โรงเรียนฟอกรุ้ง : เมื่อสิทธิกำหนด ‘เพศสภาพ’ ต้องแลกมาด้วยการเป็นนักเรียนที่ดี ?

ภายหลัง กฎหมายสมรสเท่าเทียม ประกาศใช้ สิทธิสมรสของผู้มีความหลากหลายทางเพศก็ขึ้นมาทัดเทียมกับหญิงชาย (Cisgender) แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าความเข้าใจในเรื่องสิทธิ และการอยู่ร่วมกันในสังคมจะยกระดับตามไปด้วย

เพราะนี่ไม่ใช่ขอบเขตที่กฎหมายจะบังคับได้ หากแต่ต้องอาศัยการเรียนรู้ การอยู่ร่วมกันในสังคมเพื่อสร้างการตระหนักรู้ไปอีกเรื่อย ๆ โดยไม่มีที่สิ้นสุด และ โรงเรียนเองก็มีบทบาทสำคัญในการกล่อมเกลาสมาชิกในสังคมในประเด็นความหลากหลายทางเพศ

ความรุนแรง และ อคติทางเพศ ต่อเยาวชน LGBTQ+ ในสถานศึกษา ยังคงปรากฎอยู่ให้เห็นและส่งผลต่อสุขภาพจิตของพวกเขาโดยตรง จากงานวิจัยโดย มูลนิธิช่วยเหลือเด็ก (ประเทศไทย) ร่วมมือกับ และ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เปิดเผยว่า ภาวะสุขภาพจิตเยาวชนผู้มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทยอยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง ร้อยละ 71.1 ของกลุ่มตัวอย่าง 3,094 คน มีอาการซึมเศร้าในระดับน้อยขึ้นไป เกือบ 3 ใน 5 มีความคิดฆ่าตัวตาย และ 1 ใน 4 ของกลุ่มตัวอย่างเปิดเผยว่าตนเคยทำร้ายร่างกายตนเอง

การถูกเลือกปฏิบัติ และการถูกกระทำความรุนแรงทุกรูปแบบ เช่น การถูกล้อเลียน การทำร้ายร่างกาย การคุกคามทางเพศ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของเยาวชนผู้มีความหลากหลายทางเพศอย่างมาก ยิ่งพวกเขาประสบความรุนแรงมากเท่าไร ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะมีปัญหาทางสุขภาพจิตมากเท่านั้น

ดังนั้น นโยบายป้องกันความรุนแรงในสถานศึกษา และ หลักสูตรการเรียนรู้เรื่องเพศที่เปิดกว้าง จะช่วยบรรเทาอคติทางเพศและปัญหาสุขภาพจิตในกลุ่มเยาวชน LGBTQ+ ได้

ในบริบทโรงเรียนไทย สิทธิของเด็กโดยเฉพาะเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศ เรามักจะได้ยินข้ออ้างที่คล้ายกันซ้ำๆ ว่า “โตแล้วค่อยว่ากัน” หรือ “ยังเด็กอยู่ อย่าเพิ่งคิดเรื่องพวกนี้” แต่สำหรับ ผศ.อดิศร จันทรสุข คณบดีคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ให้เห็นว่า ประโยคเหล่านี้ไม่ได้เป็นการแสดงความห่วงใย หากแต่แฝงด้วยแนวคิดที่ตั้งอยู่บนอำนาจของผู้ใหญ่ในการควบคุมความเป็นไปของตัวตนผู้อื่น

สมรสเท่าเทียมกฎหมายผ่าน แต่สังคมจะก้าวต่ออย่างไรเมื่อโรงเรียนยังนิ่ง ? หากโรงเรียนยังไม่มองเห็นความสำคัญของการเคารพในความแตกต่าง เราอาจพลาดโอกาสในการสร้างสังคมที่ยุติธรรมและเท่าเทียมอย่างแท้จริงในอนาคต เมื่อการมองเห็นโลกที่เยาวชนเชื่อมั่นเริ่มจากห้องเรียน ไม่ใช่เพียงในรัฐสภา ยังมีอะไร ? ที่ต้องทำความเข้าใจ และทบทวน…

