เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 ข่าวน้ำท่วมจาก พายุโซนร้อนคัลแมกี ครองพื้นที่หน้าฟีดโซเชียลมีเดีย มีรายงานว่า 15 จังหวัดได้รับผลกระทบรุนแรง มีผู้เสียชีวิต 13 คน กว่า 50 จังหวัดทั่วประเทศอยู่ในเขตเสี่ยง
เชียงใหม่, ลำปาง, พระนครศรีอยุธยา, อุบลราชธานี และอีกหลายจังหวัดกำลังต่อสู้กับน้ำ แต่ผ่านไปเพียง 3 วัน ข่าวเหล่านี้ก็เริ่มหายไปจากหน้าจอ แทนที่ด้วยภาพรถติดบนถนนพระราม 4 หรือคลิปน้ำขังหน้าห้างสรรพสินค้า
ในขณะที่คนเมืองกำลังโพสต์รูปรถติด แชร์คลิปน้ำท่วมขังที่อยู่เพียง 2–3 ชั่วโมง ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่แช่อยู่ในน้ำต่อเนื่องนานถึง 4 เดือน โดยแทบไม่มีใครหันกลับมามอง
นั่นคือประชาชนในพื้นที่รับน้ำอย่างบางบาล, บางระกำ จ.พระนครศรีอยุธยา, จ.อ่างทอง และอีกหลายชุมชนริมเจ้าพระยา ที่อยู่ภายใต้น้ำเงียบ ๆ เพื่อปกป้องเมืองใหญ่ไม่ให้จมไปพร้อมกันกับพวกเขา
สำหรับคนในพื้นที่รับน้ำ น้ำท่วมไม่ได้หมายถึงเหตุการณ์ 3 วัน หรือ 1 สัปดาห์ แต่คือสภาวะ 4 เดือนเต็ม น้ำเริ่มท่วมตั้งแต่เดือนสิงหาคม และยังคงยืนระยะจนถึงเดือนพฤศจิกายน หลายหมู่บ้านในบางบาลถูกน้ำเข้าท่วมมาแล้วอย่างน้อยหนึ่งรอบก่อนหน้านี้ น้ำสูงจนถึงเพดานพัดลม เด็ก ๆ ต้องหยุดเรียนยาวทั้งเทอม ผู้ปกครองต้องหยุดงานเดิมและหันไปหาอาชีพชั่วคราวที่สอดคล้องกับสภาพบ้านที่กลายเป็นแพ
น้ำท่วมยาวนานลักษณะนี้หมายถึงการอยู่โดยไม่มีห้องน้ำในสภาพปกติ ไม่มีพื้นแห้งให้เดิน ไม่มีครัวให้ทำอาหารอย่างที่เคย เงินเยียวยาเกษตรที่ได้ครัวเรือนละ 9,000 บาท จึงแทบไม่อาจเทียบได้กับค่าเสียหายของที่ดินที่ปลูกข้าวทั้งปีจมอยู่ใต้น้ำ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม และล้างบ้านที่แช่น้ำมาหลายเดือน สิ่งที่รัฐมองเห็นในแบบฟอร์มงบประมาณคือตัวเลข ส่วนสิ่งที่ประชาชนเผชิญคือความสูญเสียที่แปลงเป็นตัวเลขไม่ได้
