จน = ผิด ? กฎหมายและสิทธิ ที่ไม่เคยยืนข้าง ‘ความจน’

บ่อยครั้งที่คุณอาจได้เห็นข่าวเกี่ยวกับการกระทำที่หมิ่นเหม่ต่อกฎหมาย กระทั่งเลยเถิดไปจนถึงความผิดกลายเป็นคดีความ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และคน ๆ นั้นที่ตกเป็นข่าวอยู่ในสถานะ “คนจน”

ยังไม่รวมวลียอดฮิตที่เป็นได้ทั้งประโยคบอกเล่า และการตั้งคำถาม ต่อกระบวนการยุติธรรมที่ว่า “คุกมีไว้ขังคนจน” ? ประโยค ๆ นี้กลายเป็นสิ่งสะท้อนความรู้สึกนึกคิดของผู้คนในสังคม ผ่านประสบการณ์ที่อาจเป็นสิ่งยืนยันการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ที่ถูกมองว่า ขึ้นอยู่กับทุนทรัพย์ นั่นอาจหมายถึงว่า คนที่มีเงินอาจสามารถมีกำลังมากพอกับการจ้างทนายเก่ง ๆ มาสู้คดี สามารถใช้ช่องว่างทางกฎหมาย หรือแม้แต่ประกันตัวออกมาใช้ชีวิตตามปกติระหว่างรอการตัดสิน

แต่ตรงกันข้ามกับคนจน เพราะหากไม่มีเงิน ไม่มีความรู้ทางกฎหมาย หรือแม้แต่เงินจะประกันตัว ก็กลับต้องติดคุกตั้งแต่ยังไม่มีคำตัดสินสุดท้าย บางกรณีเขาอาจไม่ใช่คนผิด แต่อาจเป็นเพียงเพราะเขา “จนกว่า” เท่านั้นเอง

ดังนั้นเมื่อเงินกลายเป็นปัจจัยชี้เป็นชี้ตายของเส้นทางยุติธรรม ความยุติธรรมจึงอาจไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเข้าถึงได้จริง อย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะคนจนที่ต้องจ่ายด้วย “อิสรภาพ” และเวลาในชีวิตที่ต้องสูญเสียไปกับการต้องเผชิญความยากลำบากระหว่างสู้คดี

ในนิทรรศการ “เท่าหรือเทียม : เส้นทางความเหลื่อมล้ำ คนจนเมือง” ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เราได้พบกับ บัส – เทวฤทธิ์ มณีฉาย สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะของอดีตคนแวดวงสื่อสารมวลชน ที่สนใจประเด็นด้านสิทธิ และความเท่าเทียมในสังคม จึงชวน สว.บัส แลกเปลี่ยนความเห็นผ่านบทสนทนาในแง่มุม “กฎหมายกับความยากจน” สำหรับเขาแล้วมองเห็นอะไร ?

เทวฤทธิ์ มณีฉาย สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ระหว่างชมนิทรรศการ “เท่าหรือเทียม : เส้นทางความเหลื่อมล้ำ คนจนเมือง”
(ภาพ : Tewarit Bus Maneechai)

แล้ว ‘คนจน’ หน้าตาแบบไหน ?

ก่อนเข้าเรื่องกฎหมายกับคนจน สิ่งแรกที่ชวนคุย คือ ถ้าพูดถึงคนจน…มีภาพจำแบบไหน สำหรับ สว.บัส อาจไม่ได้มองแค่ว่า จน-เจ็บ-ป่วย-สารพัดโรค และคนจนที่จนหนักมาก ๆ สามารถดึงดรามาได้ในรายการทีวีต่าง ๆ ซึ่งนั่นคือคนจนที่ไม่มีใครปฏิเสธ แต่สิ่งที่ต้องไม่ลืม คือ ยังมีคนจนอีกจำนวนหนึ่งที่เป็นคนปกติทั่วไป ไม่ได้มีภาพความจนที่สุดขั้ว หรือเรียกน้ำตาได้ แต่พวกเขาก็เป็นทั้งคนจน และคนเสี่ยงจนได้ นั่นก็คือคนอย่างเรา ๆ นั่นเอง

กฎหมายกับคนจน : เท่าเทียมจริงหรือ ?

