หัวเลี้ยวหัวต่อ พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ‘ผู้ก่อมลพิษ’ จะเป็นผู้จ่ายได้ไหม ?

“ถ้าตัดกองทุนอากาศสะอาดออก หลักการ ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย มันจะล้มเหลว”

เป็นประโยคสำคัญที่ รศ.วิษณุ อรรถวานิช หนึ่งใน กมธ.อากาศสะอาดฯ ย้ำในมุมมองนักเศรษฐศาสตร์ หลังจากที่ ร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศ พ.ศ. … หรือ พ.รบ.อากาศสะอาดฯ อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ ของการพิจารณาวาระ ที่ 2 และ 3 ในสภาผู้แทนราษฎร

เพราะไม่ใช่เพียงแค่การพิจารณากฎหมายที่คืบหน้าไปอย่างช้า ๆ เนื่องจากโดนเล่นเกม นับองค์ประชุม จนเป็นเหตุให้องค์ประชุมไม่ครบ และ สภาล่ม ไปก่อนหน้านี้ แต่ยังมีความกังวลที่ใหญ่กว่านั่นคือ กองทุนอากาศสะอาด ซึ่งอยู่ในหมวด 6/1 มีผู้เสนอให้ “ตัดออก” เพราะหวั่นกระทบกับกฎหมายการเงินการคลัง

นิทรรศการ “จมูก ดูดฝุ่น” พร้อมข้อมูลความรู้เกี่ยวกับรายละเอียดในร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ที่จัดขึ้น ณ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ (สถานีกลางบางซื้อ) จึงเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์คู่ขนาน จึงไม่ใช่แค่ต้องการให้ประชาชน เข้าใจใน สิทธิอากาศสะอาด แต่ยังเป็นการส่งเสียงถึง ผู้มีอำนาจโหวต ในสภาฯ ให้เร่งผ่านกฎหมายฉบับนี้โดยไม่ตัดเครื่องมือสำคัญทิ้ง

“เมื่อกฎหมายไร้กองทุนอากาศสะอาด… : อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง?” คือหัวข้อเสวนาที่ชวนหลายภาคส่วนมาพูดคุย พร้อมตอกย้ำ “สิทธิอากาศสะอาด” คือ “สิทธิมนุษยชนสิ่งแวดล้อม” โดยการที่กฎหมายจำเป็นต้องมี กองทุนอากาศสะอาด เป็นหัวใจสำคัญ 

สิทธิอากาศสะอาด คือ สิทธิมนุษยชน

สิทธิในอากาศสะอาด คือ หนึ่งสิทธิสำคัญที่ถูกระบุไว้ใน ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด โดย ภาณุพันธ์ สมสกุล ที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ อธิบาย ว่า สิทธิในอากาศสะอาด คือ สิทธิมนุษยชน แล้วจะทำอย่างไรให้ได้ทำหน้าที่ของรัฐที่จะทำให้สิทธิมนุษยชนเข้าไปถึงประชาชน ? ซึ่ง หน้าที่ของรัฐ คือ การปกป้อง คุ้มครอง ส่งเสริม และทำให้สิทธินั้นเกิดขึ้นได้จริง

ปัญหา มลพิษทางอากาศ มาจากหลายแหล่ง ผลกระทบที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เฉพาะมิติสุขภาพ แต่ยังมีมิติทางสังคม เศรษฐกิจ ดังนั้นสิ่งที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมองเห็นความสำคัญของกฎหมายนี้คือ เรื่องนี้เป็นสิทธิมนุษยชน และเคยเสนอไปยังสภาผู้แทนราษฎร ว่า จะต้องผลักดันหรือสนับสนุน ขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดกลไกในระดับประชาชน ที่จะได้รับสิทธิ์เรื่องของการเยียวยา คือ กองทุนอากาศสะอาด นั่นเอง

เมื่อเกิดปัญหามลพิษทางอากาศ ประชาชนที่ได้รับผลกระทบมักเป็นกลุ่มแรกที่ต้องเผชิญความเดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสุขภาพ เศรษฐกิจ หรือคุณภาพชีวิตที่ถดถอยลง แต่ในทางปฏิบัติ กลไกเยียวยา ที่จะช่วยบรรเทาความเสียหายเหล่านี้กลับยังไม่ชัดเจน

ภาณุพันธ์ ยังอธิบายว่า ปัจจุบันประเทศไทยยังคงใช้กลไกของหน่วยงานรัฐแบบเดิมเพื่อจัดการปัญหา หากเจ็บป่วยก็ต้องไปหาหมอ หากได้รับผลกระทบก็ต้องไปร้องเรียนตามหน่วยงานต่าง ๆ ส่วนมาตรการชดเชย เยียวยา หรือการป้องกันภัยจากมลพิษ ประชาชนยังต้องพึ่งพาตนเองเป็นหลัก ขณะที่กลไกรัฐก็ยังขาดประสิทธิภาพและความชัดเจนในการรองรับปัญหาที่ซับซ้อนและเกิดซ้ำซาก

