‘ลงดอย’ สู่ ‘มหานคร’…ชะตากรรม เปลี่ยนวงจรชีวิต แลกความอยู่รอด หญิงชาติพันธุ์

หมู่บ้านขอบด้ง อยู่ในเขตอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ที่นี่มี ชาติพันธุ์ลาหู่ มากกว่า 160 ครัวเรือน ตั้งรกรากมานานหลายชั่วอายุคน หลังการประกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ ในปี 2512 และเป็นสถานีเกษตรหลวงอ่างขางในปัจจุบัน


ชาวบ้านยังอยู่อาศัย และประกอบอาชีพได้ ด้วยการปลูกผลไม้เมืองหนาวส่งให้กับโครงการหลวงอ่างขาง แต่พวกเขาไม่มีเอกสารสิทธิ์ในที่ทำกิน ไม่สามารถขยายพื้นที่อยู่อาศัยเพิ่มเติมได้

ปัจจัยของรายได้ที่ไม่มั่นคง จากผลผลิตทางการเกษตรที่ไม่แน่นอน ทำให้หลายครอบครัวต้องต่อสู้เพื่อปากท้อง และยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น นั่นเป็นเหตุผลให้ชาวลาหู่บ้านขอบด้ง มีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปอย่างมาก ตลอดช่วงหลายทศวรรษที่ผ่าน

“เมื่อก่อนผู้หญิงอยู่ดูแลทุกอย่างในบ้าน ผู้ชายทำไร่เฝ้าสวน แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ผู้หญิงต้องเข้มแข็งออกไปช่วยทำมาหากิน”

นั่นคือสภาพความเป็นจริงของชีวิตที่ไม่เหมือนเดิม ผ่านคำบอกเล่าของ นาฮูมา – วิศัลยา เกิดโอฬาร ชาวบ้านขอบด้ง โดยเฉพาะบทบาทของผู้หญิงที่เปลี่ยนไป


ครอบครัวของเธอมีที่ดินไม่ถึง 2 ไร่ ทั้งปีมีรายได้จากการปลูกพริก ผักกาด กะหล่ำปลี รายได้หลักจึงขึ้นอยู่กับผลผลิต แต่ราคารับซื้อที่ไม่แน่นอน และผลผลิตที่ตกต่ำ ทำให้รายได้ไม่พอใช้สำหรับคนในบ้านถึง 5 คน

นาฮูมา – วิศัลยา เกิดโอฬาร

 

เพื่อปากท้องของครอบครัว นาฮูมา จึงเริ่มทำงานเสริมด้วยการถักกำไลจาก หญ้าอีบูแค ขายให้กับนักท่องเที่ยวในสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง และหมู่บ้าน แต่วิกฤตโควิด-19 ทำให้สินค้าขายไม่ได้ ระหว่างนั้นลูกชาย 2 คน ต้องออกจากโรงเรียนชั้นมัธยมศึกษา เนื่องจากครอบครัวไม่มีเงินส่งเสียให้เรียนในระดับที่สูงกว่านั้น


เธอและสามี ต้องดิ้นรนอีกครั้ง ด้วยการหันมาปลูกสตรอว์เบอร์รี ซึ่งมีรายได้ดีกว่าพืชชนิดอื่น แต่ก็มีค่าต้นอ่อนที่ต้องลงทุนก่อน


การเดินทาง ‘ลงดอย’ มุ่งหน้าสู่กรุงเทพมหานคร ซึ่งเปลี่ยนวิถีชีวิตของนาฮูมา จึงเริ่มต้นขึ้น

“ตอนนั้นไปก็ไม่รู้อะไร ขึ้นรถอะไรก็ไม่รู้ เห็นเพื่อนบ้านไปก็อยากไปด้วย ไกลสุดถึงหาดใหญ่ ยิ่งหลังโควิดนี่ไปกันเยอะเลย หารายได้เพื่อจะมาใช้ในครอบครัว ไม่พอใช้”

นาฮูมา

ชีวิตในเมืองใหญ่ที่ไม่คุ้นเคยของหญิงชาติพันธุ์บนดอยไม่ใช่เรื่องง่าย นาฮูมา ต้องกินนอนในที่สาธารณะนานกว่า 1 สัปดาห์ จนกว่าของที่แบกขึ้นหลังมาจะขายหมด ใช้เงินที่มีอย่างประหยัด เพื่อกำเงิน 7,000 กว่าบาท กลับบ้าน


ใน 1 ปี นาฮูมา และผู้หญิงคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านต้องลงดอยมาขายของที่ระลึกแบบนี้ ปีละ 2 ครั้ง เพื่อเป็นทุนซื้อต้นอ่อนปลูกสตรอว์เบอร์รี เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว เงินที่ได้หลังหักหนี้สินเหลืออยู่ 40,000 กว่าบาท พอกินพอใช้ตลอดทั้งปี และพอส่งให้ลูกสาวคนเล็กได้เรียนหนังสือ จนกลายเป็นวีถีใหม่ที่วนเวียนแบบนี้ไม่รู้จบ และไม่มีหลักประกันว่าลูกสาวของนาฮูมา และเด็กผู้หญิงคนอื่น ๆ ต้องเผชิญชะตากรรมนี้ด้วยหรือไม่