“กฎหมายควรเสมอภาค โดยสมมติฐานว่าทุกคนจะต้องรู้กฎหมาย และเป็นส่วนหนึ่งของพลเมือง แต่ปัญหาสำคัญ คือ การเข้าไม่ถึงความรู้นั้น ถามว่าเขาผิดไหม ทั้ง ๆ ที่เขาถูกกีดกันออกไปด้วยปัจจัยเรื่องของทรัพยากร ทั้งทางความรู้หรือแม้กระทั่งเวลา”

สว.บัส พยายามหาคำอธิบาย ในประเด็นกฎหมายกับคนจน เท่าเทียมกันหรือไม่ ? ถ้าจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพ อย่างกรณี กฎหมายจราจรบังคับการสวมใส่หมวกกันน็อก ก็เพื่ออำนวยสวัสดิภาพและความปลอดภัยในการขับขี่ แต่ส่วนใหญ่เวลาบังคับใช้ เราเน้นไปที่วิธีการ ถ้าไม่ใส่ก็ต้องผิด เพราะว่าผู้ปฏิบัติงานเป็นเจ้าหน้าที่ระดับผู้ปฏิบัติงาน เขาก็กังวลว่า ถ้าหากไม่จับกุมผู้กระทำความผิด ก็จะโดนมาตรา 157 ที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ แต่ถ้าหากว่าดูที่เป้าหมาย การไปจับ ปรับ ผู้กระทำความผิดอาจจะยิ่งทำให้เขาเดือดร้อนมากขึ้นหรือไม่

มีบางตัวอย่างในกระบวนการยุติธรรมที่สะท้อนในมุมของความเท่าเทียม เสมอภาคได้ชัดเจน คือ ถ้าพูดถึงความเท่าเทียม เชื่อว่าทุกคนได้เท่ากันหมด กฎหมายบังคับทุกคนเท่ากัน แต่ในความเป็นจริงเราไม่ได้ดูเบื้องหลังของเขา ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ ถ้าเอาลูกคนรวยมาแข่งกับลูกคนจน คนจนที่เขามีภาระก็อาจมีข้อจำกัด เช่น คุณให้เวลาเรียนในห้องเรียนเท่ากัน แต่ว่าลูกคนจนเขาอาจมีภาระทางบ้านที่ต้องทำงานตั้งแต่เช้า พอไปเรียนแล้วสมาธิก็อาจจะหลุดหรือง่วงนอน ดังนั้นการสอบวัดเกณฑ์แข่งขันต่าง ๆ ก็อาจจะไม่เท่ากัน ยังไม่รวมถึงความสามารถที่จะเข้าถึงโรงเรียนกวดวิชาที่มันค่าใช้จ่ายทั้งนั้น

อีกตัวอย่างที่เห็นชัดเจน คือ สิทธิของการประกันตัว การกำหนดเกณฑ์ราคาประกันตัวเท่ากัน ไม่ว่าคุณจะรวย คุณจะจน เงินประกันตัวเท่ากัน แต่ท้ายที่สุดแล้วคนจนก็ยอมเข้าคุกเพราะไม่มีเงินประกันตัว และยังไม่รวมถึงเรื่องของการเข้าถึงหลักประกันต่าง ๆ อย่างเช่น ถ้าคุณไม่รู้จักคนใหญ่คนโตที่จะมาประกันตัวให้คุณ คุณก็จะไม่ได้สิทธิ์ประกันตัว สิ่งเหล่านี้เป็นภาพชัดว่า กฎหมายมันซ้ำเติมความจน

กฎหมายกับคนจน บนข้อจำกัด ‘เวลา’

อีกเรื่องที่ สว.บัส มองว่าเป็นเหตุผลสำคัญให้กฎหมายกับคนจนเป็นเหมือนเส้นขนาน นั่นก็คือ เวลา เพราะไม่ว่าคุณจะลงทุนกับเรื่องอะไร จะเรียนรู้เรื่องอะไร ถ้าคุณมีเวลาคุณก็อาจจะได้เปรียบที่จะเรียนรู้ได้ แต่สำหรับคนจนตามที่ถ่ายทอดใน สารคดี คนจนเมือง หลาย ๆ กรณีเขาไม่ได้เป็นคนขี้เกียจ เขาขยันทำงานทุกอย่างไม่ลดละความพยายาม ปากกัดตีนถีบ เพื่อให้หลุดพ้นความจน เพียงแต่ เขาไม่มีเวลาเลย ขยันจนไม่มีเวลา และใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการยังชีพตัวเอง

สมมติถ้าคนจนคนหนึ่งต้องมาเจอคดีความ การจะไปศาลตามนัดแน่นอนคุณต้องหยุดงาน ซึ่งไม่ใช่แค่ครั้งเดียว เพราะยังมีนัดตรวจพยานหลักฐาน นัดประกันตัว นัดอะไรอีกมากมาย กว่าจะจบก็หลายวัน เท่ากับว่ารายได้เขาเสียไป หากเกิดเป็นคนรวยมีโอกาสที่จะจ้างทนาย และทนายก็ไปดำเนินงานให้เรียบร้อย ดังนั้น มันก็ไม่มีทางเสมอภาคกัน คือไม่ต่างการเอานักมวยรุ่นซุปเปอร์เฮฟวี่เวท กับรุ่นไลท์เวทมาดวลกัน เห็นได้ชัดว่าหลักการเรื่องความเสมอภาคกันในเชิงกฎหมาย ถ้าหากว่าคนในสังคมมีเบื้องหลังไม่เท่ากัน ก็สร้างความเสียเปรียบได้เปรียบอยู่ดี

“อีกกรณีที่น่าสนใจ สำหรับคนทำงานโรงงานจะต้องพิจารณา คือ โรงงานนี้มีโอทีหรือเปล่า เพราะว่าค่าแรงพื้นฐานมันไม่พอ เรามีนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทก็ยังไปไม่ทั่ว ดังนั้นเวลา คือสิ่งสำคัญ โรงงานไหนที่มีโอทีจะเป็นโรงงานระดับต้น ๆ ที่แรงงานจะตัดสินใจเลือก ไม่ใช่ว่าโรงงานนั้นมีสหภาพที่คอยคุ้มครอง เขาหรือเปล่า เพราะเวลาทำงาน 8 ชั่วโมงตามกฎหมายไม่สามารถเลี้ยงชีพเขาและครอบครัวได้”

เทวฤทธิ์ มณีฉาย

ขณะเดียวกันมีผู้ศึกษาถึงสิ่งที่ทำให้กลุ่มแม่บ้านสนใจเรื่องสังคมและการเมืองมากขึ้น ไม่ใช่ว่าเพราะว่าการรณรงค์หรืออย่างอื่น แต่เป็นเพราะว่ามีนวัตกรรมที่ชื่อว่า เครื่องซักผ้า ทำให้เขามีเวลามากขึ้น ก็คือไม่ต้องไปนั่งซักเอง แค่ประเด็นเล็กน้อยแบบนี้ ก็สามารถทำให้เขากลายเป็น Active Citizen มากขึ้นเพราะว่ามีเริ่มมีเวลาติดตามข่าวสารนั่นเอง

คนจนกับอำนาจ(ต่อรอง) ?

สว.บัส ยังเชื่อว่ามั่นว่า หากคนจนสามารถเข้าถึงกฎหมายได้อย่างเท่าเทียม มีสิทธิ สวัสดิการขั้นพื้นฐานได้จริง แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่เป็นแก่นแท้ คือ อำนาจ โดยเฉพาะอำนาจการต่อรองของคนจน หรือคนทั่วไป ก็คือ การรวมตัว สิทธิในการรวมกลุ่ม รวมตัวกัน เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในประเด็นต่าง ๆ

“การรวมกลุ่มไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้ในทันที ต้องมีกลไกทางกฎหมายหรือกลไกในเชิงการรณรงค์ ที่ทำให้เขารู้สึกเห็นความสำคัญ เช่น ในโรงงานก็ต้องให้กลไกการจัดตั้งสหภาพแรงงานใช้งานได้จริงด้วย ผมเคยให้น้องนักศึกษาฝึกงาน ลองดูว่าตัวชี้วัดหนึ่งที่ทำให้ค่าอาหาร ในมหาวิทยาลัย ที่ไหนถูก ที่ไหนแพง ตัวชี้วัดหนึ่งคือการตื่นตัว การรวมตัวกันของนักศึกษา ในมหาวิทยาลัยนั้น ๆ ถ้านักศึกษาในมหาวิทยาลัยสามารถที่จะรวมตัวกันเข้มแข็ง มันก็มีบทบาทในการที่จะต่อรอง ก็จะทำให้ราคาอาหารถูก ที่ที่มีความเข้มแข็งต่ำก็ราคาแพง”