“แม้จะมีกฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ เช่น พ.ร.บ.สาธารณสุข, พ.ร.บ.โรงงาน หรือ พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม แต่ในทางปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุการณ์จริง ประชาชนกลับไม่สามารถเข้าถึงระบบชดเชย ฟื้นฟู หรือเยียวยาที่เป็นรูปธรรมได้ การแก้ไขปัญหาจึงวนกลับไปสู่จุดเดิม คือ การรับภาระไว้ที่ประชาชนเอง”

ภาณุพันธ์ สมสกุล

ดังนั้นเห็นควรว่า กฎหมายอากาศสะอาด ควรมี กองทุนอากาศสะอาด เป็นกลไกสำคัญทางเศรษฐศาสตร์ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในระบบ โดยยึดหลัก ผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย (Polluter Pays Principle – PPP) เพื่อนำมาใช้ในการป้องกัน ฟื้นฟู และเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษทางอากาศอย่างแท้จริง และควรมีหน่วยงานบริหารจัดการที่เป็นธรรม เนื่องจากรูปแบบของมลพิษมีความหลากหลาย อาจมีปัญหามลพิษรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จำเป็นต้องศึกษาออกมาตรการป้องกันที่สอดคล้องกับบริบทพื้นที่ เพื่อให้การคุ้มครองสิทธิของประชาชนต่อการมีอากาศสะอาด เป็นสิทธิที่เกิดขึ้นได้จริง

รศ.คนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม นายกสมาคมเครือข่ายอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพ และ รองประธาน กมธ.อากาศสะอาดฯ เสริมว่า หลักผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย หากคนก่อไม่ได้จ่าย แต่กลายเป็นคนทั้งประเทศต้องมาจ่ายแทน ก็จะสร้างความไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง ความไม่เป็นธรรมนี้ก็จะเป็นการบ่อนทำลายสังคม กลไกนี้จำเป็นต้องทำให้เกิดขึ้นจริง หากไม่มีกองทุนอากาศสะอาด มีเพียงสิทธิที่เขียนเอาไว้ลอย ๆ ก็จะไม่เกิดผลอะไร

สอดคล้องกับ ดนัยภัทร โภควณิช สมาคมเครือข่ายอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพ และ กมธ.อากาศสะอาดฯ ย้ำถึง เนื้อหาสำคัญของกฎหมายอากาศสะอาด ให้ความสำคัญกับ สิทธิ โดยยึดโยงกับหลักการสากลด้านสิทธิมนุษยชนสิ่งแวดล้อม ซึ่งองค์การสหประชาชาติ (UN) มีมติรับรองให้ สิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดี เป็นสิทธิมนุษยชนประเภทหนึ่ง และได้รับการยอมรับจากทั่วโลก

โดยเครือข่ายอากาศสะอาด ได้ดำเนินการยกร่างกฎหมายฉบับประชาชน โดยนำเอาหลักการเรื่องสิทธิมนุษยชนสิ่งแวดล้อมมาใช้ตั้งแต่ต้น และ ร่างกฎหมายอากาศสะอาดทั้ง 7 ฉบับ ที่เข้าสู่ชั้น กมธ. มีการหารือถึงกรอบแนวคิดสำคัญในหมวด สิทธิในสิ่งแวดล้อม ที่ต่อยอดมาสู่ สิทธิในอากาศสะอาด ซึ่งปรากฏอยู่ในหมวด 1 ส่วนที่ 1 ของร่างกฎหมาย และถือเป็นครั้งแรกที่กฎหมายในระดับพระราชบัญญัติของไทยบรรจุ สิทธิ ไว้อย่างชัดเจนตั้งแต่ต้น

“สิทธิในอากาศสะอาด ตามนิยามในกฎหมาย หมายถึง สิทธิของบุคคล ชุมชน และประชาชนในการดำรงชีวิตด้วยอากาศที่สะอาด ปราศจากผลร้ายต่อสุขภาพ ไม่เสียชีวิตก่อนวัยอันควร และไม่กระทบต่อการประกอบอาชีพ ครอบคลุมทุกมิติ โดยเฉพาะการคุ้มครอง กลุ่มเปราะบาง ได้แก่ เด็ก สตรีมีครรภ์ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ และผู้ประกอบอาชีพกลางแจ้ง”

“กลุ่มเปราะบางเหล่านี้ มีสิทธิที่จะได้รับการตรวจโรคที่เกิดจากมลพิษทางอากาศ และมีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลจากรัฐ หรือสถานพยาบาลที่ได้รับมาตรฐานของโรงพยาบาลรัฐ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย”

