ฟ้าหลังฝนที่บ้านดอยแหลม ต้องปรับตัวเพื่ออยู่ต่อ เมื่อต้องเสี่ยงโดนดินถล่มซ้ำ
พื้นที่บ้านดอยแหลมเสี่ยงเกิดดินถล่มซ้ำรอยเหตุการณ์เมื่อปีที่ผ่านมา อยู่ในช่วงกำลังเร่งฟื้นฟูและวางแผนเตรียมรับมือเหตุการณ์ที่อาจเกิดในอนาคต ด้วยผู้นำชุมชนที่เข้มแข็ง ซึ่งขยายความร่วมมือไปทำงานกับหน่วยงานรัฐและนักวิชาการ
“หลังเกิดเหตุดินถล่ม มันก็เป็นผลที่ตามมา พอฝนตกลงมาก็จะนอนไม่ค่อยหลับ หลังสองสามชั่วโมงก็จะนอนต่อไม่ได้ น่าจะเรียกว่ามีผลต่อจิตใจเนาะ”
เจตกรวีร์ จิรารัชตพงค์ เล่า

แม้จะผ่านมาสี่เดือนหลังจากเหตุการณ์ดินถล่มที่บ้านดอยแหลม ตำบลที่อยู่สุดขอบชายแดนไทยเมียนมา อยู่ในพื้นที่ทับซ้อนกับเพื่อนบ้านที่ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ “พ่อหลวงวีร์” เจตกรวีร์ จิรารัชตพงค์ เล่าถึงความรู้สึกที่ก็ยังอดระแวงไม่ได้ว่าบ้านของตนจะถูกดินโคลนซัดไปในคืนฝนตกหรือไม่
เหตุการณ์ดินถล่ม เมื่อเดือนกันยายนปี 2567 ที่บ้านดอยแหลม เป็นผลพวงจากพายุยางิ ที่ทำลายครัวเรือนหลายหลัง มีผู้ชีวิตกว่า 6 คน หนึ่งในนั้นคือ พ่อหลวงยุทธ ธีรยุทธ สิริวรรณสถิต อดีตผู้ใหญ่บ้านของบ้านดอยแหลม ก่อนที่พ่อหลวงวีร์ได้มารับหน้าที่ต่อ
ในวันนั้น ชุมชนบ้านดอยแหลมต้องสูญเสียผู้นำคนสำคัญให้เหตุการณ์ภัยพิบัติที่ไม่เคยเจอมาก่อน ทำให้ความกังวลของชาวบ้านในพื้นที่บ้านดอยแหลมยังคงวนเวียน เพราะแม้เหตุการณ์ดินถล่มจะผ่านมานานแล้ว แต่รอยแผลเป็นจากดินถล่ม แผลหน้าดิน บ้านที่หักพังจนต้องย้ายออก ยังคงมีให้เห็นทั่วหมู่บ้าน ย้ำเตือนถึงความเจ็บปวดจากวันนั้น และนำมาสู่ความจำเป็นเร่งป้องกันปัญหาให้ไม่เกิดขึ้นอีก หากพายุเข้าหรือฝนกระหน่ำในปีนี้
“หลังเกิดเหตุ คนในชุมชนร้องไห้ เสียใจเยอะ ผมต้องประสานงาน เหมือนอยู่ ๆ ก็ได้ทำไปโดยไม่ค่อยรู้ตัว ตอนแรกผมก็ไม่มั่นใจว่าใครต้องเป็นคนประสานงาน สุดท้ายหลายคนก็มาวิ่งที่เรา ตอนนั้นผมไม่ได้โฟกัสว่าภาพปีหน้าปีไหนต้องเป็นยังไง อยากให้ผ่านช่วงนั้นให้ได้ก่อน”
“พ่อหลวงวีร์” เจตกรวีร์ จิรารัชตพงค์ อดีตผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านดอนแหลมในสมัย ปัจจุบันต้องรับช่วงต่อพ่อหลวงธีรยุทธ ดำรงตำแหน่งพ่อหลวงบ้านดอยแหลม ด้วยความพยายามที่จะทำให้ครัวเรือนอยู่กันได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น ให้ตระหนัก แต่ไม่ตระหนก
“เหตุการณ์ดินถล่มทำให้พ่อหลวงยุทธเสียชีวิตลง น้ำต้นทางทำให้เกิดดินสไลด์ หลังจากนั้นก็พยายามขับเคลื่อนเรื่องนี้มา ถ้ามีช่องทางไหนทำให้มันดีขึ้นก็ไป มีแรงใจและความตั้งใจมาถึงจุดนี้เพราะพ่อหลวงยุทธ”
พ่อหลวงวีร์ ลงพื้นที่หมู่บ้าน หมู่ 13 ของตนเอง เดินสำรวจและวิเคราะห์จุดเสี่ยงด้วยตัวเอง พยายามหาจุดเหมาะสมที่จะย้ายเพื่อความปลอดภัยมากขึ้นจากดินถล่มด้วยตัวเอง และมีการทำงานกับหลายหน่วยงาน ในระดับอำเภอ อุทยาน พอช. อบต. เพื่อจัดทำข้อมูลดูความเสี่ยงภัยพิบัติ

“ที่ผ่านมาเราสร้างบ้านตามความเชื่อว่าบ้านจะอยู่ได้แน่นอน แต่เพิ่งมาเกิดเหตุดินถล่มแบบวันนี้ พี่น้องที่เรารักต้องจากไป เราไม่อยากให้ต้องจากกันไปแบบนี้ ถ้าบ้านมันไม่ปลอดภัย มันก็มีความกังวลอยู่ในใจถ้าเกิดฝนตก”
ถนอม ธนโชติตระกูล นายก อบต.ดอยลาง กล่าวถึงความสำคัญของการจัดการความเสี่ยงนี้ ก่อนแสดงความยินดีที่จะร่วมมือสนับสนุนการสำรวจและวิเคราะห์จุดเสี่ยงครั้งนี้
ไม่ใช่เพียงแต่บ้านดอยแหลมที่ได้เจอกับผลกระทบจากภัยพิบัติที่ชัดเจนและรุนแรงขึ้นในปีที่ผ่านมา มีอีกหลายชุมชนทั่วไทย ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ที่เล่าว่าตนได้เจอกับเหตุการณ์ดินโคลนถล่มในระดับที่ไม่เคยเจอมาก่อนในช่วงอายุนี้
เปิดปี 2568 หลายภาคส่วนมีความตั้งใจจับมือกับพ่อหลวงวีร์ ลงพื้นที่สำรวจบ้านดอยแหลมเพื่อร่วมกันเข้าใจและแก้ปัญหาความเสี่ยงจากภัยดินถล่ม ด้วยความหวังว่าจะสามารถทำให้ชุมชนของตัวเองเข้มแข็งขึ้นไปได้มากขึ้นพร้อม ๆ กันกับบ้านดอยแหลม
ดินถล่ม หยุดไม่ได้ สุดท้ายต้องทำยังไง
“ดินถล่มเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่ว่าจะหนาแน่นแค่ไหน ภูเขาทุกลูกย่อมผุพังตามธรรมชาติ และถึงจุดนึงมันจะพังลงมา” รศ.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์ ประธานมูลนิธิมดชนะภัย และหัวหน้าศูนย์วิจัยฯ วิศวกรรมปฐพีเเละฐานราก ม.เกษตรศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านดินถล่ม เกริ่นถึงความสำคัญของการจัดการภัยดินถล่ม เพราะความเสี่ยงนี้ มีอยู่ทุกที่
ในโอกาสนี้ รศ.สุทธิศักดิ์ ลงพื้นที่บ้านดอยแหลม มาช่วยให้องค์ความรู้กับคนในชุมชนบ้านดอยแหลม และชุมชนใกล้เคียง วิเคราะห์และสอนสังเกตว่าพื้นที่ไหนเสี่ยงดินถล่ม โดยถือเป็นอีกหนึ่งจุดเริ่มต้นสำคัญของการจัดการภัยพิบัติในพื้นที่บ้านดอยแหลม
โดยเบื้องต้น รศ.สุทธิศักดิ์ ให้ข้อมูลเพื่อสามารถจำแนกพื้นที่เสี่ยงกับไม่เสี่ยงดินถล่มได้เบื้องต้น รู้แนวทาง รู้ทางเลือก เพื่อป้องกันหรือลดความรุนแรงของการเกิดเหตุการณ์น่าสลดแบบนี้ซ้ำในอนาคต
คีย์เวิร์ดหลักในการตรวจสอบพื้นที่เสี่ยงภัยพิบัติดินถล่มได้แก่ “ล่อแหลม” และ “เปราะบาง”
ล่อแหลม เป็นศัพท์อธิบายภูมิศาสตร์และพื้นที่ที่อยู่ ว่ามีความอันตราย เสี่ยงดินถล่มมากน้อยอย่างไร อย่างพื้นที่ภาคเหนือ ส่วนใหญ่นับว่าล่อแหลม เหมือนกับบ้านดอยแหลมที่เรียกได้ว่าเป็นจุดล่อแหลมเกือบทั้งหมด เพราะเป็นที่พักอาศัยตามดอยหรือสันเขา และจะมีความล่อแหลมดินถล่มเป็นพิเศษในพื้นที่ที่สังเกตได้ว่ามีร่องน้ำไหล ไม่ว่าจะร่องน้ำที่มีตลอดเวลาหรือเมื่อฝนตกก็ตาม

รศ.สุทธิศักดิ์ อธิบายว่า “เวลาฝนตกหนัก ๆ น้ำจะไหลลงมาตามร่อง คนที่อยู่ในหมู่บ้านก็จะรู้ว่าตรงไหนเป็นร่องน้ำไหลลงประจำ ถ้าชี้จุดไหลได้ นี่แหละล่อแหลม เวลาฝนตก น้ำก็จะหาทางลง แต่จุดอย่างนี้ไม่นับว่าเปราะบาง เพราะมันไม่มีบ้านอยู่ เราก็บอกได้เลยว่าเราไม่ควรไปตั้งบ้านอยู่ตรงขอบ ๆ ของร่องน้ำตรงนี้”
คำที่สอง เปราะบาง ใช้อธิบายตัวโครงสร้างอย่างบ้านเรือน ว่าเสี่ยงพังทลายหากเกิดเหตุดินถล่มหรือไม่ เป็นการพิจารณาการสร้างบ้านหรือหมู่บ้านหลังหนึ่ง ทั้งปัจจัยความลาดชันของพื้นที่ วัสดุของบ้าน ขนาดของบ้าน ผนวกไปกับปัจจัยพื้นที่
ในการวิเคราะห์ปัจจัยของความเสี่ยงดินถล่ม รศ.สุทธิศักดิ์ แนะให้เริ่มต้นจากการเข้าใจพื้นที่ที่ล่อแหลม โครงสร้างที่เปราะบาง เพื่อตัดสินเกณฑ์ความเสี่ยง ก่อนจะเข้าใจว่าจะต้องจัดการต่อด้วยวิธีการอะไรบ้าง เบื้องต้น อาจารย์แนะนำว่าสามารถใช้ข้อมูลจากผู้เฒ่าผู้แก่ได้ ย้อนกลับไปถามว่า เดิมทีแล้วมีบ้านอยู่ตรงไหนบ้าง ก่อนที่จะขยายมาเป็นหมู่บ้านในปัจจุบัน พอเป็นแนวทางของพื้นที่ปลอดภัยในอดีต ใช้เทียบกับปัจจุบันได้
มูลนิธิมดชนะภัยของ รศ.สุทธิศักดิ์ จะเผยแพร่ เช็กลิสต์สำรวจความเสี่ยงน้ำป่าไหลหลากดินโคลนถล่ม ให้ทุกคนสามารถสำรวจความเสี่ยงของบ้านเรือนตัวเองได้เองในช่วงต้นปีนี้
“เช็กลิสต์ช่วยดูว่าบ้านไหนอยู่ตรงกับร่องน้ำ เอาข้อมูลแผนที่มาผนวกกัน ให้ผู้ที่ทำเช็กลิสท์รับโจทย์แล้วกลับไปทำ หาข้อมูล แล้ววางแผนทำงานกันต่อ”
รศ.สุทธิศักดิ์ กล่าว
หลังจากที่ รศ.สุทธิศักดิ์ ได้ขยายความความเสี่ยง ความล่อแหลม และความเปราะบางเรื่องดินถล่ม พ่อหลวงวีร์ได้ร่วมแสดงความเห็น โดยมองว่า การได้ข้อมูลจากพื้นที่ต่าง ๆ มาถอดบทเรียนและมาปรับใช้ในบริบทชุมชนของตนนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญ
“คือพวกผมในชุมชน เราเห็นแต่ปัญหาเฉพาะที่ตรงนี้แต่ไม่ค่อยเห็นทางแก้ไข และเราไม่ใช่หมู่บ้านแรกที่เกิดเรื่องอย่างนี้ มีที่อื่นที่เกิดแล้ว และเคยลองผิดลองถูกมาก่อน เราเอาตรงนั้นมาถอด ให้มาเข้ากับบริบท นี่เป็นเรื่องขององค์ความรู้”
“พอทำประเด็นนี้แล้ว เราเริ่มดูผ่านสื่อ เริ่มไปเห็นข้อมูลหลายพื้นที่ คิดง่าย ๆ เลย ข้อมูลข้างนอกผมดูเป็นไกด์ แต่ข้างในผมข้อมูลมาคิดต่อกับบ้านตัวเอง ปีนี้จะอยู่ยังไง ปีหน้าจะอยู่ยังไง เป็นความกังวล มันไม่ได้วิตกขนาดนั้นแต่อยากทำให้มันดีขึ้น อยากแก้ไขปัญหา ยกตัวอย่างคือปีหน้าหรือปีไหน ถ้ามันเกิดเหตุอีก ถ้าบ้านอยู่จุดเสี่ยง มันเกินที่เราจะควบคุม แต่คนต้องปลอดภัย อยากให้ชาวบ้านไม่ต้องไปกังวลเรื่องนี้เกิน ให้ไปโฟกัสเรื่องทำมาหากิน ส่วนเรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ผมเป็นหลักในการมาช่วย”
พ่อหลวงคนเดียว ยังไม่พอ?
หลังจากเข้าใจปัจจัยความเสี่ยงแล้ว คำแนะนำดำเนินการต่อไปจาก รศ.สุทธิศักดิ์ มีทั้งหมด 3 ระดับ: ย้ายออก ถ้าไม่สามารถย้ายออกได้ ปรับปรุงให้บ้านแข็งแรงขึ้น ถ้าปรับปรุงบ้านไม่ได้แล้ว สุดท้ายคือการซ้อมอพยพและจัดทำระบบเตือนภัยให้ดีขึ้น

ตัวอย่างของการย้ายออก ฟื้นฟู หรือพัฒนาระบบเตือนภัย ในกรณีดินโคลนถล่ม:
- ย้ายออก: เคสดอยแม่สลอง โรงแรมแห่งหนึ่งตั้งอยู่ตรงร่องทางน้ำลงเขา พังเพราะดินถล่มรอบหนึ่งแล้วก็สร้างใหม่ แต่ก็โดนดินซัดเหมือนเดิม จนกรมทางหลวงไม่ให้สร้างอีกครั้ง ถึงจะอยากทำกำแพงกั้นแต่ก็จะสู้แรงดินไม่ไหวสักวันหนึ่ง
- ฟื้นฟู: บ้านที่นครศรีธรรมราช ที่มีการยกพื้นขึ้นสูง มีใต้ถุนให้น้ำลอดผ่าน ยังตั้งหลักอยู่ได้หลังประสบดินถล่ม ต่างจากบ้านโดยรอบที่ไม่ยกสูงและเสียหายไปกับน้ำโคลน
- เตือนภัยและซ้อมอพยพ: เครื่องมือเฝ้าระวังและเตือนภัย ต.กะรน จ.ภูเก็ต มีกล่องเตือนภัยดินถล่ม ร่วมกับถังวัดปริมาณน้ำฝนแบบคานกระดก รวมถึงกล่องเตือนภัยดินถล่มประจำบ้าน
กลับมาสู่ดอยลาง ความร่วมมือจากหลายภาคส่วนเริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญ ในขั้นตอนเริ่มลงมือทำต่อไป ทั้งสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) และองค์การบริหารส่วนตำบลในพื้นที่
พ่อหลวงวีร์ได้พูดคุยเบื้องต้นถึงสถานการณ์ชุมชนแม่อาย งบประมาณที่จำเป็นต้องใช้เพื่อฟื้นฟูและพัฒนาโครงสร้างและบ้านเรือนของผู้คนในชุมชนให้เข้มแข็ง พร้อมรับมือกับภัยพิบัติมากขึ้น
สิ่งที่ บ้านดอยแหลม และ อบต.ดอยลาง มี:
- ความรู้ในการสร้างบ้านวิถีเดิม (บ้านผนังไผ่น้ำหนักเบายกสูง) ปลอดภัยจากแผ่นดินไหวและดินถล่ม แต่ปัญหาคือความชื้นที่สูงในช่วงหน้าฝน
- การสร้างบ้านที่เหมาะสมกับพื้นที่ คือบ้านที่น้ำหนักเบา อย่างไม้เฌอร่า
- มีระบบกันดิน เช่น กระสอบทรายกันดิน การทำรั้วไม้ฟาก
สิ่งที่ บ้านดอยแหลม และ อบต.ดอยลาง ยังต้องการ:
- ขาดองค์ความรู้เรื่องการระบายน้ำฝังดิน และการจัดการน้ำหน้าดิน ต้องสร้างรางดักน้ำ รางเก็บน้ำ บ่อพัก จัดการน้ำหลังคาด้วยรางริน
- ขาดองค์ความรู้เรื่องการสร้างกำแพงกันดิน ปัจจุบันพบแต่การตัดดินเพื่อก่อสร้าง
- การสร้างบ้านขวาง คร่อมร่องน้ำ และสร้างบ้านลงบนพื้นที่เสี่ยง
แม้จะมีความคืบหน้าขึ้นมากหลังเกิดเหตุการณ์ แต่การดำเนินงานฟื้นฟูหลังภัยก็ยังต้องเผชิญกับความท้าทายอยู่มาก โดยเฉพาะการย้ายออกที่ทำได้ยากเพราะเรื่องของพื้นที่:
พื้นที่บ้านดอยแหลมส่วนใหญ่เป็นเขตอุทยาน ซึ่งต้องมีการขออนุญาตก่อนเคลื่อนย้ายหรือก่อสร้างเพิ่มเติม ทำให้การดำเนินงานเป็นไปได้ยากกว่าในพื้นที่ปกติ
พ่อหลวงวีร์สนใจทำที่ 15 ไร่รวมเป็นจุดศูนย์อพยพ ที่ส่วนกลางเผื่อไว้ ถ้ามาอยู่รวมกัน งบลงทุน สาธารณูปโภคง่ายขึ้น แต่ก็ยังติดเรื่องที่ดิน และไม่แน่ใจว่าพื้นที่ 15 ไร่นี้จะพอให้กินอยู่ไหม
สุดท้าย ทางทีมงานที่ลงพื้นที่ได้ร่วมกันออกแบบ เสนอกลไกการขับเคลื่อนงานภัยดินถล่มในระดับตำบล ด้วยแผนงานระดับตำบล:
- กลไกนโยบายคณะกรรมการแก้ไขระดับตำบล ด้วยความร่วมมือจาก อบต. อุทยาน นักวิชาการ ป่าไม้ แกนนำ อำเภอ เพื่อปรึกษา พูดคุย และขับเคลื่อนงานส่วนที่ดินและการจัดการภัยพิบัติ
- กลไกการขับเคลื่อนคณะทำงาน ในแผนประกอบด้วยอสม. กำนัน พ่อหลวง และคนรุ่นใหม่ นำไปสู่แผนงานระดับตำบลในส่วนคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ รายได้ และสาธารณูปโภค

ฟื้นชุมชนใหม่ ให้แข็งแรงกว่าเดิม
“ที่ผ่านมาเราสร้างตามความเชื่อว่าอยู่ได้แน่นอน อยู่มากี่ปีเพิ่งมาเกิด เราพยายามจะฮื้อ พี่น้องที่เรารักจากไปโดยธรรมชาติ เฮาบ่อยากให้เขาจากไปฮื้อแบบนี้ มันต้องแก้ไขให้ดีขึ้น”
“คุณภาพชีวิต บ้านเรือน อยู่ดีกินดี ฝนตกห่าใหญ่ขนาดไหนฝนบ่ตกใส่หัว เปิ้นนอนหลับเฮาก็ดีใจ” นายกอบต. ถนอม กล่าว โดยชูความสำคัญของการฟื้นฟูหลังเกิดภัย และสร้างใหม่ให้ปลอดภัย ดีขึ้น และยืดหยุ่นกว่าเดิม

ปัจจุบันก็ยังมีชาวบ้านที่กังวลเรื่องดินถล่มอยู่ ยังมีประชากรบ้านดอยแหลมหลายคนที่ยังต้องฟื้นฟูต่อจากเหตุการณ์เมื่อเดือนกันยายน เหมือนกับถนนที่ถล่มลงบางส่วนแต่ก็ยังซ่อมไม่เสร็จ ไม่แน่ใจว่าจะซ่อมทันดินถล่มอีกครั้งในปีนี้หากเหตุการณ์พายุเข้าซ้ำรอย
“เป้าหมายของผมมันชัดเจนขึ้นว่าเราต้องทำได้ดีกว่าเดิม ตอนนี้ไม่ได้มีแค่เราที่เห็นความสำคัญแล้ว องค์ความรู้พวกนั้นน่าจะส่งต่อมาถึงชาวบ้าน ผมกำลังรวบรวมและตกผลึกให้มันสื่อสารกับชาวบ้านได้ ให้เข้าใจ ไปในทางเดียวกัน เป้าหมายคือ อย่างน้อยถ้ามันเกิดอีก เราต้องปลอดภัย เรื่องบ้าน คนนอกมองว่าเพราะสาเหตุนี้ เราก็จะลองทำดู ถ้าทำแล้วไม่เป็นตามที่เขาบอกเราก็หาวิธีอื่นไป”
พ่อหลวงวีร์กล่าว
ดินโคลนถล่ม น้ำท่วม แผ่นดินไหว ไฟป่า แน่นอนว่าภัยพิบัติเข้ามากระทบชีวิตความเป็นอยู่ของทุกคนได้ภายในพริบตา และจากบาดแผล รอยเจ็บช้ำเหล่านี้ ก็จะนำไปสู่บทเรียน การฟื้นฟู ดูแล และเตรียมรับมือกับภัยพิบัติที่ดีขึ้นได้โดยทุกภาคส่วน

พ่อหลวงวีร์ หนึ่งในผู้นำของชุมชนบ้านดอยแหลม ต้องร่วมออกแรงผลักดันประเด็นภัยพิบัติบนยอดดอยต่อ ด้วยเป้าหมายที่อยากให้พี่น้องในชุมชนเข้าใจถึงภัย และอยู่ร่วมกับมันได้ โดยเฉพาะกับเด็กรุ่นต่อไป ที่พ่อหลวงไม่อยากให้ต้องเจอเหตุการณ์นี้ หรือรู้สึกแบบที่ประสบมา
“ชาวบ้านทุกอย่างโฟกัสมาที่ผู้นำ แม้กระทั่งเรื่องการทำตัว ปฏิบัติตัว เรื่องศีลธรรม เพราะชาวบ้าน ยิ่งพอเป็นชาวเขา เค้าเชื่อว่า ถ้าผู้นำหัวไม่ดีก็จะเกิดเรื่องไม่ดี”
“ผมต้องวางตัว ต้องแก้ไข ต้องพยายาม เหมือนแบกอะไรอยู่ตลอด แต่ไม่ใช่อะไรไม่ดีนะ เราแบกเพื่อที่จะไปถึงเป้าหมายของเรา เพราะถ้าผู้นำไม่ทำเอง คำพูดน้ำหนักมันก็จะหายไปเยอะ”