มเด็ก ๆ ที่ได้รับผลกระทบ หนังสือยังย้ำว่า

“การคุ้มครองเด็กต้องเริ่มตั้งแต่วันแรกที่มีเสียงปืน
ไม่ใช่วันแรกหลังจากหยุดยิง”

แนวทางเยียวยาที่สำคัญคือการสร้าง พื้นที่ปลอดภัยทางกายภาพและจิตใจ ในศูนย์อพยพหรือศูนย์พักพิง ให้เด็กได้รู้สึกมั่นคง เมื่อพวกเขามั่นใจว่าอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว จึงจะเริ่มมองหาความปกติที่คุ้นเคย ศูนย์พักพิงควรจัดให้มีมุมเล่านิทาน มุมอ่านหนังสือ มุมวาดภาพ หรือพื้นที่ให้พ่อแม่เล่นกับลูก สิ่งเหล่านี้ช่วยบรรเทาความเครียดและฟื้นฟูสภาพจิตใจของเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แม้เมื่อสงครามสิ้นสุด เด็กจำนวนมากยังคงมีภาวะเครียด ฝันร้าย หรือวิตกกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา ศูนย์พักพิงจึงควรจัดตั้งจุดคัดกรองและระบบส่งต่อไปยังหน่วยสุขภาพจิตระดับอำเภอหรือโรงพยาบาลศูนย์ สำหรับพื้นที่ห่างไกลหรือยังมีความเสี่ยงสูง Telemedicine สามารถช่วยลดเวลาการรอคอยและให้การดูแลเด็กได้อย่างทันท่วงที นี่คือตัวอย่างของเทคโนโลยีที่ถูกใช้เพื่อเยียวยาเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่ใช่ทำลาย

สำหรับการออกแบบพื้นที่ปลอดภัยในที่ที่ไม่ปลอดภัย เป็นเรื่องที่ทุกชุมชนทำได้ เพียงพื้นที่ขนาด 1 ตารางเมตร ที่ปูด้วยแผ่นรองนุ่มและมีหมอนหรือผ้าห่มก็เพียงพอแล้ว จากการสังเกตในค่ายผู้อพยพประเทศเลบานอน เด็กที่ใช้พื้นที่ดังกล่าววันละ 15 นาที มีระดับฮอร์โมนความเครียดต่ำกว่าเด็กที่ไม่มีพื้นที่พักผ่อนเช่นนี้

ในทางประสาทวิทยายังพบว่า พื้นที่เล็ก ๆ แบบนี้ช่วยให้สมองของเด็กเข้าสู่ ‘โหมดพักฟื้น’ ได้เร็วยิ่งขึ้น และการให้พวกเขาอ่านหนังสือหรือทำกิจกรรมศิลปะบำบัดช่วยเปิดจินตนาการ ฟื้นฟูจิตใจ และส่งเสริมให้ปรับตัวต่อชีวิตหลังสงครามได้ดียิ่งขึ้น

หนังสือ “ปลูกกล้ากลางไฟ” แนวทางการดูแลจิตใจและเลี้ยงดูเด็ก ในภาวะสงครามกลายเป็นองค์ความรู้สำคัญในโลกที่ผันผวน
และชวนผู้ใหญ่ทบทวนตัวเองว่าจะส่งต่ออนาคตแบบใดให้ลูกหลาน

ขอหนังสือเพียง 3 เล่ม : อ่านให้เด็กไทยเขาได้ยินว่า “ชาตินี้มีอนาคต”

ข้อมูลจาก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และเครือข่ายส่งเสริมวัฒนธรรมการอ่านและการพัฒนาเด็ก บ่งชี้ว่า สถานการณ์พัฒนาเด็กเล็กในประเทศไทยอยู่ในภาวะน่าเป็นห่วง เด็กเล็กจำนวนมากมีพัฒนาการล่าช้า โดยเฉพาะด้านภาษา ซึ่งพบมากถึงราว 38% ขณะที่ผลสำรวจระดับสติปัญญาเด็ก ป.1 ทั่วประเทศพบว่าราว 6% มีระดับ IQ ต่ำกว่าเกณฑ์ และส่วนใหญ่มีปัญหาด้านภาษามากที่สุด