ดนัยภัทร โภควณิช

นอกจากสิทธิด้านสุขภาพแล้ว กฎหมายยังระบุ สิทธิในเชิงกระบวนการ อีก 3 ประการ ได้แก่

  1. สิทธิที่จะรับรู้ข้อมูลที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น ข้อมูลคุณภาพอากาศ ดัชนีคุณภาพอากาศ และข้อมูลการดำเนินการของรัฐในการแก้ไขปัญหา

  2. สิทธิในการมีส่วนร่วมของประชาชน

  3. สิทธิในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อม

อย่างไรก็ตาม ดนัยภัทร ก็ยังตั้งข้อสังเกตว่า “หากไร้ซึ่งกองทุนอากาศสะอาด ซึ่งหมายถึงเงินงบประมาณในการขับเคลื่อนสิ่งเหล่านี้ สิทธิเหล่านี้ก็ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้เลย”

ตัด กองทุนอากาศสะอาด = ตัด เครื่องมือแก้อากาศพิษ

รศ.คนึงนิจ ยังตั้งคำถามต่อว่า หากไม่มีกองทุนอากาศสะอาดแล้วจะเอาเงินมาจากไหน ไปใช้ในการเยียวยาผู้เสียหาย ผู้ได้รับผลกระทบทางสุขภาพจากมลพิษทางอากาศ พร้อมชี้ว่า การพูดถึงสิทธิหรือการเขียนกฎหมายให้สิทธิเหล่านี้ไว้เป็นเพียงถ้อยคำที่ สัมผัสไม่ได้ หากไม่มีงบประมาณรองรับอย่างเป็นธรรม

“พูด เขียนทุกสิ่งอย่างในกฎหมาย แต่ตัดกองทุนแล้วเอากองทุนอื่นที่ไม่เป็นธรรมมาใส่แทน การตัดกองทุนออกไปนั้น กระทบสิทธิอย่างรุนแรง สิ่งใดที่ถูกกำหนดให้เป็นสิทธิ เมื่อนั้นคือหน้าที่ของรัฐ และในกฎหมายสมัยใหม่ นิยมกำหนดสิทธิไว้ตั้งแต่ต้น เพื่อให้เกิด หน้าที่ของรัฐ ที่ชัดเจนต่อการคุ้มครองสิทธินั้น ๆ”

รศ.คนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม

สิทธิในการ ‘รับรู้’ ความเสี่ยงต่อสุขภาพ

หากกองทุนอากาศสะอาด ถูกตัดออกไป หน้าที่ของรัฐในการคุ้มครองสิทธิประชาชนจะสามารถดำเนินการได้อย่างสมบูรณ์หรือไม่ ? และการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจของประชาชนเกี่ยวกับสิทธิในอากาศสะอาดจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ หากไม่มีงบประมาณรองรับจากกองทุนดังกล่าว ?

รศ.สุวิมล กาญจนสุธา อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยมหิดล เล่าในมุมของนักวิชาการที่ทำข้อมูลดัชนีคุณภาพอากาศที่มีผลต่อสุขภาพ (AQHI) ซึ่งบรรจุอยู่ในร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาดฯ โดยระบุว่า ข้อดีของการที่ประชาชนได้รับข้อมูลส่วนนี้ คือ ทำให้รู้ว่าความเสี่ยงต่อสุขภาพที่อยู่ในสภาวะอากาศ หรือสภาพอากาศในพื้นที่เป็นอย่างไร จากเดิมที่เราทราบเพียงว่าคุณภาพอากาศของเรา ณ วันนี้เป็นอย่างไร

การให้คำแนะนำและแนวทางปฏิบัติตัวต่อประชาชน ซึ่งขณะนี้ได้นำร่องดำเนินการที่กรุงเทพมหานครแล้ว เนื่องจากมีสถานีตรวจวัดจำนวนมาก เพราะการรายงานค่า AQHI จำเป็นต้องรู้ค่า AQI ก่อน แล้วเชื่อมโยงกับข้อมูลสุขภาพของคนในพื้นที่

หัวใจสำคัญคือ การพัฒนานวัตกรรม ซึ่งต้องใช้งบประมาณ โดยรัฐต้องทำหน้าที่ในส่วนนี้ เพื่อให้ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ เพื่อให้สามารถตัดสินใจในการออกไปใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม

“ผู้สูงอายุอยากจะออกไปจ็อกกิ้งตอนเช้า เมื่อก่อนเราจะบอกว่าหน้าหนาวเป็นช่วงอากาศดี ควรออกกำลังกายตอนเช้า เราควรเข้าถึงข้อมูลก่อนดีไหม ว่าคุณภาพอากาศของเราวันนี้เป็นอย่างไร และมีความเสี่ยงต่อสุขภาพอยู่ในระดับไหน เราจะได้ใช้ชีวิต หรือเลือกปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้อง” 