พลอย ลูกสาวของนาฮูมา หยุดเรียนเพื่อช่วยแม่ปลูกสตรอว์เบอร์รี

‘การศึกษา’ คือทางรอด
แต่ไม่ใช่คำตอบของคนบนพื้นที่สูง ห่างไกลโอกาส

เพื่อให้ลูกหลุดพ้นจากวงจรความยากลำบาก นาฮูมา และอาจรวมถึงพ่อแม่คนอื่น ๆ ต้องจำใจกัดฟันดิ้นรนให้ลูกเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา เพื่อจะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี แต่เรื่องนี้ในมุมมองของ อาจารย์ชิผศ.สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์  ผู้เชี่ยวชาญด้านมานุษยวิทยาประยุกต์ และชาติพันธุ์ศึกษา มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ซึ่งเป็นอดีตเด็กชาติพันธุ์ที่มีโอกาสได้เข้าถึงการศึกษา มองว่า ไม่ง่าย ทั้งเรื่องข้อจำกัดที่ทำให้ไปได้ไม่ถึงปริญญาตรี และอาชีพที่ไม่รองรับทำให้เรียนจบแล้วบางคนกลับบ้านไม่ได้


อ.ชิ เล่าย้อนชีวิตว่า บ้านเกิดของตัวเองอยู่ที่ อ.กัลยาณิวัฒนา จ.เชียงใหม่ อยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่แจ่ม โดยสถานศึกษาที่ใกล้ที่สุดเวลานั้นมีถึงแค่ชั้น ม.ต้น ถ้าจะเรียน ม.ปลาย ต้องนั่งรถออกไป 5 ชม. และถ้ามหาวิทยาก็ยิ่งไกลกว่านั้นไปอีก สำหรับเขาแล้วกว่าจะจบปริญญา จะได้กลับบ้านปี ละ 2 ครั้ง เพราะต้องย้ายมาอยู่หอพัก เล่นดนตรีหารายได้ แต่พอเรียนจบจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถกลับไปบ้านเกิดได้ เพราะไม่มีงานที่ตรงกับสายที่จบมา

สอดคล้องกับการสอบถามเด็กชาติพันธุ์ที่เข้าถึงโอกาสทางการศึกษา 99% บอกว่า เรียนจบแล้วตัวเองอยากกลับบ้านเกิด แต่ได้กลับจริง ๆ มีแค่ 30% เท่านั้น และบางส่วนกลับไปโดยไม่ได้ต่อยอดวุฒิการศึกษาที่เรียนจบมา


อ.ชิ จึงเสนอประเด็นของการศึกษา ที่ต้องมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทั้งมิติของพลเผ่า-พลเมือง ผ่านกลไกการกระจายอำนาจ และสร้างทางเลือกให้ผู้เรียนสร้างงานด้วยตัวเอง ไม่ใช่สอนเพื่อป้อนเข้าตลาดแรงงานรูปแบบทุนนิยมเพียงอย่างเดียว

อนาคตของเด็กชนเผ่าเขาจะต้องเป็นทั้งพลเผ่า และพลเมือง ต้องเรียนรู้วัฒนธรรมทั้งสองโลกให้แข็งแรง แต่ถ้าเขาออกจากชุมชนนานจนเกินไป อาจจะทำให้เกิดการลืมเลือนนี่เป็นสิ่งที่การศึกษาจะต้องยืดหยุ่น และในระบบการศึกษาจะต้องสร้างทางเลือกให้กับผู้เรียนมากขึ้น ไม่ใช่แค่การเรียนเพื่อป้อนผู้เรียนให้เข้าสู่ระบบโรงงาน การจ้างงานของทุนอย่างเดียว แต่จะทำยังไง ให้การเรียนรู้พัฒนาศักยภาพของผู้เรียนกลับไปสร้างงาน นี่จะตอบโจทย์ของการได้กลับบ้าน”

ผศ.สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์

อ.ชิ ยังแสดงความเป็นห่วงต่อสถานการณ์กลุ่มชาติพันธ์ุ ที่ต้องเดินทางออกจากหมู่บ้านเพื่อหารายได้ในเมืองต่าง ๆ ที่เสี่ยงต่อการเกิดอาชญากรรม หรือตกเป็นเหยื่อจากการถูกหลอกลวงด้วย