เทวฤทธิ์ มณีฉาย

แน่นอนว่าเราอาจจะมีสหภาพแรงงาน ซึ่งสหภาพแรงงานปัจจุบันมีจำนวนองค์กรเยอะแต่ว่าสมาชิกน้อย จึงอาจจะยังไม่ค่อยทำหน้าที่ได้เต็มที่ ไทยเองก็ยังไม่ได้รับรองอนุสัญญา องค์กรแรงงานระหว่างประเทศที่ว่าด้วยเรื่องสิทธิการรวมกลุ่มเจรจาต่อรองซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลไกต่อรอง

“ถ้าคนงานเป็นปัจเจกหนึ่งคน จะไปต่อสู้กับนายจ้าง เรียกร้องว่า ฉันต้องการค่าแรงเพิ่มขึ้น สิ่งที่คุณจะได้ก็คือใบลาออก ดังนั้นเขาก็จะไม่กล้าเรียกร้อง แต่ถ้าเกิดเขาสามารถรวมกลุ่มได้ เขาก็จะมีสิทธิ์มีอำนาจ การมีอำนาจสำคัญมาก คำว่าจนจริง ๆ อาจต้องหมายรวมถึงการ จนอำนาจ เข้าไปด้วย”

เทวฤทธิ์ มณีฉาย

ความจนกับตัวตนที่หายไป

อีกเรื่องที่ขาดไม่ได้ คือ ต้องทำให้คนจน มีตัวตน สว.บัส ให้คำอธิบายว่า ครึ่งหนึ่งของประชากรในกรุงเทพฯ คือ ประชากรอพยพ พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นคนไม่มีทะเบียนบ้านในกรุงเทพฯ หรือในปริมณฑล เพราะว่าการย้ายทะเบียนบ้านเป็นเรื่องยาก ดังนั้นเขาก็เลือกที่จะไม่ย้าย อีกด้านหนึ่งคือเขาอาจรู้สึก Homesick ถ้าตัดขาดออกจากบ้านที่ต่างจังหวัด ก็เลยไม่อยากย้าย

ชีวิตในเมืองของแรงงานอพยพหลายคน ตั้งแต่แรกเริ่มของอุตสาหกรรมแรงงาน ดึงมาจากแรงงานภาคเกษตร หลังจากนั้นก็จะเป็นแรงงานที่มาจากภาคชนบทอย่างอีสาน และตอนนี้ก็เป็นแรงงานข้ามชาติ แรงงานหลายคนไม่ได้อยากจะมาแสวงหาโชคในเมือง และไม่คิดว่าชีวิตในเมืองเป็นชีวิตถาวรตลอดไป แต่พอเอาเข้าจริงหลายคนก็ต้องอยู่อย่างตลอดไป เพราะถ้ากลับบ้านไปก็ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือประกอบอาชีพ ไม่มีงานทำ

“พอเป็นแรงงานอพยพ สิ่งที่หายไปก็คือตัวตน เราไม่มีสิทธิ์เลือกตั้งในเขตพื้นที่ที่เราอยู่จริง อย่างผมก็เป็นแรงงานอพยพ ใน 365 วัน ประมาณ 340 วัน ผมอยู่กรุงเทพฯ แต่เวลาไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งทั้ง อบต. อบจ. หรือแม้กระทั่ง สส. ก็ต้องกลับไปเลือกที่บ้าน อย่างน้อยที่สุด อยากให้เขามีตัวตนอยู่ในกรุงเทพฯ อย่างเช่น เขาสามารถที่จะใช้ทะเบียนอื่นมายืนยันว่าอยู่จริง ๆ สมมติว่าเป็นทะเบียนของประกันสังคม ว่า เขาอยู่ที่โรงงานไหน เขามีตัวตนอยู่จริง ๆ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องระบบทะเบียนบ้านเท่านั้น หรือให้เขาแสดงเจตจํานงเลยว่า ฉันอยู่ที่นี่มาเป็นเวลาหนึ่งแล้ว ฉันอยากจะโหวตที่นี่ ไม่จำเป็นต้องย้ายทะเบียนบ้าน”