รศ.สุวิมล กาญจนสุธา

นอกจากดัชนีชี้วัดคุณภาพอากาศ ยังมีมาตรฐานคุณภาพอากาศ การเฝ้าระวัง และการแจ้งเตือน ซึ่ง กัญญารัตน์ โคตรภูเขียว ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทางกฎหมายและการบริการวิชาการ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ย้ำว่า ต้องมี ระบบฐานข้อมูล ที่จะต้องครอบคลุมทุกพื้นที่และทุกแหล่งกำเนิดมลพิษ ไม่ว่าจะเป็นภาคอุตสาหกรรม คมนาคม ป่าไม้ เกษตรกรรม เมือง มลพิษข้ามแดน หรือภาคส่วนอื่น ๆ แต่การจัดทำฐานข้อมูลขนาดใหญ่นี้จำเป็นต้องใช้งบประมาณ หากไม่มีกองทุนอากาศสะอาด ก็เป็นคำถามสำคัญว่า รัฐจะนำเงินจากที่ไหนมาดำเนินการ

เธอ ยังระบุว่า รัฐควรจัดทำนโยบายที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ เช่น การตั้งคณะกรรมการอากาศสะอาดจังหวัด เพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการระดับจังหวัดที่ครอบคลุมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเกษตรกร ไปสู่กระบวนการผลิตที่ลดความเสี่ยงต่อการเกิดมลพิษทางอากาศ

“กฎหมายไม่ได้ห้ามเกษตรกรไม่ให้เผา แต่รัฐต้องมีมาตรการช่วยเหลือให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ไปสู่การทำเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เพราะหากไม่มีการสนับสนุนจากรัฐ พฤติกรรมก็ยากจะเปลี่ยน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงมีต้นทุน”

กัญญารัตน์ โคตรภูเขียว

กองทุนอากาศสะอาดจึงมีความสำคัญ เพราะได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า จะให้การสนับสนุนและอุดหนุนกิจกรรม หรือโครงการที่ช่วยป้องกันและควบคุมมลพิษทางอากาศจากแหล่งกำเนิด รวมถึงภาคเกษตรกรรมด้วย นอกจากนี้ รัฐยังมีหน้าที่จัดให้ประชาชนสามารถเข้าถึงความยุติธรรม ทั้งในด้านการฟ้องร้องดำเนินคดี และการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษทางอากาศ โดยมีกองทุนอากาศสะอาดเป็นกลไกสำคัญที่จะเข้ามาช่วยสนับสนุนในส่วนนี้

ความต่าง กองทุนอากาศสะอาด vs กองทุนสิ่งแวดล้อม

ทำไม ? มลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้นแก้ไม่ได้ แม้จะมีแผนปฏิบัติการมีตั้งแต่ปี 2562 จากคำถามนี้ รศ.วิษณุ อธิบายคำตอบว่า เป็นเพราะ

“ช้า
กระจาย
ไม่ต่อเนื่อง
ผู้ก่อมลพิษไม่ได้ร่วมจ่าย
ผู้ได้รับผลกระทบไม่ได้รับพลังในการต่อสู้”

  • ช้างบประมาณ ต้องขอกันข้ามปี เช่น กองทุนสิ่งแวดล้อม ต้องเขียนโครงการขอและต้องผ่านการพิจารณา ทำให้กว่าจะได้เริ่มแก้ปัญหาต้องใช้เวลา แต่มลพิษทางอากาศมาเร็วไปเร็ว การใช้งบประมาณรายปีมาแก้ปัญหารายสัปดาห์ไม่ทันการณ์

  • กระจาย”มีหลายหน่วยงานที่ได้รับงบฯ บางครั้งมีความซ้ำซ้อน วัดผลการใช้งบประมาณไม่ได้ เมื่อรวม ก็จะทำให้สามารถตรวจสอบความซ้ำซ้อน โปร่งใส

  • ไม่ต่อเนื่องปีนี้ได้งบฯ ถ้าปีหน้าไม่ได้ ทำให้การแก้ปัญหาหยุดชะงัก โดยเฉพาะการแก้ปัญหาปรับพฤติกรรมผู้ก่อมลพิษ เช่น ภาคเกษตรต้องทำอย่างต่อเนื่อง และใช้เวลาเปลี่ยนผ่านราว 3-5 ปี 