ซ้ำร้าย เด็กไทยยังเผชิญกับความเหลื่อมล้ำด้านทรัพยากรการเรียนรู้ โดยมีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ราว 1 ใน 3 (34%) ที่มีหนังสือสำหรับเด็กอย่างน้อย 3 เล่มในบ้าน ในบรรดาเด็กที่มีหนังสือในบ้านส่วนใหญ่เป็นครอบครัวฐานะดี เด็กในครัวเรือนยากจนมีเพียง 14% เท่านั้น ส่งผลให้เกิดช่องว่างทางภาษาและการเรียนรู้ตั้งแต่วัยเริ่มต้น เด็กจากครอบครัวรายได้น้อยมีพัฒนาการช้ากว่าและยากจะชดเชยได้แม้เมื่อโตขึ้น เพราะช่วงปฐมวัยคือโอกาสทอง สถานการณ์นี้จึงผลักดันให้เกิดแนวนโยบาย ‘สวัสดิการหนังสือสำหรับเด็กปฐมวัย’ ที่มุ่งวางรากฐานการอ่านตั้งแต่เล็ก เพื่อสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์และการเรียนรู้ตลอดชีวิต อันเป็นพื้นฐานในการมีชีวิตรอดในศตวรรษที่ 21 อันแสนวุ่นวาย

สุดใจ ยังชวนสังคมมองเห็นว่า การสร้างพื้นที่ปลอดภัย คือหัวใจสำคัญในการทำให้เด็กมีการเรียนรู้ที่ดี เสมือนกับเด็กที่ร่างกายแข็งแรง ก็เพราะในชุมชนของเขามีพื้นที่ได้วิ่งเล่นอย่างสบายใจ โดยคำว่าปลอดภัย ต้องปลอดภัยทางใจด้วยเช่นกัน สังคมต้องปล่อยให้เด็กได้เป็นตัวของตัวเอง รู้จักข้อดีข้อเสีย และพัฒนาร่วมกับผู้อื่นในสังคม ด้วยเงื่อนไขนี้จะทำให้เด็กมีโอกาสพัฒนาทักษะ EF (ความสามารถระดับสูงของสมองส่วนหน้า ที่ทำหน้าที่บริหารจัดการความคิด อารมณ์ และพฤติกรรม) อย่างเต็มศักยภาพ

แต่ในสถานการณ์สังคมปัจจุบัน เด็กเสี่ยงต่อสงครามหรือภัยพิบัติที่ส่งผลโดยตรงต่อสมองของเด็ก นิยามของ สงคราม ไม่เพียงสนามรบที่เต็มไปด้วยอาวุธถึงแก่ชีวิต แต่ยังหมายรวมถึงความรุนแรงในชุมชน โรงเรียน ครอบครัว ที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของเด็กโดยตรง ในภาวะเช่นนี้ เสียงปืน เสียงระเบิด เสียงวิวาทด่าทอ ล้วนมีผลต่อพัฒนาการทางสมองของเด็ก เปลืองสมองจะบางลง ความเครียดจะถูกกระตุ้น และทุกโอกาสที่เด็กจะได้เติบโตมาเป็นคนที่คิดบวกต่อสังคมก็จะถูกทำลายลง