กฎหมายไม่ใช่คำตอบสุดท้าย
ของสังคมที่เคารพความแตกต่างหลากหลาย

แม้ยังไม่มีการสำรวจอย่างเป็นทางการถึงผลกระทบของกฎหมายสมรสเท่าเทียมในสถานศึกษา แต่จากการที่ ผศ.อดิศร ทำงานร่วมกับครู ผู้บริหาร และหน่วยงานด้านการศึกษา พบว่า โรงเรียนส่วนใหญ่ยังไม่รู้สึกว่ากฎหมายฉบับนี้เกี่ยวข้องกับตน เพราะมองว่าเด็กและเยาวชนยังไม่อยู่ในวัยที่จะเกี่ยวข้องกับการแต่งงาน แต่การตั้งคำถามกับบทบาทของคำว่า “พ่อ-แม่” ในกิจกรรมโรงเรียน การปรับแบบฟอร์มให้ไม่จำกัดเพศ หรือแม้แต่การเคารพสิทธิในเนื้อตัวร่างกายของนักเรียน กลายเป็นโจทย์ที่โรงเรียนต้องขบคิดกันต่อ

ถึงจะพูดถึงมากขึ้น แต่ในทางปฏิบัติ ผศ.อดิศร ยอมรับว่า ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นทางการของโรงเรียน โดยเฉพาะในเรื่องกฎระเบียบหรือแนวทางที่เอื้อต่อความหลากหลายทางเพศ เช่น เครื่องแต่งกาย หรือการแสดงออกของนักเรียน ทั้งที่โรงเรียนควรเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยและเปิดกว้างต่อการเรียนรู้เกี่ยวกับสิทธิ เสรีภาพ และความแตกต่าง

“พื้นที่ของโรงเรียนมีองค์ประกอบหลายอย่างที่ซับซ้อน แม้จะมีกฎหมายที่สนับสนุนความเท่าเทียม แต่หากไม่มีความเข้าใจร่วมของผู้บริหาร ครู และบุคลากรในระบบ การเปลี่ยนแปลงก็จะไม่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง เราต้องทำงานกับระบบนิเวศของโรงเรียน”

ผศ.อดิศร จันทรสุข

ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีแนวปฏิบัติที่ชัดเจนจากรัฐ หรือจากหน่วยงานกำกับด้านการศึกษา เพื่อทำให้เรื่องนี้ไม่ใช่เพียงกระแส หรือกฎหมายบังคับให้ทำ แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมโรงเรียนอย่างยั่งยืน

ประเทศไทยจึงควรดำเนินการหลายด้านควบคู่กัน ทั้ง การออกกฎหมายที่คุ้มครองสิทธิ, การเปลี่ยนแปลงทัศนคติของสังคม, การจัดกิจกรรมสร้างความเข้าใจในโรงเรียน และ การส่งเสริมพื้นที่ปลอดภัยให้เยาวชนทุกคนได้เติบโตอย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องของ กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ หากแต่เป็นเรื่องของ ทุกคน

เมื่อ ‘เพศสภาพ’ ต้องผ่านเกณฑ์ เด็กดี เรียนดี ?

ความคิดที่ว่าเด็กยังไม่รู้จักตัวเอง หรือยังไม่มีวุฒิภาวะมากพอ เป็นแนวคิดที่ผูกโยงการกำหนดเพศเข้ากับ ความพร้อม ที่ผู้ใหญ่เป็นผู้กำหนด นี่ไม่ใช่แค่การควบคุมพฤติกรรมของเด็กให้อยู่ในกรอบที่โรงเรียนวางไว้ แต่คือการตั้งข้อสงสัยในตัวตนของเด็กและเยาวชน ซึ่งหลายครั้ง อัตลักษณ์ทางเพศกลับถูกมองว่าเป็น แฟชั่น มากกว่าการยอมรับว่าเป็นความรู้สึกลึกซึ้งและจริงแท้ในใจของพวกเขา

