“เพราะอะไร คุณภาพการศึกษาไทยถึงไม่ไปไหน”
เป็นเวลากว่า 20 ปี กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เกือบ 20 คน ที่พยายามหาคำตอบของคำถามนี้หลายต่อหลายครั้ง แต่ดูเหมือนว่า สุดท้ายแล้ว ก็ยังไม่เคยเจอ “คำตอบ” ที่ใช่เสียที
เกิดอะไรขึ้น ? หรือปัญหาการศึกษาไทย อาจจะใหญ่เกินกว่าจะฝากความหวังไว้ที่กระทรวงศึกษาธิการได้
มองคุณภาพการศึกษาไทย ผ่าน PISA
หนึ่งในการประเมินคุณภาพการศึกษาระดับนานาชาติ คือ โปรแกรมประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล หรือที่รู้จักกันในชื่อ PISA ที่วัดผลกันทุก ๆ 3 ปี โดยสุ่มตัวอย่างนักเรียนอายุ 15 ปี ซึ่งประเทศไทยเข้าร่วมตั้งแต่ปี 2000 และในปีนี้ จะเป็นปีที่นักเรียนไทยต้องกลับมาสอบวัดผลกันอีกครั้ง
ย้อนกลับไปที่การประเมินครั้งที่แล้ว พบว่า ทุกทักษะที่วัดผล ทั้งคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการอ่าน ประเทศไทยได้คะแนนต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี และมากไปกว่านั้น ที่ผ่านมา คะแนนของนักเรียนไทย ก็ไม่เคยสูงกว่าเกณฑ์เฉลี่ยเลย


ผลคะแนนนี้ กำลังบอกอะไรกับเรา
PISA ใช้มาตรวัด Proficiency Level ที่บ่งบอกถึงพฤติกรรมที่คาดหวังหรือต้องการให้เกิดขึ้น นั่นหมายความว่า คะแนน PISA ช่วยตอบได้ว่าเด็กไทยเรานำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันในเรื่องสำคัญได้มากน้อยเพียงใด
ดังนั้น คะแนนของนักเรียนไทยที่ต่ำลง คือสัญญาณเตือนบอกระบบการศึกษาไทยว่ามีปัญหา และกำลังสร้างแรงงานในอนาคตที่ไม่พร้อมรับมือโลกที่เปลี่ยนแปลง
ทัฬหวิชญ์ ฐิติรัตน์สกุล นักวิจัยด้านนโยบายการปฏิรูปการศึกษา สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย TDRI ให้ความเห็นว่า ปัญหาหลักอยู่ที่ระบบการศึกษาที่ไม่เข้มแข็ง ซึ่งมาจากสาเหตุหลัก คือ หลักสูตรการศึกษา
หลักสูตรการศึกษาที่เด็กไทยกำลังเรียนอยู่นี้ เริ่มใช้มาตั้งแต่ ปี 2551 ที่เน้นการจำ แล้วนำไปใช้ แต่ไม่ได้เน้นการวิเคราะห์-สังเคราะห์ นําไปสร้างสรรค์สิ่งใหม่ โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ในหลักสูตร ตัวชี้วัด หรือเป้าหมายในการเรียน ก็เน้นไปที่ เรื่องของความรู้เป็นหลัก

“โลกไม่ได้รอเรา มันกําลังเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เทคโนโลยีก็พัฒนาไปเยอะ เพราะฉะนั้น เรื่องความรู้การท่องจําอาจจะไม่ได้จําเป็นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว”
ทัฬหวิชญ์ ฐิติรัตน์สกุล นักวิจัยด้านนโยบายการปฏิรูปการศึกษา TDRI
หลักสูตรจดจำและนำไปใช้ที่เราเคยเรียนมา จึงพอจะสะท้อนคำตอบเบื้องต้นได้ว่า เพราะเหตุใด คะแนน PISA ของนักเรียนไทยจึงถอยหลัง แต่ก็ใช่ว่า เราเพิ่งรู้ปัญหานี้
ปฏิรูปการศึกษา : สิ่งประดิษฐ์ที่ไม่ได้ยกระดับโครงสร้างคุณภาพการศึกษาไทย ?
