ให้ประชาธิปไตยกินได้ และเป็นของคนทุกชนชั้น: ฝันใหญ่ แก้รัฐธรรมนูญ

ทันทีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 29 ส.ค. 68 ให้ แพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐมนตรีที่ต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ

ไม่นานหลังจากนั้น รัฐบาลชุดใหม่ของ อนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย ก็ถูกจับตา เพราะเงื่อนไขการจัดตั้งรัฐบาลที่ต้องเร่งเดินหน้ากระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ พร้อมยุบสภาภายใน 4 เดือน และจัดทำประชามติพร้อมการเลือกตั้งใหม่ เพื่อผ่าทางตันวิกฤตการเมือง

 “ชนชั้นใดตรากฎหมาย ก็เพื่อชนชั้นนั้น”

คำกล่าวนี้ แม้มีที่มาจากนักคิดนักปรัชญาชาวเยอรมัน ตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 แต่ยังนำมาใช้คลายความสงสัยของผู้คนในสังคมไทย ที่กำลังตั้งคำถามกับการแก้รัฐธรรมนูญไม่มากก็น้อย

เพราะตลอดระยะเวลา 8 ปี ที่รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 มีผลบังคับใช้ คงได้เห็นแล้วว่า พิษร้ายจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นอุปสรรคขัดขวางการพัฒนาประชาธิปไตยมากแค่ไหน

ทบทวน ‘รัฐธรรมนูญฉบับ 2560’ ที่ไม่มีประชาชนในสมการ

รัฐธรรมนูญ 2560 ถูกจัดทำขึ้นในบรรยากาศหลังการรัฐประหาร ภายใต้การนำของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ว่า มีเจตนารมณ์เพื่อรักษาอำนาจของชนชั้นนำและควบคุมชนชั้นใต้ปกครองให้อยู่ในกรอบที่กำหนด มากกว่าจะเป็นการส่งเสริมประชาธิปไตย

เริ่มตั้งแต่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่มี มีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน และสมาชิกอีก 20 คน จากการใช้อำนาจแต่งตั้งเองอย่างเบ็ดเสร็จของ คสช. 

จนเมื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 เดินทางมาถึงขั้นตอนการทำประชามติ ได้เกิดกระแสต่อต้านจากประชาชนเหมือนคลื่นใต้น้ำ เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับกระบวนการยกร่างที่ไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

มากกว่านั้น เมื่อประชาชนเห็นต่าง ก็ถูกควบคุม อย่างกรณี จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ “ไผ่ ดาวดิน” พร้อมเพื่อนนักศึกษา ที่ถูกจับกุมในข้อหาก่อความวุ่นวาย ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ มาตรา 61 หลังแจกใบปลิวรณรงค์โหวตโน

นอกจากนี้ ยังมีการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออก และดำเนินคดีกับประชาชนผู้เห็นต่างและนักกิจกรรมอีกอย่างน้อย 195 คน ภายใต้ประกาศของ คสช. และ พ.ร.บ.ประชามติฯ

และแล้ว วันลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญก็มาถึง ในวันที่ 7 ส.ค. 59 พร้อมกับ “คำถามพ่วง” ที่สร้างความสับสนให้แก่ผู้มาใช้สิทธิลงคะแนน ด้วยข้อความที่มีลักษณะชี้นำและมีความยาวถึง 4 บรรทัด นั่นก็คือ คำถามที่เปิดช่องให้ สว. ที่มาจากการแต่งตั้งของ คสช. มีอำนาจร่วมโหวตนายกรัฐมนตรี

ผลพวงของคำถามพ่วงในครั้งนั้น ได้สำแดงให้เห็นถึงอิทธิพลของ สว. ต่อการกำหนดอนาคตประเทศ เห็นได้ชัดจากการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ที่ทำให้ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ไม่สามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งได้ แม้พรรคจะได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนด้วยคะแนนเสียงอันดับ 1 ก็ตาม