เทวฤทธิ์ มณีฉาย

เขายังตั้งคำถาม ด้วยว่า เวลาแรงงานอพยพต้องกลับไปเลือกตั้งที่บ้าน อาจจะเลือกคนที่ไม่ได้เป็นปากเป็นเสียงให้กับตัวเองจริง ๆ เพราะว่าเราก็ไม่รู้ และไม่ได้อยู่ที่บ้าน ขณะที่ ผู้กําหนดนโยบาย หรือ คนที่เสนอตัวเป็น สส. เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เขาก็ไม่มีความจําเป็นที่จะต้องแคร์เราเลย เพราะว่าเราอยู่ที่กรุงเทพฯ ทั้ง ๆ ที่เราอาจเลือกเขามา

พูดในเชิงกฎหมาย คุณเลือก สส. ไปก็เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายนิติบัญญัติเองเขาก็ต้องแคร์คนที่เป็นฐานเสียงของเขา และเราถูกผสมไปอยู่กับ สส. ในเชิงพื้นที่ คำว่า สส. ในเชิงพื้นที่ มันผสมหลายมิติมาก อย่างเช่น พื้นที่นี้ มีผลประโยชน์ร่วมตั้งแต่ชนชั้นนายทุน แรงงาน ชนชั้นกลาง ข้าราชการ คุณต้องแคร์ฐานเสียงเยอะมาก ดังนั้นความแหลมคมในเชิงข้อเสนอ ในเชิงนโยบายมันน้อย หนึ่งในกลไกที่จะทำให้คนเหล่านี้กล้ายืนหยัดอยู่กับข้อเสนอ ก็คือ ปาร์ตี้ลิสต์ หรือแบบบัญชีรายชื่อ

ยกตัวอย่างง่าย ๆ คนจนในเมืองใหญ่ อย่าง คนในขอนแก่น ในเชียงใหม่ ในปัตตานี เหล่านี้มีหลายอย่างที่เป็นโจทย์ของการเมืองในภาพใหญ่ระดับชาติ ถ้าเขาถูกแยกย่อยออกไปเป็นพื้นที่ เสียงของเขาอาจจะไม่สามารถกำหนด สส. ได้แบบในเขตพื้นที่ของเขา แต่ถ้าหากเป็นปาร์ตี้ลิสต์ แล้วคนนั้น พรรคนั้น มีนโยบายที่ตอบโจทย์เขา แล้วเขาก็ไปลงคะแนน เสียงจากปัตตานี เสียงจากขอนแก่น เสียงจากเชียงใหม่ อาจจะรวมมาได้ สส. ปาร์ตี้ลิสต์ 1 คนก็ได้

“แต่ปัจจุบัน เราไปแก้ให้จากตอนแรกที่มีบัญชีรายชื่อ 150 เหลือ 100 คน จริง ๆ แล้วควรจะเพิ่มสัดส่วน ส.ส. บัญชีรายชื่อ อันนี้เป็นกลไกในเชิงนิติบัญญัติเลย ต้องเพิ่มสัดส่วน สส. บัญชีรายชื่อให้มากขึ้น”

เทวฤทธิ์ มณีฉาย

นั่นเป็นมุมมองและความพยายาม มองความจริงว่าอะไรทำให้คนจนเข้าไม่ถึงสิทธิ และกฎหมาย ผ่านบทบาทของสมาชิกวุฒิสภาที่ได้ร่วมสะท้อนความไม่เท่าเทียมในสังคม

จำนงค์ หนูพันธ์ ที่ปรึกษาขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือ P-move

เพื่อให้เข้าใจบริบทคนจนในมิติการเรียกร้อง เคลื่อนไหวเพื่อผลักดันให้เกิดนโยบาย ให้มีกฎหมายเพื่อประชาชน เพื่อคนจนอย่างแท้จริง เราจึงได้คุยกับ จำนงค์ หนูพันธ์ ที่ปรึกษาขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือ P-move