เมื่อหลักสูตรไทยคล้ายยาหมดอายุ ไม่ทันโลก เอาไปใช้ในชีวิตประจำวันไม่ได้ ศ.สมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา เสนอว่า สิ่งที่จำเป็นต้องจัดการแก้ไข คือ เรื่องของหลักสูตร เพื่อทำให้เกิดคุณภาพการศึกษาที่ดี
แต่การปฏิรูปการศึกษาที่ สมพงษ์ เรียกสิ่งนี้ว่าเป็นการปฏิรูปทางเอกสารซึ่งเต็มไปด้วยข้อเสนอบนหน้ากระดาษ ทำให้การปฏิรูปการศึกษาเป็นเพียงวาทกรรมที่ขาดความกล้าทางการเมืองในการผ่าตัดกระทรวงศึกษาธิการ และแก้ไขโครงสร้างทางการศึกษาทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ก็ใช่ว่าจะไม่มีผลผลิตงอกเงยเป็นรูปธรรมจากการปฏิรูปการศึกษาไทย ทัฬหวิชญ์ ได้ยกตัวอย่างผลิตผลที่ใกล้เคียงปัจจุบันที่สุด คือ ช่วงปฏิรูปการศึกษา
ปี 2552 -2561 มีการจัดตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา (กอปศ.) ที่ตั้งกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เพื่อเข้ามาจัดการปัญหาเด็กออกจากการศึกษากลางคัน ซึ่งผลที่ได้ คือ เด็กได้กลับเข้าห้องเรียนก็จริง แต่ก็ยังเป็นการกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาแบบเดิม
อีกตัวอย่าง คือ ความพยายามในการปฏิรูปการศึกษา เช่น การเกิดขึ้นของ พ.ร.บ.พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ที่เปิดพื้นที่ให้ทดลองปรับหลักสูตร และปรับการประเมิน
แต่คำถามที่สำคัญคือ ผลผลิตจากสองตัวอย่างข้างต้นได้กระทบเข้าไปที่แกนกลางโครงสร้างพัฒนาคุณภาพ โดยเฉพาะหลักสูตรการศึกษาหรือไม่
คุณภาพครู คุณภาพการศึกษา
แม้ระบบการศึกษาจะมีคุณภาพสูงเพียงใด แต่คุณภาพของครูคือหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญต่อคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียน เพราะเมื่อคุณภาพการศึกษามีปัญหา คะแนนวัดผล PISA ตก หลายสายตามักจับจ้องมาที่ “ครู”
“มันก็มีปัญหาอยู่ประมาณหนึ่ง แต่เราไม่ได้โทษครูทั้งหมด คือเรารับรู้ว่าครูต้องมีทั้งคุณภาพดีและไม่ดีอยู่แล้ว และหลายคนก็เข้าใจว่า นอกจากปัจจัยจากตัวครูเอง ยังมาจากภายนอกที่ทําให้การสอนยังไม่ดีด้วย”
ทัฬหวิชญ์ ฐิติรัตน์สกุล นักวิจัยด้านนโยบายการปฏิรูปการศึกษา TDRI
ทัฬหวิช ยังเสนอต่ออีกว่า การพัฒนาครูต้องออกแบบทั้งก่อนเป็นครู และระหว่างเป็นครู โดยควรยกเลิกการเชิญครูไปอบรมในหัวข้อเดียวกัน คล้ายกับการตัดเสื้อตัวเดียวแล้วให้ครูทั้งระบบสวมใส่ ซึ่งครูควรมีสิทธิได้เลือกว่าอยากพัฒนาตนเองในด้านไหน หรือหากอนาคต มีการเปลี่ยนหลักสูตรก็ควรมีการเตรียมครูให้พร้อมสอน ทั้งเรื่องหลักการของหลักสูตร แนวคิด วิธีการวางแผนการสอน และการประเมิน
ทางเลือกคุณภาพการศึกษา บนเส้นทางความเหลื่อมล้ำที่โอกาสไม่เคยเท่าเทียม
เมื่อคุณภาพการศึกษา กลายเป็นเรื่องที่ต้องดิ้นรน และพึ่งพาตัวเอง โรงเรียนที่มีความพร้อมทั้งด้านทรัพยากร และวิสัยทัศน์ ก็จะปรับหลักสูตรและระบบการสอน ซึ่งหมายความว่าเฉพาะผู้ปกครองที่มีฐานะเท่านั้น ที่สามารถเลือกโรงเรียนเหล่านี้ให้กับบุตรหลานของตัวเอง
ข้อค้นพบ PISA ปี2022 ยิ่งย้ำความจริงนี้ที่ทำให้เห็นว่า เด็ก 25% จากครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดสามารถทำคะแนนได้ในระดับสูงที่สุดของการทดสอบ