ยุติวงจร ‘ลงดอย’ รัฐต้องผลักดัน ‘กม.ชาติพันธุ์’ หยุด! ภาวะเลือดไหลจากที่สูง

รศ.นฤมล อรุโณทัย อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าว่า แม้ประเทศไทยจะประกาศพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตชาติพันธ์ ตามมติคณะรัฐมนตรี 2 มิถุนายน 2553 ว่าด้วยการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล และ 3 สิงหาคม 2553 แนวนโยบายฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง ที่กำหนดให้เป็นพื้นที่ที่สามารถรักษา ต้นทุน ศักยภาพดั้งเดิม ทั้งวิถีชีวิต ระบบนิเวศ ประวัติศาสตร์ ไปแล้วกว่า 24 พื้นที่


แต่กลับพบว่ายังมีข้อจำกัดเรื่องการบังคับใช้ เพราะไปติดกับกฎหมายของอุทยานฯ และป่าไม้ ที่เจ้าหน้าที่บางหน่วยอ้างว่า ครม. ไม่ได้มีน้ำหนักเท่ากฏหมาย ทำให้ปัญหาหลัก ๆ ชาวบ้านที่เป็นชาติพันธุ์ทั้งบนพื้นที่สูง และอยู่ในทะเล ไม่สามารถใช้ที่ดิน หรือออกทะเลเพื่อหาปลาได้อย่างวิถีเดิม รวมไปถึงยังพบอคติในสังคมเรื่องการเป็นอภิสิทธิ์ชน ทั้งเรื่องการทำไร่หมุนเวียนตามวิถีเดิม และการออกหาอาหารทะเลของพี่น้องชาวเล


จึงเสนอให้รัฐผลักดันกฎหมายชาติพันธุ์ ที่ว่าด้วย พื้นที่คุ้มครองวีถีชีวิตชาติพันธุ์ ซึ่งจะเชื่อมโยงไปกับการใช้ที่ดิน และสิทธิขั้นพื้นฐาน อีกทั้งเพื่อยับยั้งไม่ให้วิถีชีวิตดังเดิมถูกถอนรากถอนโคน เผชิญปัญหาปากท้อง จนต้องลงมาเป็นคนจนเมือง จนสุดท้ายรัฐจะต้องมาช่วยเหลือที่ปลายทาง

“เราเห็นในเมืองเชียงใหม่เป็นศูนย์รวมคนที่ไม่สามารถจะหากินบนดอยได้แล้ว บางทีต้องลงมารับจ้างขายแรงงาน เป็นขอทานก็มี นี่เป็นปัญหาปลายทางที่หมายถึงรากเหง้าถูกถอนรากถอนโคน ซึ่งภาพแบบนี้มันไม่ใช่เลย กับคนที่เคยมีวิถีวัฒนธรรม มีความภาคภูมิใจ รู้จักทะเล รู้จักปลา ถูกเอามาไว้ในเมืองเพื่อที่จะดิ้นรนมีชีวิตอยู่ เพราะฉะนั้นรัฐต้องใช้เครื่องมือยังพอเหลืออยู่ก็คือกฎหมาย เราถึงจะยังสามารถรื้อฟื้นต้นทางเอาไว้ได้”

รศ.นฤมล อรุโณทัย

ปัจจุบัน ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ อยู่ระหว่างการพิจารณาของกรรมาธิการวิสามัญฯ ในชั้นวุฒิสภา ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมคุ้มครองสิทธิในการดำรงวิถีวัฒนธรรม และการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานต่าง ๆ ทั้ง ส่วนร่วมในการจัดการดูแลทรัพยากร ที่รวมถึงที่ดินทำกิน ที่อยู่อาศัย การพัฒนาอาชีพให้มั่นคง การรักษาพยาบาล และการศึกษา ให้ทั่วถึง เท่าเทียมกับคนอื่น ๆ ในสังคม


ถึงตรงนี้สำหรับ นาฮูมา และหญิงชาติพันธุ์ที่ยังต้องดิ้นรน พวกเธออาจเพียงต้องการแค่ได้กลับมาอยู่กันพร้อมหน้ากันกับคนในครอบครัว พร้อมคาดหวังให้สามารถได้มีวิถีชีวิตดั้งเดิมกลับคืนมา ยิ่งไปกว่านั้น คือการได้ถูกยกระดับคุณภาพชีวิต เข้าถึงสิทธิต่าง ๆ อย่างเท่าเทียม ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง เพื่อไม่ทำให้ต้นทุน ศักยภาพชาติพันธุ์ที่มี จบลงแค่การตกอยู่ในวงจร คน จน เมือง เหมือนทุกวันนี้


ชมย้อนหลัง สารคดี “คน จน เมือง” ซีซัน 5 ตอน ลาหู่ลงดอย

Author

Alternative Text
AUTHOR

รุ่งโรจน์ สมบุญเก่า

หนุ่มหน้ามนต์คนบางเลน สนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศ ชื่นชอบอนิเมะ ทั้งสัตว์บกสัตว์ทะเลล้วนเป็นเพื่อน