สังคมอาจมองกลุ่มพีมูฟ เป็นไม้เบื่อไม้เมากับทุกรัฐบาล แต่นั่นก็กำลังสะท้อนว่า ข้อเรียกร้องของประชาชนแทบไม่เคยมีรัฐบาลยุคไหนแสดงความจริงใจ กับการให้ความสำคัญเพื่อแก้ปัญหาที่กระทบต่อสิทธิของชาวบ้าน คนยากจน แต่ยังคงมีนโยบาย และโครงการพัฒนาของรัฐ ที่ยิ่งผลักคนจนให้ตกขอบซ้ำเติมอยู่ตลอดเวลา

ความหวังเขียนกฎหมายของคนจน

สำหรับ จำนงค์ แล้วเขามองว่า กฎหมายเกือบทุกฉบับไม่เคยเอื้อให้กับคนคนจน เชื่อว่ามีความเหลื่อมล้ำที่ชัดเจนอยู่ตลอด ไม่สามารถที่จะเอื้อให้กับคนจนเข้าถึงได้ อย่างเรื่อง ที่ดินที่อยู่อาศัย รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่า รัฐบาลจะต้องเป็นคนจัดสรรให้ แต่ทุกครั้งก็ยังต้องออกไปเรียกร้อง ตั้งแต่การแก้ปัญหาเรื่องที่ดินที่อยู่อาศัย สาธารณูปโภค ทุกเรื่อง คือคนจนต้องออกไปรวมตัวกันเพื่อเรียกร้อง ถึงจะได้มาบ้าง ไม่ได้บ้าง

(ภาพ : ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม P-move)

เพราะว่าคนจนไม่สามารถไปเขียนกฎหมายเอง ไม่มีส่วนร่วมเขียนกฎหมาย หรือว่าเขียนรัฐธรรมนูญทุก ๆ ฉบับที่ผ่านมา และที่ภาคประชาชนเสนอไป ก็ไม่ถูกนำไปใช้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ไม่มีคำที่บอกว่า ชนชั้นใดเขียนกฎหมายก็เพื่อเอื้อกับชนชั้นนั้น เพราะให้คนอื่นเขียน เขาก็ไม่รู้ว่าคนจนต้องการอะไร ความเท่าเทียมคืออะไร คนที่ไม่เคยสัมผัสความจนแล้วไปเขียนกฎหมาย เขาก็เขียนไม่ได้

“คนจนสัมผัสความจนมาตั้งแต่เกิด ตั้งแต่บรรพบุรุษ ตั้งแต่ออกลืมตาดูโลก ความจนติดตัวเขาไปแล้ว จะให้คนชนชั้นอื่นมาเขียนกฎหมายเพื่อให้เอื้อกับคนจน มันก็เป็นไปไม่ได้”

จำนงค์ หนูพันธ์

แก้ปัญหาให้ประชาชน นโยบายที่ไม่มีใครฟัง ?

จำนงค์ ยอมรับว่า นักการเมืองทุกพรรค เขียนนโยบายบอกว่าต้องแก้ปัญหาคนจนประมาณ 10 ล้านคนก่อน กี่รัฐบาล กี่พรรคก็พูด สุดท้ายแค่เป็นนโยบายที่หลอกคนจนเท่านั้นเอง หลอกให้เลือกแล้วก็ทิ้ง คนจนก็ยอมให้เขาหลอก เขาก็ไปขายนโยบาย สุดท้ายนโยบายที่เขาขายไปก็ทำไม่ได้ พอหมดภาระ 4 ปี หรือว่าถูกยึดอำนาจไป เขาก็เอาอันเดิมมาขายต่อ และไม่เคยถูกเขียนเป็นกฎหมาย บางพรรคก็เขียนบางส่วน แต่ไม่เคยนำมาใช้ให้มันเป็นจริงในทางปฏิบัติ