ไม่เพียงเท่านั้น ความล่าช้าในการประกาศเขตภัยพิบัติยิ่งตอกย้ำความไม่เป็นธรรมต่อพวกเขา เพราะน้ำเริ่มเข้าตั้งแต่เดือนสิงหาคม แต่การประกาศเขตภัยพิบัติ โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกลับเกิดขึ้นในเดือนกันยายน ล่าช้ากว่าความเป็นจริงราวหนึ่งเดือน ทั้งที่การประกาศเร็วหนึ่งสัปดาห์อาจช่วยให้การช่วยเหลือ การย้ายของ การอพยพ และการจัดการทรัพยากรทำได้อย่างมีระบบมากกว่า ภัยถูกจัดให้อยู่ในระดับ 1 มาโดยตลอด หมายความว่าให้อำนาจหลักอยู่ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งที่ศักยภาพด้านงบประมาณ บุคลากร และอุปกรณ์ของท้องถิ่นไม่เพียงพอจะรับมือภัยที่ยืดเยื้อ 3–4 เดือนได้อย่างแท้จริง

แต่ท่ามกลางข้อจำกัดเหล่านั้น ชาวบ้านหลายพื้นที่กลับแสดงให้เห็นถึง ความยืดหยุ่น (resilience) อย่างน่าทึ่ง พวกเขายกของ ยกบ้าน ปรับวิถีชีวิต หางานใหม่ จัดระบบดูแลเด็กและผู้สูงอายุในน้ำที่ไม่ยอมลด ความคุ้นเคยกับน้ำท่วมที่เกิดขึ้นแทบทุกปีค่อย ๆ กลายเป็นความเคยชินแบบจำใจ
แต่คำถามสำคัญคือ ความยืดหยุ่นนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาเลือก หรือเป็นเพียงการปรับตัวเพื่อความอยู่รอด เพราะไม่มีทางเลือกอื่น การยกย่องประชาชนว่าเก่ง และถึกทน จึงอาจเป็นดาบสองคม
หากเราใช้คำเหล่านี้เพื่อกลบความจริงว่าพวกเขากำลัง ถูกปล่อยให้รับภาระที่ไม่เป็นธรรม
เพิ่งห่วงใย หรือเพราะน้ำเริ่มเข้าใกล้เมืองกรุง ?
ทำไม ? ข่าวน้ำท่วมต่างจังหวัดจึงหายเร็วกว่าข่าวรถติดในกรุงเทพฯ นักวิจัยด้านสื่อสารมวลชนเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “อคติความใกล้ตัว” หรือ proximity bias คือเรามักให้ความสำคัญกับเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวมากกว่า แม้ว่าข่าวที่อยู่ไกลจะกระทบคนจำนวนมากและรุนแรงกว่า (Galtung & Ruge, 1965)
ห้องข่าวส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ นักข่าวจำนวนมากอาศัยและใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ อินฟลูเอนเซอร์ที่มีผู้ติดตามหลักล้านก็ใช้ชีวิตในเมืองเช่นกัน เมื่อฝนตก น้ำขัง รถติด ภาพเหล่านี้จึงถูกเล่า ถูกแชร์ และถูกทำให้เป็นเรื่องใหญ่อย่ารวดเร็ว ขณะเดียวกัน น้ำที่ค่อย ๆ ท่วมไร่นาและชุมชนห่างไกลกลับกลายเป็นภาพพื้นหลังของประเทศ