สุดใจ ยังเชื่อว่า แม้ในชุมชนไม่มีทรัพยากรมาก ขอเพียงมีพื้นที่ 1 ตารางเมตรที่จัดให้เด็กได้อ่านหนังสือ เล่น หรือทำกิจกรรมวันละ 15 นาที มีผู้ใหญ่แวะเวียนมาช่วยดูแลหรืออ่านหนังสือให้เขา ก็สามารถช่วยลดความเครียดและฟื้นฟูจิตใจได้จริง ที่ผ่านมาการเรียนรู้จากเหตุการณ์ในพื้นที่วิกฤต เช่น เหตุกราดยิงในโคราชและหนองบัวลำภู สะท้อนว่าชุมชนควรมีระบบพร้อมรับมือภัยและเครื่องมือดูแลจิตใจเด็กทันที ไม่ต้องรอความช่วยเหลือจากภายนอก เพราะหลังเสียงระเบิดลงครั้งแรก การส่งความช่วยเหลือจากพื้นที่อื่น ๆ ก็อาจจะสายเกินไป แต่หากชุมชนมีหนังสือ พื้นที่เล็ก ๆ นี้เองจะทำหน้าที่เป็นที่พักพิงทางใจได้ทันที

“หากทุกชุมชนมีหนังสือเป็นของตัวเอง และสร้างพื้นที่ปลอดภัยได้ภายใน 15 นาที จะช่วยได้มาก เพราะกว่าหนังสือฟรีกว่าจะเดินทางไปถึง ต่อให้เป็นเอ็กซ์เพรสไหนก็แล้วแต่ ก็ไม่ทันเท่ากับเสียงระเบิดดังขึ้นครั้งแรก

สุดใจ พรหมเกิด

“ขอแค่เพียง 3 เล่มต่อครัวเรือน” สุดใจ ย้ำหัวใจสำคัญของนโยบายสวัสดิการหนังสือเพื่อเด็กเล็ก เพียงแค่ครอบครัวอ่านหนังสือให้ลูกฟังอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างสายสัมพันธ์และทักษะการเรียนรู้ เด็กจะได้เรียนรู้ด้วยความสุขก่อนเข้าสู่ระบบการศึกษาอย่างเป็นทางการ ที่ผ่านมา เด็กชั้นประถมต้น (ป.1–ป.3) ที่ไม่เคยผ่านประสบการณ์การอ่านจากบ้านมาก่อน มักเรียนรู้ได้ยาก และมีแนวโน้มหลุดออกจากระบบการศึกษาสูง โดยเฉพาะในกลุ่มครัวเรือนยากจน ฉะนั้น ‘สวัสดิการหนังสือ’ สำหรับเด็กแรกเกิดและเด็กปฐมวัย จะช่วยแก้วิกฤต ลดความเหลื่อมล้ำ และตัดวงจรความยากจนจากรุ่นสู่รุ่นได้

ยกตัวอย่าง โครงการสวัสดิการหนังสือ 3 เล่มในบ้าน ภายใต้เครือข่ายอ่านยกกำลังสุขทุกภูมิภาค ได้คัดเลือกครอบครัวเปราะบางที่ไม่มีหนังสือนิทานในบ้านจำนวน 642 ครอบครัว เข้าร่วมกิจกรรมอ่านหนังสือให้ลูกฟัง โดยผลการติดตามและประเมินจากคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี พบว่า เด็กมีพัฒนาการทางภาษาดีขึ้น สนใจหนังสือมากขึ้น มีสมาธิและความตั้งใจเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 30% รวมทั้งมีจินตนาการ ช่างสังเกต ช่างสงสัย และสามารถนำคำศัพท์จากหนังสือมาใช้ในการพูดคุย รวมถึงเลียนแบบพฤติกรรมเชิงบวกจากตัวละครในหนังสือได้อีกด้วย

‘การอ่านสร้างชาติ สร้างคน’ เป็นความจริง

การสร้างวัฒนธรรมการอ่านในบ้านยังมีผลต่อเศรษฐกิจระดับชาติ ผลการศึกษาการประเมิน PISA ที่จัดโดย OECD พบว่า ประเทศที่พ่อแม่อ่านหนังสือให้ลูกฟังเป็นประจำ มีระดับคะแนนทักษะวิชาการอ่าน คณิตศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์ สูงกว่าประเทศอื่น ๆ อย่างมีนัยสำคัญ สุดใจ อธิบายว่า เพราะรากฐานการอ่านทำให้เด็กคิดวิเคราะห์ได้ดีขึ้น ตีโจทย์เป็น เพราะอย่าลืมว่าการประเมินโดยข้อสอบ PISA ที่ไม่ได้วัดการท่องจำ แต่อาศัยการประยุกต์ใช้และความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหาโจทย์ทักษะต่าง ๆ เช่นเดียวกับโจทย์ในโลกยุคปัจจุบันที่อาศัยการท่องจำเพื่อแก้ปัญหาไม่ได้แน่นอน

ประเทศสิงคโปร์เองก็ใช้แนวทางนี้เมื่อสิบปีก่อน ผ่านโครงการ Read-Aloud อ่านหนังสือให้เด็กฟัง เพื่อสร้างสายสัมพันธ์ในครอบครัว ทำให้เด็กรู้สึกรักหนังสือ รู้สึกอบอุ่นกับการมีคนอ่านหนังสือให้ฟัง ผลที่เกิดขึ้นโดยรวบรัดคือ วันนี้สิงคโปร์ (รวมถึงประเทศที่มีนโยบายด้านการเรียนรู้ที่คล้ายคลึงกันอย่างแคนาดา และฟินแลนด์) กลายเป็นประเทศที่มีคะแนนทักษะอ่านสูงสุดในโลก เพราะปลูกฝังวัฒนธรรมการอ่านตั้งแต่วัยปฐมวัย

“แล้วทำไมสิ่งนี้จะเป็นไปไม่ได้สำหรับประเทศไทย ?” สุดใจ เปรยถาม ก่อนจะเล่าว่า เมืองไทยเองก็เคยใช้หนังสือเป็นเครื่องมือทางนโยบายที่ทรงพลัง ยกตัวอย่างกรณีการแพร่ระบาดของโรคหัดในเด็กพื้นที่ชายแดนใต้ ผศ.นพ.เทอดพงศ์ ทองศรีราช และคณะนักศึกษาแพทย์จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้จัดทำหนังสือนิทานเกี่ยวกับโรคหัด อานีสเป็นหัด และส่งมอบไปยังพื้นที่เสี่ยง

แม้ภาครัฐไม่สามารถลงพื้นที่ได้ตรง ๆ เพราะการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่การกระจายหนังสือ ทำหน้าที่เป็นเหมือนวัคซีน ทำให้ผู้ปกครองและเด็กเข้าถึงความรู้และดูแลตัวเองได้ดีขึ้น ผลติดตามในพื้นที่เดิมตลอด 5 ปีถัดมา พบว่าไม่มีเด็กเสียชีวิตจากโรคหัดอีกเลย นี่คือตัวอย่างของพลังการอ่านที่สร้างผลลัพธ์ได้ดีกว่านโยบายที่ใช้งบประมาณจำนวนมาก

“ถ้าเราทำให้การอ่านตอบโจทย์ชีวิตของเด็กได้ มันจะช่วยสร้างคุณภาพชีวิต และทำให้เด็กสามารถจัดการความรู้ด้วยตัวเองตั้งแต่เล็ก ๆ เด็กจะมีศักยภาพในการเรียนรู้ตลอดชีวิต หลายปัญหาในสังคมที่ว่ายาก มันจะคลี่คลายได้ง่ายขึ้น โดยที่เราไม่ต้องพึ่งพามาตรการแข็ง ๆ แบบเดิม”

สุดใจ พรหมเกิด
นิทาน ‘อานีสเป็นหัด’ เล่าเรื่องสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคหัดที่มักพบ
ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โรงเรียน และชุมชนที่มีคนอยู่หนาแน่น สามารถดาวน์โหลดได้ ที่นี่

จากกรณีตัวอย่างของพื้นที่ชายแดนใต้และนิทาน อานีสเป็นหัด จะสังเกตได้ว่า หนังสือที่มีคุณภาพหรือมีประโยชน์ ไม่ได้จำเป็นต้องมีสาระที่อัดแน่น แต่กันข้ามเสียด้วยซ้ำ