ผศ.อดิศร ระบุว่า ผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยยังมองว่า ตัวตนและพฤติกรรมเป็นสิ่งแยกขาดจากกัน พวกเขาจึงพร้อมจะอนุญาตให้เด็ก แสดงออกได้ก็ต่อเมื่อผ่านเกณฑ์บางอย่าง เช่น อายุบรรลุนิติภาวะ การประพฤติตนเป็น เด็กดี ตลอดจนการทำผลการเรียนให้ได้คะแนนสูง ๆ เพื่อเอามาแลกกับการได้แสดงออกตามเพศสภาพ ทั้งที่ความจริงแล้ว การแสดงออกไม่ใช่แค่เรื่องภายนอก แต่มันคือส่วนหนึ่งของการสร้างอัตลักษณ์ การทบทวนตนเอง และการพัฒนาทางจิตใจ ซึ่งส่งผลต่อการเรียนรู้ทั้งสิ้น

ในยุคที่เราต่างพูดถึง ทักษะศตวรรษที่ 21 อย่างการคิด วิเคราะห์ การรู้จักตนเอง และการมีวิจารณญาณ การปล่อยให้เด็กได้ทดลอง สะท้อน และพูดคุยถึงตัวตนของตัวเองอย่างปลอดภัย ควรเป็นพื้นที่ที่โรงเรียนเปิดให้มากกว่าการปิดกั้นด้วยคำว่า “ยังไม่พร้อม”

“เพราะแท้จริงแล้ว คำถามที่สำคัญอาจไม่ใช่ว่า เด็กพร้อมแล้วหรือยัง
แต่คือ ผู้ใหญ่พร้อมจะฟังเด็กแล้วหรือยัง ต่างหาก”

ผศ.อดิศร จันทรสุข

ผศ.อดิศร ยังมองว่า คำพูดจากครู หรือผู้บริหารบางคนที่ว่า “ถ้าไม่พอใจก็ไปอยู่ที่อื่น” ไม่ใช่แค่การตัดบท แต่มันคือการผลักเด็กออกจากพื้นที่ที่ควรเป็นของพวกเขาโดยชอบธรรม โรงเรียน ไม่ว่าจะรัฐ หรือเอกชน ไม่ควรเป็นพื้นที่ของอำนาจที่ใช้กำหนดใครควรอยู่หรือควรไป หากควรเป็นพื้นที่ของความหลากหลายทางความคิดและตัวตน ที่เปิดรับและโอบอุ้มความแตกต่างอย่างแท้จริง

การที่โรงเรียนไม่สามารถจัดการกับความแตกต่างได้ โดยเลือกจะ ผลักออก แทนที่จะ ปรับตัว ไม่เพียงขัดกับหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานเท่านั้น แต่มันยังสะท้อนความล้มเหลวของระบบการศึกษา ที่ไม่สามารถทำหน้าที่สำคัญในการสร้างพื้นที่ปลอดภัยและเท่าเทียมให้กับผู้เรียนได้ อัตลักษณ์ไม่ควรถูกแลกมาด้วยความเงียบงัน และสิทธิก็ไม่ควรถูกผูกไว้กับเงื่อนไขแห่งการจำนน ผู้ใหญ่ในระบบการศึกษาควรถามตัวเองให้มากขึ้นว่า “เราพร้อมแล้วหรือยังที่จะทำความเข้าใจโลกที่เปลี่ยนไป และฟังเสียงของเด็กอย่างจริงจัง

ผศ.อดิศร จันทรสุข คณบดีคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ภาพ : mappa)

หน้าที่ของห้องเรียน
คือ การทำให้ความหลากหลายเป็นความปกติของสังคม

เมื่อกฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่านพ้นไป สิ่งที่สังคมไทยต้องหันกลับมาพิจารณาอย่างจริงจัง คือ บทบาทของสถานศึกษาต่อความหลากหลายทางเพศ โดยเฉพาะในเชิงกายภาพและวัฒนธรรมภายในโรงเรียน

อย่างปัญหาเรื่อง ห้องน้ำ เป็นตัวอย่างชัดเจนของการจัดการพื้นที่ที่ยังไม่รองรับความแตกต่าง โรงเรียนส่วนใหญ่ยังคงจำแนกห้องน้ำตามเพศชายหญิง ทำให้เด็กที่มีอัตลักษณ์ทางเพศไม่ตรงกับเพศกำเนิด รู้สึกไม่ปลอดภัยจนบางคนเลือกที่จะกลั้นปัสสาวะตลอดวัน แนวทางสำคัญคือการออกแบบพื้นที่ใหม่ให้มีความยืดหยุ่น เช่น ห้องน้ำแบบไม่ระบุเพศ เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงได้โดยไม่ถูกผลักออกจากระบบ