จุดเปลี่ยนสำคัญคือ เมื่อน้ำท่วมต่างจังหวัดถูกเชื่อมโยงว่าเป็นภัยคุกคามต่อกรุงเทพฯ เช่น เมื่อผู้ว่าฯ กทม. ออกมาเตือนว่ากรุงเทพฯ เสี่ยงน้ำท่วมจากมวลน้ำที่ไหลมาจากอยุธยา นั่นคือตอนที่น้ำท่วมต่างจังหวัดกลายเป็นข่าวใหญ่ในสายตาคนเมือง น้ำท่วมต่างจังหวัดจึงจะได้รับความสนใจก็ต่อเมื่อมันกำลังจะกระทบกรุงเทพฯ เท่านั้น ทั้งที่ในความเป็นจริงการที่น้ำท่วมต่างจังหวัดกระทบคนเมืองอยู่แล้ว เพียงแค่เราไม่เห็นผลกระทบของมันอย่างชัดเจน
เมื่อไร่นาในพระนครศรีอยุธยาถูกน้ำท่วม ข้าวที่เรากินในปีหน้าก็จะมีต้นทุนสูงขึ้น เมื่อเขตนิคมอุตสาหกรรมในปราจีนบุรีหยุดผลิต ชิ้นส่วนรถยนต์ขาดตลาด ราคาซ่อมรถก็พุ่ง เมื่อถนนหลวงในเพชรบูรณ์จมอยู่ใต้น้ำ การขนส่งสินค้าจากเหนือสู่ใต้ล่าช้า ราคาผักผลไม้ในซูเปอร์มาร์เก็ตกรุงเทพฯ ย่อมขยับขึ้นตามอย่างช่วยไม่ได้ พื้นที่ปลูกข้าวจำนวนมากที่อยู่ในเขตรับน้ำเริ่มไม่สามารถปลูกได้ตามฤดูกาลความมั่นคงทางอาหาร (food security) ของทั้งประเทศจึงเสี่ยงต่อการสั่นคลอน (Lebel et al., 2011)
เบื้องหลังความเสียสละนี้คือโมเดลพื้นที่รับน้ำ แบบบางระกำ–บางบาล ที่รัฐใช้เหตุผลเชิงเศรษฐกิจเป็นแกนกลาง พื้นที่เกษตรถูกกำหนดให้รับน้ำแทนเมือง ด้วยสมมติฐานว่าความเสียหายต่อพื้นที่เกษตรมีมูลค่าทางเศรษฐกิจน้อยกว่า ความเสียหายในเมืองหลวง การตัดสินใจเช่นนี้สะท้อนตรรกะที่ให้ความสำคัญกับต้นทุนทางเศรษฐกิจมากกว่าต้นทุนทางมนุษยธรรม ชีวิตในไร่นา ครอบครัว ความฝัน และความหวังของคนตัวเล็ก ๆ ไม่ได้ถูกนับรวมในตารางวิเคราะห์ผลประโยชน์หรือต้นทุนของโครงการบริหารจัดการน้ำ

เมื่อต้องยืนอยู่ในน้ำ 4 เดือน เด็ก ๆ ต้องหยุดเรียน สะสมช่องว่างทางการศึกษาที่จะตามติดพวกเขาไปทั้งชีวิต ผู้ปกครองเสียรายได้ สูญเสียศักดิ์ศรีความเป็นเจ้าของที่ดินและอาชีพ สุขภาพกายและใจของทั้งครอบครัวถูกบั่นทอน ชุมชนที่เคยเข้มแข็งต้องเผชิญกับการย้ายถิ่น ถูกแยกจากครอบครัว และเกิดเป็นความเครียดเรื้อรัง สิ่งเหล่านี้ไม่เคยปรากฏในรายงาน GDP หรือแบบฟอร์มประเมินความคุ้มค่าของโครงการรัฐ แต่คือราคาที่แท้จริงของนโยบายพื้นที่รับน้ำ
‘ท้องถิ่น’ ดูแลชีวิตคนรับน้ำ สวนทางจัดการน้ำภาพใหญ่ ?
ประกอบกับเมื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ฝนตกเร็วขึ้น แรงขึ้น และถี่ขึ้น สถานการณ์ยิ่งยากจะรับมือ รูปแบบน้ำท่วมที่เคยคาดเดาได้เริ่มเปลี่ยนไป ปริมาณน้ำฝนเพิ่มขึ้นจากภาวะโลกรวนเกิดเป็นปรากฏการณ์ฝนตกหนักเฉียบพลันหรือ rain bomb ซึ่งปีนี้ถูกระบุว่าอยู่ในช่วงลานีญาและถูกขนานนามว่าเป็นปีแห่งน้ำ เมื่อโลกอุ่นขึ้นแบบก้าวกระโดด ความสามารถในการคาดการณ์ความเสี่ยงจากปริมาณน้ำด้วยวิธีคิดแบบเดิมแทบจะใช้ไม่ได้อีกต่อไป (Paton & Johnston, 2017)
ไม่เพียงเท่านี้ การจัดการน้ำในเขื่อนยิ่งสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างชัดเจน เขื่อนหลายแห่งมีปริมาณน้ำเก็บกักเกิน 90% บางแห่งสูงถึง 100–110% ของความจุ การเลือกกักน้ำไว้ก่อนเผื่อแล้งในบริบทที่โลกอุ่นขึ้นและฝนคาดเดายาก กลายเป็นการคาดการณ์ที่ผิดพลาดอย่างรุนแรง เมื่อมีน้ำก้อนใหญ่ไหลตามมา ระบบจึงไม่มีพื้นที่รองรับนอกจากปล่อยน้ำลงสู่พื้นที่ด้านล่าง ซึ่งก็คือชุมชนเกษตรที่ถูกกำหนดให้เป็นที่ว่างของการบริหารจัดการน้ำของรัฐมานานหลายทศวรรษ (Lebel et al., 2011)
ที่น่าขมขื่นคือ ประเทศไทยไม่ได้ขาดกฎหมาย หรือแผนระดับชาติเกี่ยวกับการจัดการน้ำและสาธารณภัย เรามี พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พ.ศ. 2561 เพื่อจัดการมวลน้ำ และ พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อจัดการคน แต่ในทางปฏิบัติกลับดูเหมือนว่ากฎหมายเหล่านี้ไม่ได้ถูกใช้ให้ทำงานอย่างเต็มศักยภาพ
แผนการจัดการที่วางไว้นับจากน้ำท่วมใหญ่ ปี 2554 รวมถึงแนวคิดการบริหารจัดการร่วม (collaborative management) ระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ที่ถูกพูดถึงมานานกว่า 8 ปี ยังไม่เกิดผลอย่างจริงจัง ประเทศตกอยู่ในกับดักสถาบัน (institutional traps) ที่ทำให้ความเปราะบางของชุมชนต่อความเสี่ยงด้านน้ำยังคงอยู่ในระดับสูง (Lebel et al., 2011)
ในทางกลับกัน สิ่งที่เกิดขึ้นในระดับท้องถิ่นกลับเป็นเรื่องที่ควรได้รับการชื่นชมและเรียนรู้ น้ำยังไม่ทันขึ้นถึงตลิ่ง หมู่บ้านริมแม่น้ำในลำปางหลายแห่งก็เริ่มเปิดระบบเตือนภัยของชุมชน หอกระจายข่าวหมู่บ้าน กลุ่มไลน์ของชุมชน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ช่วยกันรายงานระดับน้ำทุกชั่วโมง เมื่อระดับน้ำสูงขึ้นถึงจุดวิกฤต ภายในไม่กี่นาทีข้อมูลก็ไปถึงทุกบ้าน คนรู้ว่าต้องยกของขึ้นชั้นบน ปิดไฟ ถอดปลั๊ก และเตรียมอพยพ นี่คือระบบเตือนภัยล่วงหน้าแบบชุมชน (community-based early warning system) ที่งานวิจัยยืนยันว่าช่วยลดความสูญเสียได้อย่างมาก (Paton & Johnston, 2017)

หรืออย่างกรณีที่โรงเรียนหลายแห่งในพระนครศรีอยุธยา มีเช็กลิสต์ก่อนน้ำถึงอย่างเป็นระบบ ทั้งการย้ายเอกสารสำคัญขึ้นชั้น 2 ยกคอมพิวเตอร์ หุ้มตู้เก็บเอกสารด้วยพลาสติก ยกปลั๊กไฟ และฝึกซ้อมแผนอพยพนักเรียนทุกต้นภาคเรียน ครอบครัวเองก็มีแผนปฏิบัติการของตัวเอง วันที่น้ำเริ่มสูงยกของ วันที่ 2 ปิดไฟ ตัดต้นไม้ที่เสี่ยงโค่น วันที่ 3 ถ้าน้ำสูงเกิน 80 เซนติเมตร ทุกคนรู้ว่าต้องอพยพไปที่ไหน
เมื่อเกิดน้ำท่วมในเขตเมืองสุรินทร์ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประสานกรมชลประทานเพื่อเตรียมเครื่องสูบน้ำ ร้านค้าสนับสนุนอุปกรณ์ ชาวบ้านนำรถและเรือมาช่วยขนคน ขนของ วัดกลายเป็นศูนย์พักพิง และชุมชนช่วยกันตั้งครัวกลาง
สิ่งที่เราเห็นจากกรณีตัวอย่างเหล่านี้คือ ทุนทางสังคม (social capital) ที่เข้มแข็ง ความสามารถในการร่วมมือ ไว้วางใจ และช่วยเหลือกัน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการฟื้นฟูและรับมือภัยพิบัติ (Norris et al., 2008; Aldrich & Meyer, 2015) งานวิจัยจำนวนมากชี้ตรงกันว่า ชุมชนที่เผชิญภัยบ่อย ๆ มักพัฒนาทุนทางสังคมที่แข็งแรงขึ้น ทั้งในแง่เครือข่าย การช่วยเหลือเกื้อกูล และองค์ความรู้ในการรับมือ (Aldrich & Meyer, 2015)
ผลลัพธ์ของความร่วมมือระดับรากหญ้านี้ปรากฏชัดในหลายกรณี ปี 2564 เมื่อน้ำท่วมภาคเหนือและอีสาน บางพื้นที่มีน้ำสูงกว่า 1 เมตร นานเกินสองสัปดาห์ แต่ไม่มีผู้เสียชีวิตจากการจมน้ำ ไม่มีการระบาดของโรคหลังน้ำลด และภายใน 10 วัน ชุมชนกลับมาดำเนินชีวิตได้ใกล้เคียงปกติ
ปี 2565 จังหวัดอุบลราชธานี เผชิญน้ำท่วมครั้งใหญ่ แต่ด้วยระบบอพยพที่เป็นระบบ การประสานงานที่ดี และการดูแลผู้ประสบภัยที่ทั่วถึง ทำให้ไม่มีผู้เสียชีวิตและการฟื้นตัวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ตรงกันข้ามกับน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯ ปี 2554 ที่กลายเป็นภัยพิบัติในความหมายเต็มรูปแบบของคำที่ว่า “เพราะระบบการจัดการล้มเหลว”
ผู้คนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ? เกิดความโกลาหล และใช้เวลาหลายเดือนจึงจะฟื้นตัวได้ ทุกครั้งที่เราพูดว่าท้องถิ่นไทยเก่งมากที่สามารถทำให้สถานการณ์อยู่ในระดับสาธารณภัยโดยไม่บานปลายเป็นภัยพิบัติ
เราจึงควรตั้งคำถามต่อไปด้วยว่า
ทำไม ? เราถึงปล่อยให้พวกเขาต้องเก่งขนาดนี้
ทำไม ? เราจึงไม่ช่วยให้พวกเขาไม่ต้อง เผชิญกับภัยซ้ำ ๆ
สิ่งที่จำเป็นต้องทำทันทีในระดับนโยบายจึงไม่ใช่เพียงการออกข่าวเตือนภัยให้ดังขึ้น แต่คือการลดเวลาที่คนต้องยืนอยู่ในน้ำ รัฐต้องหาวิธีผันน้ำให้รวดเร็วและปลอดภัยกว่าเดิม ไม่ใช่ปล่อยให้ชุมชนถูกน้ำท่วมยาว 4–5 เดือนโดยไม่มีทางเลือก หากรัฐยังยืนยันจะใช้พื้นที่เหล่านี้เป็นพื้นที่รับน้ำอย่างถาวร ก็จำเป็นต้องจัดหาพื้นที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัยให้ประชาชน หรือออกแบบการย้ายถิ่นฐานอย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่ปล่อยให้คนเลือกเพียงระหว่างแช่น้ำที่บ้านกับไปเช่าห้องในเมืองโดยไม่มีหลักประกันใด ๆ

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจัง ทั้งงบประมาณ เครื่องมือ และการฝึกอบรมบุคลากร เพื่อให้มีขีดความสามารถในการตัดสินใจและดำเนินการในภาวะฉุกเฉิน โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากส่วนกลางในทุกขั้นตอน การกระจายอำนาจด้านทรัพยากรและข้อมูลคือเงื่อนไขสำคัญของการบริหารจัดการภัยพิบัติในยุคที่ความเสี่ยงเปลี่ยนรูปตลอดเวลา (Norris et al., 2008)
ในระยะยาว ประเทศจำเป็นต้องประเมินความเสี่ยงใหม่ทั้งหมด ภายใต้สมมติฐานว่า ภัยพิบัติในอนาคตจะไม่เหมือนภัยที่เราเคยเจอ แต่น่าจะรุนแรงกว่า เร็วกว่า และซับซ้อนกว่าเดิม งานด้านภัยพิบัติชี้ว่า ชุมชนที่เตรียมพร้อมเพื่อรองรับ เหตุการณ์เลวร้ายที่สุด มักรับมือได้ดีกว่าชุมชนที่เตรียมแค่เคสเฉลี่ย (Paton & Johnston, 2017)
เราจึงต้องวางแผนสำหรับสถานการณ์ที่น้ำมาเร็วเกินกว่าจะอพยพทัน ไฟฟ้าดับ สัญญาณมือถือหาย ถนนขาด หรือเกิดภัยหลายชนิดพร้อมกัน เช่น น้ำท่วมคู่กับดินถล่มหรือโรคระบาด
การออกแบบโครงสร้างพื้นฐานในอนาคตก็ต้องยอมรับความจริงว่า หลายชุมชนอาจต้องอยู่กับน้ำในระดับสูงเป็นระยะเวลานาน ไม่ว่าจะในรูปบ้านยกสูง 3–4 ชั้น ศูนย์พักพิงที่รองรับคนจำนวนมากอย่างปลอดภัย ถนนหลักที่ยังใช้งานได้แม้น้ำท่วม หรือโรงพยาบาลที่มีระบบสำรองไฟฟ้าและน้ำสะอาดเพียงพอ ระบบเตือนภัยต้องทำงานได้แม้ไร้ไฟฟ้าและสัญญาณมือถือ เช่น หอกระจายข่าว เครื่องเสียงพลังงานแสงอาทิตย์ หรือระบบสัญญาณเสียงที่ชุมชนเข้าใจตรงกัน
แล้วต้องทำอย่างไร ? เมื่อน้ำท่วม – ภัยพิบัติ ล้วนเป็นเรื่องของ ‘เรา’
คำถามอีกด้านหนึ่งคือแล้วคนเมืองควรทำอย่างไรบ้างนอกจากการกดไลก์และแชร์ คำตอบคือต้องเปลี่ยนวิธีคิด หยุดมองว่าน้ำท่วมต่างจังหวัดเป็นเรื่องของเขา ต้องเริ่มทำความเข้าใจว่านี่คือเรื่องของเรา เพราะมันจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั้งอาหาร ระบบขนส่ง ราคาสินค้า และในที่สุดก็กระทบชีวิตเราในเมือง
การลงทุนในการป้องกันภัยคุ้มค่ากว่าการใช้จ่ายเพื่อแก้ไขเสมอ ธนาคารโลกศึกษาและพบว่าการลงทุน 1 ดอลลาร์ในมาตรการป้องกันภัย จะประหยัดค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูได้ถึง 4-7 ดอลลาร์ (World Bank, 2012) แต่ประเทศไทยยังเน้นใช้งบประมาณเพื่อแก้ไขหลังเกิดเหตุมากกว่าลงทุน ป้องกันก่อนเกิดอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ
นอกจากนี้สื่อและอินฟลูเอนเซอร์ยังมีบทบาทสำคัญในการทำให้ข่าวต่างจังหวัดไม่หายไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว การเล่าเรื่องน้ำท่วมไม่ควรจำกัดอยู่ที่ภาพบ้านจม น้ำเอ่อ และชาวบ้านนั่งเรือ แต่ต้องเชื่อมโยงให้คนเมืองเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมีความหมายต่อชีวิตพวกเขาอย่างไร เช่น ทุ่งนาที่ถูกน้ำท่วมขังคือข้าวในจานของคุณ หรือโรงงานที่หยุดคือรถที่คุณรออะไหล่ซ่อม การเล่าเรื่องที่เชื่อมโลกของคนเมืองกับโลกของคนชนบทเข้าด้วยกัน จะช่วยลดอคติความใกล้ตัว และทำให้สังคมพร้อม ลงขันเพื่อแก้ปัญหาร่วมกันมากขึ้น (Galtung & Ruge, 1965)
ครั้งต่อไปหากคุณเห็นข่าวน้ำท่วมในต่างจังหวัด ก่อนจะเลื่อนผ่าน ลองหยุดคิดสักนิดว่าคนที่ยืนอยู่ในน้ำเหล่านั้นกำลังปกป้องอะไรให้เราอยู่บ้าง และไม่ใช่เพียงมองแค่ความลำบากของเขา แต่ลองมองให้ลึกลงไปถึงความเก่ง ความยืดหยุ่น และความร่วมมือที่พวกเขาสร้างขึ้นด้วย เพราะนั่นคือบทเรียนที่ทั้งรัฐและคนเมืองควรเรียนรู้ให้ลึกกว่าคำชมสั้น ๆ ในช่องคอมเมนต์
และจงอย่าลืมว่าต่อให้ชุมชนจะเก่งและถึกทนแค่ไหน พวกเขาก็ยังต้องการการสนับสนุนอย่างเป็นระบบ เพื่อรับมือกับภัยที่อาจรุนแรงและถี่ขึ้นในอนาคต ความเป็นธรรมในการจัดการภัยพิบัติหมายถึงการตระหนักว่าผลกระทบไม่ควรถูกผลักไปอยู่บนบ่าของกลุ่มคนเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า และไม่ควรมีใครต้องยอมจมน้ำ 4 เดือนโดยที่สังคมส่วนใหญ่เพียงมองผ่านหน้าจอไปอย่างไร้ความรู้สึก
สุดท้าย…จะเห็นได้ว่า น้ำท่วมต่างจังหวัดไม่ได้ตกเทรนด์เพราะไม่สำคัญ แต่มันถูกมองข้ามเพราะเราไม่เข้าใจว่ามันสำคัญต่อชีวิตเราแค่ไหน เราอาจกำลังมองข้ามทั้งโอกาสในการเรียนรู้จากคนที่เก่งจริง ๆ และโอกาสในการสร้างความเป็นธรรมให้กับสังคมที่เราทุกคนอยู่ร่วมกัน
อ้างอิง
- Aldrich, D. P., & Meyer, M. A. (2015). Social capital and community resilience. American Behavioral Scientist, 59(2), 254–269.
- Galtung, J., & Ruge, M. H. (1965). The structure of foreign news: The presentation of the Congo, Cuba and Cyprus crises in four Norwegian newspapers. Journal of Peace Research, 2(1), 64–90.
- Lebel, L., Manuta, J. B., & Garden, P. (2011). Institutional traps and vulnerability to changes in climate and flood regimes in Thailand. Regional Environmental Change, 11(1), 45–58.
- Norris, F. H., Stevens, S. P., Pfefferbaum, B., Wyche, K. F., & Pfefferbaum, R. L. (2008). Community resilience as a metaphor, theory, set of capacities, and strategy for disaster readiness. American Journal of Community Psychology, 41(1–2), 127–150.
- Paton, D., & Johnston, D. M. (2017). Disaster resilience: An integrated approach (2nd ed.). Charles C Thomas Publisher.
- ไทยรัฐออนไลน์. (2025, 7 พฤศจิกายน). น้ำท่วมรุนแรง 15 จังหวัด ดับแล้ว 13 ราย. ไทยรัฐออนไลน์.
- World Bank. (2012). Thai flood 2011: Rapid assessment for resilient recovery and reconstruction planning. World Bank Group. https://openknowledge.worldbank.org/handle/10986/26862