ในทางตรงกันข้าม หากเป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่ครูผู้สอนยังไม่ครบชั้นเรียน และยังต้องทำงานธุรการ ทรัพยากรการศึกษาก็ไม่พร้อม ซ้ำโรงเรียนยังอยู่ห่างไกล นั่นก็ยิ่งทำให้หาครูยากขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อคุณภาพการศึกษา นอกจากนี้ โรงเรียนขนาดเล็กกำลังเผชิญความท้าทายใหม่ ๆ ที่เกิดจากอัตราการเกิดที่น้อยลง ส่งผลให้จำนวนนักเรียนจะน้อยลงไปอีกในอนาคต
งานศึกษาของธนาคารโลก ได้เสนอแนวทางการจัดการคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็ก ไว้ 2 กลุ่ม
- กลุ่มแรก โรงเรียนขนาดเล็กที่อยู่ในพื้นที่ไกล และอยู่อย่างโดดเดี่ยว ในกรณีนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรักษาไว้ และต้องเติมทรัพยากรลงไปช่วย
- กลุ่มที่สอง โรงเรียนขนาดเล็กที่กระจุกรวมในพื้นที่ใกล้ ๆ กัน ให้นำมาควบรวมจะเกิดประโยชน์มากกว่า
คำถามที่เกิดขึ้นตามมาคือ จะใช้แนวทางการควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กในสถานการณ์ไหน ระหว่างต้องควบรวมเลยตั้งแต่ตอนนี้ หรือรอจนถึงวันที่โรงเรียนเหลือเด็กน้อยมาก หรือไม่เหลือเลย เพราะผลของการตัดสินใจ ย่อมส่งผลต่อคุณภาพการศึกษาอย่างแน่นอน
หากยังปล่อยให้สถานการณ์นี้เดินต่อไป ฉากทัศน์คุณภาพการศึกษาไทย คงไม่ต่างกับความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นกับประเทศนี้ การศึกษาจะกลายเป็นเรื่องที่พึ่งพาตัวเองมากขึ้น ต้องหาความรู้เอง ต้องฝึกฝนเอง ภายใต้ทรัพยากรของตัวเอง
เด็กเรียนเก่งก็จะเก่งขึ้น เช่นเดียวกับคนรวยก็จะยิ่งรวย เด็กเรียนอ่อนก็จะผลการเรียนก็จะแย่ลงเช่นเดียวกับสถานการณ์คนจนในประเทศช่องว่างระหว่างเด็กเรียนเก่ง กับเด็กเรียนอ่อนจะถ่างขยายมากขึ้น เหมือนเช่นช่องว่างรายได้ระหว่างคนรวยกับคนจน
ก่อนจะถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า รายการ Cross Talk ชวนสำรวจความคิดนโยบายการศึกษาของ 3 พรรคการเมืองใหญ่ ถึงมุมมองความคิด นโยบายในการแก้ปัญหาคุณภาพการศึกษา
พรรคภูมิใจไทย
สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่สนใจงานด้านการศึกษาของพรรค และอดีตเคยทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มองปัญหาสำคัญของการศึกษาอยู่ที่ความเหลื่อมล้ำในคุณภาพการศึกษาที่ไม่เท่ากันในแต่ละพื้นที่ จุดหมายปลายทางการศึกษาของเด็กแต่ละคนก็แตกต่างกันไป ดังนั้นการจัดการศึกษาในทัศนะของภูมิใจไทย คือความ ยืดหยุ่นและเท่าเทียม
“คุณภาพการศึกษาในแบบภูมิใจไทยหวัง คือการศึกษาที่ดีสําหรับคนทุกกลุ่ม ไม่แข็งตัวเกินไปและยืดหยุ่นพอที่จะโอบอุ้มทุกความฝันของทุกคน”
สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย

รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย สะท้อนแนวคิดดังกล่าว ผ่านตัวอย่างนโยบาย “ธนาคารหน่วยกิต” ที่เกิดขึ้นในยุคพลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ ขณะที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โดยหลักคิดของธนาคารหน่วยกิต คือ การเปลี่ยนการเรียนรู้ข้ามสาย