อย่างไรก็ตาม แม้บทเฉพาะกาลที่ให้อำนาจ สว. เช่นนี้จะสิ้นสุดไปแล้ว แต่ปัญหาเรื่องการออกแบบโครงสร้างอำนาจก็ยังมีอยู่ อย่างที่มาขององค์กรอิสระที่ไม่ยึดโยงกับประชาชน โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากการวินิจฉัยให้คุณให้โทษทางการเมือง จนเกินเลยขอบเขตอำนาจศาลหรือไม่

นอกเหนือจากที่มาที่ไม่ชอบธรรมของรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 นักวิชาการและภาคประชาสังคมชี้ตรงกันว่า เนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังกดเพดานสิทธิเสรีภาพของประชาชน ให้อยู่ภายใต้นิยาม “ความมั่นคงของรัฐ”

ไล่ตั้งแต่มาตรา 25 บัญญัติว่า “บุคคลมีสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ตราบเท่าที่การใช้สิทธิหรือเสรีภาพนั้นไม่กระทบกระเทือนความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดี”

ในแง่การตรวจสอบถ่วงดุล รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ได้ตัดอำนาจของประชาชนในการเข้าชื่อยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สส. สว. ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด หรืออัยการสูงสุด และถูกแทนที่ด้วย พ.ร.บ.มาตรฐานจริยธรรม พ.ศ. 2562

ด้านสิทธิและสวัสดิการ เนื้อหาในรัฐธรรมนูญ 2560 มีผลทำให้สวัสดิการขั้นพื้นฐานของประชาชนถดถอยลง จากสิทธิอันพึงมี และถูกเปลี่ยนเป็น “หน้าที่ของรัฐ” ซึ่งไม่อาจเป็นหลักประกันได้ว่ารัฐจะทำหน้าที่ได้โดยสมบูรณ์ ไม่ว่าจะในด้านการศึกษาและสาธารณสุข

ตัวอย่างถ้อยคำในรัฐธรรมนูญ 2560 ที่สะท้อนถึงการลดทอนสิทธิประชาชน หรือกระทั่งทำให้แนวคิดสวัสดิการกลายเป็นเพียงการสงเคราะห์ เช่น การตัดคำว่า “สิทธิเสมอกัน” ออกไป

รวมถึงในมาตรา 48 ว่าด้วยสวัสดิการผู้อายุ ระบุว่า “บุคคลซึ่งมีอายุเกิน 60 ปี และไม่มีรายได้เพียงพอแก่การยังชีพ และบุคคลผู้ยากไร้ ย่อมมีสิทธิได้รับความช่วยเหลือที่เหมาะสม” ซึ่งการกำหนดเงื่อนไขด้วยคำว่า “ผู้ยากไร้” นั้น ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการพิสูจน์สิทธิในการเข้าถึงสวัสดิการของรัฐ แทนที่จะเป็นการให้สิทธิแบบถ้วนหน้า

ด้านสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการรวมตัวของประชาชน ปัจจุบันก็ยังคงมีเงื่อนไขข้อจำกัด โดยเฉพาะ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ที่ยังมีผลบังคับใช้อยู่ และหลายครั้งก็กลายเป็นเครื่องมือที่รัฐใช้เป็นข้ออ้างในการปราบปรามผู้ชุมนุม อย่างการชุมนุมทางการเมืองช่วงปี 2563-2564 ซึ่งส่งผลให้นักกิจกรรมและประชาชนจำนวนมากต้องถูกดำเนินคดี

จากตัวอย่างทั้งหมดที่ยกมาจะเห็นว่าปัญหาของรัฐธรรมนูญ 2560 มีหลายประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ว่าขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน และไม่สอดคล้องต่อหลักการประชาธิปไตย ทั้งหมดนี้นำมาสู่คำถามใหญ่ว่า เรายังพอใจที่จะอยู่ภายใต้กติกาแบบอำนาจนิยมเช่นนี้อีกหรือไม่ 

ขณะเดียวกัน หนทางที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็เต็มไปด้วยอุปสรรคหลายชั้น และถูกล็อกไว้ด้วยเงื่อนไขที่แน่นหนา เพราะต้องอาศัยเสียงสนับสนุนจาก สว. ถึง 1 ใน 3 และต้องทำประชามติหากกระทบหมวดสำคัญ รวมถึงคำวินิจฉัยล่าสุดของศาลรัฐธรรมนูญที่ดูเหมือนว่า หนทางการมีส่วนร่วมของประชาชนจะค่อนข้างตีบตัน