  • ผู้ก่อมลพิษ ไม่ได้ร่วมจ่าย – ยกตัวอย่าง กองทุนสิ่งแวดล้อมที่พึ่งพางบประมาณแผ่นดินเป็นหลัก เอาเงินจากภาษีประชาชนไปช่วยผู้ก่อมลพิษ โรงงานที่ปล่อยมลพิษไม่ได้มีส่วนร่วมจ่าย โดยในมุมทางเศรษฐศาสตร์ เชื่อว่า ภาคเอกชน มีเป้าหมาย คือ การสร้างกำไรสูงที่สุด และลงทุนน้อยที่สุด ทำให้เขาไม่อยากลงทุนกับบำบัด จำเป็นต้องมีกฎหมายและแรงจูงใจให้ผู้ก่อมลพิษมีส่วนร่วมจ่าย ซึ่งหลักการของกองทุนอากาศสะอาด จะเอาเงินไปช่วยเหลือผู้ก่อมลพิษในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

  • ผู้ได้รับผลกระทบถ้าไม่มีกองทุนก็ไร้พลังในการต่อสู้ การมีเงินให้กับผู้ได้รับผลกระทบก็เป็นหลักการที่มี กองทุนอากาศสะอาด จึงเป็นการตอบโจทย์ ความยุติธรรมทางอากาศสะอาด 

รศ.คนึงนิจ ก็ย้ำว่า เวลาจะแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่เพียงแค่ ลงมือแก้ โดยไม่มองผลกระทบ เพราะในบางครั้งการแก้ปัญหาหนึ่งอาจทำให้ “อีกคนหนึ่งซวยมากกว่าเดิม” การแก้ปัญหาใด ๆ ก็ตาม จึงต้องทำควบคู่ไปกับการสร้างความเป็นธรรมในสิ่งที่กำลังแก้ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือ ต้องไม่ก่อให้เกิด ความไม่ยุติธรรมซ้ำรอย ดังนั้น กองทุนอากาศสะอาดจึงเป็นคำตอบที่สอดคล้องกับหลัก ความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อม

“ถ้าพูดให้เฉพาะเจาะจงกับกรณีอากาศสะอาด ก็ถือว่าเป็นเรื่องของ ความยุติธรรมทางอากาศ หรือ Clean Air Justice ซึ่งหมายความว่า ถึงเวลาที่เราต้องหยุดให้คนที่เคยลอยนวล คนที่เคยก่อมลพิษไว้ให้พวกเราต้องตายก่อนวัยอันควร เป็นมะเร็งปอดทั้งที่ไม่สูบบุหรี่ ทุกวันนี้เรามีคนเสียชีวิตจากสาเหตุนี้เป็นรายวัน นับเป็นหลักร้อย”

“ดังนั้น เมื่อเหตุเกิดในบ้านใคร บ้านนั้นก็ต้องทุ่มเททรัพยากรเพื่อรักษาและเยียวยา แต่สุดท้ายก็อาจไม่รอดอยู่ดี เพราะมะเร็งปอดในผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ ตามหลักสาธารณสุขถือว่าเป็นโรคที่ตรวจพบได้ยาก กว่าจะรู้ตัวก็มักเข้าสู่ระยะสุดท้าย ไม่ได้พูดเพื่อให้กลัว แต่เพื่อให้รู้ว่า ใครควรรับผิดชอบ ดังนั้น หากตัดกองทุนที่ถูกต้องตามหลักการและหลักความยุติธรรมออกไปจากกฎหมายนี้ จะเกิดผลอย่างไรต่อสังคม ก็เป็นเรื่องที่ต้องคิดให้รอบคอบ”

รศ.คนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม

ตัด กองทุนอากาศสะอาด = อำมหิต สร้างหายนะประเทศ

ขณะที่ สาวิทย์ แก้วหวาน ประธานสมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย มองว่า “สังคมไทยเป็นอะไรที่แปลก ถ้าเหตุไม่เกิดเฉพาะหน้า หรือถูกกระทำก็จะไม่คิดกัน ดังสุภาษิตโบราณว่า ชาติคางคกยางหัวไม่ตกไม่รู้สำนึก”

อย่างเรื่อง อากาศสะอาด เรามักพูดถึงช่วงที่ฝุ่นสูง ติดตามค่าอากาศ ทำได้แค่นี้หรือ ? เช่นเดียวกับเรื่องน้ำท่วม ที่ให้ประชาชนยกของขึ้นที่สูง มีกระบวนการในการจัดการอะไรที่มากกว่านี้ไหม โดยเฉพาะอากาศที่ปลายจมูก และอากาศไม่เลือกคน ดังนั้น สิ่งที่กำลังทำเป็นไปเพื่อประโยชน์ของทุกคน เป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็น

เขายกตัวอย่าง กรณี บ้านหนองพะวา อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ที่ได้รับผลกระทบจาก บริษัท วินโพรเสส ประชาชนในพื้นที่อยู่ไม่ได้ ต้องอพยพออกไปอยู่นอกพื้นที่ ขณะที่กระบวนการจัดการนำสารเคมีออกจากพื้นที่ยังทำไม่ได้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม บอกว่า ไม่มีงบประมาณ 4.9 ล้านบาทในการขนย้าย ก็ต้องรอ งบกลาง สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญในกฎหมายนี้ ที่ต้องมีกองทุนอากาศสะอาด “คือมันต้องลงทุนแต่ไม่มีใครอยากลงทุนในสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดผลกำไร”

หรืออีกกรณีที่ บ้านหม่องกั๊วะ ตำบลแม่จัน อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก เป็นกะเหรี่ยงที่ทำไร่ ที่ไม่รู้ว่าจะจัดการวัสดุทางการเกษตรอย่างไร เพราะเผาก็ถูกจับ เขาบอกว่าไม่เผาก็ได้ แต่เอาอะไรมาช่วยหน่อยได้ไหม เขาพร้อมที่จะทำตาม ที่รัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐบอก ซึ่งตอนนี้ทำได้เพียงการจัดวันเผา แต่ด้วยระยะเวลาการเพาะปลูก ฤดู ที่มีความเกี่ยวข้องกันการไปจำกัดเวลาเผาก็จะเป็นเรื่องยาก ได้นำเรื่องราวในกฎหมายหมายอากาศสะอาดไปเล่าให้ฟังเขาก็พึงพอใจและอยากให้มีกฎหมายนี้ ซึ่งกระบวนการอย่างนี้จะเกิดไม่ได้หากขาดกองทุนอากาศสะอาด

“เรื่องอากาศสะอาดเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องการ เพราะความเจ็บป่วยไม่ได้มาแล้วก็ไป มันสะสมในร่างกาย เกิดเป็นความเจ็บป่วย ถ้าเราไม่มีกระบวนการจัดการอากาศสะอาดอย่างเพียงพอสิ่งที่เราพูดกันอยู่ก็จะหายไปทันที”

สาวิทย์ แก้วหวาน 

จึงขอยืนยันว่า กฎหมายฉบับนี้ ถ้าตัดกองทุนออกไปเราจะเห็นเพียงแค่กระดาษเปื้อนหมึกเท่านั้น จะไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นและเหมือนกฎหมายทั่วไป ที่มีไว้เพียงแค่มี ไม่มีการกระบวนการจัดการอะไร

“สุดท้ายก็กลับมานั่งดูว่า วันนี้ฝุ่น PM 2.5 สูง ที่ไหน ประชาชนก็ต้องเสี่ยงทุกวัน ป้องกันก็ทำได้แค่ซื้อหน้ากาก ก็เป็นเงินของประชาชนอีก ดังนั้นกองทุนอากาศสะอาดจึงสำคัญมาก ใครตัดกองทุนตัวนี้ไปถือว่าอำมหิต สร้างหายนะให้กับประเทศ

สาวิทย์ แก้วหวาน 

ในมุมกฎหมาย รศ.คนึงนิจ ก็ย้ำว่า กองทุนอากาศสะอาดไม่ได้ขัดกับกฎหมายไหน ไม่ได้ขัดกับ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง กฎหมายที่อ้างตนว่าขัดอาจจะขัดรัฐธรรมนูญเสียเอง 

กระบวนการยุติธรรมยาวนาน ปัญหามลพิษต้องแก้ทันที

ที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ยังระบุด้วยว่า เมื่อเกิดกรณีมลพิษและมีการร้องเรียน หน่วยงานรัฐสามารถดำเนินการปรับผู้กระทำผิดตามกฎหมายได้ แต่เงินค่าปรับเหล่านั้นกลับเข้าสู่งบประมาณแผ่นดิน ขณะที่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากมลพิษ ทั้งในแง่สุขภาพและผลสะสมระยะยาว กลับไม่สามารถเข้าถึงเงินส่วนนี้เพื่อการเยียวยาได้โดยตรง

แม้ประชาชนจะสามารถฟ้องร้องผ่านศาลยุติธรรม ศาลสิ่งแวดล้อม หรือศาลปกครองได้ แต่กระบวนการเหล่านี้มักใช้เวลายาวนาน กว่าความยุติธรรมจะมาถึง ผู้ได้รับผลกระทบก็ต้องเผชิญความเสียหายไปก่อน จึงเกิดคำถามว่า ถึงเวลาหรือยังที่ ปัญหาสิ่งแวดล้อม ควรได้รับการเยียวยาอย่างรวดเร็ว

โดยเฉพาะในกรณีมลพิษที่เกิดขึ้นเป็นฤดูกาล หรือมลพิษข้ามพรมแดน มาตรการของรัฐควรออกแบบให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการช่วยเหลือได้จริงและรวดเร็ว หนึ่งในแนวทางสำคัญคือ กองทุนอากาศสะอาด ที่จะทำให้เกิดระบบเยียวยาที่ครอบคลุม และสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้ทันท่วงที ทางแก้คือ ต้องให้ผู้ก่อมลพิษ ดำเนินการลดการปล่อยมลพิษให้น้อยที่สุด 

‘กองทุนอากาศสะอาด’ สำคัญในช่วงเปลี่ยนผ่าน ไม่ซ้ำซ้อน กองทุนที่มีอยู่  

มีการตั้งคำถามว่าเงินที่นำมาเข้ากองทุนจะมาจากไหน ?

