จากข้อถกเถียงเรื่องความเหมาะสม กรณีที่อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังอย่าง กัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ กัน จอมพลัง นำเครื่องขยายเสียงและจอฉายภาพมาเปิดเสียงหนังผีและเสียงเครื่องบิน เพื่อข่มขวัญฝ่ายตรงข้ามบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา จนเป็นเหตุให้ อังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา และนักสิทธิมนุษยชนบางส่วน ออกมาเตือนว่า การกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่าย ‘การทรมานทางจิตใจ’ (Psychological Torture) ตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน (CAT) ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคี ทำให้เกิดกระแสไม่พอใจจากคนบางกลุ่ม และนำไปสู่คำถามย้อนกลับถึงนักสิทธิมนุษยชนว่า “นักสิทธิมีไว้ทำไม?”
ตามหลักการโดยกว้างของสํานักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UN-OHCHR) มองว่าคำว่า ‘นักสิทธิมนุษยชน’ ไม่ได้มีนิยามตายตัว และไม่มีเส้นแบ่งชัดเจนว่าใครบ้างที่ถือว่าเป็น ‘นักสิทธิฯ’ เพราะแท้จริงแล้ว ใครก็ตามที่ลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิของตนหรือผู้อื่น เห็นคนถูกลิดรอนสิทธิแล้วออกมาเรียกร้องแทน หรือเห็นความไม่เป็นธรรมแล้วแสดงตัวว่าไม่เห็นด้วย บุคคลนั้นก็ล้วนเป็นนักสิทธิฯ ได้ทั้งสิ้น การตระหนักรู้เรื่องสิทธิจึงเป็นทักษะที่ฝึกฝนกันได้ ดังนั้น นักสิทธิฯ จึงอาจหมายถึงใครก็ได้ อาชีพใดก็ได้ และอาจหมายถึง ‘เราทุกคน’ ในสังคมก็ได้ด้วยเช่นกัน
เมื่อชีวิตเราปกติสุขดี เราจะไม่มองหานักสิทธิฯ แต่เมื่อเราถูกพรากสิทธิบางอย่าง เราจะเริ่มกล่าวอ้างสิทธิขั้นพื้นฐานของเรา แต่เราไม่ควรรอให้ถึงวันที่เราถูกละเมิดก่อน แล้วค่อยมาทำความเข้าใจว่าเรามีนักปกป้องสิทธิไว้ทำไม
The Active ไม่ได้ต้องการหยุดอยู่แค่คำถามว่า “นักสิทธิฯ มีไว้ทำไม?” แต่ชวนให้ตั้งคำถามต่อไปว่า “หากสังคมนี้ไม่มีนักสิทธิฯ แล้วสังคมจะเป็นอย่างไร?”
ชวนมองย้อนหมุดหมายทางประวัติศาสตร์ของสิทธิมนุษยชน ซึ่งทุกความก้าวหน้าล้วนมีนักสิทธิฯ อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ทั้งนี้ บทความนี้ไม่ได้ตั้งใจจะขีดเส้นว่าใครคือ นักสิทธิฯ ที่จริงแท้ หรือกล่าวอ้างว่าความก้าวหน้าเหล่านี้เป็นผลงานของพวกเขาโดยตรง หากแต่ต้องการชวนให้มองเห็นว่า ความฝันถึงสังคมที่เท่าเทียมและเป็นธรรม คือสิ่งที่เราทุกคนต่างมีร่วมกัน เช่นเดียวกับนักสิทธิฯ ตัวเล็ก ๆ ที่เคยต่อสู้เพื่อผู้คนในโลกใบเดียวกัน
ถ้าไม่มีนักสิทธิฯ: เราอาจไม่มีวันลาคลอด และวันหยุดพักผ่อน