สุดใจ มองว่าหนังสือที่จะทำให้เด็กรักการอ่าน คือหนังสือที่ให้น้ำหนักกับความบันเทิง จรรโลงใจ ไม่ใช่หนังสือเรียนที่มีแต่ตัวอักษรเป็นพรืด ข่าวดีคือ ประเทศเราเริ่มหันมาผลิตหนังสือคุณภาพแบบนี้มากขึ้น หนังสือเนื้อหาดี ๆ มีเยอะ แต่ขาดเพียงการส่งเสริมจากรัฐ ทำให้เป็นสวัสดิการถ้วนหน้า เพื่อสร้างชาติด้วยการอ่าน

ทั้งนี้ สุดใจ เน้นย้ำว่า การสร้างวัฒนธรรมการอ่าน ต้องไม่ใช่การบังคับให้อ่าน หรือต้องอ่านเพื่อไปทดสอบซึ่งนำไปสู่การลดโทษ ตัดสินเด็ก แต่ควรทำให้การอ่านเป็นเรื่องสุนทรียภาพ เด็กควรได้ท่องบทกวี ฟังถ้อยคำที่มีท่วงทำนองงดงาม ที่สัมพันธ์กับชีวิตหรือท้องถิ่นของตนเอง การใช้ภาษาที่รุ่มรวยจะช่วยให้เด็กมีความคิดและความรู้เท่าทันตัวเองที่ลึกซึ้ง แต่ที่ผ่านมาเราติดหล่ม มองเห็นทักษะการอ่านเป็นการวัดผลมากเสียจนเกินไป จนลืมไปว่าการอ่านมีบทบาทในการกล่อมเกลาความเป็นมนุษย์ในเยาวชนต่างหาก

  • ผู้ปกครองและผู้ที่สนใจสามารถเข้าถึงนิทานคุณภาพสำหรับเด็กได้ ที่นี่

หน้าจอที่ไม่โชว์ใจ เสี่ยงบั่นทอนพัฒนาการเด็ก

สำหรับเด็กยุคสมัยใหม่เติบโตมาพร้อมกับการเข้าถึงหน้าจอ ซึ่งเป็นประตูที่นำพาเนื้อหาใด ๆ มาสู่พวกเขาได้ แม้จะมีเทคโนโลยีช่วยป้องกันการเข้าถึงเนื้อหาอย่าง Parental Control (โหมดควบคุมโดยผู้ปกครอง) แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยลักษณะของสื่อหน้าจอ ที่ประกอบด้วยรูปและเสียงอย่างครบถ้วน ชวนดึงดูดความสนใจ แต่เบื้องหลังเนื้อหาที่เต็มไปด้วยอรรถรสนั้น กลับปิดจินตนาการและการใช้สมองของเด็ก เราเรียกสื่อเช่นนี้ว่า สื่อร้อน (Hot Media) ต่างจาก สื่อเย็น (Cool Media) อย่างเช่น หนังสือ นิยาย ภาพวาด หรือการเรื่องเล่าด้วยเสียง ที่จะไม่ได้ป้อนทุกอย่างให้ผู้รับสาร การเลือกใช้เฉพาะ ภาพ เสียง กลิ่น รส หรือสัมผัสเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง จะกระตุ้นให้ผู้รับสารใช้จินตนาการในการรับสารมากขึ้น

โดยการใช้โทรศัพท์มือถือ หน้าจอ หรือแม้แต่การดูโทรทัศน์ในเด็กเล็ก มีผลกระทบมากกว่าที่คิด เด็กอายุ 3 ขวบที่อยู่หน้าจอตลอดเวลา มักมีปัญหาทางภาษาอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัด เด็กบางคนพูดไม่ได้เลย ซ้ำร้าย เด็กที่สื่อสารไม่ได้มักแสดงออกด้วยความก้าวร้าว เพราะไม่สามารถบอกความต้องการของตนเองได้ เช่น อยากได้ดินสอแต่พูดไม่เป็น ก็ใช้วิธีดึงหรือผลักเพื่อนแทน สิ่งเหล่านี้สะท้อนปัญหาพื้นฐานของพัฒนาการด้านภาษา และคลังคำศัพท์ที่น้อยเกินไป