ศาลรัฐธรรมนูญออกความเห็นเกินขอบเขต? คำถามจากประชาชนกับความชอบธรรมของกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

หากลองไล่เรียงเหตุการณ์ จะเห็นว่า ในวันที่ 10 ก.ย. 68 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้รัฐสภามีอำนาจริเริ่ม หรือแสดงความต้องการเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ โดยต้องทำประชามติอย่างน้อย 2-3 ครั้ง

ทว่า คำวินิจฉัยดังกล่าวยังสร้างความแคลงใจและสับสน เมื่อศาลให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง” จึงทำให้เกิดคำถามว่า นี่เป็นการลดทอนอำนาจประชาชนในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือไม่

ต่อมาในวันที่ 17 ก.ย. 68 เครือข่ายประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ (Con for All) รวมตัวกันที่หน้าสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ จัดกิจกรรมทวงคืนอำนาจประชาชน เพื่อยืนยันว่า สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน 100%

ณัชปกร นามเมือง อ่านแถลงการณ์เครือข่ายประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ ระบุว่า ศาลใช้อำนาจใดในการให้ความเห็นนอกเหนือไปจากประเด็นที่ผู้ร้องถาม และศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจกำหนดกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ ทั้งที่เรื่องนี้เป็นอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติโดยตรง

ภาคประชาชนยืนยันว่า ในกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญ ประชาชนต้องมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในการเลือกผู้ทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยต้องไม่มีอำนาจอื่นเป็นผู้ตัดสินใจเหนืออำนาจประชาชน

“ทางเครือข่ายรณรงค์รัฐธรรมนูญขอยืนยันว่า อำนาจกำหนดกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นของประชาชน และประชาชนจะใช้อำนาจนั้นผ่านรัฐสภา โดยที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจเข้ามาก้าวล่วงหรือแทรกแซง และการให้ความเห็นเพิ่มเติมของศาลรัฐธรรมนูญที่นอกเหนือจากประเด็นที่ต้องวินิจฉัย ย่อมไม่มีผลผูกพันกับทุกองค์กร”

ณัชปกร นามเมือง เครือข่ายรณรงค์รัฐธรรมนูญ

เช่นเดียวกับโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) ให้ข้อสังเกตว่า โดยหลักการแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญไม่ควรมีอำนาจกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมให้รัฐสภาทำอะไรหรือไม่ทำอะไร โดยที่ยังไม่เกิดความขัดแย้ง หรือโดยที่ไม่มีใครถาม

ประโยคพ่วงท้ายดังกล่าว ถือเป็นการแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมของศาลเอง และยังก่อให้เกิดปัญหาการตีความได้ในอนาคต

iLaw สะท้อนอีกว่า หากมีกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยผู้ร่างมีที่มาไม่ชอบธรรม หรือมาจากอำนาจฝ่ายการเมืองเพียงฝ่ายเดียว ย่อมจะเกิดปัญหาตามมาได้ เพราะไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชน และไม่นำไปสู่การแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

“เราไม่จําเป็นต้องเชื่อคําวินิจฉัยที่ผิดครรลองความเป็นประชาธิปไตย”

บารมี ชัยรัตน์ ที่ปรึกษาสมัชชาคนจน

ในมุมมองของภาคประชาชน บารมี ชัยรัตน์ ที่ปรึกษาสมัชชาคนจน เชื่อมั่นว่า ช่องทางการมีส่วนร่วมของประชาชนยังไม่ถูกปิดตาย และหนทางในการร่างรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้มีเพียงเส้นทางเดียว

บารมี กล่าวว่า รัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือสำคัญในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน จํากัดอํานาจของรัฐไม่ให้มีอํานาจเหนือประชาชน แต่รัฐธรรมนูญ 2560 กลับให้น้ำหนักไปที่ความมั่นคงของรัฐและการรวมศูนย์อำนาจ ที่สำคัญยังผูกมัดไว้ด้วย “ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” โดยที่ไม่มีประชาชนอยู่ในสมการ

ทำไมคนจนจึงต้องเข้ามามีส่วนร่วมเขียนรัฐธรรมนูญ

บารมี ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า เพราะรัฐธรรมนูญไม่เห็นหัวคนจน อย่างการออกกฎหมายป่าไม้และนโยบาย “ทวงคืนผืนป่า” ขับไล่ประชาชนออกจากพื้นที่ รวมถึงการข่มขู่ จับกุม ดำเนินคดี โดยไม่มีการศึกษาผลกระทบหรือมาตรการชดเชยเยียวยา

“สิ่งที่มามัดมือมัดตีนพวกเราก็คือ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ถูกกําหนด 20 ปี โดยที่พูดตรง ๆ คือ ไม่เห็นหัวพวกเราเลย ทั้งหมดทั้งปวงเหล่านี้ เป็นเหตุที่ควรจะต้องเขียนรัฐธรรมนูญใหม่”

บารมี ชัยรัตน์ ที่ปรึกษาสมัชชาคนจน

“จริง ๆ เราก็ไม่ได้เพิ่งรณรงค์นะ เรารณรงค์ตั้งแต่แรก แล้วพวกเรากับเพื่อน ๆ อีกหลายองค์กร ก็รณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญปี 60 แต่ก็เราก็แพ้ เพราะว่าตอนนั้นถ้าไม่รับร่าง ใครไปรณรงค์ก็เที่ยวจับ เที่ยวหาทางข่มขู่ จนประชามติออกมาแบบนั้น”

บารมี ชัยรัตน์ ที่ปรึกษาสมัชชาคนจน

แม้จะถูกปราบจากผู้มีอำนาจ แต่ภาคประชาชนก็ยังคงเคลื่อนไหวต่อเนื่อง มีการจัดกิจกรรมเสริมสร้างความรู้ โครงการอบรมโรงเรียน สสร.คนจน รวมถึงจัดทำ “ร่างรัฐธรรมนูญฉบับคนจน” ด้วยการระดมข้อเสนอแนะจากเครือข่าย 118 องค์กร ใน 53 จังหวัด เพื่อยืนยันว่า ประชาชนเป็นเจ้าของอธิปไตย ต้องมีอํานาจในการเขียนรัฐธรรมนูญเป็นของตนเอง

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สมัชชาคนจนได้รวบรวมข้อเสนอเชิงนโยบายต่าง ๆ เช่น การกระจายอำนาจ การปฏิรูปที่ดิน สิทธิเกษตรกร สิทธิในทรัพยากร สิทธิแรงงาน รัฐสวัสดิการ รวมถึงข้อเสนอสันติภาพชายแดนใต้ เพื่อสื่อสารให้สังคมรับรู้ว่า องค์กรคนจนพร้อมแล้วที่จะเข้าร่วมในกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ

อีกประเด็นสําคัญของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ควรได้รับการชำระสะสางอย่างเร่งด่วนก็คือ การกำหนดโครงสร้างอํานาจอธิปไตย 3 ฝ่ายให้ชัดเจน คือ อํานาจบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ขณะเดียวกันก็ต้องจัดวางดุลอำนาจขององค์กรอิสระให้อยู่ในร่องในรอย และสามารถถูกตรวจสอบถ่วงดุลได้เช่นกัน

“ผมถามว่าแล้วองค์กรอิสระอยู่ตรงไหนของ 3 อํานาจนั้น ผมก็มองไม่ออกเหมือนกัน คุณเป็นองค์กรอิสระภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่คุณไม่อยู่ภายใต้ 3 อำนาจนั้น เพราะฉะนั้นอํานาจอาจจะมีมากกว่า 3 ก็ได้ องค์กรอิสระก็อาจจะไปอยู่ภายใต้อํานาจในการตรวจสอบและกํากับอะไรก็ได้ ซึ่งมันก็ต้องมีการถ่วงดุลกัน เพราะฉะนั้นองค์กรอิสระก็ต้องถูกตรวจสอบกํากับด้วย ไม่ใช่เป็นแบบศาลรัฐธรรมนูญที่แตะต้องอะไรก็ไม่ได้ ทําอะไรไม่ได้เลย อย่างนี้มันก็สร้างความเป็นธรรมไม่ได้”

บารมี ชัยรัตน์ ที่ปรึกษาสมัชชาคนจน

บารมี เล่าว่า กระแสเรียกร้องรัฐธรรมนูญในปัจจุบันค่อนข้างแตกต่างจากในอดีต โดยบรรยากาศช่วงปี 2540 นั้น เต็มไปด้วยความสามัคคี มีการเคลื่อนไหวรณรงค์โบกธงเขียวกันทั่วประเทศ หลังประชาชนได้รับชัยชนะจากการโค่นล้มเผด็จการคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.)

แต่ในยุคปัจจุบัน บารมี มองว่า การเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นบรรยากาศของความขัดแย้ง มากกว่าที่จะเป็นการถกเถียงกันอย่างสร้างสรรค์

“สิ่งที่ผมคิดว่าพวกเราหลายคนพยายามทํากันอยู่ คือ พยายามบอกกับคนในสังคมว่า ถ้าเราอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญปี 60 คนที่ไปไม่รอด คนที่เดือดร้อน ก็คือทุกคน โดยเฉพาะคนจนที่จะเดือดร้อนมากกว่าคนอื่น เพราะฉะนั้นมันควรที่จะต้องกลับมาจับมือกัน”

บารมี ชัยรัตน์ ที่ปรึกษาสมัชชาคนจน

ที่ปรึกษาสมัชชาคนจน บอกอีกว่า การผลักดันร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จำเป็นอย่างยิ่งที่ภาคประชาชนจะต้องมีความหวัง และต้องหวังด้วยว่าการจับมือกันของพรรคการเมืองใหญ่ที่จะไม่เป็นเพียงแค่การละคร โดยภาคประชาชนต้องช่วยกันกระทุ้ง เพื่อให้กระบวนการเดินหน้าต่อไปจนสุดทาง

บนเส้นทางของการร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้ เป้าหมายของสมัชชาคนจนก็คือ ทำอย่างไรให้สังคมในวงกว้างรับรู้และเข้าใจถึงความสำคัญของการแก้รัฐธรรมนูญ และมองเห็นผลกระทบที่เชื่อมโยงต่อชีวิตตนเอง

บารมี เผยว่า ความท้าทายคือการขยายความรู้ไปสู่ผู้คนในวงกว้างให้ได้มากที่สุด และจะต้องทำให้รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย ประชาชนเข้าถึงได้ ไม่ใช่ผูกขาดความรู้ไว้กับผู้มีอำนาจเพียงฝ่ายเดียว

“คําขวัญของสมัชชาคนจน คือ ประชาธิปไตยที่กินได้ การเมืองที่เห็นหัวคนจน เพราะฉะนั้นเราต้องพูดว่าประชาธิปไตยเป็นเรื่องง่าย เป็นเรื่องที่กินได้ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปากท้องของเขา เป็นเรื่องที่อยู่กับชีวิตความเป็นอยู่ของเขา”

บารมี ชัยรัตน์ ที่ปรึกษาสมัชชาคนจน

สุดท้ายแล้ว ที่ปรึกษาสมัชชาคนจน ย้ำว่า หนทางการต่อสู้เพื่อรัฐธรรมนูญยังอีกยาวไกล ประชาชนอย่าได้หมดศรัทธาต่อประชาธิปไตย และอย่าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของชนชั้นนำที่จะเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของพวกเราเอง

ทางตรงไปไม่ได้ ก็ต้องไปทางอ้อม

ท่ามกลางอุปสรรคมากมาย รศ.โคทม อารียา ที่ปรึกษาสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล มองว่า ช่วงเวลานี้คือโอกาสทองของการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน แม้ข้อเสนอเรื่องการเลือกตั้ง สสร. โดยตรง จะมีอันต้องสะดุดลงจากความเห็นของศาลรัฐธรรมนูญก็ตาม

เมื่อประชาชนไม่สามารถเลือกตั้ง สสร. โดยตรง จึงควรพิจารณาถึงแนวทางการเลือกตั้ง สสร. โดยอ้อม แต่ไม่ใช่หวังพึ่งกระบวนการที่รวบรัดของรัฐสภา ซึ่งสุดท้ายอาจเป็นเพียงรัฐธรรมนูญฉบับนักการเมือง