“สิทธิในการลาคลอด” หรือแม้การลาป่วย หรือการลาพักผ่อนประจำปี ล้วนเป็นมรดกที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ของกลุ่มแรงงานและบรรดานักสิทธิแรงงานในประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะกลุ่มสตรีที่ถูกกดขี่และได้อัตราค่าแรงที่ต่ำกว่าบุรุษ ทั้งยังถูกมองว่าการมีบุตรถือเป็นหน้าที่ของสตรีที่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งยังไม่มีการสนับสนุนจากภาครัฐ เพราะในตอนนั้นสังคมไม่ได้มองเห็นว่า อนาคตชาตินั้นถูกสร้างขึ้นมาด้วยสตรี ทำให้การเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้เติบโตมาอย่างมีคุณภาพนั้นไม่ใช่สิทธิที่ควรถูกรักษาไว้
จนเริ่มมีการเคลื่อนไหวจากกลุ่มแรงงานหญิงในต่างประเทศที่ต่อสู้เรื่องสิทธิและความเสมอภาคในการจ้างงาน เช่น การประท้วงของคนงานหญิงโรงงานทอผ้าในสหรัฐฯ เมื่อกว่า 100 ปีก่อน และกล่าวถึงการต่อสู้ให้ได้มาซึ่งการลดชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานให้เหลือ 8 ชั่วโมง ระบบทำงานระบบ 8-8-8 คือ 8 ชั่วโมงในการทำงาน 8 ชั่วโมงในการหลับนอนพักผ่อน 8 ชั่วโมงในการศึกษาหาความรู้ และให้ความสำคัญกับบทบาทผู้หญิงในการเปลี่ยนแปลงระบบการจ้างงานให้ดีขึ้น

ในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2535 สหภาพแรงงานและเครือข่ายเริ่มเคลื่อนไหวเรียกร้องการขยายสิทธิลาคลอดเรื่อยมา เพราะก่อนหน้านั้นเมื่อแรงงานหญิงตั้งครรภ์ บางคนถูกไล่ออกจากงาน หรือบางคนรัดหน้าท้องซ่อน บางคนไม่ยอมไปพบแพทย์ เพราะการลาเท่ากับขาดรายได้ และถูกตัดเบี้ยขยัน หรือกลับเข้าไปทำงานหลังจากคลอดเพียง 15 วัน ทั้ง ๆ ที่ร่างกายยังไม่ฟื้นตัว และไม่ได้เปลี่ยนแผนกให้ทำงานเบาลง ส่งผลกระทบทั้งแม่และเด็ก
พ.ศ. 2536 สหภาพและเครือข่ายแรงงานหญิงมากกว่า 500 คน รวมตัวกดดันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และยกระดับความเข้มข้นด้วยการชุมนุมประท้วงหน้าทำเนียบรัฐบาล มีการอดข้าวประท้วงของแรงงานที่ตั้งครรภ์ และเพิ่มแรงกดดันด้วยการกรีดเลือดประท้วง จนนำไปสู่มติเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีให้แก้ไขกฎหมายคุ้มครองแรงงานให้แรงงานหญิงสามารถลาคลอดได้ 90 วัน โดยยังได้รับค่าแรงเต็มจำนวน คือได้รับค่าจ้างเต็ม 45 วันจากนายจ้าง และ 45 วันจากกองทุนประกันสังคม เครือข่ายจึงประกาศยุติการชุมนุมโดยประกาศฉบับนี้มีผลบังคับใช้ในวันแรงงาน 1 พ.ค. ปีเดียวกัน
นับแต่นั้นมาสิทธิแรงงานในไทยก็เริ่มมีการพัฒนามากขึ้น อนุญาตให้แรงงานชายลางานได้เพื่อช่วยภรรยาเลี้ยงลูกที่เพิ่งคลอด แม้จำนวนวันลายังคงไม่เพียงพอและเป็นข้อถกเถียงในการแก้ไขกฎหมายต่อไป แต่ด้วยการตื่นตัวของนักสิทธิฯ และกลุ่มแรงงานที่เข้มแข็ง ชวนกันจินตนาการถึงสังคมที่ควรจะดีกว่านี้ได้ ก็เป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้ประเด็นสิทธิแรงงานยังก้าวหน้าต่อไปได้
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับ ‘สิทธิลาคลอด และสิทธิแรงงาน’
- ‘ลาคลอด’ 180 วัน ? ของขวัญที่ ‘แรงงานหญิง’ เฝ้ารอ
- ยื่นสภาฯ แก้ กม.แรงงาน เพิ่มสิทธิคู่ชีวิต ลาดูแลแม่หลังคลอด
- ‘ไรเดอร์’ ต้องอิสระแค่ไหน ? แม้ถูกกดค่าแรง ไร้สวัสดิการ แต่ก็ยังทน
ถ้าไม่มีนักสิทธิฯ: อินเทอร์เน็ตเราอาจจะแย่ลง
“สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร” และ “สิทธิในการติดต่อสื่อสาร” เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ไม่ว่าใคร ๆ ก็ควรเข้าถึงได้ และรัฐไม่อาจพรากมันออกไปจากพลเมือง เพราะพลังของข้อมูลข่าวสารและการมีปฏิสัมพันธ์จะช่วยให้สังคมมีการถกเถียงกัน ช่วยเหลือกัน และพาสังคมไปข้างหน้าได้

ในปี 2558 สมัยรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐบาลมีนโยบายนำแนวคิด Single Gateway มาใช้ เพื่อรวมการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทั้งหมดให้ผ่านประตูเดียว เพื่อควบคุมการเข้าถึงเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม และคัดกรองข้อมูลที่ไหลเข้ามาจากต่างประเทศ คล้ายคลึงกับรูปแบบที่รัฐบาลจีนใช้ควบคุมการติดต่อสื่อสารของประชาชน ประชาชนกังวลว่า Single Gateway จะจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร นอกจากนี้การรวมทุกอย่างไว้ที่จุดเดียวอาจทำให้ระบบเสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากภายนอกได้ง่ายขึ้น
หัวหอกสำคัญที่ออกมาคัดค้านแนวคิดดังกล่าวกลับไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น ‘ชาวเน็ต’ และ ‘เกมเมอร์’ เพราะแนวคิด Single Gateway คือการให้ข้อมูลอินเทอร์เน็ตทั้งหมดของประเทศผ่านจุดเชื่อมต่อเดียว รัฐสามารถตรวจสอบข้อมูลได้ แต่ปัญหาคือ หากต้องตรวจสอบข้อมูลมหาศาลก่อนปล่อยออก จะทำให้ความเร็วอินเทอร์เน็ตช้าลง อีกทั้งยังเสี่ยงเกิด ‘single point of failure’ คือ ถ้าประตูนี้พัง ระบบทั้งประเทศจะใช้งานไม่ได้เลย นอกจากนี้ การรวมศูนย์การควบคุมยังเปิดช่องให้รัฐสอดส่องและจำกัดเสรีภาพการสื่อสารของประชาชนได้ง่ายขึ้น กระทบต่อสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคลอีกด้วย
คืนวันที่ 30 กันยายน 2558 เว็บไซต์ของหน่วยงานรัฐหลายแห่ง รวมถึงกระทรวงไอซีทีและบริษัท กสท โทรคมนาคม ล่มพร้อมกัน หลังถูกกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตชื่อ ‘พลเมืองต่อต้าน Single Gateway’ ระดมเข้าเว็บไซต์พร้อมกันกว่าหนึ่งแสนคน เพื่อประท้วงนโยบาย Single Gateway ของรัฐบาลที่มีคำสั่งเร่งรัดมาโดยตลอด โดยมีประชาชนร่วมลงชื่อคัดค้านในเว็บไซต์ Change.org กว่าหนึ่งแสนรายภายในเวลาไม่นาน และในที่สุดนโยบายดังกล่าวก็ถูกชะลอไปและไม่มีการเคลื่อนไหวอีก
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับ ‘สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและความเป็นส่วนตัว’
- ปลดล็อกสิทธิข้อมูลข่าวสาร สู่รากฐานของประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม
- ทบทวน 10 ปี พ.ร.บ.การชุมนุม ใช้คุ้มครองหรือกดปราบผู้ชุมนุม
- IO กับสังคมไทย… ทำไมต้องปฏิบัติการนี้? | สฤณี อาชวานันทกุล
ถ้าไม่มีนักสิทธิฯ: เราอาจไม่มีอากาศสะอาดไว้หายใจ
ปัญหามลพิษทางอากาศที่คร่าชีวิตผู้คนกว่า 7 ล้านคนต่อปีทั่วโลก คือปัญหาสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน เพราะอากาศสะอาดคือ “สิทธิในการมีชีวิตอยู่” รายงานของ WHO และกรีนพีซต่างชี้ตรงกันว่า มลพิษส่งผลต่อทุกคนโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง และยังสะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำทางสิ่งแวดล้อมที่คนบางกลุ่มต้องเผชิญความเสี่ยงมากกว่าเพราะขาดสิทธิในการเข้าถึงข้อมูล การป้องกัน หรือแม้แต่สิทธิในการร้องเรียนต่อรัฐ ซ้ำร้าย คนก่อมลพิษกลับไม่ได้รับผล แต่คนที่ไม่ได้ก่อกำลังรับผลจากมลภาวะเหล่านั้น

บทเรียนจากปัญหา PM2.5 แสดงให้เห็นว่า การจัดการสิ่งแวดล้อมไม่ได้แยกขาดจากโครงสร้างเศรษฐกิจและอำนาจทางการเมือง ตัวอย่างเช่น การเผาอ้อยที่เกี่ยวพันกับอุตสาหกรรมน้ำตาลสะท้อนว่าต้นตอของมลพิษไม่ได้อยู่ที่เกษตรกรเพียงฝ่ายเดียว แต่มาจากระบบเศรษฐกิจทั้งห่วงโซ่ การที่นักสิทธิลุกขึ้นตั้งคำถามว่า “ใครควรรับผิดชอบ?” จึงเป็นการชี้ให้เห็นโครงสร้างที่ผลักภาระให้ประชาชนฝ่ายเดียว และเรียกร้องให้เกิดการแบ่งความรับผิดชอบอย่างเป็นธรรมระหว่างรัฐ ภาคธุรกิจ และประชาชน
ที่ผ่านมารัฐไทยยังไม่รับฟังเสียงของประชาชนเท่าที่ควร ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลมลพิษ สิทธิในการมีส่วนร่วม หรือสิทธิในการได้รับการเยียวยาเมื่อได้รับผลกระทบจากมลภาวะ การแก้ปัญหาของรัฐที่ผ่านมามักเน้นการสั่งห้ามและการเยียวยาชั่วคราวมากกว่าการจัดการเชิงระบบ นักสิทธิจึงมีความสำคัญในฐานะผู้เรียกร้องให้รัฐยอมรับสิทธิเหล่านี้อย่างเป็นรูปธรรม และผลักดันให้เกิดกติกาใหม่ที่ประชาชนสามารถตรวจสอบและร่วมออกแบบการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมได้จริง หนึ่งในนั้นคือการผลักดัน “กฎหมายอากาศสะอาด”
“ร่างกฎหมายอากาศสะอาด” มีประชาชนกว่า 20,000 คนร่วมลงชื่อ นับเป็นการประกาศว่าประชาชนพร้อมเป็นเจ้าของกฎหมาย และร่วมออกแบบสังคมของตนเอง การมีนักสิทธิจึงจำเป็น เพราะพวกเขาคือกลไกที่คอยทวงถามให้รัฐทำหน้าที่ของตน เคารพศักดิ์ศรีของมนุษย์ทุกคน และทำให้สิทธิไม่ใช่เพียงสิ่งที่จับต้องไม่ได้ในรัฐธรรมนูญ แต่มันอยู่ในลมหายใจของเราทุกคน อยู่ที่ว่าเราจะตระหนักถึงมันได้หรือเปล่า
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับ ‘สิทธิในอากาศสะอาด’
- 1 ปี ‘กฎหมายอากาศสะอาด’ คืบหน้าถึงไหน ? ประชาชนมีส่วนร่วมอะไรบ้าง ?
- ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ ก้าวแรกสู่วัฒนธรรมกฎหมายใหม่ที่ประชาชนร่วมเป็นเจ้าของ
- พ.ร.บ.อากาศสะอาดประกาศแล้ว ฝุ่นจะหายไปเลยมั้ย ?
ถ้าไม่มีนักสิทธิฯ: หลายชุมชนอาจล่มสลายเพราะอุตสาหกรรม
หลายหมื่นชุมชนทั่วประเทศไทยกำลังเผชิญความเสี่ยงจากการพัฒนาอุตสาหกรรมหนัก ทั้งเหมืองโปแตชในภาคอีสานที่ทำให้ที่ดินกลายเป็นดินเค็ม ชาวบ้านต้องสูญเสียพื้นที่ทำกินและอพยพย้ายถิ่นอย่างไร้จุดหมาย ไปจนถึงโครงการแลนด์บริดจ์เชื่อมทะเลอันดามัน–อ่าวไทย ที่เตรียมถมทะเลในระนองและชุมพรรวมกว่า 13,000 ไร่ ซึ่งอาจกระทบต่อระบบนิเวศชายฝั่งและวิถีประมงพื้นบ้าน ขณะเดียวกัน ชุมชนชาติพันธุ์จำนวนมากก็ยังถูกผลักออกจากพื้นที่เดิมของตนเพราะกฎหมายป่าไม้ แม้จะอยู่มาก่อนกฎหมายก็ตาม
เรากำลังพูดถึง ‘สิทธิชุมชน’ ซึ่งหมายถึงสิทธิของประชาชนในการมีส่วนร่วมจัดการทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และที่ดิน รวมถึงสิทธิในการดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีและสืบสานวัฒนธรรมดั้งเดิม ทว่ากฎหมายและยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี กลับกำลังตีกรอบให้ “ชาวบ้านต้องเสียสละเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม” เช่นในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) หรือภาคใต้ (SEC – Landbridge) จนนักสิทธิมนุษยชนต้องออกมาเรียกร้องให้บัญญัติ ‘สิทธิชุมชน’ ไว้อย่างชัดเจนในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
อันที่จริงคำว่า ‘สิทธิชุมชน’ เริ่มเป็นที่รับรู้หลังการปฏิรูปการเมืองในปี 2540 เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนได้ระบุสิทธินี้ไว้เป็นครั้งแรกใน มาตรา 46 ว่า “บุคคลซึ่งรวมตัวกันเป็นชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมย่อมมีสิทธิอนุรักษ์ ฟื้นฟู และมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน” ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้เสียงของชุมชนเริ่มมีที่ยืนในระบบกฎหมายไทย

แต่ในความเป็นจริง คำว่า ‘สิทธิชุมชน’ ถูกทำให้หายไปในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ซ้ำร้ายสิทธิเหล่านั้นยังถูกละเลย เหมือนกรณีหมู่บ้าน นาหนองบง จังหวัดเลย หมู่บ้านเล็ก ๆ ในหุบเขาที่ต้องเผชิญกับการตั้งเหมืองทองคำของบริษัทเอกชนตั้งแต่ปี 2549 บนพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน การทำเหมืองทำให้แหล่งน้ำปนเปื้อนสารพิษไซยาไนต์และสารหนู เด็กและผู้ใหญ่ในพื้นที่เริ่มป่วยเป็นโรคผิวหนัง ปวดหัว และเจ็บหน้าอก แต่ทางการก็ยังคงละเลยในความเดือดร้อนนั้น
เมื่อชาวบ้านจาก 6 หมู่บ้านรวมตัวกันเรียกร้องให้รัฐเข้ามาแก้ไข กลับถูกฟ้องร้องตอบโต้ ทั้งคดีแพ่งและคดีอาญารวม 19 คดี มูลค่าความเสียหายกว่า 320 ล้านบาท และยังถูกเจ้าหน้าที่ดำเนินคดีอีก 4 คดีจากการชุมนุมประท้วงปิดทางเข้าเหมืองแทนที่จะได้รับการคุ้มครองตามสิทธิที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ และไม่กี่วันก่อนเหตุรัฐประหารในเดือนพฤษภาคม 2557 หมู่บ้านนาหนองบงถูกกลุ่มชายฉกรรจ์กว่า 150 คนบุกเข้าทำร้ายกลางดึก พังแนวกั้นเหมือง จับชาวบ้านมัดและซ้อมจนบาดเจ็บสาหัส 7 คน
เรื่องของนาหนองบงเป็นเพียงหนึ่งในหลายร้อยกรณีทั่วประเทศที่นักสิทธิมนุษยชนและชุมชนท้องถิ่นลุกขึ้นต่อสู้เพื่อสิทธิของตน แต่กลับต้องเผชิญกับความรุนแรง การฟ้องร้อง และการละเมิดโดยรัฐและทุน ซึ่งความรุนแรงเหล่านี้กำลังตอกย้ำว่า เราไม่อาจแยกปัญหาสิ่งแวดล้อมออกจากการเมืองและผลประโยชน์ของกลุ่มทุนได้เลย
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับ ‘สิทธิชุมชน’
- บันทึกรากเหง้า ชาวกะเหรี่ยงบางกลอย
- สิทธิชุมชน กับส่วนร่วมจัดการทรัพยากร
- The Right to The City : สิทธิที่จะมีส่วนร่วมในเมือง
- ‘ฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด’ จี้ รัฐหยุดเอื้อทุน ‘เหมืองโปแตช’ ทำลายวิถีชีวิต สิ่งแวดล้อม
- แผนที่เหมืองแร่ประเทศไทย
ถ้าไม่มีนักสิทธิฯ: เด็กก็ยากที่จะมีชีวิตรอด
เด็กกว่า 61 ล้านคนทั่วโลกไม่ได้เข้าเรียนชั้นประถม คาดการณ์ว่ามีเด็กผู้หญิง 150 ล้านคนและเด็กผู้ชาย 73 ล้านคน ถูกล่วงละเมิดทางเพศทุกปี ขณะที่ประเทศไทยมีรายงานจาก ศูนย์ความรู้นโยบายสาธารณะเพื่อการเปลี่ยนแปลง (101PUB) เปิดเผยข้อมูลจากศูนย์ติดตามข้อมูลเหตุรุนแรงช่วงปี 2557 – 2565 พบเหตุการณ์ความรุนแรงที่มีเด็กและเยาวชนตกเป็นเหยื่อ รวม 948 เหตุการณ์ คิดเป็น 1 ใน 3 ของเหตุการณ์ความรุนแรงที่เป็นข่าวในหนังสือพิมพ์ทั้งหมด โดยสาเหตุที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บและเสียชีวิตมากที่สุดในเด็ก เยาวชน คือ การล่วงละเมิดทางเพศ (35.7%)
เราท่องกันในตำราเรียนมาโดยตลอดว่าเด็กทุกคนเกิดมาสิทธิพื้นฐานแรกสุดคือ ‘สิทธิที่จะได้มีชีวิตรอด’ นั่นหมายถึงการที่เขาจะต้องได้รับการดูแลจากครอบครัว อาศัยอยู่ในชุมชนที่ปลอดภัย มีน้ำประปา-ไฟฟ้าใช้ ปราศจากการคุกคามโดยรัฐและผู้ใหญ่ในสังคม แต่หลายครั้งสังคมไทยยังคงละเลยกับสถานการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นอยู่ซึ่งหน้า จึงเป็นหน้าที่ของนักสิทธิฯ อีกเช่นกัน ที่จะช่วยเป็นกระบอกเสียงพูดแทนเด็กและเยาวชน

ไม่ใช่เพียงแค่มีชีวิตรอด แต่ต้องมีชีวิตอย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กยืนยันในหลักการว่าเด็กทุกคนเกิดมามีเสรีภาพในการแสดงออก ไม่สามารถมีผู้ใดมาละเมิดเนื้อตัวร่างกายได้ ซึ่งที่ผ่านมามีนักเรียนไทยบางกลุ่มที่พยายามเคลื่อนไหวเพื่อสร้างการตระหนักรู้เรื่องสิทธิและต่อต้านกฎระเบียบ ‘บังคับ’ เครื่องแบบและทรงผมมาโดยตลอด เพราะถือเป็นกระดุมเม็ดแรกในการเริ่มต้นเคารพสิทธิเสรีภาพของเด็ก
กระทั่ง 5 มีนาคม 2568 ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาให้เพิกถอนกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) ที่ออกตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ซึ่งกำหนดข้อห้ามเกี่ยวกับการไว้ทรงผมและการใช้เครื่องสำอางของนักเรียน โดยระบุว่า กฎดังกล่าวไม่เหมาะสมกับสภาพสังคมปัจจุบัน และขัดกับพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 โดยผลของคำพิพากษาที่ปรากฏ สืบเนื่องมาจากกรณีวันที่ 30 กรกฎาคม 2563 กลุ่มนักเรียน ‘การศึกษาเพื่อความเป็นไท‘ พร้อมทนายความ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง เพื่อขอให้เพิกถอนกฎระเบียบว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน
เรื่องง่าย ๆ ใกล้ตัวอย่าง สิทธิตามนโยบายเรียนฟรี 15 ปี อย่างมีคุณภาพตามแนวนโยบายของรัฐบาลด้านการศึกษาที่จัดให้ทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาฟรี 15 ปี ตั้งแต่ระดับอนุบาลไปจนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ก็เป็นนโยบายที่มีรากฐานมาจากแนวคิดและการเชื่อมั่นในหลักสิทธิเด็ก เชื่อว่าเด็กควรจะได้รับการศึกษาและได้รับการขัดเกลา
ปัจจุบันสิทธิการศึกษาได้รับการยกระดับมากขึ้น ไทยได้เป็นหนึ่งในประเทศที่ถอนข้อสงวน ข้อ 22 ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ค.ศ. 1989 ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้เด็กทุกคนโดยไม่จำกัดเชื้อชาติจะได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างปราศจากการเลือกปฏิบัติ หน่วยงานต่าง ๆ สามารถดำเนินงานในบริบทการโยกย้ายถิ่นฐานของเด็กได้อย่างครอบคลุม อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมบทบาทของประเทศไทยในการแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยและเด็กในบริบทการโยกย้ายถิ่นฐาน สอดคล้องกับคำมั่นที่ประเทศไทยได้ให้ไว้ในเวทีระหว่างประเทศ ทำให้เกิดภาพลักษณ์และมุมมองด้านบวกต่อประเทศไทย และยังลดการแทรกแซงหรือตั้งคำถามที่ไม่จำเป็นในประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนต่อประเทศไทย ในอนาคตข้างหน้าต่อไป
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับ ‘สิทธิเด็กและสิทธิในการศึกษา’
- Education For All : การศึกษา ‘เด็กข้ามชาติ’ ทลายกำแพงความเป็นอื่น คืนโอกาสให้ประเทศไทย
- ‘ละเลย-นิ่งดูดาย-โยนภาระ’ กับดักความไม่ปลอดภัยในเด็ก ที่ ‘ผู้ใหญ่’ ไม่เคยจำ!
- เราจะกล้ายกเลิก “กฎหมายเยาวชน” จริงหรือ ?
- อนาคตของชาติ 1 ล้านคน หายไป…จากระบบการศึกษา
ถ้าไม่มีนักสิทธิฯ: เราอาจไม่มีรัฐธรรมนูญที่เห็นหัวประชาชน
กฎหมายที่เราใช้กันทุกวันนี้ล้วนมีรากฐานมาจากแนวคิดสิทธิมนุษยชน รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดที่บัญญัติและคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของมนุษย์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิด เช่น สิทธิในชีวิตและร่างกาย สิทธิในทรัพย์สิน และเสรีภาพในการแสดงออก ฯลฯประเทศไทยมีการพัฒนาการรับรองสิทธิมนุษยชนในรัฐธรรมนูญมาอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่มีประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมมากที่สุดฉบับหนึ่ง นับแต่นั้นมา ก็มีการบัญญัติเกี่ยวกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเสมอภาค และสิทธิเสรีภาพในหลากหลายด้านอย่างชัดเจนในรัฐธรรมนูญมาจนถึงปัจจุบัน (พ.ศ. 2560)
ตัวอย่างสิทธิมนุษยชนที่ถูกคุ้มครองในรัฐธรรมนูญ
- สิทธิในชีวิตและร่างกาย: ห้ามการทรมาน ทารุณกรรม หรือการลงโทษที่โหดร้ายหรือไร้มนุษยธรรม
- สิทธิในกระบวนการยุติธรรม: ให้สันนิษฐานว่าผู้ต้องหาเป็นผู้บริสุทธิ์ ปฏิบัติต่อจำเลยอย่างเป็นธรรม
- สิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว: คุ้มครองเกียรติยศ ชื่อเสียง และครอบครัว รวมถึงข้อมูลส่วนบุคคล
- สิทธิในทรัพย์สิน: การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์จะทำได้ตามกฎหมาย
- สิทธิในการแสดงความคิดเห็น: เสรีภาพในการพูดและการแสดงออกทางการเมืองและอัตลักษณ์
- สิทธิในการรับบริการสาธารณสุข: รัฐต้องจัดบริการสาธารณสุขที่ได้มาตรฐานแก่ประชาชน
- สิทธิในการศึกษา: ประชาชนมีสิทธิได้รับการศึกษาทุกช่วงวัยโดยปราศจากค่าใช้จ่าย
ปฏิเสธไม่ได้ว่า หลายปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมไทยปัจจุบัน ทำให้หลายภาคส่วน โดยเฉพาะกลุ่มภาคประชาสังคม เห็นพ้องกันว่าการแก้ไขอย่างยั่งยืนที่สุด คือการจัดทำ “รัฐธรรมนูญฉบับใหม่” เนื่องจากกติกาสูงสุดของประเทศในปัจจุบัน นำมาซึ่งปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนหลายประการ เช่น พรรคการเมืองถูกยุบเพียงเพราะเสนอร่างกฎหมาย ทั้งที่เป็นอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ, องค์กรปกครองท้องถิ่นขาดทั้งอำนาจและงบประมาณในการพัฒนาระบบขนส่งมวลชน, นักเคลื่อนไหวเยาวชนหลายคนไม่ได้รับการประกันตัวแม้ไม่มีพฤติการณ์หลบหนี, นักวิชาการและสื่อสืบสวนถูกฟ้องปิดปาก หรือแม้แต่สิทธิชุมชนที่ไม่เคยได้รับการคุ้มครองอย่างแท้จริง เพราะโครงการขนาดใหญ่รับฟังเสียงประชาชนแบบขอไปที

ดังนั้น บทบาทของ ‘นักสิทธิฯ’ จึงเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยกันขัดเกลากติกาสูงสุดของประเทศให้เป็นธรรมและเท่าทันสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และบทบาทของนักสิทธิฯ ก็ล้วนอยู่ในเนื้อในตัวของทุกคน เพื่อบรรลุเป้าหมายของวิชาชีพให้ดีที่สุด คนเป็นแม่ครัวก็ต้องคำนึงถึงสิทธิของผู้บริโภค นักข่าวก็ต้องรักษาสิทธิความเป็นส่วนตัวของแหล่งข่าว พนักงานออฟฟิศต้องเข้าใจสิทธิแรงงาน นักการเมืองต้องเคารพสิทธิของประชาชนทุกภาคส่วน เมื่อมองเช่นนี้ เราทุกคนต่างเป็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?
วันหนึ่งเราอาจร่วมลงชื่อสนับสนุนกฎหมายสมรสเท่าเทียมเพื่อปกป้องสิทธิความหลากหลายทางเพศ อีกวันหนึ่งเราอาจร่วมผลักดัน พ.ร.บ.อากาศสะอาด เพื่อเรียกร้องสิทธิในการหายใจอย่างปลอดภัย หรือวันหนึ่งเราอาจช่วยกันทวงถามความเป็นธรรมในการควบค่ายมือถือเพื่อสิทธิในการเข้าถึงราคาอินเทอร์เน็ตที่เป็นธรรม ทุกครั้งที่เราลุกขึ้นเรียกร้องสิทธิให้กับตนเอง คนรอบข้าง หรือใครก็ตาม เรากำลังเป็น นักสิทธิมนุษยชน อยู่แล้วในความหมายที่กว้างที่สุด และการตระหนักรู้ถึงสิทธิไม่ต้องอาศัยองค์ความรู้ที่ซับซ้อนใด ๆ แค่มองเห็นทุกคนเป็นเพื่อนมนุษย์เช่นกัน
‘นักสิทธิฯ’ จึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อการพัฒนาสังคม ไม่ใช่เพราะว่าเราต้องโลกสวย แต่เพราะโลกนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่แตกต่างหลากหลาย
และปัญหาก็ซับซ้อนยิ่งขึ้น การเชื่อว่าจะแก้ได้ด้วยความรุนแรงหรือการใช้พละกำลังเพียงอย่างเดียว จึงเป็นวิธีที่ไร้เดียงสาและดูเบาจนเกินไป หลักการสิทธิมนุษยชนอาจดูเหมือนถ้อยคำสวยงามที่ถูกตั้งไว้บนหิ้ง แต่แท้จริงแล้ว มันคือบทเรียนของมนุษยชาติที่เตือนเราว่า เมื่อใดที่มนุษย์มองเพื่อนมนุษย์ไม่เป็นมนุษย์ เมื่อนั้นสังคมก็พังทลาย และไม่เคยมีสงครามใดในประวัติศาสตร์ ที่สร้างประโยชน์ให้กับมนุษย์ชาติใดเลย