โทรศัพท์มือถือและสื่อหน้าจอเข้ามาแทรกแซงในชีวิตครอบครัวอย่างรวดเร็วโดยขาดความรู้เท่าทัน ทำให้เกิดการใช้ผิดวิธี จนไปทำลายกระบวนการพัฒนาของสมองในช่วงสำคัญ โดยเฉพาะในเด็กอายุ 0–3 ปี ซึ่งเป็นเวลาทองของการเรียนรู้ภาษา เด็กควรจะได้ยินเสียง ได้พูดคุยกับพ่อแม่ ได้ฟังนิทานและเพิ่มคลังคำศัพท์ แต่เมื่อปล่อยให้อยู่กับหน้าจอ การพัฒนาเหล่านี้ก็ขาดหายไปทั้งหมด

สิ่งที่น่ากังวลไม่แพ้กันคือ สัมพันธภาพระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ สุดใจ เชื่อว่า เด็กต้องเรียนรู้ความเป็นมนุษย์จากมนุษย์ก่อน ต้องเห็นสีหน้า แววตา สำเนียง และอารมณ์ของผู้อื่นด้วยตาเนื้อ ทว่า การขาดปฏิสัมพันธ์เหล่านี้ทำให้เด็กไม่เข้าใจอารมณ์ ไม่รู้จักสื่อสารอย่างมีความเข้าใจ และยังส่งผลต่อพัฒนาการด้านการเล่น การเคลื่อนไหว และทักษะสมองด้วย นี่อาจเป็นสาเหตุที่เราไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กบางคนถึงมีปฏิสัมพันธ์หรือการใช้ภาษาที่ไม่เป็นมิตรต่อตัวเองและผู้อื่น

แน่นอนว่า การอ่านสามารถเข้ามาช่วยพัฒนาเด็กได้ในหลายมิติ การอ่านในยุคใหม่ไม่ควรเป็นเพียงกิจกรรมเพื่อความสุขเท่านั้น แต่ต้องเชื่อมโยงกับการเล่น การคิดวิเคราะห์ และการลงมือทำ เพื่อพัฒนาทักษะสมอง (EF) และทักษะทางอารมณ์ (Emotional Learning) ที่เป็นหัวใจสำคัญของการเรียนรู้ เด็กควรได้เรียนรู้การจัดการอารมณ์และอยู่ร่วมกับสังคม ผ่านกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับหนังสือ เช่น เมื่อเขาอ่านเรื่องทำขนม แล้วอยากลงมือทำขนมจริง อ่านเรื่องปลูกผักแล้วอยากลองเพาะถั่วงอกหรือผักบุ้ง ด้วยวิธีการนี้เด็กจะได้เรียนรู้จากทั้งหนังสือและโลกจริงไปพร้อมกัน

บทส่งท้าย : สวัสดิการเพื่อเด็กเล็ก ‘ถ้วนหน้า’

สถาบันวิจัยบทบาทหญิงชายและการพัฒนา (GDRI) ระบุว่าการเลี้ยงดูลูก 0-6 ขวบให้มีคุณภาพอยู่ที่ 1.2 ล้านบาทต่อคน และอาจมากกว่านั้นเป็นทวีคูณเมื่อเขาเติบโตขึ้น ขณะที่ สุดใจ มองว่า เงินอุดหนุนเด็กเพื่อให้พ่อแม่พอจะเลี้ยงดูลูกได้ควรจะอยู่ที่ระดับ 3,000 บาท แต่ปัจจุบันเงินอุดหนุนยังอยู่ที่อัตรา 600 บาทต่อเดือน มิหนำซ้ำยังเป็นรูปแบบ ‘การสงเคราะห์’ ที่คัดเอาเฉพาะเด็กในเงื่อนไขครอบครัวที่มีรายได้เฉลี่ยต่อสมาชิกในครัวเรือนไม่เกิน 100,000 บาทต่อคนต่อปี แปลว่าต้องมีเด็กตกหล่นไปจากสวัสดิการที่ไม่ถ้วนหน้านี้แน่นอน