มีการอ้างเกษตรกรรายเล็กรายน้อย จะเป็นการทำร้ายเกษตรกรหรือไม่ ?

รศ.วิษณุ ให้ความชัดเจนประเด็นนี้ ว่า เรามีการเผาจริงในภาคเกษตรกร แต่ก็ไม่ใช่เกษตรกรทุกคน เมื่อกางสถิติดูมีพืช 3 ชนิด ที่มีการเผาอย่าง ข้าว ข้าวโพด อ้อย แต่ก็ไม่ใช่ 100% ของเกษตรกรทุกคน หากเจาะดูจริง ๆ สัดส่วนของการเผาก็มี อย่างข้าวนาปรัง ก็อยู่ที่ 20-30% อ้อยที่มีการรายงานประมาณ 15% สิ่งที่มาคิดต่อกันก็คือเกษตรกรหากเผาเกิดมลพิษทางอากาศ ซึ่งจะต้องช่วยเหลือด้วยไม่ใช่เพียงบอกว่าเกษตรกรจะถูกปรับ

ดังนั้นกลไกของกองทุนจึงสำคัญมาก คือ การช่วยเหลือเปลี่ยนผ่าน เรามีกองทุนจากผู้ก่อมลพิษ ซึ่งอาจจะเป็นผู้ก่อรายใหญ่ โดยหลักของการเก็บเราไม่ได้เก็บจากทุกคน จะมีการกำหนดกฎเกณฑ์ ซึ่งต้องดูหลักความเท่าเทียมในหลายมิติ 

“การให้เงินช่วยเหลือแบบมีเงื่อนไข เพื่อให้เกิดการปรับตัว ท่านใดอยากปรับตัวเราเงินช่วยเหลือให้ แต่หากรับเงินไปเรื่อย ๆ ไม่เปลี่ยนก็ต้องเริ่มปรับ เราต้องเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน เพื่อให้เกิดความยั่งยืน เพราะต้องคำนึงถึงขีดความสามารถในการปรับตัวด้วย”

รศ.วิษณุ อรรถวานิช

พร้อมอธิบายถึงการถูกตั้งคำถามด้วยว่า กองทุนอากาศสะอาด อาจดูซ้ำซ้อน กับ กองทุนสิ่งแวดล้อม หรือไม่ ? ซึ่งในความเป็นจริง ไม่ได้ซ้อนกัน แต่กลับเสริมกันได้ดีมาก กล่าวคือ

  1. กองทุนสิ่งแวดล้อมแก้ทุกมลพิษ ไม่ได้เจาะจงแค่อากาศสะอาด แต่กองทุนอากาศสะอาด เจาะจงที่การแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ

  2. เงินในกองทุนสิ่งแวดล้อมพึ่งพางบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีประชาชน ขณะที่กองทุนอากาศสะอาดเก็บจากผู้ก่อมลพิษมาใช้แก้ปัญหาเฉพาะมลพิษทางอากาศ

  3. มิติทางเศรษฐศาสตร์ กองทุนสิ่งแวดล้อม มีเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์น้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นการให้เงินอุดหนุน ไม่ได้มีการเก็บภาษีหรือเก็บจากผู้ก่อมลพิษ ขณะที่ กองทุนอากาศสะอาดมีเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ครบถ้วน 

  4. ท่อของเงิน กองทุนสิ่งแวดล้อมไม่ได้มีท่อไปที่การแก้ปัญหาอากาศสะอาดโดยตรง และการจะนำเงินไปใช้ต้องเขียนโครงการในลักษณะขอทุนขึ้นมา แต่กองทุนอากาศสะอาด มีเส้นทางการเงินชัดเจนเพื่อนำมาแก้ปัญหาอากาศสะอาด 

“ดังนั้นการแก้ปัญหาจะสำเร็จได้ ต้องมี 3 เงื่อนไข คือ กฎหมาย, กองทุนเฉพาะ, เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ ที่มีทั้งการจัดเก็บภาษี ค่าธรรมเนียม การจัดสรร ซื้อขายสิทธิ์ ระบบฝากไว้ได้คืน มีระบบที่หลากหลายซึ่งเราจำเป็นต้องมีกองทุนที่เก็บมาจากผู้ก่อมลพิษมาพัฒนาระบบ พัฒนาข้อมูลระบบต่าง ๆ จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีข้อมูล ซึ่งกองทุน จะเป็นต้นทุนในการทำให้เราสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เพียงพอและทำให้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์มีประสิทธิภาพ”

