ความฝันระยะสุดท้าย… 365 วันจากนี้ ขอมีชีวิตที่เลือกเอง

“ชีวิตนี้เป็นของเรา ไม่เคยเป็นของคนอื่น
หากถึงวันที่ต้องเลือก ขอให้ตัวเรานั้นเป็นผู้เลือกเอง”

ชีวิตที่เลือกได้เอง ในแบบฉบับของ อิง – วิภาวี ภู่ทิม วัย 28 ปี กำลังทำหน้าที่ของมันอย่างแข็งขัน ภายหลังผลตรวจร่างกายปรากฏพบก้อนเนื้อร้าย

งานที่กำลังจะเริ่มต้นใหม่ ความฝันถึงชีวิตใหม่พังทลายลงไปทันที เมื่อต้องตกอยู่ในสถานะผู้ป่วยระยะสุดท้าย แต่ทำไม ? เธอจึงตัดสินใจยุติการรักษา และเดินหน้าเลือกวิธีการดูแลแบบประคับประคอง และไม่ขอยื้อชีวิต!!

The Active ชวนหาคำตอบ เปิดมุมมองชีวิตที่ยังเหลืออยู่ของ อิง กับการตั้งมั่นไม่ขอมีน้ำตาแห่งความโศกเศร้านับจากนี้ เพราะนี่คือช่วงเวลาอันล้ำค่า ที่ทำให้เธออยากกลับมามองเห็นชีวิตของตัวเองอีกครั้ง บนเส้นที่ เลือกเอง 

อิง – วิภาวี ภู่ทิม

ไม่มีใครรู้ ว่าคนเราจะเหลือเวลาสักเท่าไร ? บางคนชีวิตอาจแสนสั้นเกิดคาด หรืออาจยืนยาวราวกับเป็นนิรันดร์

แต่สำหรับ อิง ขอเลือกใช้ทุกนาทีต่อจากนี้อย่างมีความหมาย ทำในสิ่งที่ใฝ่ฝ้น และเป็นความสุข ไม่ว่าชีวิตจะเหลืออีกสักกี่วัน ก็จะไม่ขอเสียดายเลยสักวันเดียว

(ส่วนหนึ่งจากงาน Death Fest 2025 : Better Living, Better Leaving เพื่อการเป็นอยู่ที่มีความหมาย และวาระสุดท้ายที่ดีที่สุด วันที่ 21 มี.ค. 68)

ความฝันที่พังทลาย

“หลังยุติการรักษา หมอบอกว่าเรามีเวลาเหลืออีกแค่ 1 ปี…”

นี่คือสิ่งที่ อิง บอกกับเราอย่างเรียบเฉย ปราศจากความโศกเศร้า หรือหวาดกลัวใด ๆ ที่สะท้อนผ่านน้ำเสียงและแววตา

เธอตรวจพบเนื้อร้ายโดยบังเอิญจากการตรวจสุขภาพ เพื่อใช้ขอใบรับรองแพทย์เป็นเอกสารประกอบการเริ่มทำงานที่ใหม่ โดยงานใหม่ในครั้งนี้เป็นเหมือนอาชีพในฝัน ซึ่งเธอตื่นเต้นมากกับการเดินทางบทใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น แต่ไม่มีใครคาดคิด กระดาษแผ่นเดียวกันนี้ กลับเขียนตอนจบของการเดินทางนี้ไว้โดยสมบูรณ์

“ผลตรวจร่างกายเจอว่าเรามีก้อนเนื้อในกระเพาะปัสสาวะ
และสุดท้ายหมอพบว่าคือ มะเร็ง”

อิง ยอมรับว่า นาทีนั้นเหมือนโลกของเธอพังทลาย ทั้งสับสน และตกใจ ไม่มีใครเคยคิดว่า มะเร็ง จะเกิดกับตัวเองได้ แต่ความเสียใจนั้นเกิดได้ไม่นาน หมอเร่งเร้าให้เธอ และครอบครัวรีบตัดสินใจเรื่องการรักษาโดยด่วน

ในที่สุดท้าย อิง ตัดสินใจเลือกเดินหน้าเข้ารับการรักษาต่อด้วยความหวัง แต่น่าเสียดายที่การตัดสินใจครั้งนั้น กลับไม่ใช่ครั้งสุดท้าย

“เราตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดใหญ่ หลังการผ่าตัดทำให้เรามีถุงหน้าท้อง ที่จะอยู่ติดตัวกับเราไปตลอดชีวิต และใช้ชีวิตต่อไปได้ตามปกติเหมือนเคสอื่น ๆ แต่เราไม่ได้โชคดีแบบนั้น”

อิง – วิภาวี ภู่ทิม

และนี่เป็นจุดที่ทำให้ อิง ต้องตัดสินใจอีกครั้ง…

การตัดสินใจครั้งสุดท้าย

“หมอเจอว่าเรามีมะเร็งระยะแพร่กระจาย เชื้อมะเร็งจากกระเพาะปัสสาวะลุกลามไปยังปอด หมอเริ่มให้การรักษาโดยให้ยาคีโมฯ มาเรื่อย ๆ จนกระทั่งร่างกายก็ไม่ตอบสนอง ในที่สุด เราก็กลายเป็นผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย

อิง – วิภาวี ภู่ทิม

นี่คือข่าวร้ายจากหมอ หลังจากการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดมาอย่างต่อเนื่อง ความทรมานสาหัสของเธอที่กำลังต่อรองกับความหวังที่แสนริบหรี่ วันนี้ได้มาถึงตอนจบ…

หมอแจ้งกับเธอและครอบครัวอย่างตรงไปตรงมาว่า ร่างกายของเธอไม่สามารถรับการให้ยาเคมีบำบัดได้อีกต่อไปแล้ว จึงเสนอทางเลือกต่อไป คือ ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) โดยให้ยาเข้าไปกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายหลายล้านบาท

“หมอบอกว่า อาการเราเริ่มแย่และมีเวลาเหลือน้อยลงทุกที แต่ยังมีอีกหนึ่งทางรักษา คือ ภูมิคุ้มกันบำบัด ที่มีค่าใช้จ่ายมหาศาล และแน่นอนว่า ไม่มีอะไรการันตีว่าเราจะหาย เราเริ่มกังวลว่า ถ้าหากการรักษาไม่เป็นผล อาจทำให้ครอบครัวเดือดร้อนทางการเงินในอนาคต”

อิง – วิภาวี ภู่ทิม

อิง ยังเล่าว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ครอบครัวของเธอต้องเจอกับมะเร็ง ก่อนหน้านี้พ่อก็จากไปด้วยโรคมะเร็งเช่นกัน ตอนแรก ทุกคนคิดว่าเป็นเรื่องของพันธุกรรม แต่หมอยืนยันว่า อาจไม่เกี่ยวข้อง กรณีของเธอเป็นความผิดปกติของเซลล์ และนั่นเป็นความโชคร้าย ที่แสดงออกมาเร็วขนาดนี้

“ครอบครัวเราเคยเจอกับมะเร็งมาก่อน ลึก ๆ เรารู้ว่าชีวิตเราคงไปต่อไม่ได้แล้ว การยื้อชีวิตไปก็คงไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไป จึงไปปรึกษาครอบครัว ช่วงแรกทางบ้านก็ไม่เห็นด้วยเลย แม่อยากให้เราลองรักษาดูก่อน แม้จะเสียเงินเยอะเท่าไรก็ยอม แต่เรายืนยันกับเขาว่า เราคิดมาดีแล้ว ประกอบกับพวกเขาเห็นความทรมานจากการรับคีโมฯ ของเรามาแล้ว การไม่อยากเห็นเราเจ็บปวดอีกต่อไป จึงทำให้ยอมรับได้ง่ายขึ้น”

“แม้พวกเขาอยากให้เราลองเสี่ยงแค่ไหน แต่ถึงที่สุดแล้ว แม่บอกว่าอยากให้การตัดสินใจทั้งหมดเกิดจากตัวเราเอง ทุกคนในบ้านเคารพในการตัดสินใจของเรา รวมทั้งตัวเราเองด้วย เราใช้เวลาคิดอยู่ประมาณ 2 สัปดาห์ จึงกลับไปบอกหมอว่า ขอปฏิเสธการรักษาทั้งหมด

อิง – วิภาวี ภู่ทิม

เดือนมีนาคมที่ผ่านมา อิง จึงตัดสินใจขอยุติการรักษาทั้งหมด และเลือกการดูแล รักษาแบบประคับประคอง (Palliative Care) แทน เธอยอมรับว่า การตัดสินใจครั้งนี้เหมือนได้รับชีวิตใหม่อีกครั้ง พันธนาการทางร่างกายได้ถูกปลดปล่อย และจิตใจได้กลับมามีอิสระอีกครั้ง

ปัจจุบัน อิง เข้าพบแพทย์เพื่อติดตามการรุกรานของมะเร็งตามปกติ ได้รับการดูแล และจ่ายยาให้ตามอาการ ด้วยแนวทางการดูแลแบบประคับประคอง

“ตอนรักษามะเร็งแบบปกติ หมอจะมุ่งแต่รักษามะเร็งให้หาย แต่พาลิทีฟแคร์ ทำให้เราได้มีโอกาสพูดคุยกับหมอ และครอบครัวมากขึ้น เราได้เตรียมตัวล่วงหน้าทั้งเรื่องการจัดการชีวิต จัดการข้าวของ และการจัดการใจอย่างมีสติ

อิง – วิภาวี ภู่ทิม

อิง ได้เริ่มพูดคุย และแจ้งต่อแพทย์อย่างชัดเจนว่า หากอาการทรุดหนัก เธอขอปฏิเสธการปั๊มหัวใจ ใส่ท่อช่วยหายใจ และยื้อชีวิตทุกกรณี ขอแค่เพียงส่งให้เธอจากไปแบบเจ็บปวด ทุกข์ทรมานน้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ก็พอ

“หลังการตัดสินใจยุติการรักษา ความรู้สึกของเรามีแต่ ‘ความโล่งใจ’ เพราะที่ผ่านมา เราอยู่ในสภาวะที่ต้องตัดสินใจเรื่องการรักษามาตลอด แต่ในวันนี้ เรารู้แล้วว่าชีวิตเราจะเดินทางต่อไปในเวอร์ชันไหน และเราได้กล้าตัดสินใจต่อชีวิตเราจริง ๆ ต่อจากนี้ เวลาที่มีเหลือน้อยนิด เราจะใช้ชีวิตต่อไปได้โดยไม่ต้องกังวลใจต่อไปอีกแล้ว”

อิง – วิภาวี ภู่ทิม

ตอนนี้ สภาพจิตใจของ อิง ดีขึ้นอย่างมาก เพราะการวางแผน และมองเห็นปลายทางชีวิตที่ตัวเองเลือกเองทำให้สบายใจ ในขณะที่ด้านร่างกาย แม้มะเร็งจะยังคงอยู่ แต่ร่างกายที่ทรุดโทรมจากการให้คีโมบำบัดอย่างหนักก็ค่อย ๆ ฟื้นฟู 

และการตัดสินใจครั้งสุดท้ายนี้ ทำให้เธอได้กลับมากินของอร่อย ฟังเพลงที่ชอบ และได้กลับมาใคร่ครวญความหมาย และความต้องการในชีวิตอย่างจริงจัง

เมื่อนาฬิกา(ชีวิต) เริ่มนับเวลาถอยหลัง…

หากมีเวลาชีวิตเหลืออยู่เพียง 1 ปี คุณอยากจะทำอะไรก่อนตาย ?

นี่เป็นคำถามทีเล่นทีจริงที่หลายคนเคยเจอ แต่คงมีเพียงไม่กี่คนที่จะใคร่ครวญและหาคำตอบอย่างจริงจัง เพราะโลกที่บังคับให้เราเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทำให้เราใช้จ่ายแต่ละวันราวกับว่าเข็มนาฬิกาในชีวิตนี้จะเดินหน้าต่อไปได้ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

แต่สำหรับ อิง นาฬิกาที่กำลังนับเวลาถอยหลังนี้ เป็นของจริง

อิง เป็นอยู่ในวัยที่กำลังจะมีอนาคตไกล แม้เธอบอกว่าก่อนหน้านี้ ไม่เคยมีความฝันอันยิ่งใหญ่อะไรในชีวิต นอกจากการมีงานทำ และได้ดูแลครอบครัวให้มีความสุขที่สุดเท่านั้นพอ

แต่หลังตัดสินใจยุติการรักษา หมอคาดว่า เธอน่าจะมีเวลาเหลืออยู่ได้อีกเพียง 1 ปี

ไม่เพียงแต่ไร้ความตื่นตระหนก ฟูมฟาย แต่ อิง ใช้ระยะเวลาเพียงไม่กี่ร้อยวันนี้ ให้เป็นเหมือนหมุดหมายครั้งใหม่ของการเดินทาง 

อิง นำความฝันเล็ก ๆ และความปรารถนาทั้งหมดในชีวิตมาส่องขยายอีกครั้ง ว่า สิ่งใดกันแน่คือคุณค่าที่แท้จริง และสิ่งที่ทำให้เธอมีความสุข เพื่อที่จะใช้ทุกนาทีที่เหลือให้สวยงาม และสมบูรณ์แบบที่สุด

“วินาทีแรกที่รู้ว่าเหลือเวลาอีกแค่ 1 ปี เราคิดถึงครอบครัวเป็นอันดับแรก บ้านเราเคยผ่านช่วงเวลาที่สูญเสียพ่อไปแล้ว เรารู้ดีว่าการสูญเสียคนในบ้านมันแย่เพียงใด มีบางครั้งเหมือนกัน ที่เรากลัวว่าครอบครัวเราอาจคิดว่าดูแลเราไม่ดีหรือเปล่า หรือทำตรงไหนไม่เต็มที่ไหม ถึงทำให้เราเป็นแบบนี้ แต่เราจะบอกเขาเสมอว่าทุกคนได้ทำอย่างดีที่สุดแล้ว และนี่คือการตัดสินใจของเราเอง เรามีความสุขที่ได้เลือกเส้นทางนี้ “

อิง – วิภาวี ภู่ทิม

อิงเล่าว่า ในช่วงวาระสุดท้ายเช่นนี้ สำหรับเธอ ความรู้สึกของคนในครอบครัว คือ สิ่งที่สำคัญที่สุด และเธอไม่อยากให้การตัดสินในของตัวเองส่งผลกระทบต่อคนที่จะอยู่ต่อไปข้างหลัง

“การพูดคุยกับครอบครัวสำคัญมาก เราจะตัดสินใจตามความพอใจของตัวเองอย่างเดียวไม่ได้ แต่คนรอบตัวต้องเข้าใจด้วย เพื่อไม่ให้มีใครในบ้านรู้สึกผิดหรือติดค้าง นี่จึงเป็นสิ่งที่ต้องจัดการสะสางก่อนจากไป บ้านเรามีประสบการณ์จากพ่อที่ป่วยมาก่อน เรารู้ว่ามันยากแค่ไหนสำหรับพวกเรา เราเห็นแม่มีความทุกข์ เอาแต่โทษตัวเองว่าน่าจะดูแลคนรักได้ดีกว่านี้ หรือแม้กระทั่งเสียใจว่าหากมีเงินมากกว่านี้อาจจะรักษาพ่อให้หายได้”

“ถัดจากนี้ ชีวิตเราคงย้อนกลับไปไม่ได้อีกแล้ว ไม่มีใครเคยคิดว่าคนที่เจอเรื่องนี้ต้องเป็นเรา แต่ไม่ว่าอย่างไร ความตายก็ต้องมาถึงสักวัน เราไม่อยากให้พวกเขาทรมานจาการสูญเสียอีกแล้ว เราจึงอยากดูแลใจ ดูและความสัมพันธ์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ให้เขาไม่รู้สึกติดค้าง และสบายใจที่สุดก่อนที่เราจากไป วันนี้ เราจะคอยบอกแม่เสมอว่า ทุกคนทำดีที่สุดแล้ว และเราเองมีความสุขแค่ไหนกับสิ่งที่ได้เลือกเอง”

อิง – วิภาวี ภู่ทิม

อย่าให้ใคร มาตัดสินใจชีวิตเรา

ด้วยวัยเพียง 20 ปลาย ๆ การคิดถึงเรื่องความตายอาจไกลตัวไปสักหน่อยสำหรับคนทั่วไปรวมทั้ง อิง ด้วย ที่ไม่เคยคิดว่าความตายจะเกิดขึ้นกับตัวเองเร็วขนาดนี้

แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว อิงกลับมีการตัดสินใจอันเด็ดเดี่ยว ไม่ไหวเอน จนหลายคนตั้งคำถามว่า เหตุใดกันเด็กสาวคนนี้ถึงแน่วแน่ ชัดเจน เด็ดขาดได้เพียงนี้ 

แม้เธอไม่รู้หรอกว่าสิ่งนั้นคืออะไร แต่สิ่งหนึ่งที่เธอมี คือ การให้เกียรติตัวเอง

“ตอนเรารู้ว่าชีวิตเดินมาถึงระยะท้าย เราตกใจก็จริง แต่ก็พยายามยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นให้ได้เร็วที่สุด ความจริงที่ว่า คือ ไม่ว่าจะรักษาอย่างไรเสีย สุดท้ายเราก็ต้องตาย นั่นจึงทำให้เราตัดสินใจแบบนั้น แต่ตอนนั้น เรากลับได้ยินแต่เสียงของ คนอื่น ที่พากันออกความเห็นกับการตัดสินในของเรา บ้างก็บอกว่าให้ไปรักษาแบบนั้น บ้างก็บอกว่าให้ไปทำแบบนี้ แม้กระทั่งให้เราลองกินยาสมุนไพร”

อิง – วิภาวี ภู่ทิม

อิง เล่าว่า ก่อนหน้านี้ เธอเคยเป็นคนคนที่สนใจเสียงของคนอื่น กังวลว่าคนอื่นจะคิดเช่นไร หรือการตัดสินใจของตัวเองนั้นถูกดีแล้วหรือไม่ จึงได้แต่ฟังไว้เป็นทางเลือก แต่เมื่อได้ใช้เวลาไตร่ตรองความรู้สึกและความคิดตัวเองอย่างดีแล้ว จึงพบว่า นี่ไม่ใช่ความต้องการของเธอแม้แต่น้อย

“พอเราได้ทำความเข้าใจกับตัวเองจริง ๆ ก็พบว่า เราไม่ได้ต้องการสิ่งที่คนเหล่านั้นแนะนำเลย และพวกเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตของเราแม้แต่น้อย สิ่งที่เราต้องการจริง ๆ คือการวางแผนชีวิตล่วงหน้า และใช้เวลาอยู่กับครอบครัวที่เรารักให้ดีที่สุดต่างหาก”

“ชีวิตนี้เราเป็นของเรา ไม่เคยเป็นของคนอื่น หากชีวิตเดินทางมาถึงวันที่ต้องเลือก ก็ขอให้ตัวเรานั้นเป็นผู้เลือกเอง วันนี้หากอยากขอบคุณใครสักคนนอกจากครอบครัว คนที่เราอยากขอบคุณมากที่สุด คือ ตัวเราเอง ตัวเราที่กล้าตัดสินใจ ไม่กลัวที่จะเลือก เพราะนี่คือการให้เกียรติชีวิต และให้เกียรติตัวเองอย่างสูงสุดต่างหาก”

อิง – วิภาวี ภู่ทิม

365 วันต่อจากนี้ จะขอมีความสุขที่สุด

หากนับจากวันนี้ อิงจะมีเวลาเหลืออีกเพียง 1 ปี ตามที่หมอประเมิน หรืออาจจะมากกว่านั้น แต่ไม่ว่าจะสั้น-ยาวเพียงใด เธอไม่ยอมใช้ชีวิตแต่ละนาทีไปกับโศกเศร้า ฟูมฟาย แต่เน้นย้ำกับเราว่า ต่อจากนี้จะขอตั้งใจที่จะใช้ทุกวันอย่างมีความหมาย และใช้ชีวิตของตัวเองอย่างที่ใจต้องการมากที่สุด

เธอ ยังเล่าว่า แม่ฮ่องสอน คือ ที่ที่เธออยากไปเห็นด้วยตามานานแล้ว และเธอเพิ่งตัดสินใจไปทริปท่องเที่ยวเล็ก ๆ กับครอบครัว เพราะไม่รู้ว่าจะมี วันข้างหน้า ให้มาอีกไหม

และเธอเพิ่งกลับมาจากคอนเสิร์ตของศิลปินเกาหลีที่คลั่งไคล้ และได้วางแผนส่งต่อของรักของหวง อย่าง หนังสือและการ์ตูนเล่มโปรด ให้คนที่เธอมั่นใจว่าเห็นคุณค่า และรับมันไปดูแลต่อได้อย่างดี และมีความหมายกับเขาจริง ๆ 

“เราเป็นติ่งเกาหลี เพลงเมื่อสักครู่ที่เพิ่งเปิดไป คือเพลงของวง NCT DREAM (เอ็นซีที ดรีม) ที่เราชอบมาก การได้ไปคอนฯ คือ ชีวิตจิตใจของเรา พอเรารู้ว่าเวลาชีวิตเหลือเท่านั้นแล้ว เราไปคอนฯ กระจายเลย ไม่สนอีกแล้วว่าคนอื่นจะคิดยังไง เพราะนี้คือความสุขของเราจริง ๆ ต่อให้ตายไปก็ไม่เสียดายแล้ว”

อิง – วิภาวี ภู่ทิม

บทสนทนามาถึงตรงนี้ คงไม่สามารถซ่อนความสุขของเธอเอาไว้ได้จริง ๆ เพราะอิงเล่าให้เราฟัง ด้วยสายตาเปล่งประกาย ภายใต้รอยยิ้ม

วง NCT DREAM จากเกาหลีใต้ เด็กหนุ่มอันสดใส ที่เป็นเหมือนความฝันของพี่ ๆ บนโลกใบนี้
Credit : Facebook NCT DREAM 

“เมื่อก่อน เราคิดว่ายังมีเวลาอีกเหลือเฟือ เราฟุ่มเฟือยกับเวลามาก แต่พอชีวิตเดินทางมาถึงตรงนี้ มันทำให้เรารู้ว่าเวลาคนมีจำกัดจริง ๆ จากสายตาที่เคยมองวันธรรมดาเป็นแค่วันหนึ่ง แต่วันนี้ เรากลับให้คุณค่ากับความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ละวันได้อย่างง่ายดาย เราไม่รู้หรอก ว่าจริง ๆ แล้วความตายจะมาถึงตัวเมื่อไร แต่วันนี้เรายังได้กินยำวุ้นเส้นเมนูโปรด เรายังได้ฟังเพลงวงที่ชอบ ได้เห็นพวกเขาคัมแบ็คอัลบั้ม ได้เห็นแม่ยิ้มด้วยความภูมิใจที่เลี้ยงเรามาได้จนโต นี่ก็เป็นกำไรชีวิตแล้ว

อิง – วิภาวี ภู่ทิม

และหากในความเป็นจริง อิง มีเวลามากกว่าที่คาดไว้ เธอบอกกับเราว่า นั่นคงเป็นโชคดี แต่ไม่ว่าอย่างไร เธอได้ทำวันนี้อย่างดีแล้ว ต่อจากนี้จะไม่ยอมให้มีความรู้สึกติดค้าง หรือเสียดายกับสิ่งใดอีกต่อไป

“ถัดจากปีนี้ไป ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ก็ถือว่าเป็นโชคดี เป็นโบนัสของชีวิต แต่ถ้าวันนั้นไม่มาถึงก็ไม่เป็นไร เพราะวันนี้เรามั่นใจแล้วว่าจะไม่มีใครเป็นทุกข์จากการจากไปของเรา เพราะเราได้วางแผนชีวิตให้มีตอนจบที่เป็นการตายที่ดีแล้ว”

“เราอยากให้ทุกคนที่ยังมีเวลา และมีโอกาส ลงมือทำสิ่งที่ต้องการอย่างเต็มที่ อย่ารอเวลา และทำให้ทุกนาทีมีความสุขที่สุด หากทำได้แบบนี้แล้ว ต่อให้ตายไป ก็ไม่มีอะไรให้เสียดายเลย”

อิง – วิภาวี ภู่ทิม ทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม

Author

Alternative Text
AUTHOR

ปุณยอาภา ศรีคิรินทร์

บุญคุณต้องทดแทน มนต์แคนต้องแก่นคูน