รศ.โคทม ยกตัวอย่างการได้มาซึ่ง สสร. ในปี 2539 เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 นั้น ก็ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนเช่นกัน แต่มาจากกระบวนการ 2 ขั้นตอน คือ

  • ขั้นตอนแรก ให้ผู้สมัคร สสร. ในแต่ละจังหวัด เลือกกันเองจังหวัดละ 10 คน
  • ขั้นต่อมา คือ ส่งรายชื่อมาให้รัฐสภาเลือกอีกครั้ง จนได้ สสร. 77 คน ส่วน สสร. อีก 23 คน ให้รัฐสภาเลือกตั้งจากสัดส่วนของผู้ทรงคุณวุฒิ

แต่ในยุคปัจจุบัน การใช้วิธีเลือกกันเองเพื่อเป็น สสร. อาจสุ่มเสี่ยงต่อการฮั้วหรือการจัดตั้ง ดังข้อครหาที่เกิดขึ้นกับการเลือกตั้ง สว. 2567 

ดังนั้น รศ.โคทม จึงเสนอว่า ควรมีคณะบุคคลที่ผ่านการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่น เป็นคณะผู้เลือก สสร. ในแต่ละจังหวัดแทน ก่อนที่จะเสนอรายชื่อให้รัฐสภาพิจารณา จนได้ สสร. จำนวน 77 คน และให้รัฐสภาเลือกตั้ง สสร. ในสัดส่วนของผู้ทรงคุณวุฒิอีกจำนวน 23 คน

เมื่อเข้าสู่ขั้นตอนการร่างรัฐธรรมนูญ สิ่งที่ รศ.โคทม เน้นย้ำก็คือ การแบ่งแยกอํานาจ 3 ฝ่ายให้ชัดเจน ระหว่างฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ แต่ไม่ควรมีอำนาจใดอยู่เหนือการตรวจสอบถ่วงดุล อย่างองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญที่กำลังถูกตั้งคำถามอย่างมากในเวลานี้

“ในระบอบรัฐสภา ที่ไหน ๆ เขาก็ถือว่ารัฐสภาเป็นใหญ่ เป็นองค์อธิปัตย์สูงสุด จะออกกฎหมาย จะล้มรัฐบาล ก็มติไม่ไว้วางใจตรงนี้ เพราะมาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง”

รศ.โคทม อารียา ที่ปรึกษาสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล

“รัฐธรรมนูญเขามีไว้เพื่อออกแบบให้กลไกต่าง ๆ ของรัฐ เป็นธรรมนูญของรัฐ เป็นกติกาของรัฐ กติกาก็ต้องเอื้ออํานวยให้รัฐเดินหน้าไปได้ในระบอบประชาธิปไตย ก็คือเคารพอํานาจอธิปไตยของประชาชน ไม่ใช่อํานาจอธิปไตยของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ”

รศ.โคทม อารียา ที่ปรึกษาสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล

ที่ผ่านมา ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการป้องกันและปราบปราบการทุจริตทุกรูปแบบ มีการออกแบบองค์กรอิสระและกลไกต่อต้านคอร์รัปชันไว้มากมาย แต่เอาเข้าจริงแล้ว ไทยก็ยังอยู่ท้ายตารางของการจัดอันดับคอร์รัปชันทั่วโลก ซึ่งหมายความว่า ต้องมีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นกับกลไกที่เป็นอยู่

เมื่อต้นปี 2568 องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) ได้เผยแพร่ผลการสำรวจดัชนีการรับรู้การทุจริตหรือคอร์รัปชัน ประจำปี 2567 ของ 180 ประเทศทั่วโลก พบว่า ประเทศไทยจัดอยู่ในอันดับที่ 107 ของโลก โดยได้คะแนน 34 คะแนน เทียบเท่ากับประเทศเนปาล สะท้อนให้เห็นว่าการต่อต้านคอร์รัปชันยังไม่ประสบความสำเร็จ

หันกลับมาดูรัฐธรรมนูญ 2560 หรือที่เรียกกันว่า “รัฐธรรมนูญปราบโกง” ทำให้เห็นชัดว่า การกำหนดให้มีกลไกทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นองค์กรอิสระ หรือ พ.ร.บ.มาตรฐานจริยธรรม อาจไม่ใช่ทางออกของปัญหา