นอกจากนี้ ผศ.อดิศร ยังเสนอให้ เปลี่ยนวิธีคิดที่มองความหลากหลายทางเพศเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่ม ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันในโรงเรียน ไม่ใช่แค่เรื่องในวิชาสุขศึกษา แต่ควรถูกรวมเข้าไปในบริบทของการเรียนทุกวิชา ทั้งในตัวอย่างเนื้อหา บทบาทของครอบครัว และวิถีชีวิตของตัวละคร เพื่อให้เด็กรู้สึกคุ้นชินและไม่รู้สึกว่าความหลากหลายคือเรื่องผิดปกติ

ที่สำคัญคือโรงเรียนต้องจัดกิจกรรมต่าง ๆ อย่างมีความระมัดระวัง เช่น การจัดงานวันพ่อ-วันแม่ ที่ควรคำนึงถึงเด็กจากครอบครัวรูปแบบอื่นด้วย เพื่อไม่ให้เกิดการกีดกันทางอ้อม สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากขาดการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้ใหญ่ในระบบการศึกษา ซึ่งยังคงยึดติดกับคุณค่าเดิมและไม่เปิดรับความเปลี่ยนแปลง ขณะที่เด็กในยุคปัจจุบันกลับพร้อมและมองเห็นความหลากหลายเหล่านี้เป็นเรื่องปกติไปแล้ว

แนวทางการพูดเรื่องความหลากหลายทางเพศในโรงเรียน ไม่อาจจำกัดอยู่แค่การใช้คำพูดอย่างเหมาะสมหรือจัดกิจกรรมรณรงค์เท่านั้น หากแต่ต้องเข้าใจว่าประเด็นนี้โยงใยกับโครงสร้างลึกของสังคมไทย ตั้งแต่ วัฒนธรรม ระบบอำนาจ ความเชื่อทางศาสนา ไปจนถึงบทบาทของครอบครัว การเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงจึงต้องเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งในระดับนโยบาย การศึกษา และทัศนคติของผู้คน ไม่ใช่เพียงปรับเปลี่ยนในบางด้านอย่างผิวเผิน

แม้หลายโรงเรียนเริ่มเปิดพื้นที่ให้เด็กแสดงออกตามอัตลักษณ์ของตน เช่น ผ่อนปรนกฎเรื่องทรงผมหรือเครื่องแบบ แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ยังมีความเหลื่อมล้ำ บางแห่งยอมรับภายใต้เงื่อนไข เช่น เฉพาะในกิจกรรมพิเศษหรือเมื่อเด็ก ประพฤติดี เท่านั้น ซึ่งสะท้อนว่าแนวคิดเรื่องสิทธิมนุษยชนยังไม่ได้รับการเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพราะสิทธิคือสิ่งที่ทุกคนควรได้รับโดยไม่ต้องต่อรอง ไม่ใช่รางวัลที่ต้องพิสูจน์เพื่อให้มา

ผศ.อดิศร ทิ้งท้ายว่า การสร้างความเท่าเทียมในโรงเรียนต้องเริ่มจากการเปิดพื้นที่ให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม ตั้งแต่นักเรียน ครู ผู้บริหาร ไปจนถึงผู้ปกครอง เพื่อร่วมกันฟัง พูดคุย และเรียนรู้จากความแตกต่าง การมีบทสนทนาระหว่างกันทำให้ความเป็นอื่นถูกลดเลือนลง และที่สำคัญ การทำให้โรงเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัยและให้เกียรติกับทุกตัวตน ไม่เพียงช่วยให้เด็กบางคนรู้สึกเป็นที่ยอมรับเท่านั้น แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำคัญของประชาธิปไตยในสังคมไทยอีกด้วย

“ถ้าเรากล้าที่จะแสดงความคิดเห็น และกล้าที่จะรับฟังความเห็นต่าง เรากำลังพัฒนาเยาวชนให้เติบโตเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง”

ผศ.อดิศร จันทรสุข

Author

Alternative Text
AUTHOR

พีรดนย์ ภาคีเนตร

เฝ้าหาเรื่องตลกขบขันในชีวิต แต่พบว่าสิ่งที่ตลกที่สุดคือชีวิตเราเอง