ถ้าตัดกองทุนอากาศสะอาดออก หลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย มันจะล้มเหลว และไม่ต้องกังวล เพราะหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย ใครปล่อยมากจ่ายมาก ถ้าพูดกันตามตรงทั้งประเทศไทยคนปล่อยมลพิษเยอะจริง ๆ มีไม่กี่รายแต่เขากำลังทำให้สุขภาพของคนไทย 6 ล้านคน ได้รับผลกระทบ เราจะอดทนเอาปอดของเราไปฟอกมลพิษทางอากาศเพื่อให้คนกลุ่มเล็ก ๆ ที่ปล่อยเยอะ เขาได้กำไรถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะทำเพื่อสุขภาพตัวเอง เรามีเด็ก 9.5 ล้านคน ถ้าเราทำเพื่อเขาเด็กในวันนี้จะเติบใหญ่ในวันหน้าด้วยสุขภาพที่ดี จะทำให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันเพราะทุนมนุษย์เราไม่เจ็บไม่ป่วยถ้าเรามีอากาศที่ดี”

รศ.วิษณุ อรรถวานิช

รศ.คนึงนิจ ทิ้งท้ายว่า การจัดแก้ปัญหาทั้งระบบโครงสร้างจะใช้เครื่องมือธรรมดามาแก้ไม่ได้ การออกแบบกลไกในเชิงซ้อนเช่นนี้ไม่ได้มาโผล่ในชั้นกรรมาธิการ ที่มีการหลอมรวมจาก 7 ร่าง เป็นการศึกษาวิจัยมาในกลุ่มภาคประชาชน ที่ทำการศึกษามานานกว่า 7-8 ปี ผ่านงานวิจัยและการยกร่างกฎหมายอากาศฉบับประชาชนเข้าชื่อ ซึ่งภาคประชาชนเข้าใจความ เฉพาะตัวของกองทุนอากาศสะอาด แต่ดูเหมือนทางภาครัฐจะดูไม่ค่อยเข้าใจ 

นอกจากนี้ในร่างกฏหมายยังไม่ได้มีเฉพาะหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่ายเพียงอย่างเดียวแต่ยังมีเรื่องของ การต้องระมัดระวังไว้ก่อน ที่ดีกว่าการต้องไปตามเยียวยา ป้องกันที่ต้นเหตุ 

“กฎหมายนี้ไม่ได้มีเครื่องมือชิ้นเดียว โดยเฉพาะเครื่องมือกองทุนอากาศสะอาด ที่จะทำหน้าที่ไปพร้อมกับกลไกอื่น กลไกทางวิทยาศาสตร์ กลไกทางกฎหมาย กลไกเรื่ององค์ความรู้ กลไกการมีส่วนร่วม กลไกการกระจายอำนาจ และการเชื่อมมิติสิ่งแวดล้อมกับมิติสุขภาพที่ร้อยเข้าด้วยกัน เพราะฉะนั้น มันคือการบูรณาการ ถ้าหากใครได้อ่านร่างกฎหมายฉบับนี้ เป็นการออกแบบเอาไว้เพื่อใครก็ตามที่จะตั้งคำถามกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ห้ามตั้งคำถามและวิ่งหนี แต่ต้องอยู่รอฟังคำอธิบายด้วย เพราะมีคำอธิบายทุกเม็ด”

รศ.คนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม

พร้อมย้ำว่า “ร่างกฎหมายอากาศสะอาดไม่ได้เป็นของพรรคไหน แต่เป็นของประชาชนทุกคน โดยผ่านคณะกรรมาธิการที่หลอมรวมมาจาก 7 ร่าง”

การผลักดัน ร่างกฎหมายอากาศสะอาด จึงไม่ใช่เพียงการเรียกร้องให้มีกฎหมายอีกฉบับหนึ่งมาบังคับใช้ แต่คือการ ทวงสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในการหายใจอย่างปลอดภัย และสร้างกลไกที่ทำให้ภาคส่วนที่เป็นผู้ก่อกำเนิดมลพิษ ต้องรับผิดชอบ ในทุกมิติของปัญหา

กฎหมายฉบับนี้จึงเป็นมากกว่ากฎ กติกา หากแต่คือ สัญญาของสังคม ที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันรักษา เพื่อให้ อากาศดี ไม่ใช่แค่ความหวัง แต่เป็นความจริงของทุกชีวิตในประเทศนี้ที่ต้องมีสิทธิสูดหายใจได้อย่างเต็มปอด และปลอดภัย