เมื่อเข้าสู่บรรยากาศของการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หลายพรรคการเมืองเริ่มมีข้อเสนอออกมามากมาย แต่ รศ.โคทม มองว่า แนวทางที่ดีที่สุดคือ ต้องเริ่มต้นจากความต้องการที่แท้จริงของประชาชน และต้องขอความชัดเจนจากศาลรัฐธรรมนูญอีกครั้ง

“ควรถามศาลรัฐธรรมนูญก่อนว่า ที่เขียนมาว่า การได้มาซึ่ง สสร. โดยการเลือกตั้งทางตรง จะกระทําไม่ได้ เขามีเหตุผลประกอบอะไร และเป็นคําวินิจฉัยหรือเป็นเพียงคําแนะนํา ถามเรื่องนี้ก่อน แต่ตอนนี้กระวีกระวาดเหมือนกับเป็นคําวินิจฉัยไปแล้ว ก็ไม่ว่ากัน แล้วก็เดินหน้าไป ถ้าจะเอาเลือกตั้งโดยอ้อมก็เดินหน้าไปตามนั้น”

รศ.โคทม อารียา ที่ปรึกษาสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล

รศ.โคทม กล่าวต่อว่า ไทม์ไลน์สำคัญที่ต้องติดตามก็คือ รัฐสภาจะผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 โดยได้รับเสียงสนับสนุน 1 ใน 3 ของ สว. ได้อย่างไร ซึ่งถือเป็นกุญแจดอกแรกที่จะต้องปลดล็อกให้ได้ ก่อนจะไปสู่ขั้นตอนประชามติต่อไป

เมื่อทบทวนเส้นทางกว่า 8 ปีของรัฐธรรมนูญ 2560 และเฝ้าดูความพยายามของประชาชนในการทวงคืนอำนาจที่เป็นของตนเองมาตลอด จะเห็นชัดว่าโจทย์ใหญ่ของประเทศไทยไม่ใช่เพียงการ “แก้ไขรัฐธรรมนูญ” หากคือการฟื้นฟูหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตยให้กลับมายืนบนเจตจำนงของประชาชนอย่างแท้จริง

การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่ควรเป็นเพียงภารกิจของผู้มีอำนาจในรัฐสภา แต่ต้องเป็นกระบวนการที่ประชาชนทุกกลุ่มมีสิทธิร่วมออกแบบอนาคตของตนเอง ทั้งในด้านสิทธิ เสรีภาพ ระบบตรวจสอบถ่วงดุล และโครงสร้างอำนาจรัฐ

แม้เส้นทางจะเต็มไปด้วยอุปสรรค ทั้งคำวินิจฉัยที่ตีความแคบ การล็อกกติกา และอิทธิพลของชนชั้นนำ แต่พลังของสังคมที่ตื่นรู้และไม่ยอมจำนนคือแรงผลักสำคัญที่จะทำให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ “เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง”

เพราะตราบใดที่ประชาชนยังยืนหยัดและไม่ปล่อยให้ใครเขียนกติกาแทน เราก็ยังมีโอกาสสร้างอนาคตที่เป็นธรรม เสมอภาค และประชาธิปไตยมากกว่าที่ผ่านมา มิเช่นนั้นแล้ว ประเทศไทยก็จะตกอยู่ในวังวน ของการใช้อำนาจภายใต้รัฐธรรมนูญ ของชนชั้นปกครองที่อยู่เหนือประชาชนมาโดยตลอด

รัฐธรรมนูญจึงไม่ใช่เป็นเรื่องไกลตัว หรือเป็นเพียงประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองของขั้วใดขั้วหนึ่ง แต่รัฐธรรมนูญคือเข็มทิศที่จะกำหนดทิศทางอนาคต และเกี่ยวข้องกับชีวิตของเราทุกคนตั้งแต่เกิดจนตาย

ทั้งหมดนี้จึงเป็นคำตอบว่ารัฐธรรมนูญผิดตรงไหน ทำไมถึงต้องแก้?


Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active