การคัดกรองคน เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะงานวิจัยทั่วโลกยืนยันแล้วว่าการคัดกรองทำให้เกิดการตกหล่นราว 30-40% ขณะที่ประเทศไทยเองตกหล่นประมาณ 34% สุดใจ เห็นว่า รัฐควรรับฟังข้อมูลทางวิชาการเหล่านี้และเดินหน้างานในทิศทางที่ถูกต้องต่อไป โดยยกตัวอย่างว่าผู้พิการและผู้สูงอายุไม่ต้องผ่านการคัดกรองก็ได้รับสวัสดิการทันที เช่นเดียวกับเด็กที่เพิ่งเกิดก็ควรได้รับสิทธิพื้นฐานตั้งแต่ต้น เพื่อให้สวัสดิการเป็นเครื่องมือเพื่อการพัฒนาชาติไม่ใช่การสงเคราะห์แบบตามยถากรรม

“ถ้าเราไม่คัดกรองเขา เด็กจะเห็นว่าประเทศนี้เป็นมิตรกับเขา ไม่ได้ย่ำยีศักดิ์ศรีของเขา เราทำให้เหมือนประเทศอื่น ๆ ได้ไหม เขาใช้เวลาแค่ 10 ปี
เขาทำให้เด็กและเยาวชนแข็งแรงมากพอที่ 10 ปีข้างหน้า เขาจะดูแลคนทั้งประเทศได้”

เพราะนโยบายขับเคลื่อนด้วยงบประมาณ และงบประมาณสะท้อนเจตนาของผู้กำหนดนโยบาย หากรัฐยังไม่ประกาศให้เงินอุดหนุนเด็กเล็กเป็นสวัสดิการถ้วนหน้า โดยยังอ้างเหตุผลเดิม ๆ คือ ไม่มีงบประมาณ ทั้งที่งานวิจัยจำนวนมากชี้แล้วว่าการลงทุนในเด็กแต่ละประเทศควรลงทุนในอัตรา 1% ของ GDP ในช่วงปฐมวัย แต่ปัจจุบันอัตราของไทยอยู่ที่เพียง 0.25% ของ GDP เท่านั้น นี่คือปัญหาทางนโยบายและการจัดลำดับความสำคัญ เพราะหน่วยงานต่าง ๆ ที่ศึกษาค่าผลตอบแทนทางสังคม (SROI) ต่างยืนยันตรงกันว่าการลงทุนในเด็กปฐมวัยคุ้มค่ามากที่สุด ทั้งในด้านพัฒนาการและการเรียนรู้

ทิ้งท้าย สุดใจ เน้นย้ำว่า สังคมไทยมีองค์ความรู้เพียงพอแล้ว เพียงแต่ยังไม่ถูกนำมาใช้อย่างจริงจัง ตอนนี้ยังไม่สายเกินไปที่จะเริ่มใหม่ โดยทำให้สวัสดิการเป็นระบบถ้วนหน้าก่อน แล้วจึงค่อยพิจารณาว่าควรปรับหรือขยายจุดใดเพิ่มเติม

และโปรดอย่าลืมว่าการพัฒนาเด็กเล็กไม่จำเป็นต้องซับซ้อน เพียงมุ่งทำสองเรื่องให้ชัดเจนคือ การอ่าน และ การเล่น ให้ถูกรักษาไว้ด้วยพื้นที่ปลอดภัย เพื่อให้เด็กสามารถเติบโตไปได้ โดยที่ผู้ใหญ่อย่างเราต้องป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งใด ๆ ไปแทรกแซงการเรียนรู้ของพวกเขาในช่วงปฐมวัย

Author

Alternative Text
AUTHOR

พีรดนย์ ภาคีเนตร

เฝ้าหาเรื่องตลกขบขันในชีวิต แต่พบว่าสิ่งที่ตลกที่สุดคือชีวิตเราเอง