“เพราะคนจนบางส่วนไม่ได้รับการศึกษา เขียนไม่ได้อ่านไม่ออก อยู่ห่างไกลความเจริญ ไม่สามารถเข้าถึงทุกเรื่องได้ ไม่สามารถเข้าถึงสื่อได้ว่าตอนนี้สภาพบ้านเมืองไปถึงไหนอย่างไร ก็เลยเป็นเป้าหลักให้เขาถูกหลอกอยู่เรื่อย ๆ เวลามีการเลือกตั้งทุกครั้ง เขาก็ไม่พึ่งอะไร เพราะไม่รู้จะพึ่งอะไรแล้ว มีการซื้อเสียงเขาก็รับ เพราะความจนที่ต้องถูกหลอกให้เข้าไปเปิดบัญชีม้า ได้เงินแค่ 500 บาท และคิดว่าคงไม่เป็นอะไร นี่คือสิ่งที่คนจนเขาไม่รู้ คำพูดที่ว่า คุกมีไว้ขังคนจนก็ยังใช้ได้อยู่ทุกวัน

จำนงค์ หนูพันธ์

จำนงค์ ยังย้ำว่า ที่ผ่านมาพีมูฟมี 10 นโยบายสำคัญที่เสนอต่อรัฐบาลและทุกพรรคการเมือง เช่น เรื่องการกระจายอำนาจ, การแก้รัฐธรรมนูญ, เรื่องชาติพันธุ์, การศึกษา, ที่ดินที่อยู่อาศัย, เรื่องการเข้าถึงทรัพยากรอย่างเท่าเทียม ไปจนถึงรัฐสวัสดิการ ซึ่งพรรคการเมืองทุกพรรครับเป็นนโยบายหมด แต่สุดท้ายเขาไม่เอาไปทำ เขาก็เอานโยบายทางการเมืองของเขาก่อน

“จริง ๆ รัฐธรรมนูญคือเป็นทุกเรื่อง แต่แค่บอกว่าปากท้องไม่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ถ้าคนทุกกลุ่มเข้าไปร่วมเขียนกฎหมาย เชื่อว่ามันแก้ปัญหาได้”

จำนงค์ หนูพันธ์

ที่ปรึกษาพีมูฟ ระบุอีกว่า นโยบายที่โดนปัดตกไปแล้ว คือ การเสนอให้ดูแล เด็ก คนพิการ ผู้สูงอายุ เสนอเป็นข้อหลัก ๆ อย่างเด็กเล็กให้ดูแลถ้วนหน้า 600 บาท ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 ปี ซึ่งก็ถูกปัดตก หรือ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ก็เสนอให้เปลี่ยนเป็นเงินบำนาญแห่งชาติ 3,000 บาท ให้เริ่มต้นที่ 1,000 บาท ทั้ง ๆ ที่ใช้งบประมาณไม่เยอะและเป็นความยั่งยืน แต่รัฐบาลก็ไม่ทำ

“ถ้าเราสามารถ เสนอกฎหมายเองได้ เชื่อว่ามันก็จะมีความตรงจุดในการแก้ปัญหาให้กับคนจน คนส่วนใหญ่ของประเทศ เรื่องที่อยู่อาศัย ที่ดินทำกิน เราเสนอเรื่องโฉนดชุมชน อยู่แบบแปลงรวม ไม่ได้เป็นปัจเจก ส่งต่อให้กับลูกหลานซื้อขายไม่ได้ ซึ่งเรามีพื้นที่นำร่องทั่วประเทศ สามารถไปดูพื้นที่จริงได้ ว่ามันเป็นรูปธรรมและสามารถดูแลทรัพยากรธรรมชาติได้ เป็นความมั่นคงในเรื่องของที่ดิน ไม่ทำให้ที่ดินถูกทำเป็นสินค้า เพราะว่าเมื่อที่ดินถูกทำเป็นสินค้า ราคาที่ดินก็จะเป็นเชิงพาณิชย์ เชิงธุรกิจ แล้วก็จะไม่มีที่ดินให้กับลูกหลานในอนาคต และไปเปิดให้ต่างชาติเช่าแทน”

จำนงค์ หนูพันธ์

ที่สุดนี้สิ่งที่อยากฝากถึงผู้รับนโยบายไปทำ คือ ต้องแก้รัฐธรรมนูญให้คนทุกกลุ่มได้มีส่วนร่วมในการแก้ไข และเขียนกฎหมาย เพื่อแก้ปัญหาให้กับคนทุกกลุ่ม ทุกเพศทุกวัยในประเทศ โดยเฉพาะคนจนที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ให้มีที่ยืนในสังคมได้

        

Author

Alternative Text
AUTHOR

ณัฐพล ประกฤติกรชัย

นิสิต ชั้นปีที่ 4 คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย