ช้างเผือก – ยูนิคอร์น พลังวิเศษสร้างได้ : อย่าปล่อยให้ ‘การศึกษา’ เป็นเรื่องของ…ปาฏิหาริย์!

ในซีรีส์ สงครามส่งด่วน (Mad Unicorn) ได้เล่าถึง เรื่องราวของตัวละครหลักอย่าง ‘สันติ’ อดีตเด็กดอยที่ใช้ทักษะภาษาจีนของแม่เป็นใบเบิกทาง ไต่เต้าจากจุดเริ่มต้นอันยากลำบาก สู่การเป็นผู้ประกอบการสตาร์ทอัพในโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยการกดขี่จากกลุ่มทุนใหญ่

เหตุผลที่สันติต้องทำงานจนสายตัวแทบขาด เพราะหวังให้ทางบ้านได้อยู่อย่างสุขสบาย แต่ ‘ธงชัย’ น้องชายของสันติ เลือกที่จะฝ่าฝืนคำสั่งของพี่ ทิ้งการเรียน แล้วมาขอทำงานในบริษัทที่พี่ชายตัวเองก่อตั้งขึ้น ด้วยหวังว่า การทำงานจะเลี้ยงจุนเจือครอบครัวได้เร็ว และเห็นผลกว่าการเอาเวลาไปทิ้งในระบบการศึกษาที่มองไม่เห็นปลายทาง

เหตุผลส่วนหนึ่งนั่นก็เพราะ การศึกษาไทยยังฟรีไม่จริง และถึงจะฟรีจริง การศึกษาก็ยังเป็นการลงทุนด้วยเวลานับสิบปี แถมเด็กยากจนยังมีราคาที่ต้องจ่ายเพื่อเข้าถึงการศึกษาที่มากกว่าเด็กทั่วไป ทั้งโรงเรียนที่ห่างไกล สถานศึกษาที่ขาดแคลนครู ชุมชนที่ไม่ปลอดภัย เต็มไปด้วยปัญหาอาชญากรรม

ขอแค่อาหารที่เพียงพอ หรือน้ำประปาที่สะอาดยังยากที่จะเข้าถึงได้ หากจะหวังให้เด็กใจจดจ่อกับตำราเรียน จึงเป็นเรื่องที่เหนือฝันยิ่งเสียกว่าการสร้าง สตาร์ทอัพยูนิคอร์น ในโลกธุรกิจเสียอีก

(ซ้าย) ‘ธงชัย’ (ขวา) ‘สันติ’ พี่น้องชาวดอยวาวี ในซีรีส์ ‘สงครามส่งด่วน (Mad Unicorn)
Photo Credit: ‘Mad Unicorn’ – Netflix Series

ข่าวดีคือ แม้เด็กไทยจะอยู่ภายใต้เงื่อนไขชีวิตที่แร้นแค้น แต่ผลการสำรวจของ PISA 2022 พบจำนวนเด็กด้อยโอกาส 15% ทำคะแนนได้ระดับท็อปในทักษะคณิตศาสตร์ สูงกว่าค่าเฉลี่ย OECD และคิดเป็นอันดับ 9 จากทั่วโลก

เด็กเหล่านี้ถูกเรียกในชื่อเล่นว่า ‘เด็กช้างเผือก’ (Resilient Student) ขณะที่ PISA Thailand นิยามเด็กกลุ่มนี้ไว้ว่า “นักเรียนที่ไม่ย่อท้อทางการศึกษา” แต่น่าเสียดายที่เด็กกลุ่มนี้อาจหลุดออกจากระบบการศึกษาหลังจากเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น เพราะข้อจำกัดด้านโอกาสและเงินทุน กล่าวคือ เราได้ทอดทิ้งช้างเผือกเหล่านี้ไปนักต่อนัก แทนที่พวกเขาจะมีขึ้นมามีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาชาติ

ไม่ว่า ยูนิคอร์น หรือ ช้างเผือก จะมีอยู่จริงหรือไม่ ? แต่โอกาสสร้างพลเมืองที่เต็มไปด้วยพลังวิเศษนั้นมีอยู่จริง The Active ชวนมองหาวิธีการสร้างช้างเผือก ด้วยการศึกษาที่ยืดหยุ่นและตอบโจทย์ชีวิต การศึกษาที่จะเยาวชนอย่าง ธงชัย ตัวละครในซีรีส์เรื่องดัง มีโอกาสเล่าเรียนไปพร้อมกับการสร้างรายได้จุนเจือครอบครัว พร้อมชวนทำความรู้จักถึงวิธีการสร้าง ช้างเผือก ผ่านบทบาทกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และข้อเสนอทางนโยบายผ่านมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์

‘ช้างเผือก’ สร้างได้ด้วยการศึกษาที่ยืดหยุ่น
ทั้งในโรงเรียนและนอกโรงเรียน

แม้ ยูนิคอร์น (สตาร์ทอัพที่มีมูลค่าบริษัทเกิน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) จะไม่ใช่สิ่งที่สามารถเสกขึ้นได้ แต่รัฐสามารถสร้างสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมที่ยูนิคอร์นจะเติบโตขึ้นมาได้ เช่น นโยบายส่งเสริมการลงทุน วิจัยและพัฒนา พร้อมลดข้อจำกัดด้านกฎหมายและภาษี เพื่อกระตุ้นนวัตกรรมและการเติบโตของธุรกิจยูนิคอร์น

เช่นเดียวกันกับ เด็กช้างเผือก (นักเรียนที่ไม่ย่อท้อทางการศึกษา) จากการวิเคราะห์ข้อมูลรายงานของ OECD โดยสถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (วสศ.) พบว่า เด็กช้างเผือก มักได้รับแรงสนับสนุนจากครอบครัว และรู้สึกมีส่วนร่วมในสังคมโรงเรียนมากกว่าเด็กยากจนทั่วไป สะท้อนให้เห็นว่า นอกจากเนื้อหาหลักสูตรแล้ว บทบาทของครอบครัว และโรงเรียนยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยส่งเสริมแรงจูงใจในการเรียนรู้ของเด็ก

ทั้งนี้ ยังพบว่า เด็กกลุ่มนี้มีกรอบความคิดแบบเติบโต (Growth Mindset) ในระดับที่สูงกว่านักเรียนที่มีฐานะดีเสียอีก ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคทางการศึกษาได้อย่างชัดเจน

ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ชี้ให้เห็นว่า เด็กช้างเผือกบางคนมีผลการเรียนเฉลี่ยสูงกว่าเด็กจากครอบครัวที่มีรายได้ดีที่สุดในประเทศด้วยซ้ำ หากได้รับโอกาสในการเรียนต่อระดับที่สูงขึ้น เด็กกลุ่มนี้จะมีศักยภาพในการพาครอบครัวหลุดพ้นจากความยากจนในชั่วรุ่นของตน

การศึกษาจึงจำเป็นต้องค้นหาเด็กเหล่านี้ให้เจอ และออกแบบระบบที่ยืดหยุ่น รองรับความต้องการเฉพาะตัว เพื่อเป็นกลไกลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในบริบทที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยและมีจำนวนเด็กเกิดใหม่น้อยลงในแต่ละปี

“เราไม่สามารถปล่อยให้ เด็กหลุดมือ ไปได้แม้แต่คนเดียว”

ไกรยส ภัทราวาท

ผู้จัดการ กสศ. ยังสะท้อนด้วยว่า ปัญหาในแต่ละโรงเรียนมีความซับซ้อนต่างกันตามบริบทพื้นที่ การบริหารแบบรวมศูนย์โดยกระทรวงศึกษาธิการ อาจทำให้การแก้ไขล่าช้า และไม่ตรงจุด การกระจายอำนาจทางการศึกษาจึงเป็นกุญแจสำคัญ ที่จะเปิดโอกาสให้ครูสามารถออกแบบการเรียนรู้ได้สอดคล้องกับนักเรียน ลดภาระงานที่ไม่จำเป็น และมีเวลาทุ่มเทให้กับการพัฒนาเด็กได้มากขึ้น นำไปสู่การศึกษาที่เป็นของทุกคนอย่างแท้จริง

ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)

ปัจจุบันยังมีเด็กและเยาวชนไทยกว่า 8.8 แสนคน ที่หลุดจากระบบการศึกษา โดยเด็กกลุ่มนี้จำนวนมากไม่มีเป้าหมายการเรียนหรืออาชีพในอนาคต แต่กลับแสดงความต้องการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพมากกว่าการเรียนแบบวิชาการ การศึกษาจึงต้องปรับตัวด้วยแนวคิด “เพราะทุกที่คือโรงเรียน” เปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านบริบทชีวิตจริง เช่น การทำงาน ชุมชน หรือสถานประกอบการ พร้อมสนับสนุนให้ทุกคนในสังคมมีบทบาทเป็นครูได้

ระบบการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น (Flexible Learning) ไม่เพียงช่วยพาเด็กกลับมาเรียน แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญที่จะได้ค้นพบ เด็กช้างเผือก ที่มีศักยภาพซ่อนอยู่ในกลุ่มเปราะบางมากขึ้น หากเด็กเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสม เขาอาจกลายเป็นกำลังสำคัญในการพาครอบครัวหลุดพ้นจากความยากจน และลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสังคมของประเทศได้ในระยะยาว

“เด็กไม่ใช่ปัญหา เด็กคือศักยภาพของประเทศ ถ้าเรายุติปัญหาเด็กหลุดจากระบบการศึกษาได้ เศรษฐกิจไทยจะโตเพิ่มขึ้นอีก 1.7% ของ GDP จากรายได้ตลอดชีวิตที่สูงขึ้นของเด็กเหล่านี้”

ไกรยส ภัทราวาท

หุ้นส่วนการศึกษา : ทุกคนเป็นครูได้ ทุกที่คือโรงเรียน
กำไรที่ได้ คือ ‘พลเมืองคุณภาพ’ สู่สังคม

การสร้างระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่น ไม่ได้เริ่มต้นจากการคำสั่งให้ทุกโรงเรียนจงยืดหยุ่น กลับกัน ไอเดียที่ กสศ. พยายามผลักดันมาโดยตลอดคือการทำให้สังคมเห็นว่า ทุกคนต่างเป็น หุ้นส่วนทางการศึกษา ได้ เช่น เจ้าของฟาร์มไก่ในชุมชนสามารถเปิดพื้นที่ให้เยาวชนที่ไม่สะดวกเรียนในระบบการศึกษาภาคบังคับ เข้ามาฝึกงานวิชาชีพโดยเฉพาะได้ โดยร่วมมือกับทางมหาวิทยาลัยท้องถิ่น และเชื่อมต่อกับสถานประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการปศุสัตว์โดยตรง ตัวอย่างนี้เกิดขึ้นแล้ว ใน ‘ChickLab ห้องเรียนฟาร์มไก่ เลี้ยงก็ได้ ขายก็เก่ง’ ใน ต.หนองสนิท จ.สุรินทร์ ที่มีผู้ใหญ่ทั้งชุมชนช่วยกันเป็นครูดูแล

ป้าเบียบ แห่ง อบต.หนองสนิท จ.สุรินทร์ คือหนึ่งในผู้ใหญ่ใจดีในชุมชน ที่ทุ่มทั้งใจช่วยให้เด็ก ๆ ได้กลับมาเรียนหนังสือ ด้วยการเปิดบ้านเป็นห้องเรียนยามเย็น คอยพูดคุยกับเด็กและผู้ปกครองทุกสัปดาห์ พร้อมสอนในสิ่งที่เด็กสนใจ แม้บางคนไม่มีมือถือหรืออินเทอร์เน็ต ก็ยังมาเรียนได้ที่นี่

ป้ายังเป็นโค้ชสอนเลี้ยงไก่ ช่วยทำอาหารขาย และเป็นแรงหนุนใจให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้จากชีวิตจริงอย่างอบอุ่นและปลอดภัย สะท้อนเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ที่ว่า ทุกคนสามารถเป็นครูและจัดการศึกษาตามอัธยาศัยได้

“เราดีใจที่ช่วยให้เด็ก ๆ ได้เรียนหนังสือ สิ่งที่ทำได้คือทุ่มทั้งตัวเลยค่ะ เดินเข้าไปคุยกับพ่อแม่ เดินเข้าไปคุยกับเด็ก ๆ น่าจะเดือนกว่า ๆ ค่ะ เด็กก็เข้ามา ตอนเย็นจะไปอยู่ที่บ้านป้าเลย เอาบ้านป้าเป็นที่เรียน ก็ไปกันทุกอาทิตย์ ตอนเย็น”

ป้าเบียบ
ป้าเบียบ ผู้ใหญ่ในชุมชน อบต.หนองสนิท จ.สุรินทร์

แม้กระทั่งบนเวทีหมอลำ ก็เรียนหนังสือได้ ฮักแพง-วรัญญาภรณ์ วันทา นักเรียนใน หลักสูตรหมอลำศึกษา ของศูนย์การเรียนปัญญากัลป์ เล่าว่า โรงเรียนทางเลือกแห่งนี้เปิดโอกาสให้เธอกลับมาเรียนอีกครั้ง ด้วยการออกแบบหลักสูตรที่เชื่อมโยงกับอาชีพที่ทำอยู่จริง

เธอทำงานในวงหมอลำ ซึ่งเป็นศิลปะพื้นบ้าน ทำให้เนื้อหาการเรียนตรงกับชีวิตและความสนใจ จุดต่างจากโรงเรียนทั่วไปคือไม่ต้องเข้าเรียนแบบตายตัวทุกวัน แต่ปรับการเรียนจากงานที่ทำประจำ จึงได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง สามารถเรียนและทำงานควบคู่กันไป มีรายได้ดูแลตัวเอง ไม่ว่าเธอจะไปขึ้นแสดงที่เวทีใดก็ตาม

“สิ่งที่แตกต่างจากโรงเรียนทั่วไปชัด ๆ คือเราไม่ต้องไปนั่งเรียนทุกวัน แต่บทเรียนของเราจะปรับจากงานที่ทำประจำวัน ซึ่งถือเป็นการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ชีวิตจริง ๆ หลักสูตรนี้ทำให้เราเรียนได้และได้ทำงานไปด้วย เป็นการเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา และเรายังสามารถทำงานมีรายได้ส่งเสียตัวเองด้วยค่ะ”

ฮักแพง-วรัญญาภรณ์ วันทา
ฮักแพง – วรัญญาภรณ์ วันทา นักเรียนในหลักสูตรหมอลำศึกษา ศูนย์การเรียนปัญญากัลป์

แม้ในพื้นที่ห่างไกลอย่างโรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคม รัชมังคลาภิเษก จ.เชียงราย ก็ได้พัฒนานวัตกรรม “ห้องเรียนระบบสอง” ตั้งแต่ปี 2564 ภายใต้การนำของ พิเศษ ถาแหล่ง ผู้อำนวยการโรงเรียน เพื่อช่วยเหลือนักเรียนที่เสี่ยงหลุด หรือหลุดจากระบบการศึกษาให้สามารถกลับมาเรียนได้อีกครั้ง โดยครูจะคอยสังเกตและติดตามนักเรียนเป็นรายบุคคล หากปัญหาไม่สามารถแก้ได้ด้วยระบบเดิม ก็จะเสนอให้ย้ายไปเรียนในระบบสอง เพราะเข้าใจว่าเด็กทุกคนอยากเรียนหนังสือ แต่เงื่อนไขชีวิตไม่ได้พร้อมที่จะเรียน

“เด็กอยากมาโรงเรียน แต่ปัญหาคือเขาไม่มีรายได้ ประกอบกับมาโรงเรียนแล้วขาดรายได้ บางคนต้องไปช่วยครอบครัวหารายได้ ข้อนี้ทำให้เด็กอยู่ในภาวะที่เสี่ยงหลุดระบบ”

พิเศษ ถาแหล่ง
พิเศษ ถาแหล่ง ผู้อำนวยการโรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคม รัชมังคลาภิเษก จ.เชียงราย

สิ่งที่ห้องเรียนสองระบบใช้คือโมเดล 6 On ประกอบด้วย

  • Online เรียนออนไลน์สัปดาห์ละ 1 ครั้ง
  • On-site พบกันที่โรงเรียน 3 ครั้งต่อเทอม
  • On-Demand เรียนรู้ผ่านวิดีโอและบันทึกประจำวัน
  • On-Hand ทำใบงานจากคลิปสั้น ๆ
  • On-Home เรียนรู้จากการใช้ชีวิตและอาชีพในครอบครัว
  • On-Community เรียนรู้จากกิจกรรมในชุมชน ปัจจุบันมีนักเรียนในระบบนี้กว่า 70 คน

โดยมุ่งหวังให้ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ตามจังหวะชีวิตของตัวเอง พร้อมทั้งมีโอกาสกลับคืนสู่ระบบการศึกษาอย่างมีศักดิ์ศรี จากการสำรวจของ กสศ. พบว่า 78% ของเด็กและเยาวชนที่หลุดจากระบบการศึกษา (จากกลุ่มตัวอย่าง 29,452 คน) ไม่มีแผนการศึกษาที่ชัดเจนในอนาคต และอีก 49% ต้องการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพ มากกว่าการเรียนในระบบวิชาการแบบเดิม

“หากเราต้องการค้นพบ ช้างเผือก ให้มากขึ้น การศึกษาจำเป็นต้องเลิกตีกรอบว่าเด็กเก่งต้องเป็นแบบใด แต่ใจต้องเปิดกว้างพอที่จะเชื่อว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพ และสามารถเติบโตได้ในเส้นทางที่หลากหลาย”

From White Elephant to Mad Unicorn :
จากช้างเผือกบนดอย สู่ ยูนิคอร์นกลางกรุง

ตัวละคร สันติ (จาก สงครามส่งด่วน Mad Unicorn) เติบโตมาในครอบครัวยากจนบนดอย สะท้อนให้เห็นว่าการศึกษาไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าถึง แต่เขาก็ยังพยายามผลักดันน้องชายให้กลับไปเรียน เพราะอย่างน้อย การเรียน ก็ยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยลดความเสี่ยงของชีวิตได้ แม้อาจไม่ทำให้ประสบความสำเร็จทันที แต่ก็ช่วยให้มีรายได้ที่มั่นคงและไม่ตกหล่นจากระบบจนเกินไป

การตัดสินใจของสันติ จึงไม่ได้มองเพียงแค่โอกาสส่วนตัว แต่ยังคำนึงถึงความมั่นคงของครอบครัว หากพี่น้องออกไปเสี่ยงพร้อมกันแล้วล้มเหลว ครอบครัวอาจไม่เหลืออะไรเลย ดังนั้นการเลือกให้คนหนึ่งลุย คนหนึ่งประคองจึงเป็นการกระจายความเสี่ยงที่สมเหตุสมผล

Photo Credit: ‘Mad Unicorn’ – Netflix Series

ผศ.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายหลักคิดของตัวละคร สันติ ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า การศึกษา คือ การลงทุนอย่างหนึ่ง แต่ปัญหาในปัจจุบันคือการศึกษากลับกลายเป็นสิ่งที่ไม่คุ้มค่าแก่การลงทุน โดยเฉพาะในมุมมองของคนยากจน ทำให้ตัวละครอย่าง ธงชัย (น้องชายของสันติ) เลือกที่จะทิ้งดอยแล้วขอมาทำงานกับพี่ชาย โชคดีที่บริษัทของพี่เติบโตไปได้สวย แต่โลกของความจริงไม่ง่ายอย่างนั้น หากธงชัยไม่มีพี่ชายรองรับ พื้นฐานด้านการศึกษาเท่านั้นที่จะเป็นตาข่ายช่วยพยุงไม่ให้ธงชัยหมดหนทางในโลกการทำงาน

“การศึกษาขั้นพื้นฐาน คือ สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นรากฐานของทุกอย่างในชีวิต ตั้งแต่การคิดเลข การสื่อสาร การดูแลสุขภาพ การเข้าใจโลกอย่างเป็นเหตุผล ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เป็นทักษะที่อยู่ติดตัวและปรับใช้ได้ในทุกยุคทุกสมัย หากไม่มีพื้นฐานเหล่านี้ ต่อให้ทำงานหนักเพียงใดก็ยากจะพัฒนาและก้าวหน้าได้”

ผศ.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว

ในซีรีส์มีฉากที่บริษัทของสันติเปิดรับไรเดอร์โดยไม่จำกัดวุฒิการศึกษา ซึ่งในมุมหนึ่ง ผศ.เกียรติอนันต์ มองว่า อาจดูเหมือนเป็นการเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงงานโดยไม่ต้องพึ่งใบปริญญา ทว่าเมื่อบริษัทเผชิญวิกฤติ หรือลดสวัสดิการลงจนกระทบคุณภาพชีวิต ไรเดอร์เหล่านี้กลับไม่มีทางเลือกในการหางานใหม่ เพราะขาดทักษะที่สามารถต่อยอดได้ ที่สำคัญคือ แพลตฟอร์มมักคัดเลือกแรงงานที่ เปราะบางที่สุด หรือไม่มีทางเลือกอื่นเข้ามาทำงาน โดยช่วงแรกจะเสนอค่าตอบแทนสูง พร้อมโฆษณาว่าเป็นงานอิสระ แต่สุดท้ายกลับลดค่าแรงลงเหลือเพียงระดับที่คนยอมรับเงื่อนไขได้เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ในโลกความจริงกลับพบว่า วุฒิการศึกษา อาจไม่สำคัญเท่ากับว่า “เราทำงานให้กับใคร” แต่ ผศ.เกียรติอนันต์ ก็อธิบายว่า การศึกษายังคงมีบทบาทสำคัญต่อรายได้ หากเป็นการศึกษาที่มี คุณภาพ ถูกออกแบบให้เหมาะสมกับความถนัดของแต่ละคน สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และสามารถต่อยอดได้จริง ไม่ใช่แค่การเรียนเพื่อให้ได้วุฒิ หากขาดเงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่ง เช่น มีวุฒิแต่ไม่มีทักษะจริง หรือเรียนจบมาสูงแต่เลือกทำงานในภาคส่วนที่ไม่มีตลาดรองรับ ก็อาจไม่สามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงได้เช่นกัน

การศึกษาที่ดีจึงไม่ใช่แค่การรับประกันความสำเร็จ แต่คือการเพิ่มตัวเลือกในชีวิต หากทำงานที่หนึ่งแล้วไม่เหมาะ ก็สามารถย้ายไปที่อื่น หรือแม้แต่เริ่มต้นธุรกิจของตัวเองได้ ความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมมาจะเป็นต้นทุนให้เดินต่อได้

ผศ.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ที่สำคัญคือระบบการศึกษา จะต้องไม่ลดมาตรฐานตัวเองลง เพราะแม้ว่าในห้องเรียนจะปรับเกณฑ์ได้ แต่โลกแห่งความจริงไม่มีใครลดระดับความคาดหวังให้เรา ดังนั้น คุณภาพของระบบการศึกษา คือ กุญแจสำคัญที่จะสร้างคนที่มีศักยภาพเพียงพอในการต่อสู้และอยู่รอดในสังคมที่เปลี่ยนแปลงเร็วอย่างในปัจจุบัน

“แม้จะมีความพยายามพัฒนารูปแบบการศึกษาให้หลากหลายและตอบโจทย์ท้องถิ่นมากขึ้น แต่ระบบการศึกษาทางการกับการเรียนนอกระบบยังเชื่อมต่อกันได้ยาก การเคลื่อนย้ายข้ามระบบหรือการเทียบโอนประสบการณ์ชีวิตจึงยังไม่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมและไม่ถูกยอมรับในวงกว้าง โดยเฉพาะในตลาดแรงงาน”

ผศ.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว

ส่วนประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณาเพิ่มเติม คือ การออกแบบเส้นทางการเรียนรู้ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนในระบบ หรือเรียนรู้นอกระบบ โดยที่ปลายทางยังสามารถนำไปสู่ระดับวุฒิปริญญาตรี ทั้งนี้กระบวนการดังกล่าวจำเป็นต้องมีกลไกประเมินคุณภาพที่น่าเชื่อถือ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าผู้เรียนที่ไม่ได้ผ่านระบบการศึกษาทางการแบบดั้งเดิมก็สามารถแสดงออกถึงความรู้และทักษะในระดับเดียวกับผู้ที่จบจากมหาวิทยาลัยได้

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือระบบการศึกษาตามอัธยาศัยของสหราชอาณาจักรอย่าง General Certificate of Secondary Education (GCSE) ซึ่งเปิดให้ประชาชนเรียนรู้ด้วยตนเองและเข้าสอบวัดผลตามมาตรฐานระดับสูง หากสอบผ่านก็ถือว่ามีความสามารถในระดับเดียวกับผู้เรียนในระบบ และได้รับวุฒิที่สามารถนำไปใช้ในตลาดแรงงานได้อย่างจริงจัง รูปแบบเช่นนี้น่าจะเป็นแนวทางที่ประเทศไทยควรพิจารณาอย่างจริงจัง หากต้องการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตและเปิดพื้นที่ให้การศึกษาเกิดขึ้นได้อย่างหลากหลายและเท่าเทียม

การศึกษาต้องทำให้คนเห็นว่า…’ความสำเร็จ’ ไม่ได้มีแต่เม็ดเงิน

ฉากหนึ่งในซีรีส์ สงครามส่งด่วน Mad Unicorn สะท้อนภาพเจ้าสัวคณิน ที่มาเล่าแนวทางความสำเร็จทางธุรกิจให้กับนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ซึ่งชวนให้นึกถึงภาพจริงในสังคมไทย ที่กลุ่มทุน หรือเจ้าสัวเริ่มมีบทบาทครอบครองพื้นที่ทางการศึกษา ไม่ว่าจะผ่านการลงทุนโดยตรง หรือการได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยบางแห่ง เพื่อยืนยันว่า ความสำเร็จเช่นนี้ คือ สิ่งที่คู่ควรกับวุฒิการศึกษา

Photo Credit: ‘Mad Unicorn’ – Netflix Series

นักเศรษฐศาสตร์ มองว่า สถาบันการศึกษาควรตั้งคำถามกับแนวคิดเรื่อง ความสำเร็จ ที่มักถูกจำกัดความไว้เพียงไม่กี่รูปแบบ เช่น ความมั่งคั่งทางธุรกิจ หรือการมีชื่อเสียง ซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปในพิธีต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย หรือการมอบปริญญากิตติมศักดิ์ให้กับนักธุรกิจหรือกลุ่มทุนที่ประสบความสำเร็จ ทั้งที่ความสำเร็จควรมีความหลากหลาย และควรเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้ถกเถียงหรือกำหนดนิยามความสำเร็จของตนเองได้ เช่น นักสังคมสงเคราะห์ นักกีฬา คนที่ฟื้นฟูชุมชน หรือผู้ที่สร้างคุณูปการต่อสังคมในรูปแบบอื่น ๆ สิ่งสำคัญคือมหาวิทยาลัยควรสื่อสารให้ผู้เรียนเห็นภาพว่าความสำเร็จมีได้หลายทาง และแต่ละคนสามารถเลือกทางเดินของตนเองได้ โดยไม่จำเป็นต้องเหมือนกับผู้ที่ได้รับการเชิดชูในระบบเดิม

เราให้ค่ากับ ความสำเร็จ ประเภทใดมากที่สุด ? และมหาวิทยาลัยกำลังสะท้อนภาพสังคมแบบใดกลับมา ? หากปริญญากิตติมศักดิ์กลายเป็นเพียงเครื่องมือสร้างคอนเนคชันกับกลุ่มทุน เพื่อแลกกับทรัพยากรหรือการสนับสนุนทางการเงิน ก็ต้องตั้งคำถามว่าเป้าหมายของการศึกษายังอยู่ที่การผลิตพลเมืองที่มีวิจารณญาณหรือไม่ ?”

ผศ.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว

เช่นเดียวกับการสร้างเด็กไทยให้เป็นช้างเผือก เราไม่อาจสร้างด้วยภาพมายาคติความสำเร็จแบบเดิม โดยไม่เปิดรับความแตกต่างหลากหลายของเส้นทางการศึกษา การเปิดกว้างนี้ไม่เพียงแต่ให้เด็กได้กล้าคิด แต่ผู้ใหญ่จะกล้าทำ กล้าลงทุนเพื่อการศึกษาที่มีหลักสูตรที่แตกต่างด้วย

บทส่งท้าย : อย่าปล่อยให้การศึกษาเป็นเรื่องของปาฏิหาริย์

บทความนี้ เราพยายามพูดถึงคำสำคัญหลายคำ ทั้ง เด็กช้างเผือก, ยูนิคอร์น, การศึกษาที่ยืดหยุ่น และ ความสำเร็จ แม้จะดูเหมือนมาจากคนละเรื่อง แต่ทั้งหมดสะท้อนภาพเดียวกันคือ เรากำลังเรียกร้องถึง ระบบการศึกษาที่ควรเปิดโอกาสให้ทุกคนได้เติบโตตามศักยภาพของตัวเอง

คำว่า เด็กช้างเผือก แม้จะฟังแล้วใจชื้นที่ประเทศไทยยังมีเด็กที่ไม่ย่อท้อต่อสู้กับความยากจน และได้รับคะแนนการประเมิน PISA ที่ดี แต่นั่นเท่ากับว่า เรายังมีเด็กเก่งอีกจำนวนมากที่สู้ไม่ไหวและเสียโอกาสในการพัฒนาไป ซึ่งไม่ใช่ความผิดของเขาที่ไม่สู้ แต่อาจเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ทุกคนในสังคมต้องทบทวนใหม่ว่า เราสร้างสังคมและการศึกษาที่แข็งกระด้างขนาดไหนกัน ? จนทำให้เราพลาดโอกาสของพลเมืองคุณภาพไปหลักแสน หลักล้านคน

การศึกษาที่ยืดหยุ่นจึงเป็นเหมือนเครื่องมือทุ่นแรงที่ทำให้เด็กไทยและครอบครัวไม่ต้องแบกรับภาระทางการศึกษาจนเกินไป และทำให้พวกเขาอยู่กับพวกเราไปได้นาน ๆ การที่พวกเขาอยู่ได้นาน ๆ ก็หมายถึงโอกาสที่เขาจะได้ค้นพบตัวเอง ผิดพลาด และเรียนรู้ใหม่ได้ การจะสร้างระบบแบบนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งครอบครัว ชุมชน โรงเรียน และภาคนโยบาย ที่เปรียบเสมือนกับ หุ้นส่วนทางการศึกษา ที่มีส่วนรับผิดชอบ และกำไรที่ได้ปันผล คือ พลเมืองคุณภาพที่จะช่วยขับเคลื่อนสังคมนี้ต่อไป

แต่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากผู้ใหญ่ยังติดกับดักของความสำเร็จแบบเดิม โรงเรียนยังไม่เปิดรับความหลากหลายของผู้เรียน ตลาดแรงงานยังยึดติดกับใบปริญญา และเรายังวัดคุณค่าของคนจากรายได้เพียงอย่างเดียว

“กฎหมายการศึกษาของเราอาจดีที่สุดในโลกในเชิงตัวบท
แต่อักษรบนกระดาษกลับไม่มีชีวิต”

ถึงตรงนี้ ผศ.เกียรติอนันต์ ทิ้งท้ายว่า สิ่งสำคัญคือการนำนโยบายไปปฏิบัติจริงในพื้นที่ และการฝ่าแรงต้านจากความเคยชินเดิมของสถานศึกษา ที่ยังผูกติดกับรูปแบบการเรียนรู้แบบเดิม ๆ เราจะเปลี่ยนระบบไม่ได้เลย ถ้ายังไม่กล้ายอมรับว่าบางคนไม่จำเป็นต้องเรียนมหาวิทยาลัย หรือไม่จำเป็นต้องเรียนในสาขาที่ตลาดไม่ต้องการ สิ่งที่เราต้องมี คือ กระบวนการกรองที่ดี และกล้าคิดเชิงระบบอย่างจริงจัง

Author

Alternative Text
AUTHOR

พีรดนย์ ภาคีเนตร

เฝ้าหาเรื่องตลกขบขันในชีวิต แต่พบว่าสิ่งที่ตลกที่สุดคือชีวิตเราเอง