สิริพงศ์ อธิบายความยืดหยุ่นนี้ว่า ในโรงเรียนขยายโอกาส เมื่อเด็กจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ประมาณครึ่งหนึ่งจะเข้าสู่สายอาชีวะ อีก 10% เข้าสู่สายสามัญ ส่วนที่เหลือจะไม่ได้เรียนต่อ แต่ถ้าออกแบบให้เด็กได้เข้าเรียนบางวิชาในสายอาชีพ ในช่วงที่กำลังเรียนในโรงเรียนขยายโอกาส เมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 วิชาที่เขาเก็บได้ จะกลายเป็นแรงจูงใจหรือแต้มต่อให้เด็กอยากเรียนต่อมากขึ้น เพราะถ้าเขาเรียนต่อก็มีโอกาสที่จะจบเร็วขึ้น
เช่นเดียวกับอีกนโยบายที่ใช้หลักการยืดหยุ่นทางการศึกษาเข้ามาจับ คือ 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ
- เรียนในระบบธรรมดา
- เรียนตามตามความสะดวก เช่น ถ้าเด็กสะดวกที่จะมารับใบงานก็สามารถทำได้
- เรียนตามอัธยาศัยหรือตามความถนัดของเด็กเรียนตามข้อจํากัดของเด็ก เช่น เด็กอาจจะต้องแวะเรียนมาโรงเรียนหรือทํากิจกรรมบ้าง เพราะ ณ ช่วงเวลาหนึ่งช่วงวัยนึงเขาอาจจะไม่พร้อมในการเรียน แต่ไม่ได้หมายความว่าทั้งชีวิตจะหมดโอกาส
พรรคเพื่อไทย
เทอดชาติ ชัยพงษ์ รองประธานคณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร ยอมรับว่าแนวนโยบายด้านการศึกษาของพรรคที่ผ่านมา อาจยังไม่ชัดเจนมากนัก เพราะพรรคมุ่งเน้นด้านนโยบายเศรษฐกิจ เพราะเชื่อว่า ถ้าปากท้องดี จะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพคนและด้านอื่น ๆ
“เรื่องของเศรษฐกิจเป็นเรื่องสําคัญ เพราะว่าเศรษฐกิจเป็นตัวสนับสนุนที่ทําให้เกิดองคาพยพต่าง ๆ ก็เลยต้องยึดระบบเศรษฐกิจ เพื่อที่จะสร้างฐานรากที่เข้มแข็ง และไปสู่การพัฒนาคุณภาพของของคนและด้านอื่น ๆ ซึ่งจําเป็นต้องทําเร่งด่วนเพราะความยากจน หนี้สินของประชาชนต่าง ต้องแก้ไขก่อนอันดับแรก” เทอดชาติ ชัยพงษ์ รองประธานคณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร

อย่างไรก็ตาม เทอดชาติ ได้อธิบายถึงแนวคิดการผลักดันนโยบายการศึกษาว่า หัวใจการศึกษา คือ “ผู้เรียน” โดยมีครูที่จะต้องได้รับการยกระดับมาตรฐานวิชาชีพ และมีทรัพยากรที่พร้อมให้หน่วยบริหารการศึกษาได้มีอำนาจจัดการเอง ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ใน ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ที่กำลังรอเข้าสภา
“สิ่งที่เจอมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันคือเรา input ทรัพยากรให้ไม่เท่ากัน เราให้โอกาสในการเรียนรู้ที่ไม่เท่ากัน จึงเกิดความเหลื่อมล้ำมาตั้งนาน ถ้าเราลดงบประมาณส่วนกลางแล้วเอาไปช่วยให้มีงบประมาณสําหรับการพัฒนาคุณภาพตามขนาดของโรงเรียน ไม่ใช่ทําเอง มันไม่ใช่ ไม่ตอบโจทย์”
เทอดชาติ ชัยพงษ์ รองประธานคณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร
พรรคประชาชน
ในส่วนพรรคประชาชน พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคประชาชน มองว่าความถดถอยของคุณภาพการศึกษา มีสาเหตุมาจาก ความไม่มีประสิทธิภาพของทั้งระบบ
พริษฐ์ ขยายความโดยเริ่มที่หลักสูตรการศึกษา โดยมองว่าตัวหลักสูตรไม่สามารถเปลี่ยนความขยันของนักเรียนให้เป็นทักษะที่แข่งกับนานาชาติได้ ทั้ง ๆ ที่ นักเรียนไทยใช้เวลาเรียนในห้องเรียนมากเป็นลำดับต้น ๆ ของโลก ในขณะที่ภาระงานครูในแต่ละวัน หมดไปกับสิ่งที่ไม่ใช่การสอนหนังสือ
แม้แต่งบประมาณในปีนี้ มีถึง 15 จังหวัด ที่มีการของบก่อสร้างอาคารสำนักงาน ทั้ง ๆ ที่ ในอนาคตเมื่อ พรบ.การศึกษาฉบับใหม่คลอด อาจจะมีการทบทวนการทํางานระหว่างศึกษาธิการจังหวัดเขตพื้นที่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นชัดว่า แม้ว่างบกระทรวงศึกษาธิการสูงเป็นอันดับต้น ๆ แต่ยังมีหลายส่วนที่อาจจะถูกใช้ไปกับสิ่งที่ไม่ได้ส่งผลต่อการเรียนการสอน
ดังนั้น การจะทำให้เกิดประสิทธิภาพในระบบการศึกษา อาจต้องกลับไปที่คำถามว่า เราจัดการศึกษาไปทำไม

พริษฐ์ ขยายความว่า การศึกษาที่ควรจะเป็นต้องตอบโจทย์เรื่องทักษะที่ต้องใช้ในการประกอบอาชีพกับการใช้ชีวิต นอกจากนี้ การศึกษายังต้องทำหน้าที่เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กได้ค้นหาตัวเอง และสุดท้ายการศึกษาต้องสร้างให้เด็กเติบโตขึ้นมาเป็นพลเมืองที่มีส่วนร่วมในสังคม ซึ่งพรรคประชาชน กำลังจัดทำนโยบายให้มากไปกว่าการตอบคำถามว่า “ทำอะไร” “ทำไมต้องทำ” ภายใต้หลักคิด ให้คนที่ใกล้ชิดกับปัญหามีอํานาจในการตัดสินใจให้มากที่สุด
“ตอนปี 66 ผมคิดว่าเราประกาศนโยบายค่อนข้างชัดเจนว่าเราอยากจะทําอะไร และเพราะอะไรคือ what กับ why แต่ผมว่าสิ่งที่ประชาชนจะเห็นก่อนการเลือกตั้งครั้งถัดไปคือ how กับ who คือไม่เพียงแต่ว่าจะจัดทําหลักสูตรใหม่เพราะอะไร แต่จะจัดทําอย่างไร โรดแม็ปของเราจะเป็นยังไง จะใช้เวลากี่ปีทําการทําขั้นตอนไหนจะต้องปรับปรุงระเบียบฉบับไหนไหม ปรับปรุงอย่างไร รวมไปถึงว่าเราจะมีทีมบุคลากรกลุ่มไหนที่จะเข้ามาขับเคลื่อนนโยบายตรงนี้”
พริษฐ์ วัชรสินธุ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาชน
ทั้ง 3 พรรคการเมืองอาจมีเป้าหมายเดียวกัน แต่มีจุดเน้นในนโยบายการศึกษาที่แตกต่างกัน ซึ่ง ณ เวลานี้ คงเป็นการยากที่จะตัดสินว่า นโยบายของพรรคไหนที่จะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับระบบการศึกษาไทยได้มากกว่ากัน
แต่ในทัศนะ ทัฬหวิชญ์ ให้มุมมองในการทำนโยบายพัฒนาการศึกษาไว้ว่า อยากให้พรรคการเมืองกลับมาดูข้อมูล มองให้เห็นสถานการณ์คุณภาพการศึกษาว่าเป็นอย่างไร จากนั้นให้รู้สึกกับข้อมูล แล้วเปลี่ยนความรู้สึกนั้นเป็นสิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลง เพื่อให้มองให้เห็นแนวโน้มความเป็นไปได้ ทำอย่างไรให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
“ผมไม่เชื่อว่ามีหลักสูตรที่ดีที่สุดตายตัว แต่ถ้าใช้แล้วก็ทดลองใช้จริงดู แล้วก็ปรับระบบต่าง ๆ ให้เอื้อต่อการทําหลักสูตรใหม่ หลังจากนั้น ผมอยากให้เกิดกระบวนการที่นําข้อมูลมาดูแล้ววิเคราะห์ต่อว่าทําแล้วมันดีขึ้นหรือเปล่า แล้วก็นํามาปรับระบบต่อ”
ทัฬหวิชญ์ ฐิติรัตน์สกุล นักวิจัยด้านนโยบายการปฏิรูปการศึกษา TDRI
มากไปกว่าเรื่องหลักสูตรการศึกษา ที่เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของเด็กไทย อย่างที่เป็นจุดร่วมของทั้ง 3 พรรคการเมืองแล้ว หากการรื้อหลักสูตรที่กำลังพยายามกันอยู่ในขณะนี้ ดำเนินการบนโจทย์ปัญหาที่หลายฝ่ายเห็นร่วมกันแล้ว ก็คงต้องชวนคิด ชวนคุยกันต่อว่า ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษา ทั้งระบบจะนำมาใช้อย่างไร ให้แสดงผลลัพธ์เป็นคุณภาพของเด็กอย่างที่ควรเป็น
ทุกคนย่อมยอมรับว่าการศึกษา คืออนาคตของประเทศไทย ทุกพรรคการเมืองต่างก็มีนโยบายที่มีเป้าหมายเดียวกัน ที่ต้องการยกระดับคุณภาพของการศึกษาไทย แต่คำถามที่ใหญ่ที่สุดก็คือ

